บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    นิทานสักน้อย ได้พบวาระที่ทำให้คลายความสงสัย

    มีอยู่ช่วง ครูบาอาจารย์ให้ฝึกสติเพิ่ม โดยบอกว่าให้มีสติตลอดเวลา เราผู้มีปัญญาน้อย

    ยังถามกลับไปว่า จะเป็นไปได้ยังไง ที่คนจะมีสติตลอดเวลา

    ท่านตอบกลับมาว่า มี เรียกว่า มหาสติ

    เราก็ได้แต่รับฟัง และพยายามปฎิบัติ แต่ยังไม่ได้เรื่องได้ราว ในใจก็ยังติดข้องว่าเป็นไปได้ยากในปัจจุบัน

    วาระที่ได้เจอท่านผู้หนึ่ง มีมหาสติโดยธรรมชาติ มีสมาธิเล็กน้อย มีคุณธรรมมาก บารมีมาก

    ได้ลองทบทวนว่าต้องทำยังไงบ้างจึงจะมีแบบนี้ได้ ก็ต้องมี หิริ โอตัปปะ ศีล 5 กรรมบท 10
    พรหมวิหาร 4 โดยปกติ
    แล้วต้องมี การปฎิบัติแบบ มหาสติปัฏฐานสูตร และ โยนิโสมนสิการเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

    ได้ลองปฎิบัติดู แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ได้เรื่อง รู้สึกเหมือนจะขาดใจ

    คิดถึงคำที่เคยบอกเพื่อนทันที ว่าต้องหาข้อธรรมที่ทำให้เราสั่นทะเทือนได้มาปฎิบัติ
    ถือเป็นวาระที่พบเจอโดยบังเอิญ

    เหมือนกับช่วงแรกๆ ที่ไม่รู้ว่าจะปฎิบัติอะไรดี ก็เลยเปิด กรรมฐาน 40 แล้วลองทำไปเรื่อยๆ
    จนมาเจอ อสุภะ ที่ทำให้ใจสั่น
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สาธุ อนุโมทนาค่ะ ของจริงได้กับคนจริง ต้องพบเจอกับเหตุการณ์จริง ธรรมสู่ใจหรือเกาะอยู่แค่ขันธ์ห้า ก็รู้ได้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ค่ะ

    ทุกวันนี้เราแทบไม่ได้คิดอะไรเลยที่เป็นไปทั้งโลกและธรรม อยู่กับสติ ทำกิจไปตามเหตุ ก็สบายดี ใจสบาย

    อืมนานแล้วหละ เช้าวันหนึ่งก่อนลืมตาตื่น มีเสียงบอกว่าจิตทรงอรูปฌาน

    หรือว่าความสบายใจเกิดจากจิตทรงอรูปฌานหรือป่าว เวทนาหาย วิญญานหาย สังขารหาย สัญญาก็เหมือนจะมีแต่ก็ไม่มี เหมือนจะหายแต่ก็ไม่หาย ตั้งใจคิดนึกไม่ได้ ตกลงคืออัลไซเมอร์ป่าวเนี่ย 555
     
  3. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    คนจำนวนมากชอบไปคิดว่า อรูปฌาน ทำให้เนิ่นช้า

    แต่เราคิดว่า ถ้าปฎิบัติไปจนถึง จิตเราปล่อยวางรูป มันก็ต้องไป อรูป

    มันแค่เป็นผลจากการปฎิบัติ จิตปล่อยวางไปเอง จะไปห้ามได้ไง ก็ปฎิบัติมาเพื่อปล่อยวาง

    5555 หน้าที่เราคือ ภาวนา อย่างเดียว พอเราขี้เกียจ เดี๋ยวก็จะนึกถึงคำสอนครูบาอาจารย์

    ถ้ายังหายใจ ก็ต้องภาวนา
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จริงๆ เราปฏิบัติแบบไม่หวังมรรคผลอะไรนะ แค่หนีนรกเท่านั้นเอง 555 ยอมรับว่ากลัวนรก จึงปฏิบัติสั่งสม ทาน ศีล ภาวนา ขอแค่ตายแล้วไม่ตกนรกก็พอ ส่วนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น เรามองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเวียนว่ายต่อไปตราบใดที่ยังไม่นิพพาน เอาแค่ตายแล้วไม่ตกนรกก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ส่วนจะไปต่อที่ไหนก็ยอมรับได้ทั้งหมด

