ตั้งสติกำหนดรู้ สัญญา แยกสัญญาออกจากจิตนี่ทำได้ใช่ไหม ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 1 กรกฎาคม 2015.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตรรกศาตร์ หรือฮับ !?

    งั้นขอถามว่า อนาคามีอะไรนั่น มีไหมที่นั่งนิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก ไม่ฮือ ไม่อือ
    ไม่ต้องอี้ ไม่ต้องเอี้ยว เกิน7วัน เกิด7เดือน เกิน7ปี

    ถ้าไม่มี แล้วอะไร มันเกิด .....ไหนว่า ดับ !!

    เข้าใจเกิด ดับ ผิดๆ แบบ ตรรกศาตร์ ก็ งง อยู่วันยันค่ำ

    เดี๋ยว อ๋อ เดี๋ยวไม่ อ๋อ

    ทำไม มันเดี๋ยวอ๋อ เดี๋ยวไม่อ๋อ หากไม่กำหนดรู้ ความเกิดดับ ให้เป็น ก็ งง อยู่วันยันค่ำ
     
  2. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เพราะทำได้ครับ เลยตอบได้ครับลุงเอกวีร์
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอางั้นเลยเนาะ

    แปลว่าอะไร


    แปลว่า แพลมออกมา เพื่อ จะได้เปิดเผย อะเป่า

    หมายเอาไว้ ให้สัญญามันหมายๆเอาไว้ สำคัญเอาไว้ แล้ว หยอด โน้น นั่น นี่
    ลงไป เพื่อว่า ใครมาทัก จะได้ดีใจ ปล่อยให้สิ่งที่หมายๆ เอาไว้ สำคัญตนเอาไว้
    มัน จุกกรู้ออก มา
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สมมติ ละกัน สมมติว่า กล่าวออกมา เพราะทำได้ นะ

    อนาคามี จิตส่วนใหญ่ เป็น สมาธิ อยู่ในวิหารเป็นปรกติ

    ถามว่า ที่จิตมันทรงอยู่ในสมาธิ อาศัย เวทนาดับ หรือ เวทนาตั้งอยู่ ปักอยู่ฮับ !?
     
  5. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    อนาคามี รูป เวทนา สัญญา สังขาร ยังไม่ดับ

    แต่อารมณ์ของรูป อารมณ์ของเวทนา อารมณ์ของสัญญา อารมณ์ของสังขาร ดับสนิท....ที่จะเป็นเชื้อให้ วิญญาณ(ความรู้สึกในอารมณ์)ไปยึด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อวิญญาณ(ผู้รู้หรือความรู้สึกในอารมณ์)ไปเกาะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ปับ โดยการถูกชักจุงจากผัสสะทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เนื่องจาก อารมณ์ของรูป อารมณ์ของเวทนา อารมณ์ของสัญญา อารมณ์ของสังขาร มันไม่มีแล้ว มันดับสนิทแล้ว วิญญาณผู้รู้จึงไม่มีที่เกาะ พอผัสสะทั้ง 5 หมดไปปับ....วิญญาณ(ผู้รู้)จึงมาอยู่ที่จิตอย่างเดิม

    แต่วิญญาณ(ผู้รู้)นั้นก็ยังมีอารมณ์เหมือนกับ รูป เวทนา สัญญา สังขาร เพราะเป็นขันธ์ที่เกิด-ดับเหมือนกัน......ถ้าอารมณ์ของวิญญาณดับสนิทเมื่อไหร่

