กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,887
    ค่าพลัง:
    +4,720
    Tips & Tricks (วรรคทอง)
    หน้า 132 ลำดับที่ #2629

    ทริคเด็ดสำหรับท่านที่สนใจเรื่องโทรจิต(ต่อ)
    บอกได้คำเดียวว่า"พลาดไม่ได้"

    [QUOTE="nopphakan, post:
    ส่วนเรื่องการฝึกโทรจิตนั้น
    จำเป็นจะต้องมี คู่ฝึกร่วมกันครับ....
    ส่วนตัวบอกก่อนว่า แล้วแต่จะชอบนะครับ
    ใครจะฝึกก็ฝึก และบอกไว้ก่อน
    ส่วนตัวถูกห้ามให้ฝึกเรื่องแนวๆนี้อยู่
    เพราะท่านบอกว่า ให้ทำเรื่องอื่นๆให้ได้ก่อน
    แต่ถ้ามีคนถาม พอจะแนะนำได้
    อีกอย่าง ก็ไม่ใช่การฝึกย้อนอดีตอะไร
    ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้คนยึดภพยึดชาติได้ง่าย
    มันจะย้อนกลายมาเป็นวิบาก ต่อตัวผู้แนะนำได้
    เองอย่างคาดไม่ถึงนั่นเอง.....ถ้าแนะแล้ว
    ทำให้ผู้อ่านยึดมั่นถือมั่นครับ

    ดังนั้น ห้ามลืมสโลแกน เน้นฮา
    ได้ไม่ได้ช่างมัน
    เกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมัน
    ...จำไว้ให้มั่นด้วยนะครับ

    ง่ายๆเลยก็คือ ต่างคนต่างจดเรื่องที่เราคิด
    ใส่กระดาษเอาไว้ เริ่มต้นจากทีละเรื่องก่อน
    แล้วลองถามกันว่า เมื่อกี้คิดเรื่องอะไรอยู่
    ก็มาดูว่า และก็ยื่นให้อีกคนดูว่า
    ตรงหรือไม่ตรงกับเรื่องที่เราเขียนเอาไว้หรือไม่
    ซึ่ง การที่ใครก็ตามทายผิดนั้นไม่ใช่ประเด็นหลัก
    เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาครับ....

    แต่สิ่งที่ควรจำก็คือ
    อารมณ์ก่อนที่จะตอบคำถาม
    อีก
    ฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นอย่างไรนั่นเอง
    ซึ่งยิ่งผิดบ่อย
    จะทำให้เราจำอารมณ์ที่ผิดนั้นได้
    ว่า...
    ครั้งต่อไป ถ้ามีอารมย์ก่อนตอบแบบนี้

    เราจะไม่สนใจในคำตอบนั้นเลย...

    ทั่วไป เราจะเอาความรู้สึกแรก
    หรือ คำตอบแรกเท่านั้น

    ส่วนมันจะละเอียดหรือไม่ ก็ช่างมัน
    ไม่ต้องไปสนใจว่า
    จะต้องแป๊ะๆทุกอักษรนะครับ
    เช่น เราเขียนว่า...

    ''จะไปธนาคาร เพื่อเบิกตังค์ หนึ่งพันบาท"
    ถ้าอีกฝ่ายบอกว่า ใช่เกี่ยวกับเรื่องตังค์หรือเปล่า
    เท่านี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
    และก็ให้เขียนเรื่องอื่นๆ
    อย่าเอาเรื่องเดิม
    หรือ มัวแต่บอกว่า ยังไม่ใช่ หรือ ผิดยังไม่ตรง
    คืออย่าพยายามไปรอเพื่อให้อีกฝ่ายต้องตอบให้ถูก

    เพราะไม่งั้นมันจะกลายเป็นเดาเรื่อยเปื่อยสญาน
    แทนที่จะได้ ปัจจุบันสญานนะครับ ๕๕๕


    คือ ถ้าได้ตอบซัก ๓ ถึง ๔ ครั้งแล้วยังไม่ใช่
    ให้บอกว่าช่างมัน เอาใหม่ และให้เขียนเรื่องอื่นๆแทน....
    อาจจะทิ้งช่วง ว่างๆ สะดวกๆ
    หรือหาอะไรทำก่อนค่อยมาเล่นทายกันใหม่
    พอเข้าใจนะครับ.......
    พวกนี้เป็นเบสิคพื้นฐานทั่วไปนะครับ
    เอาแบบที่เล่าให้ฟังข้างบนให้พอได้ก่อน


    ต่อมาเป็นในส่วนของเทคนิคคอลเทอม
    คืออุบายดึงให้จิตเป็นอัตโนมัติ
    หรือมีความสามารถแบบนี้เกิดขึ้นได้
    ตามธรรมชาติของมันเอง แบบชั่วคราว
    (คล้ายหลักการดึงจิตให้เป็นทิพย์ชั่วคราว
    ...แบบสวดมนต์นั่นหละ)
    เราก็ต้องอาศัย การเข้าถึงสภาวะแบบพวกนี้ไปก่อน
    แบบประมาณเฉียดๆ เฉียดบ่อยๆ
    มันก็อาจจะใช้งาน
    ได้บ้างในเวลาปกติ
    ตามธรรมชาติแบบอัตโนมัติ
    ในการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปนั่นหละ

    ใครจะไปรู้จริงไหม...

    มาถึงช่วงสำคัญก็คือเทคนิคคอมเทอม
    หรือ เทคนิคเฉพาะ

    บางก็เรียกทริค แล้วแต่จะเรียก

    ก็คือให้มาระลึกจุดที่อยู่ตรงตำแหน่ง
    ...ลิ้นปี่ของร่างกายเรา ด้านหน้านะครับ
    หรือตำแหน่ง
    ที่ต่ำกว่าช่วงหน้าอกลงมาเล็กน้อย

    ให้ย้อนเข้าไปนับจากผิวหนังลึกเข้าไปผ่านผิวหนัง
    ตรงลิ้นปี่เข้าไปประมาณ ๑ ซม.
    ให้คิด หรือ ระลึก หรือ กำหนดจากตรงตำแหน่งที่บอก
    ให้เสมือนกับว่ามันเป็นศูนย์กลางและมีอยู่จุดเดียว...

