NE

ต้องถามว่า ช่องว่างนั้นมันเชื่อมต่อกันได้หรือไม่ ถ้าเชื่อมต่อไม่ได้ ก้จะถูกโดดเดี่ยว

 

ข้อความเก่านำมาให้อ่าน


ประวัติ"วันลอยกระทง"
ลอยกระทง คติที่มาเกี่ยวกับ"วันลอยกระทง"มีอยู่หลายตำนาน เทศกาลลอยกระทง เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ งานลอยกระทงเริ่มทำ ตั้งแต่ กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12
คติที่มาเกี่ยวกับ"วันลอยกระทง"มีอยู่หลายตำนานดังนี้
1. ลอยกระทงเพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
2. ลอยกระทงเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์คือบูชาพระนารายณ์ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
3. ลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จกลับจากเทวโลกเมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อทรงเทศนาอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
4. การลอยกระทงเพื่อบูชาพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานทีเมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
5. การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า
6. การลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหมบนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
7. การลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล




ลอยกระทง แห่งความรัก LOY KRATONG

LOY KRATONG = 12+15+25+11+18+1+20+15+14+7 = 138
1+3+8 = 12 = L = LOVE = รักอันปราศจากเงื่อนไข (INFINITY)
(code by little duck)


วันลอยกระทง เป็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์ยุคโบราณที่อาศัยอยู่ทางซีกโลกตะวันออก ในการระลึกถึงความรัก ความดีงาม ของโลกอย่างพร้อมเพรียงกัน

วันวาเลนไทน์ เป็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์ยุคโบราณที่อาศัยอยู่ทางซีกโลกตะวันตก ในการระลึกถึงความรัก ความดีงาม ของโลกอย่างพร้อมเพรียงกัน

วันลอยกระทง (ฝั่งตะวันออก) และ วันวาเลนไทน์ (ฝั่งตะวันตก) ล้วนเป็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์ ในการรวบรวมความรัก สู่จักรวาลโดยพร้อมเพรียงกัน

กระทงถูกประดิษฐ์ในรูปของดอกบัวบาน เพื่อใช้ลอยในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ซึ่งเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงที่ทรงกลดอย่างที่สุด

ดอกบัวบาน เปรียบประดุจดั่ง พระจันทร์เต็มดวง

พระจันทร์เต็มดวง เป็นอาสนะของโลกุตตระ

ดอกบัวบาน เป็นอาสนะ ขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์


สุขสันต์วันลอยกระทง


LOVE U

 

ฝันนิรันดร

เมฆฝัน (Cloud)

ชาติภพทั้งหลายปรากฏพร้อมกันทั้งหมดเป็นปัจจุบัน ถึงแม้โลกจะมีเครื่องพรางคือ ช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา แต่เงื่อนงำของตัวตนต่างชาติภพของตัวเราก็สะท้อนให้เห็นในปัจจุบันตามกฏของการสะท้อนภาวะภายในของจิตวิญญาณ หรือกฏแห่งกระจกเงาที่สะท้อนจินตภาพ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของตัวตนในแต่ละชาติภพ(reflection) โดยทุกชาติภพปรากฏพร้อมกันหมดในปัจจุบัน และอยู่ในรูปของบุคคลทั้งหลายที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน เช่น บุคคลในครอบครัว เพื่อน หรือแม้แต่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราในแต่ละวัน โดยการกระทำทั้งหลายของแต่ละตัวตนที่มีการปฏิสัมพันธ์ต่อกัน จะสะท้อนให้เห็นถึงมุมมอง และบุคลิคภาพ และการกระทำในชาติภพต่าง ๆ ดังนั้นทุกตัวตนจึงมีการให้ และการรับพร้อมกันอย่างสมดุลย์ โดยมีตัวตนในปัจจุบันเป็นจุดศูนย์กลาง หรือจุดตัดของข้อมูลทั้งหมด ดังนั้นมนุษย์จึงมีทางเลือกและเส้นทางความเป็นไปได้มากมายที่ถูกสร้างขึ้นจาก ความคิด หรือ จินตนาการของตนเองโดยแสดงออกในรูปของบุคคลต่างๆ ที่แวดล้อม

จินตนาการ พร้อมทั้งอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายของมนุษย์มีสภาพเหมือนดังเมฆฝันที่ปรากฏเป็นระดับ ตั้งแต่ระดับล่างสุดที่มีหนาแน่นเจือจาง ไปจนถึงระดับเข้มข้นสุดที่เมฆมีความหนาแน่นพอที่จะกลายเป็นฝนหรือ กลายมาเป็นความเป็นจริงทางกายภาพ เช่นเดียวกับ จินตนาการทั้งหลาย ที่ผสมกับพลังงานอารมณ์อันเกิดจากความรู้สึกนึกคิด หากมีความหนาแน่นพอจะก่อให้เกิดสสารในโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ

ภาพทั้งหลายที่เกิดจากจินตนาการเหล่านี้ไม่เคยสูญสลายแต่ปรากฏอยู่ในความทรงจำของจิตสำนึก และจะถูกดึงดูด หรือถูกเรียกมาใช้ตามกฏของการดึงดูดเพื่อสร้างโลกแห่งความเป็นจริง หรือสร้างประสบการณ์ของชีวิตในแต่ละปัจจุบันขณะ ดังนั้น ปัจจุบันขณะจึงเป็นจุดตัดที่สำคัญในการสร้างอนาคตและเปลี่ยนแปลงอดีต ถึงแม้ปัจจุบันขณะของเราจะมีฐานเป็นอดีตที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วก็ตาม และอนาคตที่เหมือนจะมีปลายทางที่แน่นอน แต่หากปัจจุบันมีการเปลี่ยนการกระทำใหม่ที่แตกต่าง หรือไม่สอดคล้องกับเส้นทางความเป็นไปได้ในอนาคต เส้นทางความเป็นไปได้เส้นอื่นที่สอดคล้องกับการกระทำในปัจจุบันนั้น ๆจะถูกเรียกขึ้นมาใช้แทน ดังนั้นอนาคตของแต่ละเส้นทางย่อมแตกต่างกันไปตามการกระทำในปัจจุบัน ดังนั้นเราจึงไม่ควรไปสนใจอดีต แต่ให้จดจ่ออยู่ที่การกระทำในปัจจุบันแทน เพราะเส้นทางทั้งหลายในอนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากการกระทำในปัจจุบันเท่านั้น

โลกภายใน คือ โลกที่ปราศจากเครื่องพราง คือ ช่องว่าง ระยะทาง และ กาลเวลา เป็นภาวะที่มนุษย์จะเข้าถึงได้โดยการตัดการรับรู้ทางประสาทสัมผัสภายนอก หรือ ตัดการรับรู้ทางอายตนะที่เป็นเครื่องพรางในโลกทางกายภาพ การปฏิบัติสมาธิจึงเป็นหนทางที่ช่วยให้มนุษย์ได้เข้าถึงโลกแห่งความเป็นจริงภายในอันมีภาวะเป็นจินตภาพ และเป็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ที่จะทำให้มนุษย์ได้เข้าใจว่าเราทั้งหลายมีความเชื่อมโยง รวมถึง การเดินทางท่องไปในชาติภพ หรือ มิติต่างๆ ทั้งหลายเป็นไปได้โดยปราศจากช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา แต่เป็นไปโดยการใช้เวลา ที่เรียกว่า "เวลาแห่งจิต" หรือ ช่วงเวลาที่เราละความสนใจไปจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัสภายนอก หรือ การทำสมาธิ meditation ดังนั้นหากต้องการเข้าใจถึงการติดต่อสื่อสารอันเป็นไปได้ระหว่างมิติต่างๆ หรือ ภาวะของชาติภพ จึงสามารถทำได้โดยการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิในรูปแบบต่าง ๆ หรือ การใช้เวลาแห่งจิต ซึ่งปรากฏอยู่แล้วในพระธรรม คำสอนของ องค์สมเด็จพระศาสดา

ภาวะความเป็นจริงของธรรมชาติของจิตวิญญาณ จึงไม่แตกต่างจากเมฆที่มีการเปลี่ยนรูปอยู่ตลอดเวลา และพร้อมที่จะกลั่นตัวมาเป็นสสาร หรือเป็นภาวะทางกายภาพ เมื่อมีความหนาแน่นที่เกิดจากแรงปรารถนาอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับเมฆฝัน หรือ จินตภาพในความฝันที่ปรากฏในระดับต่าง ๆ กัน และสะท้อนให้เราเห็นถึงภาวะจิตในระดับต่าง ๆกัน เช่นเดียวกับการปรากฏของชาติภพ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากการดำเนินสติอย่างต่อเนื่องจากช่วงเวลาปกติจนถึงความฝัน ไม่ใช่เพราะเราไม่ฝัน แต่เพียงเพราะว่าเรามีสติในความฝัน และ ความฝันก็ปรากฏอย่างคมชัดเหมือนกับความจริงเท่านั้น เส้นทางในอนาคตล้วนมีการเริ่มต้นจากจินตนาการ และ ความคิดในระดับบุคคลจนกลายมาเป็นความฝันของส่วนรวม และรอวันกลายเป็นจริงในที่สุด ซึ่งจะปรากฏได้ก็จากการดึงดูดด้วยพลังงานที่มากพอเท่านั้น นั่นคือ พลังงานจากการกระทำที่สอดคล้อง เพราะ ความคิดเกิดขึ้นแล้ว อารมณ์ที่สอดคล้องเกิดขึ้นแล้ว รอการกระทำที่สอดคล้องเท่านั้น

