น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตายแล้วไปไหน?

    ตายแล้วไปไหน?<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่?<o:p></o:p>
    ในปัจจุบันชาวพุทธเกือบจะทั้งหมดเชื่อว่ามีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องผีสาง เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล และเรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เป็นต้น ซึ่งสรุปได้ว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่อง ลึกลับ ไกลตัว ที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลมารองรับ มีแต่คำบอกกล่าวเล่าลือกันต่อๆมา หรือมาจากตำราเท่านั้น โดยเรื่องลึกลับไกลตัวเหล่านี้จัดว่าเป็นเรื่อง ไสยศาสตร์ ที่หมายถึง วิชาของคนหลับ คือเป็นการศึกษาของคนที่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ยังทำอะไรเหมือนละเมอๆ หรือยังไม่ยอมตื่นมารับรู้ความจริง
    <o:p></o:p>
    เรื่องไสยศาสตร์เหล่านี้มันได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของชาวพุทธมานานแล้ว จนยากที่จะถ่ายถอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ มันจึงเหมือนสิ่งที่มาครอบงำจิตใจทำให้ไม่มีอิสระในการคิด คือไม่สามารถคิดออกไปนอกขอบเขตของเรื่องเหล่านี้ไปได้ ถ้าใครคิดคนนั้นจะกลายเป็นเกาะดำไปทันที และถูกมองว่าบ้า หรืออาจถูกมองว่าทำลายศาสนาที่คนเกือบจะทั้งหมดเขาเชื่ออยู่อีกด้วย
    <o:p></o:p>
    ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาคืออะไร?<o:p></o:p>
    ที่จริงแล้วเรื่องเหล่านี้มีต้นตอมาจากความเชื่ออยู่เรื่องเดียว คือเชื่อเรื่องความมหัศจรรย์ หรือความศักดิ์สิทธิ์ ที่จัดว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือไม่ใช่ของธรรมดาที่เราจะสามารถพบเห็นหรือสัมผัสได้ หรือไม่สามารถหาเหตุผลของมันได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้
    <o:p></o:p>
    จุดสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องไสยศาสตร์ทั้งหลายขึ้นมาก็คือเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2008
  2. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    นมัสการ ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=115676

    ลองอ่านดูนะครับ (อย่าเผลอไปปรามาสเข้าล่ะครับท่าน)
     
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    พระนิพพานมีอยู่จริงหรือไม่
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ถามถึงความ

    มีอยู่แห่งพระนิพพาน



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0>
    [​IMG]



    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

    “ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกรรม สิ่งที่เกิดเหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยฤดู มีปรากฏอยู่ในโลกแล้ว สิ่งใดที่ไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดู ขอพระผู้เป็นเจ้าจงบอกสิ่งนั้นแก่โยม”

    พระนาคเสนตอบว่า

    “ขอถวายพระพร สิ่งที่ไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดูนั้น มีอยู่ ๒ คือ อากาศ ๑ นิพพาน ๑”
    “ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอย่าลบล้างคำของข้าพุทธเจ้า ไม่รู้ก็อย่าแก้ปัญหานี้”

    “ขอถวายพระพร เหตุใดอาตมาภาพจึงว่าอย่างนี้ และเหตุใดมหาบพิตรจึงห้ามอาตมาภาพอย่างนี้ ?”

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า

    “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่ควรกล่าวว่าอากาศไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดู สมเด็จพระบรมครูได้ทรงบอกทางสำเร็จนิพพานให้พระสาวก ด้วยเหตุหลายอย่างร้อยอย่าง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นิพพานไม่เกิดด้วยเหตุ”

    พระนาคเสนเฉลยว่า

    “ขอถวายพระพร สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้ทรงบอกทางสำเร็จนิพพานแก่พวกสาวกด้วยเหตุหลายร้อยอย่างจริง แต่ไม่ใช่ทรงบอกเหตุให้เกิดนิพพาน”

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งอีกว่า

    “ข้าแต่พระนาคเสน ในข้อนี้เท่ากับโยมออกจากที่มืดเข้าไปสู่ที่มืด ออกจากป่าเข้าสู่ป่าอีก ออกจากที่รกเข้าสู่ที่รกอีก เพราะเหตุให้สำเร็จพระนิพพานมีอยู่ แต่เหตุให้เกิดนิพพานไม่มี