    ทีนี้พอปฏิบัติแบบไม่หวังผลไกล คือแก้ทุกข์ประจำวันไป กินได้ นอนหลับ อารมณ์ไม่ขุ่นมัว มันก็ถูกสั่งสมไปโดยไม่ตั้งใจ เหมือนตักน้ำใส่ตุ่ม จริงเลยนะอุปมาอุปมัยนี้:D
     
  5. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ก็เหมือนกันอ่ะนะ การไปหวังผล ทำให้ใจไม่โปร่ง

    ไปเรื่อยๆ ไม่เหนื่อย ไม่หยุด แต่พักบ่อย 555

    เอาแค่หนีนรก
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คนเราตายเกิดและสั่งสมเหตุปัจจัยต่างๆ มาไม่เหมือนกันค่ะ

    บางคนเกิดมาเพื่อ....
    บางคนเกิดมาเพราะ....

    จะเกิดมาเพื่อหรือเกิดมาเพราะ ก็ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่แน่ๆ หากยังมีนิมิตและสภาวะ ก็ยังไปไม่ถึงปลายทาง ที่รู้ๆ นิมิตและสภาวะต้องให้หายหมดไปค่ะ

    เราก็เดินเล่นต่อไปพร้อมกับเจริญสัมมัปธาน 4 ควบคู่ไป สติปัฏฐาน4 ควบคู่ไป.... ไปๆ มาๆ ก็จบที่โพธิปักขิยธรรม...:D
     
  7. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    นิทานสักเรื่อง

    แปลกใจมานานกับ พรหมวิหาร 4
    ไม่ว่าจะฝึกอะไรใหม่ ครูบาอาจารย์มักให้ทรงพรหมวิหาร 4 ก่อน ตลอด
    จำได้ว่า วนมาทรงอารมณ์นี้ รอบที่ 7 แล้ว
    เวลาแผ่เมตตา ก็รับรู้ได้ว่า เกิดความเย็นขึ้นในกาย
    หาคำตอบมาหลายวัน ก็ไม่ได้
    เลยกำหนดจิต ถามไปในจักรวาลเลย ว่าทรงอารมณ์นี้ดีอย่างไร

    ตอบกลับมาว่า
    1.จิตเบา
    2.กิเลส ลด
    3.ไม่ค่อยเจ็บป่วย
    4.ไม่ตกนรก

    ข้อ 1-2 ก็เข้าใจ แต่ข้อ 3 เริ่มแปลกใจ ข้อ 4 นี่ แปลกใจมาก
    แล้วก็รับรู้ต่ออีกว่า
    เมตตา มีผลกับธาตุดินมาก
    กรุณา มีผลกับธาตุน้ำมาก
    มุทิตา มีผลกับธาตุลมมาก
    อุเบกขา ไม่ได้คำตอบมา หาคำตอบเองก็ไม่ได้ ติดไว้ก่อน

    จึงทำให้ความแปลกใจเรื่องไม่ค่อยเจ็บป่วย หายไปหมด เพราะอย่างนี้นี่เอง
    แต่ข้อ 4 ที่ไม่ตกนรก ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
    แต่ท่านบอกมาแบบนี้ เหมือนกับเจอขุมทรัพย์เลย
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อนุโมทนาด้วยค่ะคุณhastin
    เมื่อเข้าผุดเรื่องแจ้งโลก แจ้งจักรวาล แจ้งสัจจะ
    แต่เล่าไม่ได้นะ
     
  9. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    เริ่มเข้า วิมุตติ แล้ว มันเป็นสิ่งที่พวกเราต้องเรียนอ่ะ
    เมื่อไรที่เรียนเรื่อง อนัตตา จะเหวอ จะรู้สึกเหมือน คว่ำกระจาดไปเลย ไม้ต้องยึดอะไรเลย
     
  10. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ตอนนี้คุณ nouk เลยเราไปแล้ว
    เพราะว่า
    1.ลดความพอใจในสิ่งนั้น
    2.ลดความยินดีมากเกินปกติในสิ่งนั้น
    3.ลดการคำนึงในสิ่งนั้น
    4.ตัดใจในสิ่งนั้น

    รู้สึกดีใจ จะได้มีคนให้ดูเป็นแบบอย่าง :D
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เป็นปัจจุบันมากขึ้นค่ะ ปัจจุบันขณะ ทำกิจตามกาล กายดูจิต จิตดูกาย โดยไม่ต้องไปกำหนดแทรกแซงใดๆ ความคิดเหลือน้อยลงจริงๆ ไม่มีความติดใจ ตรงนี้ชัดมาก