จากมุมมองของจุดที่สูงกว่าเมฆ เช่นพระจันทร์ หรือ พระอาทิตย์ ก้อนเมฆล้วนปรากฏขึ้นทุกชั้นพร้อมกันทั้งหมดไม่ต่างจาก การปรากฏทั้งหลายของชาติภพ จินตนาการทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดของมนุษย์เป็นเสมือนแผ่นฟิลม์ทีละแผ่นที่ถูกดึงดูดเข้ามาตามกฏของการดึงดูดของจิต เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ทั้งของส่วนรวมและส่วนตัว เพียงแต่ว่าประสบการณ์ทั้งหลายมิได้ปรากฏเป็นเพียงแค่แผ่นฟิมล์ม้วนเดียว แต่ปรากฏเป็นแผ่นฟิลม์หลายม้วนพร้อม ๆ กัน เหมือนกับเส้นทางความเป็นไปได้ที่มีนับอนันต์ และตัดกันไปมา ที่ประสบการณ์ทั้งหลายในแต่ละเส้นทางถูกสร้างขึ้นมาด้วยจินตภาพของมนุษย์เองที่ได้ขยายแสนยานุภาพด้วยตนเอง ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า "จักรวาลขยายตัวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด" ล้วนเกิดจากผลงานของมนุษย์เองทั้งสิ้น และเส้นทางความเป็นไปได้เหล่านี้ คือตัวตนต่างชาติภพ และ ขณะเดียวกันปรากฏเป็นบุคคลที่รายล้อมในชีวิตประจำวันด้วย ดังนั้นในร่างกายของเรา หรือ บุคคลที่รายล้อมเรา จึงไม่ไช่จิตวิญญาณของเราเดี่ยวๆ หรือ ของเขาเพียงตัวตนเดียว แต่ประกอบไปด้วยจิตวิญญาณอื่นที่ปรากฏในรูปของเซลล์ และ ความทรงจำในแต่ละชาติภพ คือ ความทรงจำที่ถูกบรรจุไว้ในโครโมโซม ของแต่ละเซลล์เช่นเดียวกัน

โลกจึงปราศจาก ช่องว่าง ระยะทาง และ กาลเวลา และในขณะเดียวกันก็ปรากฏเป็นช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา เช่นเดียวกันตามมุมมองที่แตกต่างกันไป แต่ในความจริงแล้ว ทุกอย่างปรากฏฉับพลันพร้อมกันหมดอยู่แล้วในปัจจุบัน และมีการเชื่อมต่อกันและกัน อย่างเป็นระบบ ระเบียบ เพราะหากปราศจากระบบ ระเบียบ โลกจะไม่สามารถเป็นโลก และร่างกาย ภาวะทางกายภาพทั้งหลายจะไม่มีทางเป็นไปได้

แต่จากมุมมองทั้งหลายที่แตกต่างกันไปตามความเข้าใจ การมองเห็นทีแตกต่างกันไป ถูกหรือผิดย่อมเป็นเรื่องปกติ เพราะการมองจากระดับต่าง ๆกันบนยอดเขา ย่อมทำให้เห็นภูเขาในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่สำหรับ มุมมองที่อยู่เหนือยอดเขาแล้ว ย่อมมองเห็นภูเขาได้ทั้งลูก ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น

โลกุตตระ คือ เหนือโลก ดังนั้นจากมุมมองของโลกุตระ จึงทำให้เห็นภูเขาของชาติภพ ของทุกมิติได้ทั้งหมด เช่นเดียวกับ ตัวแทนของโลกุตระผู้นำสารจากธรรมชาติมาสู่โลก โดยผ่านปัญญาประดิษฐ์ทางอักษร ซึ่งก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า และ พระศาสดาทุก ๆ พระองค์ของทุกศาสนา ที่สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ หรือ สะท้อนภาพความเป็นจริงของธรรมชาติ ผ่านพระธรรม หรือ คำสอนทั้งหลาย มาสู่โลกมนุษย์


ในทางธรรม พระธรรมจึงเปรียบเสมือน คำสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า และพระศาสดาทุก ๆ พระองค์ ได้สะท้อนความเป็นจริงของสัจธรรม หรือ ภาวะความเป็นจริงของธรรมชาติผ่านทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดังนั้น ผู้ที่เคารพนับถือในองค์พระศาสดาของแต่ละศาสนา จึงควรน้อมนำเอาพระธรรม หรือ คำสอนของพระองค์มาเป็นหลักในการปฏิบัติ หาใช่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไม่ เพราะตัวตนทั้งหลายล้วนเป็นภาพลวงตาของจิตวิญญาณเท่านั้น แต่พระธรรมคำสั่งสอนทั้งหลายจะยังดำรงอยู่ต่อไป อยู่ในฐานะของผู้ที่สะท้อนความเป็นจริงของธรรมชาติ และเป็นที่รักของธรรมชาติ