    ถ้าเหตุให้สำเร็จนิพพานมีอยู่ เหตุให้เกิดนิพพานก็ต้องมี เหมือนบิดามีอยู่ เหตุที่ให้เกิดบิดาก็ต้องมีอยู่ อาจารย์มีอยู่ เหตุที่ให้เกิดของอาจารย์นั้นก็ต้องมีอยู่ พืชมีอยู่ เหตุให้เกิดพืชนั้นก็ต้องมีอยู่ หรือเมื่อยอดแห่งต้นไม้มีอยู่ ตอนกลางและรากก็ต้องมี”

    พระนาคเสนตอบว่า

    “ขอถวายพระพร มหาราชะ นิพพาน เป็น อนุปาทานียะ คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานเพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุ”

    “ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงให้โยมเข้าใจว่าเหตุให้สำเร็จนิพพานมีอยู่ แต่เหตุให้เกิดนิพพานไม่มี”

    “ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงตั้งพระโสตลงสดับ อาตมาภาพจักแสดงถวาย คือบุรุษอาจจากที่นี้ไปถึงเขาหิมพานต์ได้ตามกำลังปกติหรือ ?”

    “ได้ พระผู้เป็นเจ้า”

    “ขอถวายพระพร บุรุษนั้นอาจนำภูเขาหิมพานต์ มาไว้ในที่นี้ได้ด้วยกำลังตามปกติหรือ ?”

    “ไม่อาจ พระผู้เป็นเจ้า”

    “ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือบุคคลอาจบอกทางสำเร็จนิพพานได้ แต่ไม่อาจบอกเหตุให้เกิดนิพพานได้ ขอถวายพระพร บุรุษอาจข้ามมหาสมุทรไปได้ ด้วยเรือตามกำลังปกติไหม?”

    “อาจได้ พระผู้เป็นเจ้า”

    “ก็บุรุษนั้นอาจนำเอาฝั่งมหาสมุทรข้างโน้นมาตั้งไว้ข้างนี้ ด้วยกำลังปกติไหม ?”

    “ไม่อาจ พระผู้เป็นเจ้า”

    “ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ หมาบพิตร คือทางสำเร็จนิพพานนั้นอาจบอกได้ แต่ไม่อาจบอกเหตุให้เกิดนิพพานได้ เพราะนิพพานเป็น อสังขตธรรม” (ธรรมที่ไม่มีอะไรปรุงแต่ง)

    “ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานเป็นสังขตธรรม ไม่มีใครอาจบอกได้อย่างนั้นหรือ ?”

    “อย่างนั้นมหาบพิตร นิพพานป็นอสังขตธรรม ไม่มีอะไรตกแต่งได้ ไม่มีอะไรกระทำได้ นิพพานเป็นของไม่ควรกล่าวว่า เกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิด หรือจักต้องเกิด ไม่ควรกล่าวว่า เป็นอดีต หรืออนาคต หรือปัจจุบัน ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องเห็นด้วยตา เป็นของต้องเห็นด้วยตา เป็นของต้องได้ยินด้วยหู รู้ด้วยจมูก ลิ้น กาย อย่างใดเลย”

    “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นอย่างนั้น นิพพานก็เป็นความไม่มีเป็นธรรมดา เราพูดได้ว่านิพพานไม่มีอย่างนั้นซิ”

    “ขอถวายพระพร นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้เห็นนิพพาน ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบ อันประณีต อันเที่ยงตรง อันไม่มีเครื่องกั้นกาง อันไม่มีอามิส”

    “ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานนั้นเป็นเช่นไร ขอจงให้โยมเข้าใจด้วยคำอุปมา คือด้วยการเปรียบกับสิ่งที่มีอยู่ รู้อยู่ตามธรรมดา”

    “ขอถวายพระพร ลมมีอยู่หรือ ?”

    “มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า”

    “ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงแสดงลมให้อาตมาเห็นด้วยสี สัณฐาน น้อย ใหญ่ ยาว สั้น”

    “ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่มีใครอาจจับต้องลมได้ แต่ว่าลมนั้นมีอยู่”
    “ขอถวายพระพร ถ้าไม่อาจชี้ลมได้ว่า ลมมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไร ลมก็ไม่มีนะซิ ?”