    ......................................จิตก็เป็นอิสระ..................................ทันทีจึงสำเร็จเป็นอรหันต์...........อวิชชาก็คืออารมณ์ของวิญญาณนั่นเอง หมดอวิชชา จิตก็บริสุทธิ์ถึงที่สุด.....จิตก็เห็นพระนิพพานเต็ม100% พระนิพพานไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ที่จิตนั่นเอง แต่เพราะจิตมันโง่มันจึงไม่เห็นนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กรกฎาคม 2015
  6. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    เวทนาไม่ดับ หรือตั้งอยู่ ถ้าเวทนาดับ พระอนาคามีก็ไม่ต้องปวดต้องเจ็บแล้วซิ แต่อารมณ์ของเวทนาต่างหากที่ดับ เมื่ออารมณ์ตัวยึดของเวทนาดับ ผู้รู้ไปรู้เวทนา จึงรู้เฉยๆๆ หรือตั้งมั่นอยู่ เป็นสมาธิอยู่เฉยๆๆไม่ทุกร้อนใดๆๆ...โดยไม่ต้องเข้าฌานนั่งสมาธิ....แต่จาว่าไม่มีฌานก็ไม่ได้ มีฌานแต่เรียนว่าฌานใช้งาน....ตามที่หลวงพ่อฤาษีเพิ่นว่า ฌานใช้งานไม่ต้องไม่นั่งเข้าสมาธิ
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เคยได้ยินคำว่า วิญญาณเป็นอาหารให้วิญญาณไหมฮับ

    คือ วิญญาณย้อนกลับไปรู้วิญญาณเองเนี่ยะ วิญญาณก็จะไพบูลย์ การตั้งขึ้น
    ของวิญญาณก็จะเกิดขึ้น ภพชาติเกิดขึ้น ชาติ ชรา มรณะเกิดขึ้น หากเอา
    วิญญาณไปรู้อยู่ที่วิญญาณ วนอยู่อย่างนั้น ......แล้วเข้าใจว่าเป็น วิมุตติ

    ก็ต้องกราบขออภัยที่จะกล่าวว่า ธรรมเพื่อความเป็น โสดาบันยังหาไม่เจอเลย

    แล้วจะเอาอะไรไป อิสระ อ้างว่า มีวิมุตติ
     
  8. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    การที่จาเป็นอรหันต์ มันก็ต้องเอาวิญญาณไปรู้อยู่ที่วิญญาณอยู่ดี แล้วมันจาดับวิญญาณได้อย่างไง ครับท่าน กวีเอกร์เมื่อดับวิญาณได้ ก็จาถึงซึ่งความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ..แล้วการเป็นอรหันต์ของกวีเอกทำอย่างไร
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กราบขออภัยทางเว็บนะฮับ การย้อยแย้งนี่ เพือนสมาชิก ไม่สามารถ ระงับกิเลสได้
    จึงได้ กล่าวชือตัวบุคคล เพือหวัง....จะเอา ธรรมคนอื่นมาประดับ ตบตาตน จึงอาจจะ
    ทำให้ การย้อนแย้งนี้ กลายเป็นเรื่อง ปรามาสคำสอน

    ตรงนี้ ใครเอาธรรมเป็นใหญ่ จะทราบอยู่แล้วว่า หากเพื่อนสหธรรมิก ระงับตัณหา
    ตนไม่ได้ อ้างชื่อครูบาอาจารย์ ให้ วางอุเบกขา และ ถือการกล่าวชื่อนั้น เป็นเรื่อง
    โมฆะ ว่างเปล่า


    ****************

    ต่อไปเป็นการ ย้อนแย้ง ที่ไม่เกี่ยวกับ การปรามาส คนหน้าไหนทั้งนั้น แม้กระทั่ง ผู้เสวนา


    เอาเป็นว่า ยอมรับว่า การที่จิตไปเสพสมาธิ เข้าสู่รูปภูมิ อรูปภูมิ ไม่อิสระจาก โยคะ

    โดนโยคะ ย้อมติดจิต นั่นคือการ ตั้งขึ้นของเวทนา มันกุมจิต มันชักพาจิต ส่งออกนอก

    ถามว่า เวทนานั้นเกิดขึ้น เพราะ จิตดวงนั้นมีภูมิความรู้ หรือ โดนอวิชชามัน
    ครอบงำ ไร้สติ กันแน่ !!

