อารมณ์ใช่สัญญาหรือเปล่าครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แค่พลัง, 17 กรกฎาคม 2018.

  1. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ขอบคุณครับที่มาให้ความรู้ ตัวผมเองไม่มีความรู้พื้นฐานในทางด้านนี้ว่าการถอดจิตมัน มันหมายถึงเรามีกายหลายกายเหรอครับ
    มันเกินความเข้าใจของผมที่จะรู้จริงๆ
     
  2. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ไหนลองว่ามาซิ ตกลงปราบเทวดา หรือปราบผีกันครับ แซวเล่นนะครับ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คิดว่าเทวดา พรหม ผี เปรต อสูรกาย มีกายไหมครับ
     
  4. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ภพไหนก็ครองกายครับ
    มีกาย มีขันธ์
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    หลวงตามหาบัว ยืนยัน พวกกายทิพย์ ไม่ว่าเหล่าพญานาค หรือเทวดา ต่างมีความเลื่อมใส ชอบมาฟังธรรมกับหลวงปู่มั่นเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใด

    jpg.jpg
    “…พญานาคฟังธรรมท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ…”

    …ทีนี้มากล่าวถึงยุคสมัยเมื่อไม่นานมานี้ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านมีความเกี่ยวข้องกับพวก “พญานาค” อยู่อย่างลึกลับ จากข้อความในหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ซึ่งเรียบเรียงโดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน กล่าวไว้ว่า

    ในสมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ออกเที่ยวแสวงวิเวก อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ในภาคเหนือและภาคอีสาน ตลอดจนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ขณะที่ท่านพักบำเพ็ญเป็นสุขวิหารธรรม อยู่สบายในป่าในเขาที่สงัดปราศจากผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน

    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ มีการติดต่อกับพวกกายทิพย์ เช่น เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม พญานาค ครุฑ ยักษ์ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ วิทยาธร และภูตผีปิศาจที่มาจากที่ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ

    ท่านถือเป็นเรื่องธรรมดา เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ติดต่อกับมนุษย์ชาติต่าง ๆ ในโลกนี้เพื่อผลประโยชน์ ซึ่งกันและกัน

    15889-jpg.jpg


    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าว่า

    ขณะที่ท่านกำลังแสดงธรรมอบรมพระเณรตอนกลางคืน ที่หมู่บ้านสามผง นครพนม ได้มีพญานาคอยู่แถบลำแม่น้ำสงครามได้แอบมาฟังเทศน์ท่านแทบทุกคืน โดยเฉพาะวันพระ พญานาคมาทุกคืน ถ้าไม่มาตอนท่านอบรมพระเณร พญานาคก็มาตอนดึกขณะที่ท่านเข้านั่งสมาธิภาวนา

    ส่วนเทวดาทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างมีมาห่าง ๆ ไม่เหมือนอยู่ที่อุดรฯ หนองคาย

    ยิ่งวันเข้าพรรษาและวันกลางพรรษา และวันปวารณาออกพรรษาด้วยแล้ว ไม่ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ จะพักจำพรรษาอยู่ที่ไหน แม้แต่ในตัวเมือง ก็ยังมีพวกเทวดาทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ชั้นใดชั้นหนึ่ง และที่ใดที่หนึ่งมาฟังธรรมเทศนาท่านมิได้ขาด เช่น ที่วัดเจดีย์หลวงจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

    เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าเชิงเขาใหญ่ลูกหนึ่งฝั่งไทย ทางทิศตะวันตกนครหลวงพระบาง ภูเขาลูกนี้อยู่ชายฝั่งแม่น้ำโขง

    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าว่า….

