ไม่รู้จักกัน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.

  1. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    จาย เย็ง ๆ .. ;);)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2021
  2. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    เหนื่อย.. มั้ย..?

    :rolleyes::rolleyes: ...
     
  3. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    ..? :eek::eek:

    :D:D
     
  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เครื่องปรุงหมด กินดิบ:confused:
     
  5. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    อด.. แซ่บ.. :D:D
     
  6. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    ขรรม .. อะไร กัน รึ..?? ;);)
     
  7. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    เห็น....

    แอบ... ยิ้ม.. กรุ้ม.. กริ่ม

    ในใจ.. ซะ ดังลั่นทุ่ง.. 55 :D:D
     
  8. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    โลกทั้งใบให้นายคนเดียว;)
     
  9. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    สงสัย จะ เจอ... คู่...ซี้ ?? :D:D
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2021
  10. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    คนเดียว.. แบก ไม่ไหว.. นะ ;);)
     
  11. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    ซ๊ก.. เล็ก..? มั้ย..:D:D
     
  12. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    หน้าตาดี:D

    yXVhZ4o9.jpg
     
  13. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    แซ่บ บ่...?? :D:D

    ยั่ว ๆๆ ....
     
  14. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    แหงนมองขึ้นดู เมฆหมอก บน ท้องฟ้า..
    แล้วชำเรืองลงมา..มองดู ต้นไม้.. 555 ;);)
     
  15. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เห็นใจ:rolleyes:
     