    อนาคามี จึงมีจิตวนเวียนอยู่ใน รูปภพ อรูปภพสังโยชน์ อย่างเลี่ยงไม่ได้

    เพราะ ขาดความรู้ หรือ พูดตรงๆว่า เป็นอนาคามีก็เพราะยังมีอวิชชา ไม่อิสระแต่อย่างใด
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อีกนัยหนึ่ง

    จิตที่วิ่งเข้าสู่ความเป็นโยคะ ไม่เกษมจากโยคะ โดนโยคะร้อยรัดพันธนาการไว้

    โดนรูปฌาณ อรูปฌาณ ร้อยรัดเป็นสังโยชน์เอาไว้ สิ่งนี้ คือ วิบากจิต

    หมายถึง อนาคามี ไม่สามารถไปดับ วิบากผล ที่ กรรมเวร กำลังให้ผลได้

    ยังไม่รู้หนทางออก จึงอนุโลม ปฏิโลมไปตาม โยคะ ที่ร้อยรัดจิต ที่อวิชชา หรือกรรมมันให้ผล

    ไม่อาจะ พ้นสังสารวัฏได้
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่าถามผม จิฮับ

    ให้ เผ้นธรรมจาก ที่พระพุทธองค์ ทรงประทาน อุบาย ไว้ให้

    วิญญาณ ไปรู้ วิญญาณ มันกลายเป็น รูปฌาณอย่างหนึ่ง เป็นของชาวบ้าน
    ไม่ต้องรอพระพุทธองค์มาชี้อุบาย เขาก็กำหนดรู้ วิญญาณไปรู้วิญญาณได้
    กันอยู่แล้ว

    กว่านี้มีอีก

    สมณะ พรามณ์บางจำพวก ก็เพิกการเอา วิญญาณไปรู้วิญญาณ ได้ ด้วย
    การตรึกในเรื่องนอกแนว ไม่เป็นไปเพื่อสิ้น วิภวตัณหา ไปปล่อยให้ วิภวัตัณหา
    นำพาไปเข้าใจผิด การปล่อยวิญญาณ อันนี้เขาก็ทำกันได้

    ทีนี้

    อุบายของพระพุทธองค์ ตรัสบอกว่า ทุกครั้งที่ วิญญาณเกิด เวทนาย่อมเกิดร่วมด้วย

    การกำหนดรู้ เวทนาเกิด เวทนาดับ หากยกขึ้นพิจารณาได้ การเห็นตามความ
    เป็นจริงบางประการ จะเกิดขึ้น ความเป็น โสดาปฏิยังคะ จะเกิดขึ้น

    จะทราบด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ถึง ธรรมชาติที่ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดจาก กรรมวิบาก
    มันตามมาให้ผล

    ซึ่งถ้าเข้าใจ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคประทานไว้ให้ ปฐมฌาณ ก็เพียงพอแล้วแก่การกำหนดรู้ทุกข์ เจริญมรรค นั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2015
  12. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    กวีเอกร์ คิดเยอะไปเปล่า...เรายังไม่อะไรกวีเอกร์เลยนะ....คำถามที่ถามนั้นลองถามภาษาง่ายๆๆหน่อยซิ เพราะบางทีธรรมมะอาจจะเหมือนกัน แต่เพราะเราอ่านตีความหมายของคำถามไปอีกรูปแบบหนึ่งเพราะคำถามมันงง.....เวทนานั้นเกิดขึ้น เพราะ จิตดวงนั้นมีภูมิความรู้ หรือ โดนอวิชชามัน
    ครอบงำ ไร้สติ กันแน่ !! งั้นเราก็จาอธิบายสตายเราก็ไม่รู้ว่ากวีเอกร์จาเข้าใจสตายเราหรือเปล่า หรือต่างคนต่างไม่เข้าใจสตายกันก็ได้