    ที่ใต้เชิงเขาลูกนั้น มีเมืองพญานาคตั้งอยู่ ใหญ่โตมาก หัวหน้าพญานาคพาบริวารมาฟังธรรมของท่านเสมอ และมักมากันมากมายในบางครั้ง พวกพญานาคไม่ค่อยมีปัญหาซักถามมากเหมือนพวกเทวดา พวกเทวดาทั้งเบื้องต้นและเบื้องล่างมักมีปัญหามากพอ ๆ กัน หมายถึงปัญหาข้อสงสัยทางธรรมะ

    ส่วนความเลื่อมใสในธรรมะนั้นพวกพญานาคและเทวดามีความเลื่อมใสพอ ๆ กัน

    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พักบำเพ็ญเพียรอยู่เชิงเขาลูกนั้นนานพอสมควร พวกพญานาคมาเยี่ยมคารวะฟังธรรมกับท่านแทบทุกคืนพวกพญานาคมาเยี่ยมคารวะท่านไม่ดึกนัก ท่านว่าอาจเป็นเพราะที่พักของท่านสงัดเงียบ ห่างไกลจากหมู่บ้านก็ได้ พวกพญานาคจึงมาเยี่ยมในราว ๔ – ๕ ทุ่ม

    ส่วนสถานที่อื่น ๆ พวกพญานาคมาดึกกว่านี้ก็มี เวลาขนาดนี้ก็มี พวกพญานาคตามสถานที่ต่าง ๆ มีความเคารพเลื่อมใสท่านมาก พวกเขาจัดให้บริวารพญานาคมารักษาคุ้มครองป้องกันภัยให้ท่านทั้งกลางวันกลางคืน โดยผลัดเปลี่ยนวาระกันมิได้ขาด ท่านไปอยู่สถานที่ใดพวกพญานาคในสถานที่นั้นมักอาราธนานิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ที่นั่นนาน ๆ เพื่อโปรดพวกเขา

    เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พักจำพรรษาอยู่บ้านน้ำเมา อำเภอแม่ปั๋ง เชียงใหม่ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าว่า ท่านต้อนรับแขกจำพวกกายทิพย์บนสวรรค์มี ท้าวสักกเทวราช เป็นหัวหน้ามาก เป็นพิเศษ

    แม้หน้าแล้งท่านจะหลีกเลี่ยงออกไปเที่ยววิเวกองค์เดียว อยู่ในถ้ำดอกคำ ท้าวสักกเทวราชก็พาพวกเทวดาติดตามไปเยี่ยมท่าน ซึ่งพวกเทวดามาแต่ละครั้งนี้ มากันเป็นหมื่นเป็นแสนและมาบ่อยที่สุด

    ถ้าพวกที่ไม่เคยมา ท้าวสักกเทวราชต้องเตือนให้พวกเขาเข้าใจวิธีฟังธรรม ก่อนที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ จะแสดงให้ฟัง โดยมากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านแสดง “เมตตาอัปปมัญญาพรหมวิหาร” ให้พวกเทวดาฟัง เพราะพวกเทวดาชอบฟังธรรมนี้มากเป็นพิเศษ

    พวกเทวดาชอบสถานที่อยู่ลึก ๆ เงียบสงัดห่างไกลจากมนุษย์เพราะมนุษย์มีกลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนซากศพ เนื่องจากมนุษย์กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์หลายชนิดมาก ในท้องในกระเพาะมนุษย์จึงเต็มไปด้วยซากศพสัตว์ชนิดต่าง ๆ ส่งกลิ่นเหม็นกระจายออกมา ตามรูขุมขน แต่มนุษย์ด้วยกันเคยชินกลิ่นของกันและกัน เลยไม่รู้สึกว่าเหม็นเหมือนกลิ่นศพ

    ซึ่งผิดกับพวกเทวดามีจมูกพิเศษสัมผัสได้ว่องไวเป็นสภาวะทิพย์ จึงสามารถได้กลิ่นเหม็นเน่าซากศพ โชยออกมาจากร่างมนุษย์ได้เต็มที่ ทำให้สะอิดสะเอียนเหียนรากทนไม่ไหว ไม่ต่างอะไรกับคนเราทนไม่ได้กับกลิ่นซากศพเน่า ๆ ในโลงศพฉะนั้นแหละ