    แล้วเราก็ทำการเกร็งกล้ามเรา
    ด้วยการกำหนดออกจากจุดเดียวตรงศูนย์กลางนี้

    ให้มันขยายออกไปทุกทิศทุกทาง
    ไม่ต้องสนใจว่ามันจะกว้างแค่ไหน
    ขอเพียงแต่ให้เหมือนกับว่า...

    ศูนย์กลางนี้มันถูกขยายออกไปเป็นพอ
    แรกๆจะเหนื่อยหน่อย...เรื่องธรรมดา
    ให้ทำแบบนี้ให้ได้ก่อน ก่อนที่จะทำการตอบ
    ว่าคนนั้น
    เค้าได้จดเรื่องอะไรไว้ในกระดาษ

    ให้ทำทุกครั้งโดยไม่ต้องสนใจว่า...
    เราจะตอบได้หรือไม่ได้
    เด่วอนาคตมันจะมีพัฒนาการของมันได้เอง.....

    หลักการนี้ ใช้ร่วมกับตอนสวดคาถาจักรพรรดิได้เลย
    ซึ่งจะทำให้เข้าถึงพลังงานไปได้เร็วยิ่งขึ้นกว่า
    แบบก่อนหน้า แต่บอกเลยว่า มีหอบรับประทาน

    ซึ่งมันเป็นหลักการเดียวกันกับเวลา
    ...จะใช้สื่อสารกับทางภพภูมินั่นหละ
    (ส่วนนี้เล่าให้ฟังแต่ไม่แนะนำให้เอา

    ไปใช้ทางด้านนี้นะ ยกเว้นว่า...
    จะไว้คุยสื่อสาร
    กับญาติๆ สายเลือดเราเอง
    คนที่ใกล้ชิดเรา ที่เปลี่ยนภพภูมิไปไม่ว่ากัน
    ทำได้แต่อย่าบ่อย
    เพราะการจะเปลี่ยนพลังงาน
    มาเป็นการสื่อสารนั้น
    ในบางระดับต้องใช้พลังงานมาก

    ถ้าเราไม่อุทิศให้ท่านเหล่านั้นก่อนที่เราจะสื่อสาร
    อาจจะกลายเป็นเงียบกริ๊บ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น)

    จบแระ เรื่องโม้ค่ำนี้
     
  2. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,223
    ค่าพลัง:
    +10,118
    บุญนำพาวาสนาส่งได้ร่วมบุญกัน ถือเป็นมงคลนักท่าน 9
     
  3. เจไดหรือธิส

    เจไดหรือธิส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +359
    กลับมาแย้วววครับ หลังจิตตกไปซักพัก เฮ้อ อิอิอิ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    สื่อสารกับผีในเวลาใช้ชีวิตปกติประจำวัน
    จะง่ายสำหรับคนที่มา
    หรือมีสัมผัส
    ทางด้านภายในมาก่อน
    แต่โอกาส จิตจะไม่ปกติสูง
    ถ้าขาดสติ และปัญญา
    และไม่เข้าใจสภาวะกิริยาทางด้านนามธรรม
    ในขณะที่สื่อสารได้


    ปล นึกสภาวะไม่ออกให้นึกถึงตอน
    ที่เรากำลังปรับฟังคลื่นวิทยุต่างๆ
    เสียงซ่าๆเปรียบเหมือนกำลังหาคลื่น

    เสียงที่เงียบก่อนที่จะได้ยินเสียงจากคลื่น
    (ย้ำว่าเงียบก่อนได้ยินเสียง)
    วิทยุนั้น นั่นหละ สภาวะทางนามธรรม
    ที่กำลังจะเตรียมสื่อสารกัน

    คลื่นมีอยู่แล้วปกติ
    ตัวเราเองที่ต้องปรับ
    ว่าจะรับคลื่นความถี่ไหน
    และจะอยู่นานได้แค่ไหน

    ส่วนนี้โม้ให้ฟัง เพราะไม่ใช่แนว
    เพียงแต่ช่วงนี้ ไปไหน ชอบมีผี
    มาทักทายบ่อย
    แต่ก็ตามสูตร คุยไม่ได้และ
    นอนกรนเหมือนเดิม ๕๕๕
     
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,887
    ค่าพลัง:
    +4,720

    (อาจารย์นพ)".....การฝึกในเรื่องโทรจิตนั้น
    จำเป็นจะต้องมี คู่ฝึกร่วมกันครับ....."
    ".....ง่ายๆเลยก็คือ ต่างคนต่างจดเรื่องที่เราคิด
    ใส่กระดาษเอาไว้....."

    "โทรจิต"อาจเพราะว่าผมชอบเป็นการส่วนตัวมั่ง
    หลังจากเมื่อวานได้ปริ้นใส่ A4 เพื่อง่ายต่อการเปิดอ่าน
    (ด้วยหลายเดือนก่อนเคยค้นหาจนปวดตา แต่ไม่เจอ)
    ...เช้านี้มีข้อสงสัยจะถามอาจารย์นพ ดังนี้
    --การฝึกตามที่ท่านบอกข้างบน
    ทั้งคู่จำเป็นต้องนั่งหันหลังชนกันหรือไม่
    --หรืออยู่ในกิริยาบทไหนก็ได้
    ถ้าช่วงนั่นจิตมันอยู่ในสภาวะพร้อมสนุก
    เช่นทายว่าลิฟท์ที่เปิดออกมาจะมีกี่คน
    หรือทายว่าวันนี้จะฝนตกไหม อย่างนี้เป็นต้น

    Tricks เด็ดที่ผมจำแม่นคือ...
    "ทั่วไปจะยึดเอาคำตอบแรกที่คิดได้เท่านั่น"
    จากที่ผ่านมา....เป็นไปตามที่ท่านชี้แนะไว้จริงๆ

    เรื่องยึดติด ส่วนตัวผมไม่มีแน่
    เพราะไม่ได้คิขุเดาสญาณบ่อยๆ
    ...นานๆทีคร๊าบ...
    จะเน้นฮา เน้นสนุก
    ส่วนใหญ่ทำเองรู้เอง ไม่มีบุคคลที่ 2หรือ3
    555....กลัวหน้าแตก

    ส่วนถลำไปเรื่องอดีตชาติ
    หรือสื่อสารกับญาติๆที่เสียชีวิตแล้ว
    ผมไม่เล่นด้วยแน่นอน...น่ากลัวมากจริงๆ
    กลัวฝังใจ...สยองกึ๋มมาตั้งแต่เด็ก
    พวกทรงเจ้าขอหวย ทรงเจ้าสื่อกะวิญญาณ