ในทางโลก หากท่านเคารพรัก นับถือในข้อวัตร หรือ ปณิธานของท่านใด หรือบุคคลใด ๆที่ท่านนับถือ ท่านควรน้อมนำเอาข้อวัตร การปฏิบัติตน หรือปณิธานของบุคคลนั้น ๆมาเป็นแบบอย่าง มาเป็นหลักในการปฏิบัติและการดำรงขีวิต หาใช่ยึดที่ตัวตนไม่ เพราะตัวตนทั้งหลายล้วนเป็นภาพลวงตาของจิตวิญญาณเท่านั้น แต่การปฏิบัติ และปณิธาน ข้อวัตรที่เป็นแบบอย่างอันดีงาม จะได้รับการยกย่องในฐานะของผู้ที่เป็นแบบอย่างอันดีงามของชาวโลก และเป็นที่รักของโลก

ถ้ายึดมั่นถือมั่นที่ตัวตน หรือ อัตตา ช่องว่างระหว่างเราและเขาจะถูกโดดเดียว และแยกออกจากกัน แต่หากยึดมั่นที่ปณิธาน และการกระทำจากเจตนาที่ตั้งมั่นบนความบริสุทธิใจในการปฏิบัติ ช่องว่างทั้งหลายจะไม่มี สันติวิธีจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่จากการมีตัวตน จากความยึดมั่นในตัวกู ของกู แต่จะเกิดขึ้นจากการละอีโก้และอัตตาตัวตนเท่านั้น ความรัก ความเมตตา การให้อภัยจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ตัวตนและอัตตา จึงเป็นสาเหตุที่แท้จริงในการก่อให้เกิดช่องว่าง และการตัดขาดจากสายสัมพันธ์ในกันและกัน


เมื่อใดที่มีการถึงพร้อมการปฏิบัติตามปณิธาน ตามปัญญาประดิษฐ์ของผู้เป็นที่รักทั้งทางโลก และ ผู้เป็นที่รักในทางธรรมเมื่อนั้น ยุคศรีวิไลอันเป็นเส้นทางความเป็นได้ที่ถูกสร้างขึ้นไว้แล้ว จะถูกดึงดูดให้มาปรากฏ และกำลังรอคอยการกระทำด้วยพลังงานอันยิ่งใหญ่จากเราทุกคน เช่นเดียวกับเมฆที่พร้อมจะกลั่นออกมาเป็นน้ำฝนให้มนุษย์ทุกคนได้รับความร่มเย็นในที่สุด

ยุคศรีวิไล ยุคแห่งธรรมมิกราช และ จักรพรรดิราช ที่ทุกคนรอคอย หรือยุคที่มีการปฏิบัติจริงตามแนวทางของผู้เป็นที่รักทั้งทางโลก และทางธรรม คือยึดตามแนวทางการประพฤติ ปฏิบัติตน ที่ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด แต่มีการปฏิบัติคล้องจอง เมื่อนั้น ยุคศรีวิไลซ์ จะปรากฏ และเมื่อนั้น ครุฑจะบินคืนกลับสู่ถิ่น สถาพร

LOVE U

 

COLORS

สีทุกสีสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติที่สีรุ้ง

รุ้งย่อมมาหลังจากฝนตกฝนตกคือกลไกที่ธรรมชาติใช้ปรับสมดุลย์ให้กับโลก
COLORS = 3+15+12+15+18+19 = 82 = HB
RAINBOW = 18+1+9+14+2+15+23 =82 =HB

HB= HUMAN BASIC

พื้นฐานของมนุษย์.. เปรียบเหมือนแสงออร่าที่แสดงถึงสภาวะจิตของมนุษย์ ..
มนุษย์ทุกคนสามารถเลือกสีของตัวเองได้ และสีทุกสีก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขเช่นกัน..

LOVE YOU..

Little Duck..

