ร่วมบุญค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่สิงห์ (เปลี่ยนบัญชีโอนใหม่ค่ะ)

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย peerakul, 6 กรกฎาคม 2014.

  1. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยจร้าป้าเล็กและเพื่อนๆ
     
  2. ลุงจิ๋ว

    ลุงจิ๋ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +990
    อาการหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้างครับ ช่วยแจ้งให้ทราบด้วย...ขอบคุณครับ
     
  3. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    ท่านเข้า - ออก โรงพยาบาลบ่อยๆค่ะ เนื่องด้วยอายุท่านก็มากแล้ว แต่ช่วงนี้อาการดีขึ้น อยู่วัดสีหะลำดวนค่ะ และจำเป็นต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลอยู่เรื่อยๆ


    อนุโมทนา สาธุ
     
  4. nanbatakeshi

    nanbatakeshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    19,075
    ค่าพลัง:
    +20,801
    วันที่13/11/57เวลา00.29น.ได้ร่วมบุญค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่สิงห์-หลวงตาวิเชียร-จำนวน30บาทค่าธรรมเนียม10บาทและขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านทีไ่ด้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ทุกๆท่านครับ สาธุๆๆอนุโมทนามิ
     
  5. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะคุณmurata_19
     
  6. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    จึงขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านร่วมบุญค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่สิงห์(วิเชียร)ได้ที่ ...

    ชื่อบัญชี : จำเนียร ประสานดี และนายไทย ทองหล่อ
    ธ.กรุงไทย สาขาศิขรภูมิ
    เลขที่บัญชี 3310351106
    เบอร์ติดต่อสอบถาม...หลวงพี่แค... 092-3434306

    ผู้ประสานงาน ...ปทมา 089-6427273
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2015
  7. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    ขออนุญาตพี่เอ ลงชีวประวัติหลวงปู่นะขอรับ


    ชีวประวัติ
    พระครูวิเชียรธรรมคุณ (วิเชียร ธมฺมสาโร )
    (สิงห์)
    โดย เมตฺตจิตโตภิกขุ (แคร์)
    ชาติภูมิ
    หลวงปู่วิเชียร ธมฺมสาโร ท่านมีชาติกำเนิดในสกุล “บุญภา”เดิมชื่อ วิเชียร
    เกิดเมื่อ วันเสาร์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2472 ณ บ้านตางมาง
    ตำบลเกาะแก้ว อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์
    โยมบิดาชื่อ นายคำ นามสกุล บุญภา โยมมารดาชื่อ นางปุย นามสกุล บุญภา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คนตามลำดับดังนี้
    1) นายเกิด บุญภา
    2) นายแก้ว บุญภา
    3) พระครูวิเชียรธรรมคุณ (วิเชียร ธมฺมสาโร)
    4) นางอาด ทองดาษ
    5) หลวงพ่อ ทัด ธมฺมสโร
    6) นางวาด บุญภา (ถึงแก่กรรมแล้ว)