    ...ยังจำได้ตอนเด็กๆ

    เห็นขบวนแห่ศาลเจ้า
    มองไกลๆได้ แต่พอขบวนเดินมาใกล้3-4ร้อยเมตร
    จะรีบวิ่งไปแอบหลังบ้านด้วยความกลัวสุดๆ

    แม้ปัจจุบันนี้ความกลัวนี้จะหายไปแล้ว

    แต่ทุกครั้ง(ทุกครั้ง)ที่ฝันถึงขบวนแห่เจ้า
    ความหวาดกลัวยังมีอยู่เหมือนเดิม

    ********************************

    (9) "...ส่วนถลำไปเรื่องอดีตชาติ
    หรือสื่อสารกับญาติๆที่เสียชีวิตแล้ว
    ผมไม่เล่นด้วยแน่นอน...น่ากลัวมากจริงๆ..."

    บังเอิญตรงกับที่ท่านอจ.นพเขียนไว้เมื่อคืน

    ".....สื่อสารกับผีในเวลาใช้ชีวิตปกติประจำวัน
    จะง่ายสำหรับคนที่มา
    หรือมีสัมผัส
    ทางด้านภายในมาก่อน
    แต่โอกาส จิตจะไม่ปกติสูง
    ถ้าขาดสติ และปัญญา
    และไม่เข้าใจสภาวะกิริยาทางด้านนามธรรม
    ในขณะที่สื่อสารได้....."

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2019
  6. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,223
    ค่าพลัง:
    +10,118
    เรียนถามอ.นพครับ คำว่า "จิ เจ รุ นิ" นี้คือหัวใจยอดพระกัณฑ์ไหมครับ
    ถ้าใช่แล้วเวลาที่เราสวดหัวใจกับสวดเต็มพลานุภาพของพระคาถาต่างกันไหมครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ฟังหูไว้หูนะ วิถีกะแสคาถาถือว่า
    เป็นสภาวะโปรซีรีย์หน่อยนะ
    ต้องค่อยอ่าน ค่อยๆคิดตาม
    จะพอเข้าใจได้นะ


    การสวดคาถานั้น
    ไม่เกี่ยวกับการ ๑ สวดเต็ม
    ๒ สวดนาน ๓สวดมาก
    (สามสวดนี้คืออุบายทั่วไป)
    ๔ สวดน้อย หรือว่าจะ๕ ต้องสวดหรือไม่
    (สองสวดนี้กรณีจิตทำงานได้ และพอมีภูมิต้านทานทางด้านร่างกาย)
    เราต้องมาดูว่า เราอยู่ในกลุ่ม
    สามสวดหรือสองสวด



    เพราะหลักสำคัญของบทคามันคือเรื่องของ
    วิถีของกระแสขอวคาถา
    ว่าเป็นไปในทิศทาง
    เดียวกันหรือไม่ พวกนี้
    ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยของจิต
    และภูมิต้านทานของร่างกาย
    ซึ่งต้องไปควบคู่กัน

    ถ้าไม่รู้อะไร แต่ศรัทธา เชื่อในผล
    เป็นคนทั่วไป ไม่ได้บู้ทางสมาธิอะไร
    ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มสามสวด
    คือสวดๆไป ไม่รู้วิถีกะแสอะไร
    แต่ได้ผล อาศัยเชื่อ ศรัทธา

    แต่ถ้าจิตทำงานได้บ้าง จะเริ่ม(ย้ำว่าเริ่ม)
    เข้ามาในกลุ่มสองสวด คือพอๆรู้วิถี
    แต่ต้องค่อยๆสร้างภูมิต้านทานทางกาย
    ด้วยการอยู่ในวิถีกระแสให้นานขึ้น

    ยกเว้นจิตที่พ้นแล้ว
    โปรแล้ว เหมือนพระอรหันต์ต่างๆ
    จะอยู่ในกลุ่มสองสวดตามธรรมชาติ
    โดยไม่ต้องสวดก็ได้ และไม่ส่งผลอะไรต่อร่างกาย(ย้ำว่า ธรรมชาติและไม่ส่งผลต่อกาย)

    เพราะบทสวดนี้ วิถีกะแส จะไปในทางของ
    สภาวะดับเชื้อแห่งการก่อเกิดต่างๆ
    ที่สร้างให้มีเหตุอะไรต่างๆทั้งปวงเกิดขึ้น
    หรือทุกอย่างที่เป็นเหตุให้จิตมันเกิด(เกิดคือจิตรวมกับกะแสต่างๆนาๆฯลฯ)
    ในลักษณะ ที่เหนือการใช้จิตและกายเป็นตัวนำ ที่มีฐานมาจากการท่องบ่น
    และสัมผัสภายในมาก่อน เรียกว่า
    กายอยู่อย่างไร จิตอยู่อย่างนั้น
    หรือเรียกทางโลกว่า นิโรธฯ เป็นกระแส
    ของนิโรธฯนั่นเอง สำคัญคือ เป็น
    เป็นน้องๆของกะแสสภาวะที่ไม่มีการกลับมาเกิดหรือกระแสเตรียมสภาวะนิพพานนั่นเอง
    เตรียมนิพพาน หมายถึง
    ถ้าต่อสภาวะกะแสจากนี้อีกนิดคือนิพพานแล้วหรือกระแสที่ไม่มีการเกิดอีก

    ซึ่งทั่วไปก็ไม่ได้ว่าจะเข้ากันได้ง่ายๆนะ
    ต้องอาศัยทั้งตัวจิตและสภาพร่างกาย


    กลุ่มสามสวดทั่วไป คืออุบายในการเตรียม
    ความพร้อมร่างกายนั้นหละ ให้มีภูมิต้านทาน
    ในกรณีที่ผลของคาถาเริ่มเข้าสู้วิถีของมัน

    กลุ่มสองสวด จะเริ่มรู้ในเรื่องวิถี
    ก็จะปรับภูมิต้านทานด้วยระยะเวลาเข้าถึงที่นานขึ้นเรื่อยๆเริ่มจากวินาที
    พอนานขึ้นได้มากเท่าไร
    โอกาสที่จะเป็นไปแบบธรรมชาติ
    และไม่ส่งผลต่อกายแบบตลอดทั้งวันที่ลืมตา
    ที่เราเรียกว่าแบบระดับโปรซีรีย์ (ผ่านทั้งสมาธิทั้งวิปัสสนามาแล้ว)ก็มีมากขึ้นเท่านั้น