    1-1-jpg.jpg

    พวกเทวดาทุกคนทุกภูมิเคารพท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ และเคารพสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่านมาก แม้แต่ทางเดินจงกรมที่ญาติโยมชาวบ้านเอาทรายมาเกลี่ยไว้สำหรับให้พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เดินได้สะดวก พวกเทวดาก็ไม่กล้าผ่านทางจงกรม ต้องเดินอ้อมไปทางหัวจงกรมทุกครั้งที่มาและไป

    พวก “..พญานาค..” ก็เช่นเดียวกัน เวลาเข้ามาเยี่ยมคารวะฟังธรรมกับท่าน พวกพญานาคไม่กล้าเดินเข้าทางจงกรมเลย ต้องเดินอ้อมไปทางอื่น
    บางครั้งพญานาคใช้ให้บริวารมากราบนิมนต์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ในกิจบางอย่าง ให้ไปโปรดพวกพญานาค คล้ายกับมนุษย์เรามานิมนต์พระไปในงานไม่มีผิดเลย….

    ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เรียบเรียงโดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

    ขอบคุณที่มา
    http://www.sabaiclub.com/?p=31150

    มนุษย์ก็มีกายหยาบกับกายทิพย์ ครับ
     
  6. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    พระยาลิไท ทำให้ผมตาสว่างเรื่องนรก อ่านไปก็เพลินดีครับ
     
  7. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    เรื่องผีไม่ได้ปราบหรอกครับ
    เขามาลองตามคำสั่งพอหอมปากหอมคอเฉยๆ
    ผีพรายเอย
    นางไม้เอย แค่ขำๆน่ะ


    ส่วนเรื่องถอดจิตหากจะลองต้องระมัดระวังหน่อย

    เอาแบบพอสัมผัสได้รู้ๆบ้าง

    ให้ทำตามนี้ครับ
    เลือกเวลาสักสามวัน ห้าวัน หรือเจ็ดวัน

    เข้าห้องกรรมฐานเดี๋ยวมาต่อคับพิมไม่ถนัดถึงบ้านก่อน
     
  8. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ต่อนะครับ

    ให้เลือกเวลาวันที่ เหมาะ กับตัวเอง
    หาเวลาไปที่วิเวก ขอกุฏิวัดที่สนิทๆก็ได้ เหมาะแก่การภาวนา
    ไม่ควรเลือกสถานที่ ที่มีเสียงรบกวน หรือคนรบกวน
    หากแยกจิตออกจากร่างไปแล้ว
    เกิดคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาเจอ มาจับ จะกลายไปเป็นสัมภเวสีไปซะปล่าว


    วิธีทำ

    วันแรก เลือกเวลาตามนี้คือ แบ่งเวลา เช้าตื่นตีห้า
    สวดมนต์ไหว้พระ ก่อนสวดมนต์ทุกครั้งให้อาราธนาศีล8
    ว่าจะรักษาศีล8ให้ได้ในช่วงเวลาสวดมนต์ไหว้พระ

    บทสวดมนต์ที่ใช้
    ไตรสรณะคม
    ต่อด้วย อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปัณโน ตามด้วย พาหุง มหากาฯ ให้สวดเก้าจบ
    แล้วก็กล่าวบทกรวดน้ำ อุทิศบุญไป1รอบ

    จากนั้นให้นั่งภาวนา ให้หายใจเข้าลึกๆจนสุดลมหายใจแบบว่าให้ลึกที่สุด
    แล้วก้ผ่อนลมหายใจออกยาวๆช้าๆสักสี่ห้ารอบ