    “มี พระผู้เป็นเจ้า โยมรู้อยู่เต็มใจว่าลมมี แต่ไม่อาจแสดงลมให้เห็นได้”
    “ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร นิพพานมีอยู่จริง แต่ว่าไม่มีใครอาจแสดงให้เห็นได้ว่า นิพพานมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไร”

    “ข้าแต่พระนาคเสน โยมเข้าใจได้ดีตามข้ออุปมาแล้ว โยมยอมรับว่านิพพานมีจริง”

    <TBODY></TBODY></TABLE>
     
  4. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ ท่านเห็นมิลินทปัญหา เป็นเพียงนิทาน เท่านั้นเองครับ

    (ข้อมูลนี้พอดีผมเห็นในเวปของท่านเตชปัญโญ พอดีมีคนถามท่านถึงเรื่องมิลินทปัญหา แล้วท่านก็ตอบอย่างนั้น เวปอ้างอิง http://www.whatami.ob.tc/-View.php?N=110)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  5. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ท่านตอบได้น่าสงสารจัง ยิ้มจำได้ว่า เมื่อครั้งมีการประท้วงเรื่องการจะบรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย

    ได้มีการประท้วงชุมนุมกันอยู่หลายวัน ถ้าจำไม่ผิดได้มีพระญวนท่านหนึ่งถึงกับ เผา ตนเอง.... ลองพิจารณากันนะค่ะ ถ้าใครนำภาพนั้นมาติดให้ชมได้จักดีมากเล๊ย

    ที่ให้พิจารณากัน คือว่า ถ้าเป็นคนธรรมดา ท่านจะนั่งนิ่งสบง ไม่รับรู้ความร้อน ความเจ็บปวดทรมานที่มีต่อสังขารตน ได้หรือไม่

    ท่านผู้ทรงความรู้(ที่อวดอ้างตน) ท่านตอบได้รึไม่ ว่านั่นคืออะไร ท่านทำได้อย่างพระญวนท่านนั้นไหมค่ะ..วิชานั้นเขาเรียกว่าอะไร ท่านตอบได้ไหม แล้วเหตุใดจิตถึงไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของกาย
     
  6. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    ทฤษฏีเป็นเรื่องง่ายที่จะอ่านให้เข้าใจ (ผิด)

    หรือบางทีผู้อ่านไม่เข้าใจ ก็ยังพยายามแปลความให้ตรง(กับที่ตัวเองเข้าใจ)

    ทำให้บิดเบือนไป



    ส่วนการปฏิบัติให้เห็นผลบรรลุนั้น ทำได้ยากกว่าการอ่านมากนัก

    และผลที่ได้ก็จะค่อยๆมี ทีละเล็กละน้อย มีถูกมีผิดพลาดกันไป

    กว่าจะเห็นจริงบรรลุได้จริงๆ ก็ยาวนานอยู่



    มหาบุรุษ คือ ผู้ไม่ยอมแพ้อุปสรรคและปัญหาในการปฏิบัติ เป็นผู้ค้นหาความจริงอยู่เสมอ
    ที่จริงอยู่แล้วไม่ทำให้บิดเบือน และนำมาสอนผู้อื่นได้


    ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ท่านก็บวชแล้วนะ อย่าให้ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไช ว่าให้เป็นมหาบุรุษตามแบบ ตามรอยเท้าพระพุทธองค์



    ถ้าพูดถึงภาษาในพระไตรปิฏกก็ไม่เห็นมีคำไหนแปลวกวนต้องมาแปลใหม่ ค้นหาใหม่ บิดบือนขึ้นใหม่
    หรือว่ามันเป็นเทรนที่ต้องสร้างอะไรเป็นของตัวเอง

    ในด้านทฤษฏี อย่างคำว่า
    อริยสัจ 4 = อริยะ + สัจจะ + 4ประการ
    อริยะ ประเสริฐ , สัจจะ คำพูด แปลตรงๆคือ ความจริงอันประเสริฐ4ประการ


    ถ้าเป็นในด้านอิทธิฤทธิ์ คำว่า
    อนาคตังสญาณ = อนาคต + สัญญาณ
    อนาคต เหตุการณ์ข้างหน้า , สัญญาณ สิ่งที่บอกให้รู้
    แปลตรงๆ คือ สิ่งที่บอกให้รู้เหตุการณ์ข้างหน้า

    ไม่เห็นมีคำไหนต้องไปเสาะแสวงหาความหมายทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ
    หรือต้องพยายาม ดิ้นรน(เกินไป) ในการแปลพระไตรปิฏกใหม่ หรือทำหลักสูตรใหม่(แต่แย่กว่าเดิม)

    ที่ผมกล้าพูด เพราะได้ปฏิบัติแล้ว อ่านทฤษฏีแล้ว
    (แต่เน้นไปทางปฏิบัติมากกว่า เพราะคำสวยๆ ฟังยากๆ ฟังแล้วดูดี ผมไม่รู้จะจำไปทำไมมากมาย เอาเวลาไปทดลองปฏิบัติดีกว่า)

    และได้เห็นสิ่งที่คนทั่วไป(ที่ไม่ปฏิบัติ) เรียกว่าปาฏิหารย์ , อิทธิฤทธิ์ บ้างนิดหน่อย