    พูดน้อยลง คงเป็นเพราะเคยพูดมากไปแล้ว 555:p
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พุทธานุสสติ พุทธานุภาพ

    ตอนนี้กำลังปั้นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ปางเปิดโลก ขนาดองค์พระสูง 56 เซน มีพระมาเห็นรูปขณะปั้นท่านก็เลยขอให้ปั้นถวายสักองค์ ท่านจะนำไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุจอมกิตติ จังหวัดเชียงราย ก็เลยน้อมถวายองค์ที่กำลังปั้นอยู่นี้

    องค์นี้เริ่มปั้นตั้งแต่เดือน พย.60 จนถึงวันนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ค่ะ ปั้นแบบช้าๆ เรื่อยๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    นิทานสักนิด
    นิมิตไปว่า ท่านที่จะไปพรหมอย่างน้อยจะต้องมี 1 อย่างในนี้ พร้อมกับกรรมดีที่ทำไว้ในชาตินั้น
    1.เข้าฌาน 4 ตอนตาย
    2.ทรงอารมณ์ พรหมวิหาร 4 อย่างน้อย 4 ปีก่อนตาย
    3.มีความเมตตา เป็นอารมณ์ปกติ ที่เรียกว่า นิสัย
    4.สร้างวิหารทานไว้มากมาย
    5.จิตปล่อยวาง อรูป
    6.แผ่เมตตาทุกวัน เวลา 15 ปี มีศีลปกติ
    7. ไม่มีความพยาบาทเลย
    8.ได้รับพรเพราะความดีที่ทำ สาธารณประโยชน์ มากมาย

    คุณ nouk คิดว่าทำข้อไหนดี
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะคุณ hastin มาลองภูมิกันซะงั้น
    พรหมชั้นไหนคะ ถ้าเป็นชั้นสุทธาวาท ต้องเป็นพระอนาคามี จิตจะทรงอรูปฌาน หรือและพรหมวิหารสี่เป็นวิหารธรรม เรื่องพยาบาทสำหรับพระอนาคามีคงไม่ต้องพูดถึง

    ความจริงได้ทุกข้อเลยนะ คุณคงต้องเลือกเองตามถนัดแล้วหละ ทั้งเทวดา พรหม ก็ยังเป็นเรื่องของวัฏฏะ เราไม่เคยคิดเลยว่าตายแล้วจะไปไหน แต่ที่แน่ๆ นรกไม่ไปเด็ดขาด และไม่คิดถึงเทวดาและพรหมด้วย

    ข้อ 1 น่าจะเป็นเรื่องถนัดของคุณนะ
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สิ่งที่เราปฏิบัติเป็นประจำเลยก็คือ สวดมนต์ ทำสมาธิและแผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน พอล้มตัวลงนอนต้องบริกรรมพุทโธ จนเกิดความสงบ แล้วจึงสมาทานศีล สวดมนต์ในสมาธิและแผ่เมตตา จากนั้นบริกรรมพุทโธต่อไปจนหลับ

    ระหว่างวัน ถ้าจะต้องเดินไปไหนมาไหนนอกบ้าน เราจะเดินบริกรรมพุทโธ

    ความจริงพุทโธหายไปนานหลายปี บริกรรมไม่ขึ้น เราเพิ่งมาเริ่มใหม่เมื่อตอนที่เข้าไปในกระทู้นิทานเรื่องพญานาค เพราะอยากมีนิมิตเอามาเล่าบ้าง

    เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีนิมิตแล้ว จิตเพิกนิมิต เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้ก็เหมือนไม่รู้ ไม่ตื่นเต้นหรืออยากรู้เหมือนเมื่อก่อน เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    โพสต์ไว้ที่เฟสบุค เมื่อ 26 กุมภา 2016 นำมาลงให้อ่านกันค่ะ เผื่อจะมีประโยชน์บ้าง

    ....วันนี้นึกคำๆ หนึ่งขึ้นมาได้ เอามาฝากกันนะ

    ปุญญาภินิหาร หรือบุญญาภิสังขาร หรือบุญญาธิการ

    แต่ให้อ่านปุญญาภิสังขารก่อน เพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจ ท่านพ่อลี ธมฺธโร ได้กล่าวไว้ว่า.....