  16. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    การฟังธรรม ฟังเพื่อให้เกิดฉันทะ วิริยะ ที่จะปฏิบัติ เมื่อมีฉันทะ วิริยะแล้ว เวลาปฏิบัติไม่ต้องนั่งอยู่ใกล้ท่านแล้ว ต้องไปปลีกวิเวก ไปหาที่สงบสงัด พอธรรมะจะจางหายไปจากใจก็กลับมาหาท่านใหม่
    กลับมาฟังเทศน์ฟังธรรมต่อ แล้วก็กลับไปปฏิบัติใหม่ ครูบาอาจารย์ถึงต้องคอยอบรมพระเณรที่อยู่กับท่านอย่างสม่ำเสมอ
    .
    ตอนเราเข้าไปอยู่ที่บ้านตาดใหม่ๆ เวลาหลวงตาจะอบรมพระนั้น แล้วแต่ท่านจะสะดวก ช่วงนั้นประมาณสัก ๔-๕ วันครั้ง ตอนเย็นๆ ตอนเกือบพลบๆ ท่านจะบอกให้พระรูปหนึ่งไปบอกพระมาประชุม ไม่มีการตีกลอง ตีระฆัง ตีอะไรทั้งสิ้น ท่านจะบอกพระที่ใกล้ชิดที่ปฏิบัติท่านให้ไปบอกพระมาประชุมกัน แล้วพระท่านก็จะไปบอกต่อๆ กัน พอบอกประชุมปั๊บ ต้องรีบมาเลย กำลังทำอะไรอยู่ต้องวางไว้หมด เอาผ้าอาสนะ เอาไฟฉาย เอาจีวร แล้วก็รีบมา เพราะถ้ามาช้านิดหนึ่งนี่ท่านจะนั่งรอเราอยู่แล้ว
    .
    สมัยที่เข้าไปอยู่ไม่มีไมโครโฟน ก็เหมือนตอนนี้มีพระเณรประมาณ ๑๐ กว่ารูป ท่านก็นั่งอยู่ตรงนี้ พระเณรก็นั่งอยู่ข้างหน้าท่าน ท่านก็พูดเสียงดัง พอได้ยินกันเวลาหลวงตาเทศน์ พูดครั้งแรกก็ประมาณสักชั่วโมงหนึ่ง หรือ ๔๕ นาที เสร็จแล้วท่านก็พักฉันน้ำ เคี้ยวหมาก แล้วทีนี้ก็จะเล่าเรื่องราวสมัยที่อยู่กับหลวงปู่มั่น สมัยที่ท่านปฏิบัติ เช่น
    ตอนที่ท่านนั่งภาวนาทั้งคืน เป็นต้น ก็จะแบ่งเป็นสองภาค เทศน์แต่ละครั้งก็ประมาณสัก ๒ ชั่วโมงฟังแล้วก็จะได้กำลังจิตกำลังใจ พอกลับไปแล้ว ก็ขยันหมั่นเพียรขึ้นเยอะ มีกำลังใจนั่งสมาธิได้นาน เดินจงกรมได้นาน เป็นเครื่องกระตุ้นให้เราเร่งความเพียรอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้นิ่งนอนใจการฟังเทศน์ถึงต้องฟังอยู่เรื่อยๆ กาเลน ธัมมัสสวนัง พอฟังเทศน์ของท่านแล้ว มีกำลังใจ บางทีกลับไปนั่งภาวนา เดินจงกรมจนถึงสว่างเลย เหมือนกับท่านอัดฉีดกำลังใจให้เต็มที่เลย
    .
    การได้อยู่กับครูบาอาจารย์แบบนี้ถือว่าโชคดี เป็นบุญมาก เพราะโดยปกติตัวเราเองจะไม่ค่อยมีกำลังที่จะขับตัวเราเท่าไร ไม่มีธรรมะที่จะล่อด้วย ท่านมีทั้งลูกล่อและลูกผลัก ลูกล่อ ก็คือ ธรรมะอันวิเศษที่ได้จากการปฏิบัติเอาออกมาอวดมาโชว์ เหมือนกับท่านมีแหวนเพชรสวยๆ ท่านก็เอามาโชว์ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ก็จะได้แหวนอย่างนี้ พอเห็นแหวนสวยๆ เราก็อยากจะได้ ก็มีกำลังจิตกำลังใจที่จะปฏิบัติ แล้วท่านก็จะบอกวิธีการปฏิบัติว่าจะต้องทำอย่างไร จะต้องอดทนขนาดไหน จะต้องทุ่มเทอย่างไร มันก็ทำให้เรามีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติมากขึ้น การได้ยินได้ฟังธรรมะของท่านอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นการเตือนสติให้รู้ว่าทางที่จะต้องไปนั้นไปทางไหน เวลาปฏิบัติธรรมนี้จิตมักจะไปติดตามจุดต่างๆ เวลาได้สมาธิก็จะติดอยู่ในสมาธิ ภาวนาทีไรก็จะภาวนาให้สงบอย่างเดียว พอสงบนิ่งแล้วก็มีความสุข พอถอนออกมาก็ไม่ได้พิจารณาธรรมะต่อ ไปทำอะไรอย่างอื่นก๊อกๆ แก๊กๆ ไป พอจิตฟุ้งซ่านขึ้นมาก็กลับไปทำสมาธิใหม่ แต่ไม่ได้เจริญปัญญา
    .
    ท่านก็เลยต้องคอยเตือนเสมอว่า พอได้สมาธิแล้ว เวลาออกจากสมาธิควรไปทางปัญญาต่อ ควรพิจารณาร่างกายก่อน พิจารณาให้เห็นถึงความไม่สวยงาม อสุภะ ความเป็นปฏิกูลของร่างกาย เพื่อคลายความกำหนัดยินดี นอกจากอาการทั้ง ๕ ที่อยู่ข้างนอกร่างกาย คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังแล้ว ยังมีอาการที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ผิวหนัง เช่น เนื้อ เอ็น กระดูก อวัยวะต่างๆ ให้เข้าไปดูด้วยปัญญา คือตาเนื้อของเรานี้ มองทะลุหนังเข้าไปไม่ได้ แต่ปัญญานี้มันทะลุเข้าไปได้ เพราะเราสามารถกำหนดพิจารณาจินตนาการภาพของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้
    .
    คัดมาเพียงส่วนหนึ่งจากหนังสือ
    "มหาเศรษฐีที่แท้จริง"(๘๑ -๘๓)
    พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
    วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๙
    พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๒๑
    ขุททกนิกาย มหานิทเทส
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    อัฏฐกวัคคิกะ
    กามสุตตนิทเทสที่ ๑
    ว่าด้วยกาม ๒ อย่าง