    ปฐมวัยและการศึกษา
    ชีวิตในวัยเด็กของหลวงปู่ ท่านเป็นเด็กที่ขยันทำงานช่วยบิดามารดาอยู่ตลอด บิดาท่าน ได้เคยเล่าให้ท่านฟังว่า ท่านคลอดมาจากท้องมารดา มีหนังบางๆ ห่อหุ้มตัวของท่านไว้ เหมือนไข่ บิดาของท่านจึงได้ฉีกหนังที่ห่อหุ้มตัวท่านออก แล้วก็นำมาปิ้งให้ท่านกินกับข้าว บิดาของท่านบอกว่าหนังที่ห่อหุ้มตัวท่านนั้นเป็นของดี และยังมีสายรกพันตัวท่านเป็นเหมือนจีวร ตอนคลอดออกมาด้วย พอท่านอายุได้๕ขวบ บิดามารดาจึงนำท่านไปถวายให้เป็นลูกของ หลวงพ่อจูม วัดบ้านดงถาวร เพราะบิดามารดาของท่านไปดูตำรากับหมอดู หมอดูบอกว่าท่านเป็นคนมีบุญบารมีมาเกิดให้นำท่านไปถวายพระสงฆ์ ให้เป็นลูกของพระพุทธศาสนา ถ้าไม่นำไปถวาย จะเกิดเคราะห์ภัย แก่ บิดามารดาของท่านเพราะ บิดามารดาบุญมีไม่พอเลี้ยงท่าน บิดามารดาเชื่อหมอดู จึงนำตัวท่านไปถวายพระสงฆ์ ตามที่หมอดูได้กล่าวมาเบื้องต้น หลวงปู่ท่านอายุได้๙ขวบ ท่านได้รับวิชาจากบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นอาจารย์ฆารวาส ชื่อ(ปู่แป้น) ท่านสามารถล่องหน หายตัว ย่นระยะทางได้ และท่านมีวิชาอาคมอีกหลายๆ ด้าน (ปู่แป้น) ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่มีอยู่ให้หลวงปู่จนหมดสิ้น ต่อมาบิดาของหลวงปู่ ถึงแก่กรรมเมื่อท่านอายุได้เพียง ๑๑ ปี
    การเรียนการศึกษาของหลวงปู่ ท่านไปเรียนไปศึกษาที่วัดมีพระสงฆ์ในวัดเป็นผู้สอนให้อ่านออกเขียนได้แค่เท่านั้น นอกนั้นท่านก็ศึกษาด้วยตัวเอง ตอนท่านไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายท่านก็หาหนังสือไปอ่านไปศึกษาด้วย
    ……………………………
    ชีวิตในวัยหนุ่ม
    เมื่อหลวงปู่อายุได้๒๐ปี ท่านตัดสินใจไปทำงานที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยรับจ้างทำนา อยู่ได้๒ปี จึงได้กลับมาที่บ้านเกิด แล้ว กลับมาช่วยหลวงพ่อจูม สร้างศาลาวัดบ้านดงถาวร อยู่ได้ ๒ ปี หลวงปู่จูม จึงบอกหลวงปู่ว่า ท่านควรมีคู่ครองได้แล้ว จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา ท่านจึงได้แต่งงานมีคู่ครอง กับ นางแน ทองหล่อ ณ บ้านกระโพธิ์ ต.ตูม อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ อยู่จนกระทั่งได้3เดือน ได้เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่บ้านตางมาง พอดีในตอนนั้นท่านก็กลับมาเยี่ยมญาติพี่น้องที่บ้านตางมางพักอยู่บ้านตางมางเป็นเวลา2เดือน พอมาถึงลุงของท่านได้นำควายที่ขโมยมาขายให้ท่าน 3 ตัว ราคา 500บาท โดยท่านไม่รู้เลยว่าควายที่ลุงมาขายให้โดนขโมยมา จนทางการติตดตามหา ท่านก็คิดหนีไปให้ไกลๆ ไม่ให้ถูกถูกทางการจับ พ่อดีท่านกำลังจะหนี ภรรยาของท่านก็ส่งข่าวมาบอกญาติพี่น้องทางบ้านตางมางให้มาบอกท่าน ว่าภรรยาของท่านตั้งท้องได้ 3 เดือนแล้ว (ในปัจจุบันนี้ลูกของภรรยาท่านที่ตั้งท้อง คือ นายไทย บุญภา) ภรรยาของท่านส่งข่าวมาบอกเพื่อไม่ให้ท่านหนีจากไป แต่ถึงยังไงท่านก็ยังไม่ล้มความคิดที่จะหนีไป พอญาติพี่น้องพูดจบ ท่านก็ตัดสินใจหนีไปที่วัดบ้านดงถาวรไปหาหลวงพ่อจูมพอถึงวัดบ้านดงถาวร พอเข้าไปกราบ หลวงพ่อจูมจึงถามหลวงปู่ว่า“ มาทำไม ”หลวงปู่จึงตอบว่า “ หลบหนีทางการมา” พร้อมกับเล่าเรื่องควายที่ซื้อมาให้ฟัง หลวงพ่อจูมก็บอกหลวงปู่ว่า ถ้างั้น พรุ่งนี้เช้าก็จะส่งค่ารถให้ไปทำงานทีสมุทรปราการ แต่วันนี้ก็พักอยู่นี้ก่อนคืนหนึ่ง และคืนนั้นหลวงพ่อจูมทำพิธีสักเลขยันต์ให้ไว้ป้องกันตัว สักที่ข้างขาสองและแขนสองข้างและสอนวิชาบางส่วนให้หลวงปู่ด้วย พอวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อจูมจึงส่งค่ารถหลวงปู่เพื่อเดินทางไปจังหวัดสมุทรปราการ
    พอไปถึงหลวงปู่ได้ไปรับจ้างทำนาอยู่ที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ต่อมามีเพื่อนชวนไปสมัครทำงานเป็นคนสวนอยู่ที่บ้านกิมหงษ์ ซึ่งต่อมาคุณหญิงกิมหงษ์ ได้ถวายที่ดินเพื่อสร้างวัดแด่ท่านพ่อลี ธมฺมธโรปัจจุบันเป็นที่ตั้งวัดอโศการาม วัดอโศการาม ตั้งอยู่ในซอยสุขาภิบาล ๕๘ ถ. สุขุมวิท (กม.