    เวทนาก็ตัวนึง

    วิญญาณก็ตัวนึง

    จิตก็ตัวนึง....วิญญาณไม่ใช่จิต...จิตก็ไม่ใช่วิญญาณ

    เวทนานั้นเขาก็มีอารมณ์ของเขา เปรียบเหมือนคนนึงคนที่มีอารมณ์

    วิญญาณเขาก็มีอารมณ์ของวิญญาณเหมือนกัน

    จิตไม่มีอารมณ์จิต แต่จิตมีอวิชชาจิตจึงยึดติดตัววิญญาณ วิญญาณไปไหนจิตไปที่นั่น

    คำถามเวทนาน่ะไม่เข้าใจ แต่อนาคามีน่ะเข้าใจ ที่เกิดอรูปภพเพราะ
    1.อารมณ์ของเวทนาหมดแล้ว
    2.แต่อารมณ์ของวิญญาณยังมีอยู่ เพราะอารมณ์ของวิญญาณนี่ล่ะจิตจึงวนเวียนอยู่ในภพ รูป เพราะจิตมันยังมีอวิชชา มันยังยึดอารมณ์ของวิญญาณอยู่...


    เอ้อย...กว่าจาตอบได้ เล่นอ่านซะ 10 รอบ
     
  13. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    ไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นอนาคามีแล้ว มันก็จาเฉยๆๆใช่ไหม หรือว่าเฉยๆๆนั้นคือเวทนา...แล้วก็ดูว่าเดี๋ยวเฉย เดี๋ยวไม่เฉย
     
  14. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ที่บอกว่าเวทนากับสัญญาขาดนั้น
    ไม่ได้ขาดแบบขาดสูญครับ
    แต่เวลาใช้ชีวิตจะมีอนุสติอยู่แต่ไม่บอกว่าอะไร
    อีกอย่างเวลาภาวนาสัญญาและเวทนาจะไม่มากวนเราอีก
    ไม่ใช่ขาดสูญแบบนั้น
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ต้อง อ่านกัน 10 รอบทั้งคู่ แหละฮับ

    โดยเฉพาะ การใช้ ภาษาว่า " อารมณ์ของเวทนา " " อารมณ์ของ.... "

    ซึ่ง ก็มา ลงเอยเอาตรงนี้ ตรงที่ว่า อารมณ์ที่คุณใช้ คุณหมายถึง อารมณ์
    ของอุปทานขันธ์ที่มันกุมจิต พูดง่ายๆ คุณเทียบอารมณ์ของคน

    พูดอีกแง่ว่า ก่อนคุณจะทำความเข้าใจ ขันธ์5 คุณไป ตั้งอัตวาทุปาทาน
    ขึ้นมาก่อน หลังจากนั้น ก็กล่าวว่าสิ่งนั่นมีอารมณ์ เป็นเจ้าของอารมณ์ หรือ
    มีอารมณ์เป็นตัวระบุว่ามีสิ่งนั้น สิ่งนี้

    เวทนาจะมีได้ ก็ต้อง มีอารมณ์เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา
    หรือ เวทนามีขึ้นแล้ว อารมณ์ของเวทนาจะต้องมี

    ซึ่ง มันเป็นอะไรที่ ..........เละยิ่งกว่า สังขยะ

    อารมณ์ ในทางพุทธศาสนา หมายถึง มันเป็น วัตถุ และ มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้

    เหมือน เอาแก้วมาวางใบหนึ่ง ตาไปเห็นแก้ว แก้วนั้นคืออารมณ์ของตา
    แต่ ตาไม่ได้เป็นเจ้าของแก้ว และ แก้วก็ไม่ได้เป็นเจ้าของตา

    การเรียนธรรม โดยเฉพาะ ปรัมตถ์ หากยัง ตั้งธง มีอัตตา ตัวตนนำหน้า
    มันจะเลี่ยง ทิฏฐิไปในทำนอง การเป็นเจ้าของ การปรารภแบบสัญญาวิปลาส
    เกิดอัตตวาทุปาทานไม่ได้

    ข้างบนนั้น เป็นการอธิบาย การใช้ศัพท์ ออกแนวอธิบายใช้ศัพท์ และ
    แสดง เหตุปัจจัยของสัญญาวิปลาสพอแก่เหตุ คุณอ่านไม่เข้าใจ ก็ไม่
    จำเป็นต้องอ่าน ใช้ อารมณ์ ในความหมายเดิมที่คุณใช้ ก็ได้ เพราะ
    ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับ ธรรมะ