    จากนั้นให้ค่อยๆ หายใจช้าๆยาวๆ ให้ถึงลิ้นปี่จนสุดลมหายใจเข้า
    แล้วก็กลั้นลมหายใจ นับ1 2 3 4 5 6 7 8 9 จนรู้สึกว่าจะกลั้นไม่ไหว
    แล้วก็ค่อยๆหายใจออกช้าๆค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆๆจนหมด

    แล้วก้หายใจเข้าช้าๆค่อยๆลึกๆให้ลมมาถึงลิ้นปี่ จนสุดลมหายใจ
    แล้วก็กลั้นลมหายใจ นับ
    1 2 3 4 5 6 7 8 9 จนรู้สึกว่าจะกลั้นไม่ไหว
    แล้วก็ค่อยๆหายใจออกช้าๆค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆๆจนหมด

    ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบๆประมาณ หนึ่งชั่วโมงถึงสองชั่วโมง
    หากความปวดเมื่อยมาก่อน ให้ทำอยู่ที่สี่สิบห้านาทีถึงหนึ่งชั่วโมง

    ก่อนจะลุกออกจากท่านั่ง

    จากนั้นก้ให้ค่อยสูดลมหยใจเข้าช้าๆๆยาวๆ และหายใจออกยาวๆ
    สักสี่ถึงห้ารอบ
    แล้วก็ค่อยๆลืมตา

    จากนั้นก็กล่าวกรวดน้ำอุทิสบุญไป1รอบ
    ก้ให้ ลืมตา ค่อยลุก ยืดเส้นแข้งขา เดินไปเดินมาสักรอบ
    แล้วอาบน้ำ ทานอาหารเช้า

    อาหารเช้า ควรเป็นพวก ข้าวผักกับผลไม้
    ถ้าจะเป็นเนื้อสัตว์ ขอให้เป็นเนื้อปลา ทานแค่พอให้กระเพาะอาหารมีของมาย่อย
    (ต้องผ่อนอาหาร อย่าทานจนอิ่ม)
    ทานข้าวเสร็จ ก็เดินไปเดินมา จงกรมสักสามสิบนาที

    แล้วก็มาตั้งท่า นั่งทำสมาธิใหม่ แบบเดิม
    บทสวดมนต์ที่ใช้
    ไตรสรณะคม
    ต่อด้วย อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปัณโน ตามด้วย พาหุง มหากาฯ ให้สวดเก้าจบ
    แล้วก็กล่าวบทกรวดน้ำ อุทิศบุญไป1รอบ

    จากนั้นให้นั่งภาวนา ให้หายใจเข้าลึกๆจนสุดลมหายใจแบบว่าให้ลึกที่สุด
    แล้วก้ผ่อนลมหายใจออกยาวๆช้าๆสักสี่ห้ารอบ

    จากนั้นให้ค่อยๆ หายใจช้าๆยาวๆ ให้ถึงลิ้นปี่จนสุดลมหายใจเข้า
    แล้วก็กลั้นลมหายใจ นับ1 2 3 4 5 6 7 8 9 จนรู้สึกว่าจะกลั้นไม่ไหว
    แล้วก็ค่อยๆหายใจออกช้าๆค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆๆจนหมด

    แล้วก้หายใจเข้าช้าๆค่อยๆลึกๆให้ลมมาถึงลิ้นปี่ จนสุดลมหายใจ
    แล้วก็กลั้นลมหายใจ นับ
    1 2 3 4 5 6 7 8 9 จนรู้สึกว่าจะกลั้นไม่ไหว
    แล้วก็ค่อยๆหายใจออกช้าๆค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆๆจนหมด

    ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบๆประมาณ หนึ่งชั่วโมงถึงสองชั่วโมง
    จากนั้นก้ให้ค่อยสูดลมหยใจเข้าช้าๆๆยาวๆ และหายใจออกยาวๆ
    สักสี่ถึงห้ารอบ
    แล้วก็ค่อยๆลืมตา