๓๑) ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ. สมุทรปราการ เป็นวัดที่สร้างขึ้นโดย พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เดิมเรียกว่า นาแม่ขาว เจ้าของที่ดินคือ นางกิมหงษ์ และนายสุเมธ ไกรกาญจน์ ได้ถวายที่ดินให้สร้างวัดเนื้อที่ประมาณ ๕๓ ไร่ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๙๘ จึงได้เริ่มตั้งสำนักขึ้นเป็นครั้งแรก โดยให้พระลูกศิษย์ คือ พระครูใบฎีกาทัศน์ มาเฝ้าสำนักแทน พร้อมกับลูกศิษย์อีก ๕ รูป รวมมีพระที่สำนักนี้ในครั้งเริ่มตั้งจำนวน ๖ รูป ท่านพ่อลีได้เริ่มก่อตั้งสำนักสงฆ์เน้นวัตรปฏิบัติใน ทางธุดงควัตรอันสืบเนื่องจากท่านได้มีนิมิตว่าเป็นบริเวณ ที่บรรจุพระบรมธาตุ การที่วัดนี้ได้ชื่อว่าวัดอโศการาม เพราะท่านพ่อลีประสงค์จะให้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงคุณพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ของอินเดียที่ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนามายังแถบเอเชียโดยเฉพาะประเทศ ไทยท่านพ่อลีได้คิดตั้งชื่อวัดนี้ไว้ตั้งแต่ครั้งที่ท่านจำพรรษาอยู่ในตำบล สารนาถ เมืองพาราณสี เมื่อออกพรรษาและได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ เรียบร้อยแล้ว เป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ท่านพ่อลี จึงได้ออกไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม
    ………………………………
    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
    ในช่วงท่านพ่อลี มาอยู่ใหม่ๆ คุณหญิงกิมหงส์จึงให้หลวงปู่มาอยู่คอยอุปฐากท่านพ่อลี ธมฺมธโรซึ่งตอนนั้นท่านอายุได้ ๒๖ ปี อยู่อุปฐากท่านพ่อลีจนถึงอายุ ๒๘ปี ระหว่างอยู่กับท่านพ่อลีท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และท่านพ่อลีสอนการปฏิบัติภาวนาให้หลวงปู่ ท่านพ่อลีพูดย่ำอยู่เสมอว่า “ ภาวนาพุทโธแล้วก็ทำจิตให้มันละเอียด จงทำเอาจริงๆ ”
    หลวงปู่ท่านยังได้เห็นท่านพ่อลี นั่งอธิษฐานจิตเรียกพระบรมสารีริกธาตุ หลวงปู่ท่านได้เอาผ้าขาวปูไว้ให้ท่านพอลีได้นั่งภาวนาอธิษฐานจิตเรียกพระบรมสารีริกธาตุ หลวงปู่ท่านก็เห็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จลงมาจากท้องฟ้าลงมาเป็นเม็ดๆจนเต็มผ้าขาวที่ปูไว้ เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
    ต่อมาท่านพ่อลีได้ภาวนาเห็นนิมิตเป็นแสงสว่าง ผุดออกจากตัวหลวงปู่ ท่านจึงได้ชวนให้หลวงปู่บวช และได้ทำนายหลวงปู่ไว้ว่า ถ้าหลวงปู่บวชก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ จะเห็นธรรมเห็นจิตได้เร็ว แต่ถ้าหากหลวงปู่บวชหลังปี พ.ศ. ๒๕๐๐แสงนั้นจะค่อยหายไปทีละนิดเหลือเท่าแสงหิงห้อย อายุมากจึงจะได้เห็นธรรมเห็นจิตจะช้าหรือเร็ว หลวงปู่ก็จะได้เห็นธรรมเห็นจิตในชาตินี้ และชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแน่นอน ท่านพ่อลีพูดอีกว่า แต่ดูแล้วยังไงเจ้าคงไม่ได้บวชตอนนี้ดอก สิงห์ พอหลวงปู่ท่านกำลังคิดที่จะบวช ก็มีเหตุทำให้ท่านยังไม่ได้บวช
    ………………………………
    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
    จังหวะหลวงปู่สมชายท่านลง มาเยี่ยมท่านพ่อลี และมาเรียนปรึกษาท่านพ่อลีถึงเรื่องการสร้างวัด ว่าสมควรจะสร้างวัดที่ไหนถึงจะดี ท่านพ่อลีก็บอกให้สร้างที่ “ เขาสุกิม ”เพราะต่อไปเขาสุกิมจะเจริญ และมีผู้คนเข้ามาก
    หลวงปู่สมชายท่านได้พักอยู่กับท่านพ่อลี ๕ วัน จึงได้กราบลาท่านพ่อลีกลับวัดป่าคลองกุ้ง และหลวงปู่สมชายจึงบอกให้หลวงปู่ช่วยถือกลดถือย่ามไปกับท่านด้วย หลวงปู่ท่านก็ได้ช่วยถือกลดถือย่ามไปวัดป่าคลองกุ้งกับ หลวงปู่สมชาย เหตุนี้เองทำให้หลวงปู่ไม่ได้บวชอยู่กับท่านพ่อลี ทำให้หลวงปู่คิดเห็นคำท่านพ่อลีพูดว่าเจ้าคงยังไม่ได้บวชตอนนี้ดอก ท่านพ่อลีพูดไว้ไม่ผิดเลย ท่านต้องรู้อนาคต แน่นอน
    พอไปถึงวัดป่าคลองกุ้งหลวงปู่สมชายได้ให้หลวงปู่ไปพักที่กุฏิไม้หลังเก่าๆที่มีอาถรรพ์มาก กุฏินั้นแม้แต่พระก็ไม่กล้าไปพัก หลวงปู่สมชายเห็นว่าหลวงปู่เป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี จึงได้ลองดูว่าจะเก่งขนาดไหน จะมีความกล้าไหม พอคือแรกหลวงปู่เข้าไปพักกุฏิหลังนั้นโดนเจ้าที่เขย่ากุฏิให้สั่นทั่งคืน แต่หลวงปู่ท่านไม่กลัวและไม่ยอมออกไปไหนจนถึงเช้า พอวันรุ่งขึ้น หลวงปู่สมชายก็มาถามว่า เป็นไงบ้างพักกุฏิหลังนั้นเป็นคืนแรกเจอของดีไหม หลวงปู่ก็ตอบว่าเจอคับ หลวงปู่สมชายก็ถามต่ออีกว่าท่านกลัวไหม หลวงปู่ก็ตอบว่าไม่กลัวคับ สมแล้วที่เป็นศิษย์ท่านพ่อลีไม่กลัวอะไรเลยหลวงปู่สมชายพูด และหลวงปู่จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สมชาย และได้อยู่ฟังธรรมมะปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่สมชาย อยู่ได้ ๒ เดือน หลวงปู่จึงกราบลาหลวงปู่สมชายออกไปหาทำงานภาคใต้ ได้ไปทำงานอยู่เหมืองแร่ แถวภาคใต้นั้นจะเรียกหลวงปู่ว่า นายหัว อยู่จนกระทั่งอายุ ๔๐ ปี
    ………………………………