    สรุป เข้าวิถีได้ ผลก็ออกไปแนวทางเดียว
    คือ ดับเชื้อที่เป็นเหตุแห่งการเกิดทั้งหลาย
    ได้ชั่วคราว พูดง่ายๆ ยุติวงจรการเกิดนั้นชั่วคราว

    เช่น นาย A เป็นโรคเป็นนั่นเป็นนี่ ๑
    เพราะมีเหตุจากโน้นนั่นนี่
    พอเข้าไปยุติเหตุตรงนี้
    ด้วยการเข้าถึงกระแสนี้
    ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มสามสวด
    สองสวด โรคหรือเป็นนั่นเป็นนี้ ๑
    ก็ยุติไป คือกระเข้าไปดับ
    ตั้งแต่เหตุที่ทำให้เกิด
    ทำนองนี้ พอเห็นภาพเนาะ

    ปล การเข้าวิถีกระแสไม่ยาก
    อาศัย เชื่อ ศรัทธา มั่นคง ก็เข้าได้
    แต่ถ้า เข้าได้รู้วิถีกระแส ที่ยากคือ
    ระยะเวลาที่อยู่ในวิถีนั่นเอง

    จนกว่าจะเป็นตามธรรมชาติ
    ไม่สงผลต่อกายแบบระดับโปรทั้งหลาย
    นั่นหละ ที่ผ่านทั้งสมาธิและปัญญามาแล้ว

    เอาว่าเข้าวิถีกะแสและอยู่ในวิถีซักไม่กี่วิ
    คนทั่วไปก็มีสลบเป็นชั่วโมง
    (ที่มาของกลุ่มสามสวด ที่ต้องสวดยาวๆ)
    ถ้าพวกบู้สมาธิมาพอเข้ากะแสได้หลายวิหน่อย แต่ก็มีหอบแห๊กๆ
    แต่ถ้าบู้สมาธิมา
    แล้วผ่านข้ามไปสภาวะนี้ไปซักหลายวิหน่อย
    มีสลบเป็นวันๆ

    คงพอเข้าใจแล้วเนาะ ว่าพวกจิตที่ดันกลายเป็นอรหันต์ทั้งหลายได้ ทำไมตายเร็วได้
    ถ้าไม่บวช ก็ขนาดสายบู้ ยังมีสลบเป็นวัน
    แค่เข้าไม่กี่วินาที

    วิถีกะแสประมานที่เล่าให้ฟังหูไว้หู
    พอเห็นภาพกว้างๆ มองอะไรกว้างๆ
    ได้แล้วเนาะ

    มันมีขั้นมีตอนมีลำดับ
     
  8. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,887
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (อาจารย์นพ)
    ".....การสวดคาถานั้น
    ไม่เกี่ยวกับการ ๑ สวดเต็ม
    ๒ สวดนาน ๓สวดมาก
    (สามสวดนี้คืออุบายทั่วไป)
    ๔ สวดน้อย หรือว่าจะ๕ ต้องสวดหรือไม่
    (สองสวดนี้กรณีจิตทำงานได้
    และพอมีภูมิต้านทานทางด้านร่างกาย)
    เราต้องมาดูว่า เราอยู่ในกลุ่ม
    สามสวดหรือสองสวด....."

    ส่วนตัวมักนิยมสองสวด
    เหตุผลเดียวคือ...จำง่ายและสั้นดี
    อย่างคาถาชินบัญชร...
    ก็สวดบทย่อ

    ส่วนบทย่อของยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก(จิ เจ รุ นิ)
    ไม่ทราบว่าบทย่อ 4 คำนี้...จิ เจ รุ นิ
    ข้อเท็จจริงเป็น*คาถา* หรือไม่ ?

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2019
  9. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,887
    ค่าพลัง:
    +4,720
    พุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์"ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก"สร้าง หรือสวด อานิสงส์เกิดได้อย่างลันเหลือเช่นนี้
    Publish 2016-12-01 16:59:37

    พุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์”ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก” สร้าง หรือสวด อานิสงส์เกิดได้อย่างลันเหลือเช่นนี้

    01-5-1-1.jpg

    ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ไว้สำหรับสวดและภาวนาทุกเช้าคำ เพื่อความสวัสดีเป็นสิริมงคลแก่ผู้สาธยาย อันเป็นบ่อเกิด มหาเตชัง มีเดชมาก มหานุภาวัง มีอานุภาพมาก และมีลาภยศ สุขสรรเสริญ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย อุปัทวันตราย และความพินาศทั้งปวง ตลอดทั้งหมู่มารร้ายและศัตรูคู่อาฆาตไม่อาจแผ้วพานได้

    พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลายต่างก็กล่าวเน้นว่า พระพุทธศาสนาเป็นของจริงของแท้ที่เรายึดมั่นเป็นหลักชัยแห่งชีวิตได้ ยิ่งมีการปฏิบัติธรรมทั้งทาน ศีล ภาวนา สม่ำเสมอความสุขความเจริญเกิดขึ้นแก่ตนแน่ อย่าสงสัย การรวยทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ก่ออานิสงส์ ไม่เท่ากับรวยบุญรวยกุศล ซึ่งจะบังเกิดความสุขความเจริญในปัจจุบัน และตามติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติด้วย ฉะนั้น ชาวพุทธทั้งหลาย จงเจริญภาวนา ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกเช้าค่ำเถิด จะบังเกิดความสวัสดิมงคลแก่ตนและครอบครัว ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขโดยทั่วหน้า

    01-5-1-2.jpg


    01-5-2-1.jpg

    อานิสงส์การสร้างและสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก

    โบราณท่านว่า ผู้ใดได้พบยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้แล้ว ท่านว่าเป็นบุญอันประเสริฐนัก เมื่อพบแล้วให้พยายามสวดภาวนาอยู่เป็นนิตย์ตราบเท่าชีวิต จนทำลายขันธ์จากมนุษย์โลก แล้วก็จะไปยังเกิดในสัมปรายภพสวรรค์สุคติภพด้วยพระอานิสงส์เป็นแน่แท้