    ปุญญาภิสังขาร นึกคิดปรุงแต่ง ไตร่ตรอง พินิจพิจารณา หาทางจะสร้างคุณงามความดีของตนให้เกิดขึ้น นี่ท่านเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร

    เมื่อมันหลง ทีนี้ การทำบุญ ก็ไม่รู้สิ่งใดเป็นบุญเป็นบาป แต่มันก็อยาก มันอยากได้บุญ แต่ไม่รู้สึกสิ่งผิดสิ่งถูก การรักษาศีลก็อยากดี แต่อะไรเป็นศีลไม่รู้จัก เจริญสมาธิภาวนาก็เหมือนกัน อยากได้อยากดี อยากมีอยากเป็น แต่อะไรมันเป็นสิ่งที่ผิด เป็นมิจฉาสมาธิ ไม่ทราบ อะไรถูก เป็นสัมมาสมาธิ ไม่ทราบ แต่อยากได้ตะบันไป นี่เรียกว่าโมหะ คือรู้ไม่ถูกตามความจริง ไม่ใช่ไม่รู้ รู้เหมือนกัน แต่ไม่ถูกความจริง ท่านเรียกว่าโมหะ เหมือนกับคนหลงทาง คนหลงทางนั้นแหละมันไปได้เหมือนกัน แต่มันเดินไม่ถูกทาง อย่างเราจะไปกรุงเทพฯ ทีนี้เราหลง เราเดินทางไปบางปู นั่นมันไม่ถูกกรุงเทพฯ มันไปถูกบางปู แต่มันก็ไปได้ ไม่ใช่ว่าหลงนะ มันไปไม่ได้ ไปได้ แต่มันผิดทางที่เราต้องการ มันผิดหวังที่ความปรารถนาเท่านี้เอง นี่ท่านจึงจัดว่า เป็นตัวมาร

    ปุญญาภิสังขาร คือคิดแต่งบุญ แต่งบาปสับสร้างความดีในทางจิต แต่มันก็สำเร็จไม่ได้ เมื่อสำเร็จไม่ได้ ใจก็เสีย อย่างพระยาศรีธรรมาโศกราช ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป มีอำนาจบริหารประเทศชาติบ้านเมืองโดยสองวิธี วิธีหนึ่ง ท่านเป็นผู้มีปุญญาภินิหาร ปกครองประชาชนด้วยคุณภาพ ด้วยความเคารพ ด้วยการเชื่อถือ ด้วยการบูชา และปกครองด้วยอำนาจอิทธิพล ประชาชนจึงราบคาบ

    ในทางพระศาสนาท่านก็ได้ช่วยเหลือบำรุง ส่งเสริม สับสร้างความดี สร้างเสียจนเกิดโทษ คือถวายทาน ถวายจตุปัจจัยแก่พระภิกษุสงฆ์มิได้ขาด ต่อมาวันหนึ่ง ท่านคิดว่า เราจะเอาเงินเอาทองมา เพื่อไปแลกเปลี่ยนเครื่องไทยทาน มาถวายเป็นพุทธบูชา ถวายเป็นธรรมบูชา ถวายเป็นสังฆบูชา มาดำริคิดนึกตรึกตรองอยู่อย่างนี้ การทำก็ยังไม่เป็นที่พอใจ ทรัพย์สินเงินทองก็ยังไม่สมปรารถนา พอดีเกิดอาพาธ

    เมื่อเกิดอาพาธขึ้น ก็อยากจะรีบทำบุญเสียให้สมความคิด จึงให้อำมาตย์ไปเบิกเงินในท้องพระคลัง ซึ่งเป็นของรัฐบาล แต่มีส่วนของพระองค์ด้วย เรียกว่าพระคลังข้างที่ เมื่อไปเบิก ขุนคลังเขาก็ไม่ยอมจ่าย คือเขาเห็นว่าเป็นสมบัติของแผ่นดิน ไม่จ่ายทรัพย์สินให้แก่อำมาตย์ อำมาตย์ก็ได้มากราบทูลถวายแก่พระยาศรีธรรมาโศกราช พระยาศรีธรรมาโศกราชเกิดเสียพระทัย ว่าสมบัติของกู เมื่อต้องการเอามาถวายทานให้เป็นพุทธบูชา ให้เป็นธรรมบูชาเป็นสังฆบูชา ก็ไม่สมหวัง ใจเสีย