    กบร้องพุทโธ
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่หลวงปู่ยังอยู่ภาคใต้ คืนหนึ่งมีฝนตกหลวงปู่จึงได้ออกไปหากบเพื่อมาประกอบอาหาร พอไปถึงริมแม่แห่งหนึ่งชื่อว่า “ น้ำละอุ่น ”ก็เจอกบตัวใหญ่ตัวหนึ่ง หลวงปู่จึงหมายเข้าไปจับกบตัวนั้น พอมือท่านถึงตัวกบตัวนั้นมันก็ร้องออกมาว่า “ พุทโธ ”หลวงปู่จึงได้หวนคิดถึงพุทโธที่ท่านพ่อลีเคยสอนไว้ จิตท่านก็สงบเป็นสมาธิและสว่างไสวขึ้นในตอนนั้นท่านจึงปล่อยกบออกจากมือ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
    “ เจ้าร้องว่าพุทโธแล้ว เราคงจะฆ่าเจ้าไม่ได้ถ้าเราฆ่าเจ้าเราก็เป็นบาป ” หลวงปู่จึงเดินกลับไปที่พักแล้วก็คิดที่จะออกบวช ท่านคิดทบทวนอยู่ ๓ วันจึงได้ตัดสินใจออกบวช โดยท่านได้กลับมาบวชที่ จังหวัดสุรินทร์
    ………………
    สู่เพศพรหมจรรย์

    เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ หลวงปู่อายุครบ๔๐ ปี ท่านได้อุปสมบทที่วัดบ้านตรึมตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีหลวงพ่อลา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจูม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังกัดมหานิกาย
    พรรษาแรก ถึงพรรษาที่๕อยู่วัดบ้านดงถาวรกับหลวงพ่อจูม ได้อยู่ศึกษาแนวทางการเจริญสมาธิและวิชาอาคมต่างๆ จนกระทั่งพรรษาที่ ๖ –๗ ได้มีโยมมานิมนต์มาสร้างวัดบ้านโพธิ์ศรีธาตุ ตำบลเกาะแก้วอำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ในช่วงที่สร้างวัดโพธิ์ธาตุอยู่นั้น หลวงพ่อจูม วัดบ้านดงถาวรได้มรณภาพลง วัดบ้านดงถาวรก็ไม่มีพระรูปไหนอยู่ได้เพราะผีดุมาก พระรูปไหนไม่สวดมนต์ทำวัตร โดนผีลากลงกุฏิหมด ชาวบ้านจึงมานิมนต์หลวงปู่วิเชียร ไปอยู่วัดบ้านดงถาวร เพื่อแผ่เมตตาให้ผีไปเกิด หลวงปู่ก็รับนิมนต์ แต่ก็ไม่อยากทิ้งวัดโพธิ์ศรีธาตุเพราะกำลังสร้าง หลวงปู่ก็เลยไปอยู่วัดบ้านดงถาวรเฉพาะตอนกลางคืน พอตอนกลางวันก็มาอยู่วัดโพธิ์ศรีธาตุทำอย่างนี้เป็นเวลา๑เดือน จนวัดบ้านดงถาวรสงบลงไม่มีผีออกมาอาละวาดอีก หลวงปู่ก็กลับมาอยู่วัดโพธ์ศรีธาตุเหมือนเดิม พรรษาที่ ๘หลวงปู่ได้จารึกธุดงค์บริเวณป่าดงดิบแถวภาคใต้ ถ้าพูดถึงป่าดงดิบก็ย่อมมีสัตว์อาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ก็ย่อมมีอาศัยอยู่มาก เพราะเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ หลวงปู่ท่านก็ได้เจอกับสัตว์ใหญ่ในป่าดงดิบที่ท่านธุดงค์เข้าไปหาที่วิเวกสำหรับภาวนา เรื่องมีว่าท่านเข้าไปในป่าดงดิบเพื่อหาที่สงบๆภาวนา เมือหาที่เหมาะๆได้แล้ว ท่านก็ปักกลดนั่งภาวนาอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงช้างตกมันร้อง เสียงช้างก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่หลวงปู่ก็ไม่วิตกกลัวแต่อย่างใด จนช้างวิ่งเข้าใกล้ถึงหน้ากลดท่าน แล้วช้างมันเตะก้อนดินใส่กลดท่านก็ไม่ตกใจกลัวเลย หลวงปู่ท่านแผ่เมตตาให้ พอท่านแผ่เมตตาจบ ช้างก็หยุดเตะก้อนดินใส่ แล้วจากมันก็ไป พอช้างไปแล้วท่านก็ภาวนาต่อ ท่านอยู่ในป่าดงดิบได้คืนหนึ่งแล้ว ก็เดินออกจากป่า แล้วก็เดินธุดงค์ไปที่วัดละอุ่นใต้ อำเภอละอุ่นใต้ จังหวัดระนอง หลวงปู่จึงได้เจอกับหลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ และหลวงพ่อจำเนียรได้พาหลวงปู่ธุดงค์ตามป่าเขาใน อำเภอเขาโต๊ะ ออกจาก อำเภอเขาโต๊ะจึงได้ธุดงค์ไปเขาทะลุ อำเภอเขาทะลุ จังหวัดชุมพร ออกจากเขาทะลุแล้วเดินธุดงค์ อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา และเจอพ่อท่านเฟื่องแห่งวัดทับปุด จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์พ่อท่านเฟื่อง และหลวงปู่ได้จำพรรษาที่วัดทับปุดเพื่อเรียนวิชาอาคมต่างๆ และวิชายาสมุนไพรรักษาโรคกับพ่อท่านเฟื้องอยู่
    ๑พรรษา จึงได้กราบลาพ่อท่านเฟื้องไปจารึกธุดงค์ ท่านได้ธุดงค์ไปที่เขาทับปุดไปร่วมงานปฏิบัติธรรมที่ได้จัดขึ้นประจำทุกปี
    ………………………………