    และไม่มีใครอยากให้คำสอนถูกบิดเบือนจากผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติ หรือปฏิบัติเพียงนิดหน่อยแล้วก็เลิก เพราะไม่เห็นผล และยังไม่ได้ทุ่มเท หรือปฏิบัติแค่พอเป็นพิธี

    สุดท้ายเมื่อไม่เข้าใจ ไม่ปฏิบัติ ก็สอนผู้อื่นผิดๆ กลายเป็นบิดเบือนในที่สุด



    ทั้งนี้ผมเข้าใจท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ว่าท่านเป็นปุถุชน ยังมีความกลัวอยู่ในจิตใจลึกๆ

    เมื่อมนุษย์มีความกลัวก็ต้องหาที่ยึดเกาะ ให้สบายใจ รวมถึงการมีพรรคพวกที่เข้าใจไปในทางเดียวกัน เชื่อเหมือนๆกัน

    ก็ทำให้สบายใจขึ้นได้ เพราะอย่างน้อยก็มี "เพื่อน" ขึ้นสวรรค์หรือตกอบายภูมิด้วยกัน

    แต่นั่นเป็นเพียงความคิดหรือลัทธิของคนกลุ่มนึงเท่านั้น

    ซึ่งถ้าคนกลุ่มนั้นรักษาไว้เพียงแค่ในกลุ่มก็ไม่มีอะไร แต่การที่เห็นผิดแล้ว

    พยายามทำให้ สิ่งที่ถูกต้องหายไป เพื่อความสบายใจของตัวเองและคนในกลุ่ม
    ว่ามีพรรคพวกเยอะ อย่างน้อยถ้าผิดจริงๆก็ไม่ลงอบายภูมิคนเดียว

    อันนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ทั้งต่อคนรุ่นหลัง และ ตัวท่านเอง และคนในลัทธิท่านที่ต้องเสียเวลาในชาตินี้กัปป์นี้ไปฟรีๆ โดยไม่ได้โผล่พ้นน้ำ หรือโงหัวลืมตาอ้าปากขึ้นมาเลย

    และไม่รู้อีกนานแค่ไหนจะได้เจอความจริงซักที

    แต่ถ้าให้พูดจริงๆ ก็คือพบความจริงแล้ว แต่กลับอ้อม


    อุปมาเหมือน ทางเดินเป็นรูปวงกลมตรงกลางมีภูเขา ล้อมรอบด้วยป่า
    พระพุทธองค์ตรัสให้เดินตรงไป

    ก็ดันเดินตรงจริงๆ ไม่เดินตามทางที่เป็นวงกลม กลับลำบากลำบนปีนภูเขาผ่ากลางเป็นเส้นตรงไป

    พระพุทธองค์ตรัสให้เดินอ้อม

    ก็เดินฝ่าเข้าไปในป่า เพราะเห็นว่า ถ้าเดินไปตามวงกลม จะไม่อ้อมและสะดวกสบายเกินไป
    ควรเดินอ้อมเข้าไปในป่า เพื่อเป็นทางอ้อมจริงๆ

    และสุดท้ายพระพุทธองค์ตรัสให้เดินทางสายกลาง

    ก็กลับไม่เดินเพราะเคยเดินมาแต่ทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเหนื่อยแล้ว ไม่เดินแล้ว ไม่เชื่อพระพุทธองค์แล้ว

    แล้วเมื่อไหร่จะหลุดพ้นไปจากวงกลมได้ซะที


    อนิจจังผู้มีปัญญาก็ฟังเล้วนำไปคิดเอาเถอะ อนุโมทนาครับ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นมัสการ ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ

    รู้ของท่านเป็นปัญญาจากการฟัง ปัญญาจากการจินตนาการตาม เป็นปัญญาในระดับคิดๆ หรือปัญญาเห็นจริงประจักษ์แจ้งด้วยจิต

    พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าใครเข้าป่าหาแก่นไม้ แต่ไปเจอกิ่งใบ เจอสะเก็ด เจอเปลือก เจอกระพี้ ก็อาจสำคัญว่าเป็นแก่น เพราะไม่ทำความรู้จักแก่นให้ดีเสียก่อน เลยได้สิ่งที่ไม่ใช่แก่นติดมือกลับบ้าน ลาภและสรรเสริญเปรียบเหมือนกิ่งใบ ศีลเปรียบเหมือนสะเก็ด สมาธิเปรียบเหมือนเปลือก ญาณหยั่งรู้ต่างๆเปรียบเหมือนกระพี้ แต่แก่นสารที่แท้จริงคือความหลุดพ้นแห่งใจ ชนิดไม่กลับกำเริบอีก