    ในขณะใจเสียนั่นแหละเลยสวรรคต คือสิ้นลมหายใจ เมื่อตายไปจากโลกนี้ ด้วยความคิดไม่พอใจในขุนคลังที่รักษาทรัพย์ ด้วยอำนาจจะสร้างความดี ตายแล้วเลยไปเกิดเป็นพญางู เป็นงูเหลือมใหญ่ คอยเลื้อยไปเลื้อยมาอยู่ใกล้พระคลังทรัพย์สินของพระเจ้าแผ่นดิน ต้องเฝ้าทรัพย์อยู่เป็นเวลาหลายวัน กีดกันกั้นคุณงามความดีของตน ความดีที่สร้างไว้นั้น ตั้งแต่ยังมีชีวิตได้สร้างความดีไว้ด้วยประการต่างๆ สร้างวัด สร้างพระเจดีย์ปลูกต้นโพธิศรีมหาโพธิ์อย่างมากมาย ถวายทานแก่พระเจ้าพระสงฆ์อย่างมากมาย รักษาศีลฟังเทศน์

    แต่ว่าเวลาแตกดับทำลายขันธ์ก็น่าจะไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพยดา หาเป็นเช่นนั้นไม่ กลายไพล่ไปเกิดเป็นงู อันนี้คือความดี เจตนาดี จะสร้างบุญสร้างกุศลให้เกิดขึ้นแก่ตน ไม่สมคิด ดวงจิตเศร้าหมอง กลายไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เหตุนั้น ปุญญาภิสังขาร ความคิดนึกหรือความเริ่มริในดวงจิต แม้จะเป็นทางบุญก็ยังกลายเป็นมารได้ นี่ตัวอย่างในเรื่องปุญญาภิสังขาร กลายเป็นมารของตัวได้
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สติที่แล่นไปสู่วิมุติ

    …รับรู้แล้วให้ตั้งอยู่ให้ได้ รับรู้แล้วไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งนั้น รับรู้แล้วมีสติตั้งมั่นอยู่ การที่มีสติตั่งมั่นอยู่ นั่นคือการที่มีเชือกผูกเอาไว้ ชักโยงเอาไว้ ผูกในที่นี้ไม่ใช่ลักษณะรัดรึงไปไหนไม่ได้ แต่ผูกเอาไว้ลักษณะที่มีการควบคุม……เมื่อไหร่ที่เชือกนั้นยังผูกอยู่กับเสาเขื่อนเสาหลัก เมื่อไหร่ที่เรายังมีสติไม่ลืมหลงลมหายใจ ความคิดอาจจะมี สิ่งนั้นก็จะค่อยๆอ่อนแรงลงไป เหมือนสัตว์ที่มันพยายามดึงๆๆ มันไม่ไป เพราะว่ามันมีเชือกอยู่ มันก็จะค่อยอ่อนแรงลงๆ ลางที่มันเป็นอย่างงี้ ดึงเชือกจนขาด เชือกขาดก็เข้าลักษณะว่า เราลืมหลงลมหายใจ…ถ้าเชือกขาดอย่างงี้แล้วเป็นอย่างไง วิธีแก้ก็คือ นึกได้เมื่อไหร่ ก็เอาเชือกมาผูกใหม่เท่านั้นเอง ง่ายมาก เหมือนกัน เวลาที่เราหลงลืมลมหายใจไปแล้ว ..เรานึกได้เมื่อไหร่ ระลึกได้เมื่อไหร่ ก็ให้มารู้ลมหายใจเหมือนอย่างเดิม….ทุกครั้งที่เราเป็นอย่างนี้ เราก็จะมีกำลังมากขึ้น….

    …ในขณะที่เราทำ พยายามที่จะทำจิตของเราให้ตั้งมีสติขึ้น สติมันอาจจะยังไม่เกิด ไอ้การที่สติมันอาจจะยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นนั้น มันก็อยู่ที่อินทรีย์นะ อยู่ที่กำลังจิต กำลังใจของแต่ละคน แต่ละท่านว่า ปฏิบัติอย่างจริงจังขนาดไหน ทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ทำอย่างถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเราทำอย่างต่อเนื่อง ทำอยู่อย่างถูกต้อง ผลมันจะต้องปรากฎแน่นอน ….ทำให้ถูก ทำให้จริง ทำให้เป็น คำว่าทำให้ถูกนั้น คือเราให้สนใจอยู่กับสติ สนใจอยู่กับลมหายใจของเรา …..