    _/|\_ _/|\_ _/|\_

    https://bit.ly/3aVWGBX
     
  18. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ก็อปมาอ่าน ใครที่เคยอ่านแล้ว รู้แล้ว ก็ข้ามไปนะ:)

    ตัณหาหลักมี 3 อย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ รวม 6 ทาง คูณกันนับเป็น 18 เกิดขึ้นภายในตัวเรา 18 เกิดขึ้นภายนอกตัวเรา ( เช่นที่คนอื่น ) 18 รวมเป็น 36 ทีนี้ เวลาที่ตัณหาเกิด มีเป็น 3 ระยะ คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างละ 36 รวมเป็น ตัณหา 108

    ตัณหา 108 ความทะยานอยาก

    อารมณ์ตัณหา ๖ คือ รูปตัณหา ๑, สัททตัณหา ๑, คันธตัณหา ๑, รสตัณหา ๑, โผฏฐัพพตัณหา ๑ และ ธัมมตัณหา ๑

    ปวัตติอาการ คือ อาการที่เป็นไป ๓ ได้แก่ กามตัณหา ๑ ภวตัณหา ๑ และ วิภวตัณหา ๑ อารมณ์ตัณหา ๖ คูณด้วยปวัตติอาการ ๓ เป็นตัณหา ๑๘

    ตัณหา ๑๘ นี้ เกิดที่สัณฐานใน คือ เกิดภายใน ๑ และเกิดที่สัณฐานนอก คือ เกิดภายนอก ๑ รวมเป็น ๒ คูณกับตัณหา ๑๘ นั้น เป็นตัณหา ๓๖

    ตัณหา ๓๖ นี้ เกิดได้ในกาลทั้ง ๓ คือ ปัจจุบันกาล ๑ อดีตกาล ๑ และ อนาคตกาล ๑ เอากาลทั้ง ๓ นี้คูณ ตัณหา ๓๖ นั้นอีก จึงรวมเป็นตัณหา ๑๐๘
     
  19. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    นั่งอ่าน...จน

    กะ.. !! กราม.. ค้าง เลย.. อิอิ :D:D
     
  20. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    1. กามตัณหา คือ ความทะยานอยากได้ ของตัณหา 6 ประการ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ เช่น อยากได้ของสวยที่ตนไม่มีสิทธิได้ อยากรับทานอาหารทิพย์ อยากได้กลิ่นหอมของเทวดา อยากฟังเสียงจากสวรรค์ อยากมีรูปงามอย่างนางฟ้า อยากมีบ้านสวย ทำให้ไม่รู้จักพอ เป็นต้น

    2. ภวตัณหา คือ ความทะยานอยากเป็น อยากมี หรืออยากให้อยู่ เช่น อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อยากเป็นเจ้า อยากเป็นดารา นักร้อง เป็นต้น

    3. วิภวตัณหา คือ ความทะยานอยากไม่ให้เป็น ไม่ให้อยู่ หรือให้พ้นไป ของสิ่งที่สมควรจะเป็น เช่น ไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย ไม่อยากให้สิ่งที่มีอยู่หมดสิ้นไป หรือเชื่อว่าตายแล้วสูญไม่เกิดอีก

    ในความเป็นจริงลักษณะของตัณหาทั้ง 3 ประการนี้ไม่ได้เกิดตามลำพังแต่เกิดต่อเนื่องกัน เช่น กามตัณหา คือ อยากได้ เมื่อได้มาแล้วก็เป็นภวตัณหา คือ อยากให้อยู่ตลอดไป แต่เมื่อเบื่อก็เกิดวิภวตัณหา คืออยากให้พ้นไปจากตน จึงรวมเรียกว่าตัณหา 3