    จากนั้นก็กล่าวกรวดน้ำอุทิสบุญไป1รอบ
    แล้วก้ให้ลุกขึ้น เดินจงกรม ไปมาสัก 30นาที เดินในห้องนั่นละครับ

    จากนั้นก็มานั่งใหม่

    ทำแบบนี้ไปจนเที่ยง แล้วก้ออกจากสมาธิ พักทานอาหาร เบาๆ แค่ให้มีของย่อย
    ขนมปังกับน้ำผลไม้ก้เพียงพอ
    เมื่อทานเสร็จ ก็เดินจงกรม สักสามสิบนาที

    จากนั้นก็ลงมาท่านั่งใหม่
    ให้นั่งภาวนา ให้หายใจเข้าลึกๆจนสุดลมหายใจแบบว่าให้ลึกที่สุด
    แล้วก้ผ่อนลมหายใจออกยาวๆช้าๆสักสี่ห้ารอบ

    จากนั้นให้ค่อยๆ หายใจช้าๆยาวๆ ให้ถึงลิ้นปี่จนสุดลมหายใจเข้า
    แล้วก็กลั้นลมหายใจ นับ1 2 3 4 5 6 7 8 9 จนรู้สึกว่าจะกลั้นไม่ไหว
    แล้วก็ค่อยๆหายใจออกช้าๆค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆๆจนหมด

    แล้วก้หายใจเข้าช้าๆค่อยๆลึกๆให้ลมมาถึงลิ้นปี่ จนสุดลมหายใจ
    แล้วก็กลั้นลมหายใจ นับ
    1 2 3 4 5 6 7 8 9 จนรู้สึกว่าจะกลั้นไม่ไหว
    แล้วก็ค่อยๆหายใจออกช้าๆค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆๆจนหมด

    ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบๆประมาณ หนึ่งชั่วโมงถึงสองชั่วโมง
    จากนั้นก้ให้ค่อยสูดลมหยใจเข้าช้าๆๆยาวๆ และหายใจออกยาวๆ
    สักสี่ถึงห้ารอบ
    แล้วก็ค่อยๆลืมตา
    จากนั้นก็กล่าวกรวดน้ำอุทิสบุญไป1รอบ
    แล้วก้ให้ลุกขึ้น เดินจงกรม ไปมาสัก 30นาที เดินในห้องนั่นละครับ

    จากนั้นก็มานั่งใหม่ ทำแบบนี้ไปจนถึงหกโมงเย็น
    ก้ให้พัก อาบน้ำ ดื่มน้ำปานะ หรือจะผลไม้ก้ได้ กะขนมปัง พอให้มีอะไรย่อยในกระเพาะ

    หลังจากทานเสร็จ ก็เดินจงกรมสักสามสิบนาที ก็ให้สวดมนต๋ไหว้พระ
    ใหม่ อาราธนาศีล8ใหม่ แล้วก้ทำสมาธิตามเดิม สักหนึ่งรอบ

    แล้วก้กรวดน้ำ อุทิศบุญ แล้วก็นอน
    เวลานอนให้นอนหงาย เอามือวางที่ลิ้นปี่ทั้งสองข้างขวาทับซ้าย

    แล้วนอนภาวนาไปแบบตอนนั่งสมาธิ ไปเรื่อยๆจนหลับ
    หากไม่หลับก็นอนภาวนาไปอย่างนั้น
    ตั้งนาริกาปลุกไว้ด้วยตอนตีสาม
    จากนั้นให้ตื่น ตอนตีสาม ลุกขึ้นมานั่ง สวดมนต์ไหว้พระ อาราธนาศีลตามเดิม
    แล้วก็ทำสมาธิแบบตอนกลางวัน ให้ได้สองรอบ

    แล้วก้ให้ล้มตัวลงนอน มือขวาทับซ้ายวางไว้ที่ลิ้นปี่ หรือจะผสานมือก้ได้ไม่ต้องทับกัน
    ให้นอนภาวนาไปตามนั้น จนหลับไปจนเช้าถึงหกโมง แล้วก็ตื่น