    รู้ทางศรัทธาจริตชนิดใครพูดอะไรก็เชื่อ
    รู้ทางปัญญาจริตชอบคิดคาดคะเนแสวงความรู้เสียจนเข้าใจคลาดเคลื่อน

    เกี่ยวกับคำว่าปัญญากล่าวคือพุทธิปัญญาขั้นสูงนั้นพระพุทธองค์ตรัสว่าคือความสามารถเห็นธรรมชาติเกิดดับ ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น ใครฝึกจริงจังถูกต้องเมื่อไหร่ก็เห็นจริงได้เมื่อนั้น ไม่จำกัดกาลแต่อย่างใด แต่พุทธิปัญญาสำหรับคนรุ่นใหม่อาจหมายถึงความรู้ความเข้าใจในธรรมะยากๆแจ่มแจ้งตลอดสาย

    ความเชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดและนรกสวรรค์มีจริงก็ดี ความเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ดี ความเชื่อว่ามรรคผลนิพพานมีจริงก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นศรัทธา พุทธเราเป็นศาสนาที่ฐานเป็นศรัทธา แต่ยอดเป็นปัญญา พูดง่ายๆว่าพิสูจน์ศรัทธาให้รู้แจ้งเห็นจริงได้ด้วยปัญญาในชาติปัจจุบัน

    พระพุทธวัจนะ
    ใครก็ตามที่เจริญสติปัฏฐานทั้งนี้ ๔ นี้ให้ตลอดเขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่งคือพระอรหัตผลในปัจจุบันหรือถ้ายังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็เป็นพระอนาคามีภายในเวลา ๗ ปี หรือ ๖ ปี หรือ ๕ ปี หรือ ๔ ปี หรือ ๓ ปี หรือ ๒ ปี หรือ ๑ ปี หรือ ๗ เดือน หรือ ๖ เดือน หรือ ๕เดือน หรือ ๔ เดือน หรือ๓ เดือน หรือ ๒ เดือน หรือ ๑ เดือน หรือ ๑๕ วัน หรือ ๗ วัน

    พูดให้ง่ายคือใครมีกายและปัญญาแบบมนุษย์ มีกำลังปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทธองค์แสดงไว้ และยังคงบันทึกสืบทอดมาถึงทุกวันนี้ อย่างช้า ๗ ปี อย่างพอดี ๗ เดือน และอย่างเร็ว ๗ วัน เป็นต้องรู้จักภาวะหลุดพ้นแห่งใจชนิดไม่กลับกำเริบ เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง

    ในการตรัสเชิงพยากรณ์นั้น ท่านเพียงระบุไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า ตราบใดภิกษุยังประพฤติธรรมโดยชอบตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย

    ฉันเชื่อว่าชาวพุทธที่รักศาสนาไม่มีใครตั้งใจทำลายศาสนา ทำนองเดียวกับที่ไม่มีบ้านใดทุบหม้อข้าวตัวเองทิ้ง แต่ความที่มัวเพลินเพ่งโทษคนอื่นอยู่ เลยเผลอลืมตรวจดูว่าโทษของเราเพิ่มพูนไพบูลย์ผลไป ถึงไหนแล้ว อย่างเช่นบางคนรู้จักพุทธพจน์มาก แทบเรียกว่าครอบคลุมทั่วถึงทุกประเด็น พูดเรื่องไหน เป็นหยิบจับพุทธพจน์มาอ้างอิงได้หมด แบบนี้มีคุณใหญ่เป็นอนันต์ แต่ในทางตรงข้ามอาจก่อโทษได้มหันต์เช่นกัน เช่นยกพุทธพจน์มาเพื่อข่มขี่ หรือสนับสนุนจิตคิดก่นด่าฝ่ายตรงข้ามของตน ผู้ฟังรับพุทธพจน์พร้อมกับกระแสโทสะของผู้อ้างอิง ย่อมเกิดจิตคิดมัวหมองต่อพุทธพจน์ไปด้วย เรียกว่าผู้อ้างพุทธ พจน์ผิดกาลเทศะ หยิบจับพุทธพจน์มาใช้เสริมเติมสนับสนุนวจีทุจริตของตนเองบ่อยๆนั้น นอกจากไม่ได้บุญแล้ว ยังชื่อว่าก่อบาปมหันต์ด้วยการทำพุทธพจน์เสื่อมลงอีกด้วย และเมื่อส่วนใหญ่ต่างถนัดที่จะโยนโทษให้แก่กันและกัน มือใหม่ฝันหลุดพ้นอย่างฉันที่เพิ่งก้าวเข้าบ้านก็ มักยืนเด๋อดูคนในบ้านตีกันอย่างมึนงง จับต้นชนปลายไม่ติด ไม่ทราบว่าอะไรกันแน่คือหลักการ อะไรกันแน่คือหลักกู จึงยากจะรู้ชัดว่าฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถูก แต่ใครถูกใครผิดก็ตาม วิธีทิ่มตำหรือรบพุ่งกันด้วยขวานในปากของผู้ทรงภูมิทั้งหลายย่อมทำให้บรรดากองทัพธรรมหน้าใหม่รับผลร้ายไปเต็มๆ เพราะฉันไม่ได้จดจำว่าการฟาดฟันกันให้ล้มหายตายจากกันไปข้างในแต่ละครั้งนั้น ใครเป็นผู้แพ้ ใครเป็นผู้ชนะฉันตระหนักแต่ว่าที่แพ้อย่างแท้จริงคือพุทธศาสนาโดยรวม ค่าที่หาใครเป็นตัวแทนหรือหลักฐานทางปัญญาประกอบเมตตาประจำศาสนายากมากแล้ว