 

<iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/6cLUlU0Jn_w" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


Fly us home (f)
​

 

สวัสดีเพื่อนที่รักของข้าพเจ้าทุกท่าน ถึงแม้ช่องว่างทั้งหลายจะถูกสร้างขึ้นด้วยตัวมนุษย์เอง แต่ช่องว่างของข้าพเจ้าที่แม้นจะโดดเดี่ยว แต่ก็พร้อมเสมอสำหรับท่านที่รักทุกท่าน

ช่องว่างทั้งหลายล้วนถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์ จากตัวของมนุษย์เองที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างระหว่างสัมพันธภาพของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ควรจะเกื้อกูลกันและกัน แต่ถูกแยกออกจากกันด้วยความเชื่อส่วนตัวจากความเห็นผิด และ แม้แต่ช่องว่างของกาลเวลาที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์เช่นเดียวกัน เพราะเวลาทั้งหลายเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่เวลาที่แท้จริงมีเพียงแค่ปัจจุบันขณะเท่านั้น เราทุกคนไม่ต่างจากผู้ที่กำลังเดินผ่านภาพมายาเป็นฉาก ๆที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจิต หรือ ความรู้สึกนึกคิด ความรู้ความทรงจำของตัวเอง และ จินตภาพที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้นภายในช่องว่าง รอเวลาให้จิตได้เติมเต็มผ่านภาวะทางกายภาพ หรือ ตัวตนของมนุษย์ตนใดตนหนึ่งที่มีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงพอที่จะดึงดูดปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาในช่องว่างนั้นมาสู่ชีวิต และนี่คือวิธีการที่จิตใช้ในการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ผ่านภาวะทางกายภาพหรือตัวตนของมนุษย์ ไม่ว่าจินตภาพนั้นๆจะถูกสร้างจากใคร หรือจากตัวตนใดก็ตาม ทุกอย่างเกิดขึ้นจากกฏแห่งแรงดึงดูดของ สิ่งที่เหมือนกันย่อมดึงดูดกันและกัน และ ทุกประสบการณ์ล้วนเป็นภาพสะท้อนของภาวะจิตตนเองทั้งสิ้น (เหมือนกันทั้งภายนอกและภายใน) เพราะสิ่งที่ถูกคิดไม่สูญหายแต่อยู่ในรูปของปรากฏการณ์ที่มีลักษณะเหมือนเงาภายในช่องว่างที่แลดูเหมือนว่างเปล่ารอบ ๆตัวเรา ช่องว่างทั้งหลายที่เราเห็นล้วนถูกบรรจุและอัดแน่นไว้ด้วยปรากฏการณ์มากมายที่ตาเนื้อไม่สามารถเห็นได้ ฉะนั้น เราทุกคนจึงมีความเกี่ยวข้อง และมีสายสัมพันธ์อันเกี่ยวเนื่องจากการกระทำทั้งทางกาย และทางจิตของกันและกัน สิ่งเดียวที่สร้างช่องว่างขึ้นมาคือ การพยายามมีตัวมีตนของมนุษย์เอง ด้วยความปรารถนาอันมีตัวตนเป็นที่ตั้ง และการตัดขาดจากสายสัมพันธ์ที่มนุษย์ควรมีให้สรรพสิ่งทั้งปวงตามธรรมชาติ สายสัมพันธ์ที่ตัวตนทางกายภาพของมนุษย์เองเป็นเพียงแค่พาหนะของจิตที่ใช้ในการเรียนรู้ถึงการมีประสบการณ์ทางกายเนื้อที่อยู่ใต้เครื่องพรางของประสาทสัมผัสทั้งห้าในมิตินี้เท่านั้น

การที่จะเข้าใจถึงภาวะเช่นนี้ได้ จำเป็นจะต้องเกิดจากการปฏิบัติ และ ทดลองเอง ซึ่งก็มี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่เกิดจากอัจฉริยภาพทางปัญญาของมนุษย์ที่สร้างโดยมนุษย์ และสามารถนำพาให้มนุษย์เข้าถึงความเป็นจริงของแก่นแท้ตามธรรมชาติของสายสัมพันธ์นี้ได้ผ่านวิธีการที่เรียกว่า สมาธิ รูปแบบของสมาธิสามารถทำให้ผู้ฝึกและปฏิบัติสามารถเข้าถึงความจริงที่ว่า ร่างกายของมนุษย์เป็นเพียงแค่เครื่องมือของจิตในการมีประสบการณ์ทางกายภาพเท่านั้น แต่เพราะความมีมานะ และความที่คิดว่านี่คือตัวเราของเรา รวมถึงความปรารถนาทั้งหลายที่ถูกสร้างจากความอยากมี อยากเป็น จึงทำให้จิตเต็มไปด้วยความรู้ ความทรงจำ ความต้องการกลับมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความเคยชิน และความเคยชินในส่วนนี้เองที่ทำให้จิต ถูกดึงดูดด้วยแรงปรารถนา หรือ "กิเลส" ให้อยู่บนโลก หรือ เวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกอย่างไม่สิ้นสุด และเมื่อใดที่จิตเกิดการเรียนรู้ถึงความจริงในข้อนี้อย่างชัดเจน หรือเรียกได้ว่า ได้เปลี่ยนความเชื่อ ให้เป็นความรู้ได้อย่างถูกต้องอย่างแท้จริง เมื่อนั้น จิตจะหลุดจากพันธนาการจากแรงดึงดูดของโลก และเป็นอิสระ กลับสู่สถานที่ "เหนือโลก ที่ไม่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย" อีกครั้ง FLY US HOME (ขอขอบคุณคีย์จาก น้องสตธศร) และการเป็นอิสระจากพันธนการของจิต จากแรงดึงดูดของโลก หรือ จากวัฏสังสารนี่เอง เปรียบได้กับ ครุฑที่เปรียบเสมือน พาหนะของพระนารายณ์ ที่จะได้โบยบินกลับสู่บ้านอีกครั้ง (ขอบคุณคีย์จาก คุณไร้กรอบ)