    ….จิตของเรามีอารมณ์อันเดียว เป็นสมาธิแล้ว สั้นก็ตาม ยาวก็ตาม บางทีอาจจะไม่ต้องยาวเป็นชั่วโมง เอาเป็นแค่ไม่กี่วินาที คนที่นั่งสมาธิได้จริงๆเลย เอาแค่ไม่กี่นาที มันก็มีความชุ่มเย็นอยู่ในใจ มีความชุ่มเย็นอยู่ในใจในช่วงเวลาไม่กี่นาที ไม่กี่วินาทีตรงนั้น อันนี้แหละเป็นอาการของจิต เป็นที่อยู่ เป็นเครื่องอยู่ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย…..

    ..เครื่องอยู่ก็คือมีสติตั้งเอาไว้ มีใจเป็นอารมณ์อันเดียว มีการทำจริงแน่วแน่จริง ในกิจการงานตรงนี้ กิจการงานที่เราตั้งที่เราพยายามตรงนี้แหละ เรียกว่าเป็นฐานที่ตั้งของจิต จิตที่ตั้งอยู่บนฐานที่ตั้งอยู่ในฐานตรงนี้ เรียกว่าจิตนั้นมีการรักษา….>>>กายของเรา จิตของเรานี้เป็นเหมือนเมืองเมืองหนึ่ง พระพุทธเจ้าเปรียบเอาไว้ มีจิตเป็นเจ้านคร มีใจเป็นเจ้าเมือง มีกายคือธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้น เป็นเหมือนกับตัวเมืองที่เรามีจิตคอยรักษา ช่องทางที่จะเข้ามาสู่เมืองนั้นได้ ก็มีทางตา หูจมูก ลิ้น กายและใจ ช่องทางที่เข้ามานั้น ก็จะต้องมีนายทวารที่คอยรีกษา จะเปิดประตูอ้าซ่ามันก็ไม่ได้ …นายทวารที่คอยรักษาประตูก็คือสติ…….

    …ให้เราฝึกที่จะตั้งสติขึ้น โดยใช้เครื่องมือ เครื่องมือที่เราใช้นี้ เขาเรียกว่าลมหายใจ มีสติเป็นที่ตั้งของจิต เราจะทำสติให้ตั้งขึ้นได้ เราใช้ลมหายใจเป็นฐาน เป็นเครื่องมือ การกระทำตรงนี้ก็เรียกว่าอานาปาณสติ โดยใช้ลมหายใจเป็นฐานที่ตั้งของจิต ให้สตินั้นเกิดขึ้น สติที่เกิดขึ้นนั้นก็จะรักษาจิต จิตที่ได้รับการรักษาอย่างนี้ จะทำความเป็นอารมณ์อันเดียวให้เกิดขึ้นได้ เมื่อจิตนั้นตั้งอยู่บนฐาน มีความเป็นอารมณ์อันเดียวเกิดขึ้นได้แล้ว ก็จะมีความรู้ความเห็นที่ถูกต้อง เจอผัสสะประสบกับสิ่งใด พอใจก็ตามไม่พอใจก็ตาม ก็สามารถเป็นผู้นิ่งเฉยสบายใจอยู่ได้…จิตของเรานั้นให้สบายใจอยู่ในภายใน ทำจิตของเราให้สบายอยู่ในภายในได้ ให้มีสติขึ้น….

    …จิตเนี่ยะเป็นที่แล่นไปสู่สติ ถ้าจิตไม่มีสติเป็นที่แล่นไปสู่ ไม่มีสติรักษา มันก็จะไหล มันก็จะเผลอ มันก็จะเพลินไปตามอินทรีย์ที่มากระทบ อินทรีย์ทั้งหลายจำให้ดี มันจะเป็นที่แล่นไปสู่จิต มันจะคอยที่จะดึงเหนี่ยวรั้งผูกจิตของเราเอาไว้ให้อยู่ในสังสารวัฏ ให้อยู่ในภพ ให้อยู่ในเครื่องข้องต่างๆ….พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า จิตนี่แหละ เป็นที่แล่นไปสู่สติ จิตที่มีสติรักษา สตินี้แหละ จะพาจิตไปสู่ความวิมุติหลุดพ้น หลุดพ้นจากอะไร หลุดพ้นเป็นอิสระจากเครื่องผูกเครื่องข้อง หลุดพ้นเป็นอิสระจากสิ่งที่มากระทบ เราเห็นของที่ชอบใจ ของไม่ชอบใจ เราก็ยังเย็นใจอยู่ได้ ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นไปตามอำนาจของสิ่งที่มากระทบนั้น นี่แหละเขาเรียกว่าความหลุดพ้น ความพ้นจากการที่จะต้องตกอยู่ในอำนาจของสิ่งที่จะคอยควบคุมจิตของเรา จิตก็พ้นอย่างนี้ คำที่พระพุทธเจ้าใช้นั้นก็คือวิมุติ วิมุตินี่แหละจะทำให้พาจิตของเราไปสู่ความเย็น คือนิพพาน ….