    ****************

    มาดู หัวข้อตรงนี้ก็พอ

    คุณกำลังบัญญัติ การตั้งขึ้นของวิญญาณ โดยปราศจากเวทนาเกิดร่วมเสมอ

    1.อารมณ์ของเวทนาหมดแล้ว
    2.แต่อารมณ์ของวิญญาณยังมีอยู่ เพราะอารมณ์ของวิญญาณนี่ล่ะจิตจึงวนเวียนอยู่ในภพ รูป เพราะจิตมันยังมีอวิชชา มันยังยึดอารมณ์ของวิญญาณอยู่

    ซึ่งมัน ขัดกับ พุทธบัญญติ อุปมา วิญญาณ กับ เวทนา เหมือน ไม้กระดานสอง
    อันพิงกันตั้งอยู่ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่ฐานะจะเป็นไปได้

    ลองเอาไป สอบทาน เอาเอง ......แล้ว นมสิการเอาเองว่าจะ บัญญัติกลบสิ่งใด
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าอธิบายแบบนี้ ก็ พอ กล้อมแกล้ม ฮับ..........


    แต้ถ้าจะหาเรื่อง ย้อนแย้ง ก็ตรงที่ คำว่า " ไม่มากวนเราอีก "

    ตรงเนี่ยะ แสดงให้เห็นว่า ตรึกเอา ไม่ใช่การแจ้ง มรรคญาณ
    แบบโสดาบัน
     
  17. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    อ๋อพระอนาคามี ยังมีเวทนา คือ อุเบกขาเวทนาใช่แม่ะ...ก็เลยเรียกเวทนา..ก็เลย เอา วิญญาณ(ผู้รู้)มาดูการเกิด-ดับของอุเบกขาเวทนา นั่นๆๆๆๆ
     
  18. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    โอ้ฉลาดมาก ฉลาดเหมือนลิงเลย
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่าลืมนะฮับ ผมนั้น ทะลึ่งเพียงพอที่จะ จี้ .....

    อันนี้ หากจะให้ จี้ ก็จะ จี้ว่า

    สังเกตุไหม มันไม่มีการ ทวนกระแส ...

    ธรรมใดไม่มี รสการทวนกระแส ไม่มีการแหวกออก ธรรมนั้นไม่ใช่ความเพียร

    และ ย่อมปรักปรำว่า ขาดสติ แล้วหละ สัมปชัญญะ หายจ้อย

    แต่ถ้า เอาแบบไม่จี้ ก็จะ ไม่พูดอะไร


    เลือกเอาเอง ฮับ
     
  20. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    พุทธบัญญติ อุปมา วิญญาณ กับ เวทนา เหมือน ไม้กระดานสอง
    อันพิงกันตั้งอยู่ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่ฐานะจะเป็นไปได้

    อารมณของวิญญาณ ก็คือ อุเบกขาเวทนานั่นเอง เพราะอนาคามี มันว่างแล้ว เฉยแล้ว ความคิดไม่มีแล้ว แล้วจาเอาอะไรดูล่ะ ก็ดูอุเบกขาเวทนาไง....เพราะพุทธพจน์บอกว่า วิญญาณเป็นธาตุที่เกิดดับ....แต่จิตไม่เกิดไม่ดับ
    เราก็มาเข้าใจว่าถ้าวิญญาณมันดับ งั้น พระอรหันต์ตายไปก็ไม่มีวิญญาณให้ดูให้เห็นซิ แล้วทำไมครูบาอาจารย์เพิ่นว่า วิญญาณอรหันต์ใสเหมือนแก้วเป็นประกายพรึก แสดงว่าวิญญาณไม่ดับ แต่อารมณ์ของวิญญาณต่างหากที่ดับ

    แล้วอารมณ์ของวิญญาณก็คือ อุเบกขาเวทนานั่นเอง

    นั่นเริ่มฉลาดเหมือนลิงแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...