    อันนี้คือวิธี ในหนึ่งรอบ ของหนึ่งวัน

    ต้องทำแบบนี้ไปจน ครบ สามวัน เป็นอย่างน้อย อย่างเคร่งครัด
    ส่วนวันที่สอง สาม อาจจะเลทเป็นหกโมงเช้าก้ได้


    สิ่งที่ควรจำให้ดี คือ เมื่อรู้สึกเหมือนตกเหว หรือ เหมือนโดนเหวี่ยงเป็นพายุหมุน
    ให้ตั้งจิตให้ดี มีสติ แล้วภาวนาว่า พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษาไปเรื่อยๆ

    จนกว่ามันจะสุดแรงหมุน หรือเหมือนตกจากเหวลึก พอรู้สึกหยุดอยู่กับที่ ให้นึกเมือนมองหามือตัวเอง โดยนึกเหมือนยกมือตัวเองทั้งสองข้างมาแบให้ตัวเองดู

    เห็นมือแล้วมันจะเห็นสิ่งรอบข้าง ประครองสติอย่าไปตกใจ
    เพราะจะเห็นสิ่งรอบข้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว สิ่งอื่นอยู่กะเราเสมอ
    เพียงแต่มองไม่เห็นเอง

    อันนี้ไม่ต้องตกใจนะครับ สักพักมันจะเข้าร่างไปเอง
     
  9. pisces2018

    pisces2018 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +37
    ลองตอบดูนะครับ "อารมณ์" ตามที่จขกท.สอบถามเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงตัวกิเลส/ตัณหาที่เกิดขึ้นในจิต ณ ขณะใดขณะหนึ่ง โดยพื้นฐานของแต่ละคนก็จะมีตัวอนุสัยกิเลสที่สั่งสมไว้ในจิตมากน้อยต่างกันไป เช่น คนที่สั่งสมปฏิฆะอนุสัยไว้มากเวลามีอารมณ์โทสะจากภายนอกมากระทบ (ผัสสะ) แล้วเกิดเวทนา (จิตสังขาร) ผสมโรงเข้ากับตัวปฏิฆะอนุสัยเดิมที่ฟุ้งขึ้นในจิต ทำให้จิตขุ่นมัวจนเกิดเป็นสัญญา-->กิเลส/ตัณหา-->อุปาทาน-->อนุสัยกิเลส

    โดยอาศัยหลักของปฏิจจสมุปบาท เมื่อเกิดผัสสะก็ให้มีสติกำหนดรู้ (ที่บอกว่ามีสติเป็นเครื่องกั้นกระแสแห่งกิเลส/ตัณหา) ก็พยายามกั้นตั้งแต่ต้นทางคือเมื่อเกิดผัสสะหรือมีอารมณ์ภายนอกมากระทบ เมื่อเกิดเวทนาก็มีสติกำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้าออก แต่ไม่ไปคิดนึกปรุงแต่งเวทนาให้เกิดสัญญา-->กิเลส/ตัณหา-->อุปาทาน-->อนุสัยกิเลส พยายามทำลมหายใจ (กายสังขาร) ให้ระงับ กายก็จะค่อยๆ ระงับตามจนเป็นปกติ...
     
  10. กบอ้วนในกะลา

    กบอ้วนในกะลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +11
    เป็นคำถามที่ดีมากๆครับ ขอเอาประสบการณ์ตอบนะครับอารมณ์ เป็นผลของสัญญา สังขาร
    วิญญาน ครับ (ดูภาพโป้ทางตาสมองก็ประมาลผลทำให้แสดงออกทางอารณ์และทางกาย)
    สัญญาคือความจำ นึกถึงภาพโป้ตอนใหนก็มีอารมณ์ตอนนั้น จิตมันเร็วมากเลยมองไม่ค่อยทันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...