ท่านที่รักเอย หลายท่านคาดหวังในสิ่งใหม่ ๆบนโลกใบใหม่ ๆ แต่ข้าพเจ้าขอยืนยันอีกครั้งว่า ทุกอย่างล้วนเกิดอยู่บนโลกใบเดิม และ สัจธรรมเดิม ๆ คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า และ พระศาสดาทุกองค์ล้วนตั้งอยู่บน พื้นฐานของปัญญาอันเกิดมาจากความเข้าใจถึงแก่นแท้ของธรรมชาติเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย ไม่ว่าจะในอดีต หรือ ในกาลอนาคต คำสอนทั้งหลายล้วนไม่เปลี่ยนแปลง แต่มาจากแก่นแท้เดียวกันทั้งสิ้น ไม่ว่าคำอรรถอธิบายของแต่ละศาสดา ของแต่ละยุคจะแตกต่างกันเพียงใด แต่หากพิจารณาถึงแก่นแท้แล้ว จะพบได้ว่าล้วนอธิบายไปในแนวทางเดียวกัน และเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น

ความเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นจากมุมของตัวเองฝ่ายเดียว ย่อมสร้างความร้าวฉานให้กับมุมอื่น ๆ
ความรู้ในความเป็นจริง หรือ แก่นแท้ของสิ่งที่เห็นจากทุกมุม จะสร้างความรักให้แก่กัน

ช่องว่างทั้งหลายเชื่อมต่อกันได้จาก การเปิดใจ และ ให้อภัยกันด้วยความรัก ความเมตตา และการเข้าถึงความจริง ด้วยการทดลองปฏิบัติเอง

ยุคใหม่ ยุคของการปฏิบัติด้วยตนเอง และเรียนรู้จากตัวเอง


LOVE U

 

ข้อความเก่า นำกลับมาทำใหม่อีกครั้ง
JINTAWADEE
สมาชิก

วันที่สมัคร: Sep 2007
ข้อความ: 1,088
พลังการให้คะแนน: 405


HAPPY BIRTH DAY LITTLE DUCK
สุขสันต์วันเกิด ลิตเติ้ลดั๊ก









HAPPY BIRTHDAY ..
JINTAWADEE 25/11/2553


NEW UNIVERSE..


BI CELEBRATION
BI = การมาเป็นคู่

WELCOME BI ขอต้อนรับการกลับมาเป็นคู่ เพื่อการทำใหม่ทำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

 

MOMENT ชั่วขณะจิต

สายลมแห่งรัก

รักเคยพัดผ่านมา แล้วลับลาดั่งลม
ทิ้งเพียงความขื่นขมอยู่ในใจ
เฝ้ารอใครสักคน เมื่อสายลมพัดมาใกล้
อาจเจอใครสักคนที่ไม่ผ่านเลย

เพียงสายลมแผ่วๆ ทำให้ใจสั่นๆ
เธอคนนั้นเหมือนคนในฝันของใจ
เพียงสายตาตรงกัน ทำให้ใจไหวๆ
อยากจะรักอีกครั้งได้ไหม ฮึมๆ

สายลมแห่งรักพัดมา ขอจงอย่าพารักไป
อย่าพัดให้เธอ ห่างไกลให้เราห่างกัน
หากลมได้ยินหัวใจ ขอจงเมตตาบ้างสักครั้ง
ให้รักได้อยู่คู่กัน ให้เธอได้อยู่คู่ฉันตลอดไป

หัวใจที่ขาดรัก เหมือนฟ้าที่ขาดดาว
ทุกค่ำคืนเงียบเหงาและอ้างว้าง
ได้เจอเธอวันนี้ เหมือนดังปาฏิหาริย์
ฟ้าบันดาลให้รักมาเกิดกลางใจ

เพียงสายลมแผ่วๆ ทำให้ใจสั่นๆ
เธอคนนั้นเหมือนคนในฝันของใจ
เพียงสายตาตรงกัน ทำให้ใจไหวๆ
อยากจะรักอีกครั้งได้ไหม ฮึมๆ

