เรื่องเด่น รู้อะไร ไม่สู้ รู้การก้าวล่วงพ้นกองทุกข์

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 สิงหาคม 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,802
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,565
    ค่าพลัง:
    +26,403
    E65B8716-57EC-41DF-8171-4BF49BEF3015.jpeg

    เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงเรื่องของทิพจักขุญาณ จะขออาศัยโอกาสนี้ตักเตือนญาติโยมทั้งหลายว่า เรื่องของทิพจักขุญาณนั้นเป็นเพียงของแถมในการปฏิบัติ ถ้าท่านต้องการทิพจักขุญาณ แปลว่าในอดีตต้องเคยทำมาแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปดิ้นรนทำในชาติปัจจุบันนี้อีก

    เพียงแต่ว่าพยายามรักษากำลังใจของเราให้นิ่ง สงบ เมื่อกำลังใจนิ่ง สงบได้ระดับเมื่อไร ทิพจักขุญาณจะกลับมาใหม่เอง ไม่ต้องเสียเวลาไปเริ่มต้นฝึกฝน ไม่ต้องเสียเวลาไปหาอุปกรณ์กสิณต่าง ๆ

    แต่คราวนี้ทิพจักขุญาณนั้นมักจะมีผลเสียมากกว่าผลดี อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วก็คือว่า เพราะเราเห็นเราจึงเชื่อ ขอให้ทุกท่านพิจารณาในส่วนอารมณ์ของพระโสดาบัน บุคคลที่เป็นพระโสดาบันนั้นก็คือ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว นี่คืออารมณ์ของการเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน เป็นเส้นทางที่ทุกคนควรที่จะไขว่คว้าให้ได้มาให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงว่า การเกิดมาในชาตินี้ของเราจะไม่เสียชาติเกิด ไม่เช่นนั้นถ้าเรามัวไปฝึกหัดเรื่องของฤทธิ์เรื่องของอภิญญาต่าง ๆ ถ้าเกิดว่าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้จบ แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันอย่างหยาบ เราก็เกิดแค่ ๗ ครั้งเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างกลางก็เกิด ๓ ครั้ง ถ้าเป็นอย่างละเอียดก็เกิดเพียงครั้งเดียว

    กติกาทั้งหมดที่ว่ามา ก็ไม่ได้บอกว่าต้องได้ทิพจักขุญาณ ไม่ได้บอกว่าต้องมีปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ ไม่ได้บอกว่าต้องมีเจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่น อ่านใจคนอื่นได้ ไม่ได้บอกว่าต้องมีจุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนเราก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ไม่ต้องมีอตีตังสญาณ รู้ว่าในอดีตชาติเราเกิดเป็นใคร

    ไม่ต้องมีอนาคตังสญาณ รู้ว่าในอนาคตเราจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องมีปัจจุปปันนังสญาณ รู้ว่าปัจจุบันนี้ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ไม่ต้องมียถากัมมุตาญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ทำกรรมอะไรไว้ จะได้รับผลกรรมอย่างไร ไม่ต้องบอกว่าต้องได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘

    เพียงแค่รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงจัง มีความรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน กติกามีเพียงแค่นี้เท่านั้น เป็นทางที่ตรงที่สุด สั้นที่สุด เมื่อเรามัวแต่แวะเวียนข้างทางอยู่ ถ้าตายไปเสียก่อนก็เสียชาติเกิด..!

    ดังนั้น การปฏิบัติของพวกเราทั้งหลาย เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวแล้ว สิ่งที่ควรจะตัดจะละให้เร็วที่สุดก็คือ ให้เลี้ยวเข้าหาอารมณ์พระโสดาบัน พยายามยึดถือและปฏิบัติตามให้เคยชิน เมื่อท่านใดที่ปฏิบัติจนชินแล้ว จะเพิ่มรายละเอียดไปรักษากรรมบถ ๑๐ แทนศีล ๕ ก็ได้ เพื่อเป็นการตอกย้ำความแน่นอนของอารมณ์พระอริยเจ้าให้มั่นคงยิ่งขึ้นกว่าเดิม

    ถ้าเราทำในลักษณะอย่างนี้ทุกวัน ๆ ไม่ต้องมาก ให้อารมณ์ใจทรงตัวตอนช่วงเช้าสัก ๕ นาที ๑๐ นาที ในอารมณ์พระโสดาบัน ก่อนนอนรักษาอารมณ์ใจให้ทรงตัว ๕ นาที ๑๐ นาที ในอารมณ์ของความเป็นพระโสดาบัน ถ้าทำได้แบบนี้ทุกวัน ตายเมื่อไรท่านจะได้เป็นพระโสดาบันจริง ๆ

    จริง ๆ แล้วหลักการปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อความพ้นทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยาก เพียงแต่ว่าบุคคลที่รู้กฎรู้กติกานั้นมีน้อย แล้วบุคคลที่รู้ส่วนหนึ่งก็ยังมัวแต่ไปฝึกในเรื่องของฤทธิ์ เรื่องของอภิญญาอยู่ อภิญญา แปลว่า รู้ยิ่ง อภิ คือ ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ความรู้ที่ยิ่งกว่าคนทั่ว ๆ ไป

    ในความรู้สึกของอาตมานั้น คำว่าอภิญญาที่จริงแล้วก็คืออารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้า เพราะความรู้อะไรก็ไม่มีคุณค่าเท่ากับความรู้ในการก้าวพ้นจากกองทุกข์

    ดังนั้น...ท่านทั้งหลายควรจะไขว่คว้าหาอภิญญาจากอารมณ์พระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ซักซ้อมเอาไว้ทั้งเช้าและเย็น เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงว่า กำลังใจของเราเกาะมั่นคงเมื่อไร ถ้าตายอย่างมากเราก็เกิดเพียง ๗ ชาติ อย่างกลางเกิดมาลำบากอีกแค่ ๓ ชาติ อย่างละเอียดก็เกิดแค่ชาติเดียว

    แต่ส่วนใหญ่แล้วพระโสดาบันนั้น ก่อนตายมักจะก้าวข้ามไปสู่อารมณ์พระอรหันต์เลย ไม่เสียเวลามาเวียนว่ายตายเกิดอีก เกิดจากความชำนาญในการกำหนดอารมณ์พระอริยเจ้า จนท้ายสุดก็เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดอีกก็ทุกข์อีก ท้ายสุดจิตใจก็ปลดละไม่ปรารถนาในความเกิด ไม่ปรารถนาร่างกายนี้อีก ถึงเวลาก็ก้าวล่วงพ้นเข้าสู่พระนิพพาน
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...