    โบราณว่าผู้ใดสร้างบุญกุศลและได้สวดภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเป็นประจำจะมีอานิสงส์มาก เมื่อป่วยหนักให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ครั้นกำลังจะสิ้นใจผู้อยู่ใกล้บอกนำว่า อะระหัง หรือ พุทโธ เรื่อย ๆ เมื่อถึงแก่กรรม จงเขียน จิ. เจ. รุ. นิ. บนแผ่นทองหรือแผ่นเงิน ใบลาน, กระดาษ แล้วม้วนเป็นตะกรุด (ห้ามคลี่) ใส่ปากให้ไปสู่สุคติในสัมปรายภพสวรรค์ด้วย

    ถ้าผู้ใดจะสวดขออานุภาพให้ผู้ป่วยไข้อาการจะดีขึ้น จะสวดแผ่กุศลอุทิศไปให้ บิดา มารดา หรือครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์ ผู้มีพระคุณของท่านแล้ว ให้เขียน จิ เจ รุ นิ และชื่อท่านนั้น ๆ ใส่กระดาษก่อนสวดทุกครั้ง เมื่อสวดกี่จบครบตามที่เราต้องการแล้วให้นำกระดาษนั้นเผาไฟ และกรวดน้ำโดยคารวะ บอกชื่อฝากพระแม่ธรณีนำกุศลอันนี้ให้ท่านผู้นั้น ได้ตามความปรารถนาของเราทุกครั้ง


    01-5-2-2.jpg

    ผลและอานิสงส์การสร้างและสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก[​IMG]

    1. ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บจากเจ้ากรรมนายเวร
    2. กิจการงานเจริญรุ่งเรือง อุดมด้วยโภคทรัพย์
    3. ปู่ย่า ตายาย บิดามารดา บุตร ที่อยู่เบื้องหลังมีความเจริญรุ่งเรือง
    4. บิดา มารดา จะมีอายุยืน
    5. สามีภรรยา รักใคร่ดีต่อกัน บุตรหลานเป็นคนดี
    6. บุตร เกิดมาเฉลียวฉลาด ปัญญาดี เลี้ยงง่าย สุขภาพดี
    7. วิญญาณของบรรพบุรุษจะสู่สุคติภพ
    8. เสริมบุญบารมีให้ตนเอง
    9. แคล้วคลาดจากอันตรายต่าง ๆ




    ข่าวโดย : กิตติทีนิวส์ / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ
    / ทีมข่าวปัญญาญาณ – ทีนิวส์

    (ที่มา...สำนักข่าวทีนิวส์)
    เรียบเรียงโดย....กิตติ จิตรพรหม
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047

    คำย่อ เป็นอุบายในการทำงานของจิตครับ
    จิตเนี่ยจะทำงานได้ครั้งแรกๆ
    ต้องมีอุบายให้ครับ
    กลุ่มที่อยู่ในสามสวด นั่นก็คืออุบาย


    เอกลักษณ์ ของจิตอย่างหนึ่ง
    ถ้ามันได้เคยทำงานได้แล้ว
    ครั้งต่อไป ถ้ามีเหตุ มีเชื้อ มีอุบาย
    จิตจะรู้ว่า ต้องทำอะไรครับ
    และจะเร็วกว่าความคิดด้วยครับ

    เช่นสมมุติในครั้งแรกหรือกระทั่งจิตทำงานได้ครั้งแรก ถ้า เคยยกมือท่านี้ แล้วทำงาน A
    เคยยกนิ้วแบบนี้ แล้วทำงาน B
    เคยสวดคาถาบทนี้ แล้วทำงาน C

    ครั้งต่อไป คิดยกมือท่านี้
    จิตก็พร้อมทำงาน A
    คิดยกนิ้วแบบนี้ จิตก็พร้อมทำงาน B
    คิดสวดคาถาบทนี้ จิตก็พร้อมทำงาน C

    อุบายทางคาถา คือ คำที่พูดแล้ว
    แต่การทำงานของจิต
    เป็นไปเหมือนเดิมนั่นเอง
    ก็คือเข้าถึงวิถีกระแสเดียวกัน

    ทางโลกอาจเรียกหัวใจคาถา
    เรียกอะไรแล้วแต่ เพื่อให้เข้าใจ
    ทางสมมุติเดียวกัน
    แต่ทางเข้าถึงวิถีกระแส
    และการทำงานเป็นอย่างที่บอก

    จริงๆแค่คิดก็ได้ครับ ไม่ต้องใช้คำพูดก็ได้
    จิตจะไปตามลักษณะ การทำงาน A B และ C
    ได้ของมันเอง เอกลักษณ์การทำงานของ
    จิตเป็นแบบนี้หละครับ
    เหมือน พี่ superman ทำท่านี้คือเหาะนั้นหละครับ

    แค่ครั้งแรกที่ต้องมีอุบายครับ

    ดังนั้นอย่าสนใจว่าใช่หรือไม่ใช่คาถา
    ให้ดูกะแสที่เข้าถึงและผล
    รวมทั้งลักษณะที่จิตทำงานครับ

    ปล. การสวดบทสั้นๆในใจที่จำได้
    และลิ้นกับปาก
    ไม่ขยับ ตานิ่งๆ มองเหนือนิ้วกลางประมาน ๑๐ ซม. เป็นอุบายในการดึงให้จิต
    เข้าถึงความเป็นทิพย์ เพื่อไปต่อยังโหมด
    อาการธาตุ เพราะโหมดอากาศธาตุนั้น
    เป็นเหมือนสะพานในการเข้าถึงต้น
    กะแสภายนอกซึ่งขาดไม่ได้เลยครับ

    ถ้าสมมุติ ส่วนตัวไปสอนแบบทั่วไป
    ให้ฝึกรูปฌานก่อนนะ ขึ้นด้วยภาพพระหรือกสิณ แล้วทิ้งภาพ
    ก่อนค่อยไปอรูปฌานนะ

    ผลที่ได้ถ้าทำได้ แล้วมาสวดคาถา
    ก็จะเท่ากับข้างบนนั่นหละครับ

    แล้วเมื่อไรจะฝึกกันได้หละครับ
    นั่นหละเป็นที่มาของคำว่าเทคนิคคอลเทอม

    คือ เข้าถึงง่ายกว่า ฝึกง่ายกว่า
    แต่ผลได้ใกล้เคียงกัน
    เทคนิค ก็มาจากประสบการณ์
    จากการอเมริกัน ลูกทุ่งเป็นกรรมกร
    สามล้อถีบมาก่อน ที่จะเอามาเขียน
    ให้อ่านเพียง ๒ ถึง ๓ บรรทัดแค่
    นั่นหละครับ ^_^