    หลวงปู่ชา สุภัทโธ
    หลวงปู่ท่านไปถึงเขาทับปุด ท่านก็ได้ร่วมธรรมะฟังเทศนาทีหลวงปู่ชาขึ้นเทศวันนั้น พอหลวงปู่ชาท่านเทศจบแล้ว หลวงปู่ชาเดินเข้ามาหา แล้วพูดว่า “ ผมนั่งภาวนาอยู่วัดหนองป่าพง เห็นแสงสว่างของจิตท่านส่องมาถึงผม ผมเลยมาตามหาท่าน ” หลวงปู่ชาจึงถามหลวงปู่ว่าบ้านเกิดท่านอยู่ที่ไหน หลวงปู่ตอบว่า “ อยู่สุรินทร์ครับ ”หลวงปู่ชาก็พูดขึ้นอีกว่า “ ท่านมาอยู่ทำไมที่นี้ กลับไปที่อีสานบ้านเราเถอะที่สุรินทร์มีก็พระอรหันอยู่นะ หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่สาม นั่นก็ใช่” หลวงปู่จึงตามหลวงปู่ชากลับไปวัดหนองป่าพง ต.โนนโหนน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี หลวงปู่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และ ปฏิบัติกรรมฐานฟังธรรมคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโธ จนกระทั่งคืนสุดท้ายที่ท่านได้อยู่วัดหนองป่าพงก็เป็นระยะเวลาสองเดือนท่านได้นั่งภาวนาเห็นนิมิตว่ามารดาท่านป่วยหนักจะสิ้นลม(เสียชีวิต)เวลาสองทุ่มของคืนวันพรุ่งนี้ พอรุ่งเช้าของวันต่อมาเก็บบาตรเก็บกลดกราบลาหลวงปู่ชา กลับมาที่บ้านตางมาง ตำบลเกาะแก้ว อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ท่านกลับมาถึงบ้านตางมางเป็นเวลาสองทุ่ม มาดารของท่านก็สิ้นลมพอดี ตรงกับนิมิตที่ท่านเห็นที่วัดหนองป่าพงก่อนที่มารดาจะสิ้นลมคืนหนึ่ง หลวงปู่ก็อยู่ช่วยงานฌาปนกิจศพจนเสร็จสิ้น ต่อมาก็มีโยมบอกหลวงปู่ให้ไปฝึกกรรมฐานแบบสัมมาอรหังทีวัดปากน้ำภาษีเจริญ
    หลวงปู่ท่านจึงได้เดินทางไปวัดปากน้ำภาษีเจริญ ไปตามที่โยมบอกไว้ พอถึงวัดปากน้ำภาษีเจริญ หลวงปู่ได้ฝึกกรรมฐานแบบสัมมาอะระหัง หลวงปู่ท่านภาวนาสัมมาอะระหัง อยู่๑เดือนจิตก็ไม่ความมีความก้าวหน้าขึ้น ท่านคิดว่ากรรมฐานนี้ไม่ตรงกับจริตตน จึงออกจากวัดปากน้ำภาษีเจริญ เดินทางไปวัดพนมพนาวาส ตำบลคลองขุด อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อไปอยู่ปฏิบัติภาวนาทำกรรมฐานที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนไว้เพื่อตัดกิเลสให้หายคลายกิเลสให้ออกจากจิตใจ หลวงปู่ได้อยู่ปฏิบัติภาวนาจนกระทั่งได้ ๓ เดือน ท่านตัดกิเลสให้หายคลายกิเลสให้ออกจากจิตใจยังไม่ได้ ทำได้แค่จิตสงบ สว่าง และละเอียดขั้นหนึ่งเท่านั้น
    หลวงปู่จึงตัดสินใจออกเดินทางมาที่ วัดไตรวิเวก ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์มาฝากตัวเป็นศิษย์เพื่ออยู่ปฏิบัติกรรมฐานกับ หลวงปู่สาม อกิญฺจโน
    ………………………………
    รับโอวาทหลวงปู่สาม อกิญฺจโน
    พอหลวงปู่มาถึงวัดไตรวิเวก ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่จึงได้เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่สาม อกิญฺจโน และหลวงปู่ได้เรียนถามหลวงปู่สามว่า“ ทำยังไงครับถึงจะเห็นจิต ”ท่านหลวงปู่สามกล่าวว่า “ ก็ทำจิตให้เป็นหนึ่ง แล้วหยุดเพ่ง ปล่อยวางทั้งหมด แต่ถ้ายังติดสุขในสมาธิก็อยู่แค่นั้น มันก็ได้แค่นั้นแหละ ยังไม่เกิดปัญญา ที่จะสามารถตัดภพตัดชาติได้ ให้ละสุขนั้นเสียก่อน มันถึงจะเห็นจิต ”