    พระวจนะในมหาปรินิพพานสูตรความว่า ธรรมที่ตถาคตแสดงแล้วจะเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป

    ขอกราบเรียนท่านเตชปัญโญ ภิกขุ ท่านมีเป้าหมายใดในชีวิตท่าน ท่านได้มีโอกาสบวชเรียนแล้วท่านหวังอริยเจ้าสมบัติหรือไม่

    หากเป็นการล่วงเกินท่านข้าพเจ้าขออโหสิกรรม ขออภัยท่านมา ณ.ที่นี้

    http://www.ziddu.com/download.php?uid=aqqglZeubrGblJTzaKqZnJGlZ6eanZg=6
    อ้างถึง 7เดือนบรรลุธรรม(ดังตฤณ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ลองอ่านข้อความนี้อย่างตั้งใจ ***<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    นมัสการ ครับ.
    บังเอิญผ่านมา แต่ไม่บังเอิญที่ตอบ..
    นั้นแสดงว่ามีเหตุเกิดขึ้นแล้ว..

    ยอมรับกฎ
     
  10. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    เจริญพร.. จากเตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ถ้ายอมรับ ก็อยากจะถามว่า เมื่อร่างกายตายไปแล้ว***
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ***แล้วจิตจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เมื่อไม่มีร่างกายมาเป็นเหตุให้ตั้งอยู่?**

    ***(ถ้ายอมรับแล้วอย่าเบี้ยวนะ... ถ้าเบี้ยวแสดงว่าไม่มีสัจจะบารมี)***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  11. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075

    ถูกหล่ะ ถูกหล่ะ

    โปรดแสดงธรรม ข้อนี้ด้วยครับ
    เพื่อความเข้าใจที่ถุกต้อง

    สาธุ
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ถ้าใครไม่ยอมรับ ก็แสดงว่า ไม่ยอมรับความจริง***<O:p</O:p
    *** เพราะนี่คือ สัจจะ หรือความจริงที่ใครๆก็ต้องยอมรับ***<O:p></O:p>
    ***ถ้าไม่ยอมรับความจริง แล้วจะพบสัจจะ หรือความจริงได้อย่างไร?**<O:p</O:p
    *** นี่คือการไล่เหตุไล่ผล ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการโต้วาทะกับเจ้าลัทธิต่างๆจนแพ้ราบคาบมาแล้ว***<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ก็แสดงว่า จิตต้องอาศัยร่างกายเพื่อเกิดขึ้นและตั้งอยู่ใช่หรือไม่?***
    ***เมื่อร่างกายตาย แล้วจิตก็ต้องดับหายตามไปด้วยทันที***
    ***เพราะจิตไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้โดยไม่มีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่ง**
    ***เมื่อไม่มีจิตจะออกจากร่างกายได้ ดังนั้นเรื่องภายหลังความตายทั้งหลายก็จบ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สาธุ ครับ

    ไม่ได้ไล่เหตุ ไล่ผล เพื่อชนะ หรือ แพ้ มันไร้สาระ ครับ

    ท่านไม่เข้าใจคำถาม ปุจฉา

    กระผมเห็นท่านเป็นผู้ทรงศีล ก็อยากจะขอ เมตตาความรู้จากท่าน

    ท่านกลับกล่าวอะไรออกมา

    กระผมเป็นฆารวาส ก็อยาก ได้ยินท่านแสดงธรรม จากปาก ครับ

    ไม่ได้คิดอะไรเลย จริงๆ
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นมัสการ ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ

    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
    ข้อความนี้เป็นความจริงแท้แน่นอน

    ท่านยังไม่ตอบคำถามเลย

    จิต ท่านหาจิตตัวจริงของท่านเจอรึยัง

    จิต ข้าพเจ้าอยู่ในช่วงค้นหาอยู่หาจิตตัวจริงของตนเองให้เจอ

    ข้อความนี้อ้างอิงมาจาก ไอสไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ โดย คุณ ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน
    เมื่อคุณแม่ให้กำเนิดทารก ทารกนั้นก็คือ ก้อนเนื้อที่ห่อหุ้มความรู้สึกตัวทั่วพร้อม consciousness ซึ่งเป็นแก่นของชีวิต เพราะถ้าหากไม่มีก้อนความรู้สึกตัวนั้นแล้ว ถึงแม้ร่างกายของทารกจะสมบูรณ์ มีอวัยวะทุกอย่างครบถ้วนก็ตาม แต่เมื่อแก่นของชีวิตหรือความรู้สึกตัวไม่มีแล้ว ทารกนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร เป็นเพียงก้อนเนื้อที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ความแตกต่างระหว่างทารกที่คลอดออกมาแล้วรอดและตาย คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั่นเอง เด็กที่มีชีวิตสามารถร้องไห้ ดิ้น และเคลื่อนไหวไปมา ในขณะที่เด็กตายนั้นจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ร้องไห้ ไม่ดิ้น ไม่มีอาการของ "ชีวิต" แต่อย่างใดเลย
    เมื่อคนเราหลับสนิท หมดสติเองโดยไม่ได้ใช้ยารวมทั้งผลของฤทธิ์ยาสลบด้วย คนไข้ที่อยู่ในอาการโคม่า และคนตาย ในขณะนั้น ร่างกายของคนเหล่านี้ก็ยังเป็นปกติทุกอย่าง แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกตัวทั่วพร้อม consciousness ของพวกเขา มันล้วนหยุดทำงานไประยะหนึ่งในสามกรณีแรกทั้ง ๆ ที่หัวใจก็ยังเต้นอยู่ เว้นเสียแต่ในกรณีของคนตายที่ความรู้สึกตัวไม่กลับมาอีกเลย
    ความรู้สึกตัว ชีวิต และ จักรวาล
    เมื่อเหตุการณ์ทั้งสี่กรณีนั้นเกิดขึ้นกับบุคคลใดแล้ว คือ หลับสนิท หมดสติ โคม่า ตาย จักรวาลทั้งหมดก็ดับวูบลงทันทีสำหรับคนคนนั้น ถึงแม้จักรวาลยังคงอยู่กับคนอื่น ๆ อย่างเป็นปกติก็ตาม จักรวาลนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนที่ "ไม่มีความรู้สึกตัว" ขอให้คิดตามให้ดีอย่างถ่องแท้ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะช่วยให้คุณเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างถึงแก่นด้วย
    หากคุณเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูดแล้ว เราลองมาใช้เหตุผลและตรรกะเชื่อมโยงข้อเท็จจริงบางอย่างดู นี่ย่อมหมายความว่า ชีิวิต ความรู้สึกตัว กับ จักรวาล เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ใกล้ชิด ถึงกับเป็นเรื่องเดียวกันก็ว่าได้ มันจึงมีค่าและความสำคัญที่เท่าเทียมกัน ย่อมหมายความว่า หากเราสามารถรู้จัก "ความรู้สึกตัว" ของคนเราได้แล้ว เราย่อมเข้าใจชีวิตและจักรวาล ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่สามารถเข้าใจ "ความรู้สึกตัว" ละก็ เราจะไม่เข้าใจชีวิตและจักรวาลเช่นกัน จริงหรือไม่ ฉะนั้น หากเขียนเป็นรูปสมการให้เห็นง่าย ๆ ก็จะเป็นดังนี้คือ