    * การสวดคาถาจะได้ ผลจิตจะต้องทิ้งกาย
    ได้ชั่วคราว และไร้รูปร่าง ขยายตัวไป
    ในลักษณะกะแส ออกไปนอกกาย
    โดยไม่ส่งผลต่อกาย( นี่คือ สภาวะอรูปฌานในส่วนอากาศธาตุ ตำราไม่มีบอกครับ
    ต้องเคยใช้งานถึงจะเข้าใจ เรียกถูกครับ และจะต้องมีกำลังสมาธิสะสมช่วยลดผลกระทบกับกาย เช่นการ สวดมนต์ เจริญสติ นั่งสมาธิมาก่อน)
    เพื่อไปเข้ากับต้นกะแสต่างๆภายนอก
    ถึงจะได้ผลครับ *
    สังเกตุไหม สายบารมีท่านถึงให้นึกถึง
    ภพภูมิ เพื่อเอากำลังตรงนั้น มาช่วย
    ให้จิตเข้าโหมดอากาศธาตุนั่นหละครับ

    การสวดคาถา เป็นการเสริมสมาธิ
    ข่วยเรื่องความจำได้ครับ นอกจากอื่นๆฯลฯ

    จบ เรื่องโม้ ก่อนอาหารเช้า
     
  11. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,344
    ค่าพลัง:
    +4,820
    จีวร เกศา เมล็ดข้าวก้นบาตร หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร


    3p3.jpg
     
  12. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,223
    ค่าพลัง:
    +10,118
    ท่าน9ตอบPM หน่อย
     
  13. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,887
    ค่าพลัง:
    +4,720


    (อาจารย์นพ)
    ".....จริงๆแค่คิดก็ได้ครับ ไม่ต้องใช้คำพูดก็ได้....."


    หมายถึงแค่คิด "จิ เจ รุ นิ"
    หรือแค่คิดบทคาถาอื่นๆ
    ...ก็มีผลเหมือนสวดแล้ว
    ???

    (อาจารย์นพ)
    ".....การสวดคาถาจะได้ ผลจิตจะต้องทิ้งกาย
    ได้ชั่วคราว และไร้รูปร่าง ขยายตัวไป
    ในลักษณะกะแส ออกไปนอกกาย
    โดยไม่ส่งผลต่อกาย....."

    ไม่ทราบว่าเป็นวิธีเดียวกับเทคนิคเฉพาะ
    ...ในการฝึกโทรจิตหรือไม่
    ".....ก็คือให้มาระลึกจุดที่อยู่ตรงตำแหน่ง

    ...ลิ้นปี่ของร่างกายเรา ด้านหน้านะครับ
    หรือตำแหน่งที่ต่ำกว่าช่วงหน้าอกลงมาเล็กน้อย
    ให้ย้อนเข้าไปนับจากผิวหนังลึกเข้าไปผ่านผิวหนัง
    ตรงลิ้นปี่เข้าไปประมาณ ๑ ซม.
    ให้คิด หรือ ระลึก หรือ กำหนดจากตรงตำแหน่งที่บอก
    ให้เสมือนกับว่ามันเป็นศูนย์กลางและมีอยู่จุดเดียว...
    แล้วเราก็ทำการเกร็งกล้ามเรา
    ด้วยการกำหนดออกจากจุดเดียวตรงศูนย์กลางนี้
    ให้มันขยายออกไปทุกทิศทุกทาง
    ไม่ต้องสนใจว่ามันจะกว้างแค่ไหน
    ขอเพียงแต่ให้เหมือนกับว่า...
    ศูนย์กลางนี้มันถูกขยายออกไปเป็นพอ
    (หลักการนี้ ใช้ร่วมกับตอนสวดคาถาจักรพรรดิได้เลย
    ซึ่งจะทำให้เข้าถึงพลังงานไปได้เร็วยิ่งขึ้นกว่าแบบก่อนหน้า)

     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    แค่คิดคือ หลังจากที่จิตเคยทำงานได้แล้ว
    ทางด้านนั้นๆได้แล้วครับ คือ ครั้งต่อไปจิตที่เคยทำงานได้ จะเร็วกว่าที่เรา
    จะคิดเป็นคำพูด
    ออกมานั่นเอง ย้ำคือเคยทำงานได้แล้ว

    เด่วช่วยเสริมอีกครับ

    หลักการตรงลิ้นปี่ และผลักออกไป
    ไร้ขอบเขต เป็นอุบายเริ่มต้น
    ทั้งในเรื่อง
    ๐.ใช้ร่วมเวลาสวดคาถาต่างๆ
    ๑. อุทิศส่วนกุศล
    ๒.เรื่องการเข้า
    ถึงอากาศธาตุ และอื่นๆ
    ๓.การอโหสิกรรม
    ๔.การเคลียกะแสวิบากต่างๆ
    ๕.การทำสมาธิ
    ให้สงบเพื่อเป็นพื้นฐานรองรับทางด้านต่างๆ
    ๖. การซ้อมเข้าออกฌานหลายๆรอบในขณะหายใจออกในลมหายใจเดียวแต่ลมจะมาจากข้างบน เลยลิ้นปี่เลยมาถึงท้อง ในขณะที่ลมอีกส่วนจะออกผ่านหูทั้งสองข้าง
    ๗.ส่วนเข้าออกฌานหลายๆรอบในลมหายใจเดียว ขณะหายใจเข้าจะดึงลมจากท้องผ่านลิ้นปี่ขึ้นมา
    ๘.การเตรียมเริ่มต้นใช้งานทางจิตในด้านต่างๆซึ่งจะขยายขึ้นไปข้างบนไร้ขอบเขตเช่นกัน

    และ ๙. คือเรื่องโทรจิต ซึ่งจะคล้าย ข้อ ๖ และ ๗ ผสมกัน เราจะกำหนดให้มีการขยายออกเป็นเส้นๆตรงๆ จากตรงกลางกระโหลกศรีษะให้ออกไปน้ำหนักเท่าๆกันทั้งสองข้างซึ่งปกติทำแรกๆมันจะไม่เท่ากัน (กิริยาเหมือน ๖ ปลายๆที่มผ่านหูแต่ว่า ๖ ลมกำลังออก) เพียงแต่ ๙ นั้นลม
    จะลงมาตรงๆถึงลิ้นปี่(กิริยาคล้ายตอนลมหายใจเข้าของ ๗) แต่จะค่อยขยายออกตรงลิ้นปี่ ไม่เลยลิ้นปี่เหมือน ๗ นั่นเอง