    เมื่อหลวงปู่สามให้โอวาทแล้ว หลวงปู่จึงได้หาที่นั่งใต้ร่มไม้ในวัดเพื่อพักภาวนา พอหลวงปู่นั่งพักภาวนาอยู่ร่มไม้ ก็มีพระในวัดรูปหนึ่งมาพูดบอกว่า หลวงพ่อคืน ปสันโน รู้จักดูจิต รู้จักบอกวิธีทำให้จิตเป็นหนึ่งได้ หลวงปู่จึงถามพระรูปนั้นว่า ตอนนี้หลวงพ่อคืนอยู่ไหน พระรูปนั้นตอบว่า ตอนนี้หลวงพ่อไปธุดงค์ตามชายแดนกัมพูชา อีก๒วันก็กลับมาวัดไตรวิเวก กล่าวถึงหลวงพ่อคืน ปสันโน ท่านก็เป็นศิษย์หลวงปู่ดูลย์เช่นกัน แต่ได้ศึกษาปฏิบัติข้ออรรถข้อธรรมก่อนหลวงปู่วิเชียร
    หลวงพ่อคืนแนะเรื่องจิต
    มาต่อกันที่เรื่องหลวงพ่อคืนแนะนำเรื่องจิตให้หลวงปู่วิเชียร พอถึง ๒ วัน หลวงพ่อคือก็กลับมา หลวงปู่จึงเข้าไปถามหลวงพ่อคืนว่า“ ทำยังไงถึงจะเห็นจิต ”
    หลวงพ่อคืนตอบว่า “ ไม่ยาก ”
    หลวงปู่ถามหลวงพ่อคืนอีกว่า“ ทำยังไงถึงว่าไม่ยาก ”
    หลวงพ่อคืนตอบว่า “ ก็ภาวนาพุทโธยั่ว ”
    หลวงปู่พูดบอกหลวงพ่อคืนว่า “ ผมก็ภาวนาพุทโธเหมือนกัน ”
    หลวงพ่อคืนก็พูดขึ้นว่าพุทโธของท่านมันเป็นพุทโธทำให้จิตสงบแค่เท่านั้น มันยังทำให้จิตเป็นหนึ่งเป็นกลางพุทโธยั่วอันนี้แหละทำได้ ” โดยให้ทำดังนี้
    หายใจเข้าพุทไปสุดตรงไหนก็ให้รู้
    หายใจออกโธไปสุดตรงไหนก็ให้รู้
    ลมหายใจจะเข้าจะออกตรงไหนก็ให้รู้
    มีความรู้สึกรู้อยู่ตลอดเวลา
    หลวงพ่อคืนแนะเรื่องจิต
    หลวงปู่จึงบอกหลวงพ่อคืนว่า“ ถ้ารู้อย่างนี้ ทำได้คืนนี้แหละ ”
    หลวงพ่อคืนก็พูดขึ้นว่า“ ถ้าทำได้คืนนี้ก็ดี”
    อัศจรรย์ในธรรม
    พอหลวงปู่ได้ถามวิธีกรรมฐานกับหลวงพ่อคืนแล้ว หลวงปู่จึงกลับไปที่กุฏิ และได้เริ่มทำกรรมฐานที่หลวงพ่อคืนพูดบอก จนเป็นเวลา๒ชั่วโมงหลวงปู่จึงได้เห็นจิตสว่างไสวขึ้น ไปทั่ว๓แดนโลกธาตุ จิตก็เป็นหนึ่งเป็นกลางต่อทุกสิ่ง เหมือนที่หลวงปู่สามบอกไว้ว่า“ ทำจิตให้เป็นหนึ่งเป็นกลางจึงจะเห็นจิต แล้วสามารถตัดภพตัดชาติได้ ”สักพักหนึ่งเสียงหลวงพ่อคืนก็ดั้งขึ้นว่า “ พระองค์นั้นเห็นจิตแล้ว ได้ธรรมอันวิเศษแล้ว ” ต่อมาหลวงพ่อคืนจึงออกจากวัดไตรวิเวกไปสร้างวัดป่าบวรสังฆาราม หลวงพ่อคืนได้บอกหลวงปู่ว่าอย่าพึ่งไปไหนให้อยู่วัดไตรวิเวกเพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติกับ หลวงปู่สามก่อน หลวงปู่จึงอยู่วัดไตรวิเวกเพื่อศึกษาข้อวัดปฏิบัติกับ หลวงปู่สาม แต่ถ้าวันไหนว่างๆ หลวงปู่ไปเยี่ยมหลวงพ่อคืนอยู่บ่อยๆ
    จนกระทั่งวันหนึ่งฉันเช้าเสร็จแล้วจึงได้เดินไปเยี่ยมหลวงพ่อคืนที่วัดบวรสังฆาราม แต่วันนั้นมีพระไตรวิเวกไปด้วยหลายรูป พระที่เดินไปด้วยนั้นก็คุยกันว่า ถ้าหากหลวงปู่วิเชียรได้จิต เห็นจิตจริงๆ เดินไปครั้งนี้ปู่รอดเห็นหลวงปู่แล้วมากราบก็แสดงว่า หลวงปู่ได้จิต เห็นจิตจริงๆ พอหลวงปู่เดินไปปู่รอดเห็นหลวงปู่ก็เดินเข้ามากราบทันที พระที่เดินไปด้วยนั้นก็ได้คำตอบ ว่าหลวงปู่ได้จิตเห็นจิต และได้ธรรมอันวิเศษจริงๆ
    ………………………………
    กราบนมัสการหลวงปู่ดูลย์อตุโล
    ในช่วงนี้เองหลวงปู่ก็ได้เข้ากราบนมัสการหลวงปู่ดุลย์ พระผู้ใหญ่ในศิษย์(พระอาจารย์มั่นภูริทัตโต)หลวงปู่ก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ดูลย์(และได้เข้ารับโอวาทธรรมอยู่ทุกอาทิตย์)ทำเช่นนั้นจนถึงพรรษาที่13ปี พ.ศ.2526