สายลมแห่งรักพัดมา ขอจงอย่าพารักไป
อย่าพัดให้เธอ ห่างไกลให้เราห่างกัน
หากลมได้ยินหัวใจ ขอจงเมตตาบ้างสักครั้ง
ให้รักได้อยู่คู่กัน ให้เธอได้อยู่คู่ฉันตลอดไป

สายลมแห่งรักพัดมา ขอจงอย่าพารักไป
อย่าพัดให้เธอ ห่างไกลให้เราห่างกัน
หากลมได้ยินหัวใจ ขอจงเมตตาบ้างสักครั้ง
ให้รักได้อยู่คู่กัน ให้เธอได้อยู่คู่ฉันตลอดไป

ให้รักได้อยู่คู่กัน ให้เธอได้อยู่คู่ฉันตลอดไป (ซ้ำ 3 หน)

 

<iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/r6zVDN-WBMg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

มีหนังอีกเรื่องหนึ่งมาฝากค่ะ ​

 

​

 

<iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/30OaM6b48k8" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​

 

เธอกลับมา...ฉันจึงต้องมา ..... สวัสดี

 

เพราะเธอ...ฉันจึงต้องมา เพราะเธอเป็นสายใยจากหัวใจฉัน

 

อยากรู้หรือมนุษย์เป็นเช่นไร?

ไม่ใช่มนุษย์ปัจจุบัน....

ไปดูมนุษย์แห่งอดีตสิครับ.....

มนุษย์ ดั้งเดิม......อดัม อีฟ

เธอเห็นอะไรไหม?....ความถูกต้อง จริงแท้

ฉันจะเล่าอะไร?

มนุษย์ปัจจุบัน ตายแล้วมีอะไร? เหลือไหม?

ความดี ความชั่วถูกไหม? ความดีความชั่ว มีลักษณะอย่างไร? ที่ปรากฏ

มนุษย์ปัจจุบันชั่วได้อย่างไร? เธอรู้ไหม?

ตอนต้นฉันกล่าวถึงใคร? ก็ไปศึกษา ความจริงอยู่ตรงนั้น

รู้ใช่ไหมว่า ความดีไม่สูญ ความชั่วก็ไม่สูญ ท่องกันมานานนม

ความดีปัจจุบัน ความชั่วปัจจุบันมีรากเหง้าจากอะไร?

เพราะ มนุษย์ปฏิเสธใคร? เพราะ มนุษย์ไม่เชื่อใคร?

เพราะ มนุษย์เลือกเอง เพราะมนุษย์....มีมากมายที่ผิดตั้งแต่ต้น

ถามว่า ความชั่วเหล่านั้นยังมีไหม หรืออีกนัย ตัวตนที่เป็นต้นเหตุ

ของความชั่วเหล่านั้นยังมีไหม ???

คำตอบ เธอน่าจะรู้ดี อะไรคือสิ่งที่ควร สัมผัสรู้

อย่าหลงไปกับตำราแปลกปลอม อย่างหัวทิ่ม

เมื่อเธอรู้ในสิ่งที่ผิดดั้งเดิมของมนุษย์ เธอจึงจะได้กลับคืนสู่ฟ้า

ครุฑจะได้กลับคืนสู่ฟ้า .... แต่สำหรับเหล่าทรยศต่อความดี

แม้จะสร้างความดีเท่าใด? ก็ไม่สามารถคืนสู่ฟ้าได้

ทำไมงั้นเหรอ เพราะว่า มันคือดิน เพราะว่ามันมาจากดิน

อยู่ได้เพียงดิน ดินคือบ้านเกิดของพวกมัน

ผู้มาจากฟ้าเท่านั้นจึงจะได้กลับ

ผู้ที่นอบน้อม(ใครนั้น??? มนุษย์รู้ดีแต่ปฏิเสธ และกระโดดข้ามหัวและกระทำในสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรจะทำ)
ผู้ที่ปฏิบัติตนเทียมฟ้า ผู้ที่สละตน(ทำและสรรสร้างความเจริญที่ดี)
ผู้ที่มีสัจจะ
และ.......

 

มนุษย์ดั้งเดิม เป็นเช่นไร คุณรู้ไหม

มนุษย์ดั้งเดิม มีกี่ประเภท คุณรู้ไหม
ึ
มนุษย์ดั้งเดิม อยู่ที่ไหน คุณรู้ไหม

.................แล้วคุณจะกลับบ้าน

คุณควรทำอย่างไร .... ออ ไปสถานที่ๆ มีศีลเยอะๆ เหรอ

ปรุงแต่งเพราะอะไร .... เพราะความชั่วเยอะ จึงปรุงแต่ง

ให้มีศีล(ข้อวัตร...นี่เป็นเรื่องปรุงแต่งล้วนๆ)