    ทริคมันมาจาก ข้อ ๖ และ ๗ นั่นหละครับ

    ปล. จาก ข้อ ๖ ถึง ๙ เนี่ย ส่วนตัวลองผิดลองถูกเองล้วนๆนะครับ พระครูฯท่านแค่บอกว่า
    ไปซ้อมเข้าออกบ่อยๆในลมหายใจเดียว
    ให้มันได้หลายๆรอบนะ แต่ท่านไม่บอกว่า
    ว่าทำอย่างไรนะครับ ๕๕
    ผ่านไปซักพักค่อยไปทำให้ท่านดู

    เรื่องโทรจิตเนี่ยก็เหมือนกัน
    ลองแล้วลองอีก ตอนนั้นแค่สงสัยว่า
    เค้าฝึกอย่างไรถึงจะสื่อสารกับภพภูมิได้
    มีหลักอย่างไร ลองผิดๆถูกๆ ทำต่อหน้าท่าน
    หลายรอบอยู่กว่าจะใช่นะครับ
    โทรจิต การสื่อสารที่เล่านี้
    เป็นเบสิคเริ่มต้นนะครับ
    ยังไม่ใช่ระดับใช้งานได้สากล
    จะใช้งานได้
    จิตต้องละเลียดกว่านี้อีกเยอะ
    ต้องใช้เวลาพอสมควรในการค่อยๆ
    พัฒนาครับ ตอนนี้เลยฟังฝ่ายเดียวเวลาที่ผีมาคุย
    ด้วยไปเล่นๆก่อนครับ ๕๕๕
    แห๋มๆ แต่ช่วงนี้ ดันไม่มีที่มา
    บอกเลขเลย ๕๕


    จบและ โม้หลังกาแฟตอนเช้า




     
  15. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,887
    ค่าพลัง:
    +4,720
    สรุปคือ.....
    หลักการตรงลิ้นปี่ แล้วผลักออกไป
    (หรือขยายออกไป)รอบๆอย่างไร้ขอบเขต
    ...เป็นแค่อุบายเริ่มต้น
    ที่ใช้ได้กับ 0 ถึง 9 ตามที่กล่าวข้างบน


    บางครั้งและหลายๆครั้งผมต้องเน้นถาม
    เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
    ก้อเหมือนเด็กอนุบาลที่เริ่มเรียนรู้
    ถ้าไม่แน่ใจ หรือเข้าใจอะไรผิดๆ
    แล้วจำผิดๆไป...จะผิดตลอดไป

    บางครั้ง บางอย่าง
    พออ่านไป 2-3รอบ ผมเริ่มเกทและเข้าใจ
    แต่ความเป็นห่วงคนอื่นๆ(ที่สนใจ)
    ...อ่านแล้ว..งงๆ...แต่ไม่กล้าถาม
    ...หรือไม่อยากถาม
    ...หรืออายที่จะถาม...555

    **ผมจึงทำหน้าที่ ส. ถามซะเอง**

    ตามความจริงท่านอจ.นพไปไกลมากๆ
    เมื่อเทียบกับหลายๆคน...โดยเฉพาะตัวผม
    บางสื่อสาร...จึงต้องอ่าน 2-3 รอบ(ถ้าสนใจ)
    ไม่ใช่ท่านเขียนแล้วอ่านยาก
    บางครั้งเราต่างหากที่ "ตามไม่ทัน"

    เหมือนคนที่เริ่มเรียนรู้เครื่องยนต์กลไก
    พออาจารย์พูดถึงศัพท์ช่าง...เราก็งงแล้ว
    เหมือนคนที่เริ่มเรียนรู้สายวิทย์
    พออาจารย์พูดถึงศัพท์วิทย์...เราก็งงแล้ว

    .....555 ทำงงไว้ก่อนนะดีแล้ว


    *************************

    (อาจารย์นพ)
    ".....โทรจิต การสื่อสารที่เล่านี้
    เป็นเบสิคเริ่มต้นนะครับ
    ยังไม่ใช่ระดับใช้งานได้สากล
    จะใช้งานได้ จิตต้องละเลียดกว่านี้อีกเยอะ
    ต้องใช้เวลาพอสมควรในการค่อยๆพัฒนาครับ


    ตอนนี้เลยฟังฝ่ายเดียว
    เวลาที่ผีมาคุยด้วยไปเล่นๆก่อนครับ ๕๕๕

    แห๋มๆ แต่ช่วงนี้ ดันไม่มีที่มา
    บอกเลขเลย ๕๕ ....."



    555....รออยู่เหมียนกัลล์
    ทั้งหมูเจน...คงอากาศร้อน...ลูกค้ากินฟรีเยอะ
    เฮียหนุ่ม...คงถูกรางวัลที่1 ญาติเยอะ...ขอหลบไปก่อน
    Maxmi...เลขเด็ดเต็งจ๋า...มีเลือกมากมาย...ใบ้เองงงเอง
    เจ๊แอม...หลังเปลี่ยนงาน...คงงานเข้า...กองเต็มโต๊ะเช้าเย็น

    โทษที...เย้าหยอกพองาม 555
     
  16. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,887
    ค่าพลัง:
    +4,720
    ขอเรียนถามท่านอ.นพว่า...
    "ยามว่างหรือขณะทำงานฟังบันทึกเสียงสวดมนต์เบาๆทุกวัน ทุกเวลา ได้อานิสงส์ทางตรง/ทางอ้อมหรือไม่ หรืออย่างไร
    และมีส่วนจะทำให้จิตมีกำลัง เป็นการบำรุงจิตในอีกทางหรือไม่
    และจะเกิดอานุภาพ ดั่งเช่นการสวดมนต์เช้า-ค่ำหรือไม่"

    ขอบคุณครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    อานิสงค์มันเป็นทั้งทางตรงและทางอ้อมครับ
    ฟังเสียงเป็นอุบายให้จิตตั้งมั่นอย่างหนึ่งไงครับ จิตตั้งมั่นก็ได้กำลังสมาธิตรงนี้
    แต่เป็นสมาธิที่สร้างสะสมจากภานนอก
    เหมือนเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ที่นับนิ้ว นับจำนวนก้าวที่เดินนั่นหละครับ
    สมาธิสะสมมันสร้างได้ทั้งภายนอกภายใน
    แต่ภายนอกทั่วไปเราจะได้มาจากการตั้งใจทำงานเต็มที่ไงครับ แต่มันหายไปเพราะช่วงที่เราเดินไปทำธุระ คุยสะมะเป๊ะ นิทาชาวบ้าน อะไรทำนองนี้ ๕๕๕

    ขณะฟังหากเราเกท ใจเราน้อมตาม
    ใจเราจะสบาย
    เราจะได้บุญจากตรงนี้ คนที่ทำบุญด้วย
    การแจกเทปหนังสือธรรมะ ก็ได้อานิสงค์เรื่อง
    ปัญญา เคยได้เจอนะครับ
    เรียนก็ไม่เก่ง แต่ดันสอบติด
    สอบผ่าน จนเพื่อนสงสัยว่าใช้เส้น ๕๕๕

    ส่วนอานุภาพจะคนละส่วนกับการสวดมนต์ครับ สวดมนต์เน้นเข้าถึงและผลตามวิถีของบทสวด ฟังได้ปัญญา

    แต่สวดมนต์และฟัง ได้สมาธิทั้ง
    ทางตรงทางอ้อม ที่ส่งผลต่อการ
    ล่วงละเมิดต่างๆ ยับยั้งไม่ให้จิตเกิด
    ความคิดต่างๆนานาที่เป็นอกุศลได้ครับ


    คุณ ๙ ถามมาดีแล้วหละครับ
    เพราะมีประโยชน์ในภาพรวมๆ
    เรื่องปฏิบัติมันแปลกๆนะครับ
    อยู่ดีๆจะพูดโท่งๆเลยก็ไม่ได้
    ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีประโยชน์ครับ
    มันจะทำให้การปฎิบัติของคน
    พูดโท่งๆไม่ก้าวหน้า หาทางเดิน
    ต่อไม่ได้ครับ และอื่นๆ

    เช่น นาย ก นั่งสมาธิเห็น ผี แล้วเอามาเล่า
    ก็จะไม่เห็นอีกนาน และก็จะไม่เข้าใจเรื่องผี
    ที่เห็นนั้น คือไม่เข้าใจนามธรรมนั่นเอง
    ก็จะติดอยู่ตรงนี้ ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพ

    วิถีมันอย่างนี้จริงๆครับ
    มันไม่เหมือนการ แจกหนังสือธรรมะครับ



     
  18. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    479
    ค่าพลัง:
    +1,205
    ผมเดาทางไม่ถูกแล้วตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนมั่นใจไม่กี่เลขก็ออกเดี๋ยวนี้พังยับจนไม่อยากจะซื้อแล้ว ((ขอเลขที่ผีบอกด้วยคับ))
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2019
  19. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,223
    ค่าพลัง:
    +10,118
    น้องเจนหายเลย 555
     
  20. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,887
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (อาจารย์นพ)
    ".....คุณ ๙ ถามมาดีแล้วหละครับ
    เพราะมีประโยชน์ในภาพรวมๆ....."


    งั้นผมถามต่อนะครับ
    เพราะเป็นข้อข้องใจมานาน
    ...บังเอิญเรื่องข้องใจคล้ายๆกับที่ท่านพูด คือ
    "เช่น นาย ก นั่งสมาธิเห็น ผี แล้วเอามาเล่า
    ก็จะไม่เห็นอีกนาน"

    อยากทราบว่าสาเหตุที่"ไม่เห็นอีกนาน"
    เป็นเพราะเรื่องลี้ลับบางอย่างไม่ควรเล่าใช่ไหมครับ

    อย่างผมเคยเล่าประสบการณ์เรื่องลป.ทวด
    อาทิเช่น เช้าวันหนึ่งขณะสวดมนต์ตามปกติ
    จู่ๆมีบทคาถาสั้นๆ "มหาโชค มหาลาภ"
    แทรกเข้ามาในบทสวด
    จนเป็นที่มาของความบังเอิญที่
    เหลือเชื่อหลายอย่าง
    ทั้งความบังเอิญจากการได้พบบุคคลต่างๆ
    รวมทั้งบุญญาภินิหารจากภาพถ่ายที่บันทึกไว้


    ตอนสมัยเป็นเด็ก อายุ 10 ขวบต้นๆ
    เคยได้ยินผู้ใหญ่ตั้งวงคุยกัน
    เรื่องภาพถ่ายเห็นเจ้าแม่กวนอิมบนท้องฟ้า
    คนหนึ่งที่ฟังรีบบอกประมาณว่า
    "คนที่เห็น ไม่ควรเล่าต่อให้ใครฟัง
    เพราะบางครั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประสงค์...
    ...ให้คนนั่นๆรู้เห็นเพียงคนเดียว
    ถ้าไม่เชื่อ...จะไม่ดี...และ
    จะไม่เห็นอีกเลย"

    เรื่องลี้ลับอย่างนี้
    บังเอิญคล้ายกับที่อาจารย์นพพูดข้างบน


    แล้วผมควรจะเชื่อบ้างหรือไม่
    เพราะห่างหายจากเรื่องลี้ลับนี้มานานพอสมควร


    ...แต่ทุกครั้งที่โม้ให้ฟัง
    ผมก็มีเจตนาดีแฝงอยู่ในใจลึกๆ
    คืออยากให้ผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงเรื่องลี้ลับ
    ...เพียงได้ยิน ได้ฟังมา...แต่ไม่เคยสัมผ้ส
    จะได้มั่นใจในการกระทำสิ่งดีๆ
    ละเว้นความชั่ว....
    ...โดยเฉพาะความชั่วร้ายที่รู้แก่ใจ
    อย่าได้ตั้งมั่นอยู่ในความประมาท
    ด้วยทุกกระทำของมนุษย์
    นอกจากกฏแห่งกรรมบันทึก
    ดวงตาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็บันทึกไว้เช่นกัน


    "บางครั้งสิ่งลี้ลับบนโลกใบนี้มีจริงแน่นอน ไม่ใช่ความบังเอิญ"
    Sometimes the mystery of this world is true. It's not a coincidence
     

แชร์หน้านี้

Loading...