    หลวงปู่ญัตติธรรมยุติ

    ปีนั้นเป็นปี พ.ศ.2526 พรรษา13เป็นช่วงเวลาที่หลวงปู่ดูลย์ เข้ารับการรักษาตัว อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช หลวงปู่ดุลได้บัญชาคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ ในขณะนั้นว่าให้รีบทำการญัตติพระมหานิกาย องค์เล็กๆนั้นให้เร็วที่สุด โดยหลวงปู่ดูลย์ได้มอบผ้าไตรและบริขารในการญัตติให้ หลวงปู่วิเชียร และหลวงปู่ดูลย์ ได้พูดบอกคณะสงฆ์ที่เดินทางไปเยี่ยมอาการอาพาธของท่านที่โรงพยาบาลศิริราชว่า
    “ พระมหานิกายตัวเล็ก (หลวงปู่วิเชียร )นั้นแหละ เป็นพระแท้ เพราะท่านเห็นจิตแล้ว ต่อไปในภายภาคหน้า พระองค์เล็กๆนี้ ( หลวงปู่เชียร ) จะดังไปทางโน้นไม่เชื่อค่อยดู ”
    และหลวงปู่ดูลย์ ท่านยังได้บอกหลวงปู่วิเชียร ไว้อีกว่า “ ถ้าเครื่องบินผ่านมา ท่านอย่ามองโดยใช้จิตเพ่งเด็จขาด ถ้าเอาจิตไปเพ่งเครื่องบินจะตก มันจะเป็นบาปเพราะคนจะตายเยอะ ถ้าท่านมองก็มองเฉยๆ เพราะพลังจิตของท่านมันแรงมาก ”
    ………………………………

    พรรษาแรกในฝ่ายธรรมยุติ
    พรรษาแรกของหลวงปู่ในฝ่ายธรรมยุติ หลวงปู่ดุลย์ได้ให้หลวงปู่ไปจำพรรษาอยู่วัดไตรวิเวกกับ หลวงปู่สาม อกิญฺจโน
    พรรษา ๒ หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่วัดบวรสังฆารามกับ หลวงพ่อคืน ปสนฺโน ในพรรษานี้มีหลวงพ่อกิมทีปธมฺโมร่วมจำพรรษาด้วย และหลวงพ่อกิมได้ดูอดีตชาติให้ หลวงปู่ ว่าหลวงปู่ได้บำเพ็ญเป็นฤษีมา๗ชาติ และชาติเป็นนี้เป็นชาติสุดท้ายของหลวงปู่
    พรรษา ๓ได้กลับมาบ้านเกิด มาสร้างวัดป่าหนองคูโบสถ์ โดยมีหลวงปู่สามเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น และต่อมาหลวงปู่สามได้มอบหมายให้หลวงปู่วิเชียรอยู่เป็นจ้าอาวาสมาถึงปัจจุบัน
    ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๔๘ มีโยมมาถวายที่สร้างวัดสีหะลำดวน หลวงปู่จึงนำคณะศรัทธาสร้างถาวรวัตถุมากมายในวัดสีหะลำดวนจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๗ปัจจุบันนี้
     
  8. ภควา

    ภควา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +14
    19/11/57เวลา 19.36 น.ได้ร่วมบุญค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่สิงห์-หลวงตาวิเชียร-จำนวน 100 บาท ครับขอให้หลวงปู่หายป่วยไวๆ
     
  9. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    คุณ Nutt Teeragul ร่วมบุญค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่สิงห์-หลวงตาวิเชียร-จำนวน 300 บาท

    อนุโมทนา สาธุ
     
  10. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะคุณmahasap
     
  11. วาสุเทพ

    วาสุเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +5,174
    ร่วมบุญ 1,000 บาท
    โอนแล้วครับ 21-11-2014 20:08:20
     
  12. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะคุณวาสุเทพ
     
  13. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ร่วมบุญค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่สิงห์(วิเชียร) ธมมสาโร จำนวน 300 บาท


    อนุโมทนา สาธุ
     
  14. comsci17

    comsci17 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +25
    อภิวิชญ์ เจษฎาพรพันธุ์และครอบครัว ร่วมบุญอุปัฏฐากหลวงปู่สิงห์ จำนวน 550 บาท ขอให้ธาตุขันธ์ท่านแข็งแรง และขอร่วมอนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    สาธุค่ะคุณอภิวิชญ์ เจษฎาพรพันธุ์และครอบครัว
     
  16. ีudomsuk

    ีudomsuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +111
    ร่วมถวายปัจจัยด้วย 500 บาทครับ
     
  17. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะคุณodudomsuk
     
  18. nanbatakeshi

    nanbatakeshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    19,075
    ค่าพลัง:
    +20,801

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ สาธุๆๆๆอนุโมทนามิ
     
  19. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    คุณ รรดา ร่วมบุญค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่สิงห์(วิเชียร) ธมมสาโร จำนวน 1000 บาท

    อนุุโมทนา สาธุ
     
  20. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    คุณTUY ร่วมบุญค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่สิงห์(วิเชียร) ธมมสาโร จำนวน 200 บาท

    อนุุโมทนา สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...