เมื่อเธอยังอยู่ในวัตร เมื่อเธอยังยึดถือวัตรซึ่งเป็นสิ่งปรุงแต่ง

แล้ว .... เธอก็ไม่แตกต่างจากมนุษย์ปรุงแต่งปัจจุบัน (ในคราบของนักบุญ)

เธออยากกลับ เธอก็ต้องสลัดทิ้ง และดูสิ่งรอบข้างจากธรรมชาติ

สามัญสำนึกของตนเองจริงแท้ ไม่มีการปรุงแต่ง(กรอบที่รัดตรึงเธออยู่ เพื่อ

ให้กรอบนั่นฉาบตัวเธอว่า เธอคือผู้ที่สุดยอด เพราะหลงคิดว่าตนเองมีกรอบสุดยอด)

เธอก็จะรู้ว่า สิ่งเหล่านั้น เธอมีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอีกต่อไป

เธออาจจะไม่ชอบสิ่งที่ฉันกล่าว แต่นี่เป็นสันดานของมนุษย์จริงๆ

เพราะคิดว่ามีกรอบที่ตนเองปรุงแต่ง เพื่อโอ้อวดว่าดีแล้ว เพื่อทับถม

อวดอ้างตนเองเลิศ กว่าใครๆ .... ดีแล้วเหรอ การปรุงแต่งแบบนี้ โดยที่

ละเลยธรรมชาติของตนเอง ธรรมชาติที่ตนเองอาศัยอยู่

 

มนุษย์ ผิดพลาดเริ่มจากไหน ก็ปรับปรุงตนตรงนั้น...เธอดันทุรังปรับปรุงอย่างโน้นอย่างนี้ ปรับโน้นปรับนี้และทึกทักว่าวัตรของฉันเยี่ยมกว่าของใครเป็นไหนๆ .... กล้วยทอดก็ช่วยอะไรเธอก็ไม่ได้

เพราะเธอยึดสิ่งปรุงแต่งของเธอเองและหลงไปกับมัน
เธอเรียนมัธยมเข้ามหาลัย เธอจะรับของใหม่หรือของเก่า...จริงอยู่ของเก่าเป็นพื้นฐานความเข้าใจ...แต่นี่คือธรรมชาติ เมื่อไปสิ่งใหม่ สื่งเก่าวัตรเก่าก็ต้องจัดเก็บไปหรือก็ไม่ได่ใช้อีก หรือก็อาจจะลืมมันไป...นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับ....เมื่อเธอออกจากมหาลัย เธอได้นำทุกสิ่งในมหาลัยมาใช้ไหม...เธอเลือกที่จะใช้บางสิ่งหรืออาจจะไม่เลือก

ทำนองเดียวกัน ความรู้ที่เธอได้รับที่คิดว่าเจ๋งแล้วยอดเยี่ยมแล้ว...แต่เมื่อเธอได้ออกจากกรอบเล่านั้นแล้ว เข้าใจสภาวะความจริงแล้ว...เธอจะเห็นเองว่าสิ่งไหนคือความถูกต้อง สิ่งไหนคือความรู้ที่แท้

 

ทำนองเดียวกัน..เมื่อเธอสมัครเข้าทำงานที่ใหม่ เธอต้องทำตัวเช่นไร...เธอจะบอกว่าฉันจบเกียรตินิยม..มาน่ะ...เธอ( บริษัทที่เธอสมัคร ) จะต้องให้เงินเดือนฉันเท่านี้ ฉันต้องได้ทำงานแบบนี้ ฉันมีเกรดสูง ฉันมาจากสถาบันอันมีเกียรติสูงน่ะ....เธอไปสัมภาษณ์งานเธออวดตัว อวดความรู้ไหมล่ะ....เธอก็ต้องอ่อนน้อม เธอก็ต้องละสิ่งที่เธอภูมิใจในอดีต เธอจึงอาจจะได้งาน ได้รับการว่าจ้าง....แต่หากเธอลองยึดความรู้ที่เธอมีแล้วไปพ่นใส่ผู้สัมภาษณ์เธอ...เธอว่าเธอจะได้รับเลือกไหม....เธอรู้เธอเรียนธรรมวัตรมามากมาย เมื่อถึงเวลาโบยบินเธอก็ต้องเก็บความรู้ไว้ก่อน เรียนรู้สิ่งใหม่เธอจึงจะก้าวหน้า

 

ยินดีที่ได้อ่านบทความของท่านอีก
เว็บนี้เมื่อไม่มีท่านPhuditแล้วเงียบมาก
รออ่านบทความอยู่นะครับ

 

เราจะกลับมาอีก เร็วๆนี้ ส่วนกระทู้นี้พลังงานหมดตั้งแต่ ก.พ. 60 แล้ว

 

• เปิดกระทู้
• CONFIRM FULFILL FUNCTION
• ยืนยันการเติมเต็มข้อมูล