    …นิพพานแปลว่าเย็น วิมุติเป็นที่แล่นไปสู่นิพพาน จิตเป็นที่แล่นไปสู่สติ สติเป็นที่แล่นไปสู่วิมุติ วิมุติเป็นที่แล่นไปสู่นิพพาน…

    …เราฝึกจิตของเราให้มีสติอยู่เรื่อยๆ มันจะค่อยพ้นทีละเปลาะ 2เปลาะ พ้นจากเรื่องนี้ พ้นจากเรื่องนั้น พ้นจากเครื่องผูกต่างๆ พ้นเปลาะนั้น พ้นเปลาะนี้ จนพ้นหมดนั่นล่ะ พ้นหมดเมื่อไหร่ เชื้อหมดเมื่อไหร่ ก็เย็นสบายใจอยู่ข้างใน นั่นคือนิพพาน นิพพานที่เราเห็นได้ด้วยตนเอง นิพพานที่เรารู้ได้ สัมผัสได้ ในใจของเรานี้ ให้จำไว้เสมอ บางทีเราปฏิบัติมันอาจจะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้างอย่างไรบ้างก็ตาม ขอให้เกิดความเพียร ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ เพราะว่าทำแล้ว อย่างน้อยมันยังได้คะแนนความเพียร คะแนนความเพียรมีมากขึ้นๆ ความชำนาญมันก็เกิดขึ้นได้ มีความชำนาญแล้ว เราทำจริงแล้ว สติก็ตั้งขึ้นได้ สติตั้งขึ้นบ่อยๆ ให้มีความชำนาญ สมาธิก็เกิด มีจิตเป็นอารมณ์อันเดียว เราจะพ้นได้ เราจะวางได้ เราจะเป็นอิสระจากสิ่งต่างๆที่มากระทบได้ …

    ….เมื่อเป็นอิสระแล้ว ก็จะมีความเย็นใจอยู่ในภายใน มีสิ่งใดมากระทบ เราก็อยู่เหนืออำนาจของสิ่งนั้นได้ ความที่เราอยู่เหนือ นั่นคือ โลกุตตระ คือเหนือจากการที่จะต้องเป็นไปตามอำนาจของทางโลก เหนือจากการที่จะต้องขึ้นๆลงๆ สุขบ้างทุกข์บ้าง อย่างที่โลกเขามีกัน เป็นผู้ที่เย็นอยู่ในภายใน…

    ปล. ก๊อปมาจากเฟสบุคจ้า
     
  18. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    นิทานสักเรื่อง
    ย้อนกลับไปทบทวนว่าเคยทำอะไรมาบ้าง ในการเริ่มปฎิบัติ หลังจากชีวิตมีแต่ปัญหา ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

    จำได้ว่า
    1.ศึกษาสุภาษิต 2.ศึกษามงคลชีวิต 3.เรียนรู้มรรค 8 มีอะไรบ้าง
    4. โยนิโสให้เป็นปกติ(ส่วนมากจะเป็นอนิจังลักขณะ)
    5.ใช้สมาธิเพื่อพัก 6.อ่านธรรมทุกวัน 7.หมั่นสร้างบารมี
    8.ทบทวนความรู้และสิ่งที่ทำได้เนืองๆ 9.ทำทุกอย่างให้พอดี 10.ทำจิตให้ผ่องใส ผ่อนคลาย