    ความรู้สึกตัว = ชีวิต = จักรวาล
    Consciousness = life = universe
    เพราะมีความรู้สึกตัวนี่เอง จึงก่อให้มี ความคิด ความจำ กับ ความรู้สึก อันเป็นธรรมชาติที่ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "จิตใจ mind" ขึ้นมา และจากจิตใจนี้เองจึงมี "ทุกอย่าง" ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตภายนอกของเรา เช่น การกิน การอยู่ ทำมาหาเลี้ยงชีพ พบปะผู้คน ตลอดจนถึงการสร้างสรรค์และทำลาย จิตใจของมนุษย์ยังเป็นสถานที่ที่เกิดความสุข ดีใจ ตื่นเต้น เสียใจ เจ็บปวด ทรมาน ตลอดจนความทุกข์ทั้งหลาย ล้วนมีอิทธิพลต่อโลก เช่้น หากชาวโลกส่วนมากมีจิตใจที่เป็นสุขแล้ว สังคมโลกก็จะมีสันติภาพ หากชาวโลกส่วนมากมีทุกข์ในใจละก็ สังคมโลกก็จะวุ่นวายมีสงครามอยู่ทุกหย่อมหญ้า
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นมัสการ ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ
    ***เมื่อร่างกายตาย แล้วจิตก็ต้องดับหายตามไปด้วยทันที***
    ข้อความนี้ไม่เป็นสัจจธรรม จริงแท้แน่นอน
    ร่างกายไม่สูญหาย จิตไม่สูญหาย แต่เปลี่ยนสภาพ สภาวะไป
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ไม่ได้ต้องการเอาชนะ แต่ว่านี่คือทางเดินไปสู่การมีดวงตาเห็นธรรมที่แท้จริง**<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ***เหตุผลมันบังคับว่าต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน บิดพลิ้วไม่ได้**<o:p></o:p>
    ***ใครบิดพลิ้วก็แสดงว่า พาล **<o:p></o:p>
    **แล้วคุณโยมยังเชื่อเรื่องวิญญาณ หรือจิต หรือสภาวะอะไรที่ออกจากร่างกายไปเกิดไหม้ได้อยุ่หรือเปล่า?***<o:p></o:p>
    ***ส่วนเรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจ เอาเรื่องนี้ให้ผ่านก่อนถึงค่อยมาถามเรื่องใหม่?**<o:p></o:p>
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    นมัสการ ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ
    ***
    เมื่อร่างกายตาย แล้วจิตก็ต้องดับหายตามไปด้วยทันที***
    ข้อความนี้ไม่เป็นสัจจธรรม จริงแท้แน่นอน
    ร่างกายไม่สูญหาย จิตไม่สูญหาย แต่เปลี่ยนสภาพ สภาวะไป
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    ****ร่างกายจริงๆมันไม่มี มันเป็นเพียงรูปธาตุสร้างขึ้นมาเหมือนเอาดินเหนียวผสมน้ำปั้นขึ้นมาเท่านั้น**
    ***คำว่า "ร่างกาย" เป็นเพียงการสมมติเรียกเท่านั้น **
    ***เพระกฎมันก็บอกอยู่ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุ กรุณาอ่านให้ดีก่อนยอมรับ**<o:p></o:p>
    ***จิตก็ไม่ต่างอะไรกับร่างกาย**<o:p></o:p>
     
  19. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    พูดกันเฉพาะหน้านะ ไม่ต้องออกไปนอกจักวาล

    ท่านกล่าวว่าตายแล้วสูญ นั้นไม่ถูก ในทางโลก
    เพราะจิตมีการเกิดดับ สืบต่อเนื่อง โดยมีกรรมกุศล อกุศล เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงให้เกิด ภพ เกิดชาติ ส่งต่อกันไป
    แม้ร่างกายเสื่อมสลายไป แต่จิตก็ยังอยู่ของมีอยู่อย่างนั้น
    เพียงแต่มีกรรมเท่านั้นที่ปรุงแต่ง จิตปฏิสนธิและจุติจิต
    ให้เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นพรหม
    ตราบใด จิตไม่เข้านิพพาน มันก้ปรุงแต่ง ให้เวียนว่าย ตาย เกิด ไปไม่จบสิ้น.
     
  20. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ส่วนวิญญาน ทางธรรม มันก็ คือผัสสะ การรับรู้ หุ ตา ลิ้น กาย ใจ

    ส่านวิณาณที่ชาวบ้านเข้าใจกัน เรื่องออกจากร่าง เรื่องเห็นผี อะไรนั้น
    มันเป็นสภาวะของจิตไม่ใช่หรือครับ คือ จิตมันแปลได้ได้ตามสภาวะธรรม

    คนเราเมื่อตายไปปุ๊บ ก็เกิดปั๊บ ที่เราเห็นเป็นผีอะไรนั้น ก็คือเขาเกิดแล้ว แต่เกิดเป็นผี เป็นเปรต
    เรื่องถอดจิต นั่นก้เป็นสภาวะธรรม โดยการรวมจิตให้นิ่ง มิใช่หรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008

แชร์หน้านี้

Loading...