    แล้วก็มีสิ่งที่ทำคู่ไปด้วยคือ
    เริ่มพยายามถือศีล 5 ช่วงนี้คงเริ่มเป็นจิตมนุษย์ หลังจากสำมะเลเทเมา 555
    พอศีล 5 เริ่มได้บ้างแต่ยังไม่แนบแน่น เริ่มถือกรรมบท10 ช่วงนี้อาจเป็นจิต เทวดา
    พอศีล 5 กรรมบท 10 พอได้บ้างแล้ว เริ่มปฎิบัติพรหมวิหาร 4 ช่วงนี้อาจเป็นจิตพรหม
    หลังจากนั้นเริ่ม คำนึง ทบทวนหน้าที่ในทุกสิ่งที่สำคัญ มีความละอายต่อกรรมชั่วทั้งปวง ตั้งจิตแน่วแน่ไปในทางดี เริ่มปราถนานิพพาน
    เริ่มตัดสังโยชน์ที่ 1(ด้วยมรณานุสติและอสุภะ)
    ได้ผลคือ เริ่มเกิดความเบื่อที่ไม่แน่ใจว่าเบื่ออะไรบ้าง ชักไม่อยากมีชีวิตต่อ

    มาต่อด้วย 1.ให้พิจารณาเรื่องกฎแห่งกรรม ทำกรรมใดย่อมได้รับอย่างนั้น
    จิตเริ่มผ่อนคลาย เริ่มยอมรับผลแห่งกรรม แต่ยังไม่รู้จะทำไงต่อ
    2.จิตที่ไม่รู้ว่าจะยึดอะไร เลยตั้งจิตยึด พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

    พอทำข้อที่ 2 จิตใจผ่อนคลายลงเลยมีผลเป็น
    3.คลายความสงสัยใน พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

    4.ตั้งใจจะทำให้ดียิ่งๆขึ้นไปด้วยการเริ่มตัดสังโยชน์ทั้ง 3

    ตั้งใจว่า แค่หนีนรกได้ก็พอใจมาก ตอนนี้ก็สบายๆไปเรื่อยๆ:D
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระสัมมาสัมพุทธเจดีย์ ส่วนสูง 71 เซน (28") เส้นผ่าศูนย์กลางฐาน 8 เซน (7")

    น้อมถวายเป็นพุทธบูชา
    นำไปประดิษยฐานที่วัดพระธาตุจอมกิตติ จังหวัดเชียงรายค่ะ

    ฐานประดับด้วยดวงแก้วนาคาสีขาวใส ขนาด 5 เซน

    จะขึ้นน่านปลายเดือนนี้ เสร็จกิจที่น่านก็ขึ้นเชียงรายต่อเลยค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เลิกหมดนะทั้งหวังดี ทั้งประสงค์ร้าย เพราะได้ไปเห็นว่าความหวังดีและหวังร้ายนั้น เป็นทาง เป็นเหตุที่มุ่งไปสู่ทุกข์

    เห็นสาวสวย หนุ่มหล่อ ชอบนะ ชอบมาก แต่ใจไม่ยักอยากจะได้มาครอบครอง ก็แปลกตัวเองเหมือนกัน
    มันไปเห็นความไม่มีอยู่จริง
    ดอกไม้สีสวยๆ บานสดใส ไม่นานก็เหี่ยวแห้ง ร่วงตกลงดิน แล้วภาพความงามเหล่านั้นก็หายไป
    แค่วัฏฏจักรเท่านั้นเอง
    เห็นเป็นวัฏฏจักร การแทนที่ หมุนเวียนอยู่เสมอ
    ร่างกายปรับธาตุเพื่อรับธรรมในขั้นที่สูงขึ้นไป
    เมื่อวานไข้ขึ้นตอนบ่ายๆ อยู่ดีๆ ก็หนาวสั่น ไม่ปวดหัว
    เคยเป็นอย่างนี้เมื่อสิบปีก่อน ไปหาหมอ หมอตรวจเลือด เอ๊กซเรย์
    ทุกอย่างปกติ แต่ฟิล์มเอ๊กซ์เรย์ช่วงอกเป็นรังสีๆ ขาวโพลนแผ่ออกมา อวัยวะภายในมองไม่เห็นเลย
    ร่างกายปรับธาตุ เมื่อธรรมเดินมาถึงระยะหนึ่ง
    ไม่รู้นะ แต่เราจะเป็นสภาวะแบบนี้
    กินยาลดไข้ก็หาย
    ทุกวันนี้ไม่ได้นั่งสมาธิ ปฏิบัติอะไรเลย แค่อยู่กับความจริงของการกระทบทางอายตนะ
    ความสั่นสะเทือนที่เกิดจากการกระทบมันเจือจางลงไปมาก บางผัสสะๆ แล้วดับเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...