    อุปาทาน เป็นตัวกิเลสที่ต่อมาจากตัณหา คือเมื่อคนเรามีความทะยานอยากแล้วก็เกิดอุปาทานคือความหลงเชื่อผิดว่าเป็น ของตน ทำให้มีการ ยึดถือไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าจะเป็นยศศักดิ์ สรรเสริญ บริวาร ทรัพย์สมบัติ หรือรูปกายของตนจะมีอุปาทาน ยึดมั่นว่าเป็นของตนทั้งสิ้น โดยลืมนึกไปว่าอย่าว่าแต่ของนอกกายเหล่านี้เลย แม้แต่ร่างกายของเรายังยึดไม่อยู่ มีป่วย มีแก่ชรา มีตาย สลายไป อุปาทานจึงเป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองอันหนึ่ง ซึ่งอาจแยกสาเหตุได้หลายอย่าง ได้แก่ อัตตวาทุปาทาน เป็นข้อสำคัญที่สุดคือความยึดมั่นว่าเห็นตนเองหรืออัตตาเป็นตัวเรา สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของตนและยึดไว้ไม่ยอมปล่อย อันจะเป็นเหตุให้เกิดภพชาติต่อๆไป พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ยึดว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

    กามุปาทาน ความยึดมั่นในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัสและการบริโภคของที่มีที่ได้

    ทิฏฐปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นของตนว่าเป็นสิ่งถูกต้องแน่นอน

    สิลพัตตุปาทาน ความยึดมั่นกับศิลพรต ซึ่งมีข้อยึดถือข้อปฏิบัติต่างๆกันว่าของตนถูกต้อง ซึ่งเป็นความงมงายซึ่งถ้าดูเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ที่เห็นคนเขาทะเลาะโต้เถียงกันอยู่ แบ่งพรรคแบ่งพวก จนถึงฆ่ากันตาย ก็เกิดจากข้อกามุปาทานกับทิฎฐปาทาน ในประเทศที่ต่างศาสนาตีกันฆ่ากันอยู่ก็จากสิลพัตตุปาทาน ต่างยึดมั่นของตน จนเกิดมีการสู้รบแย่งดินแดนกัน คนแย่งที่ดินกัน แย่งหญิงแย่งชายกัน ก็เป็นอัตตวาทุปาทานนั่นเอง ดังนั้นอุปาทานจึงเป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองอย่างชัดเจนดังนี้ ผู้ใดจะปฏิบัติตัวให้พ้นทุกข์ จึงต้องลดตัณหา อุปาทาน ให้บางลงมากที่สุด แต่ก็คงเป็นความจริงที่ว่าผู้ที่มีตัณหาอุปาทานน้อยมากคงจะดำรงชีวิตในสังคม มนุษย์ที่แย่งชิงแข่งขันกันทุกสิ่งได้ยาก เราคงจะต้องเดินสายกลางในการดำรงชีวิต รู้เท่าทันตัวตัณหาอุปาทานก็พอจะแก้ไขให้ได้ดีต่อตัวเรามากที่สุด

    อวิชชา คือ ข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดของ กิเลส แปลตามตัวหมายถึง ความไม่รู้จริงไม่รู้แจ้ง ความโง่ ความไม่รู้ทันเกี่ยวกับเรื่องของชีวิต รวมถึงความไม่ยอมรับรู้ และความรู้ผิดด้วย ซึ่งทางโลกคำว่าวิชามักจะหมายถึงผู้ที่มีการศึกษา แต่ในทางธรรมไม่ได้หมายถึงความรู้ที่ได้จากวิชาที่ได้จากการศึกษา แต่เป็นวิชาที่เกิดจากการศึกษาทางธรรมของพระพุทธองค์พระองค์เดียวและปฏิบัติ ทางจิตจนสามารถรู้ทันกิเลส ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน ทำให้เบาบางลง ผู้ที่มีอวิชชาอาจจะจบปริญญาเอกจากมหาวิยาลัยที่เด่นดังที่สุดในโลก ได้เหรียญได้รางวัลต่างๆมีชื่อเสียง แต่ถ้าไม่รู้ทันตัณหา อุปาทาน รวมทั้งไม่รู้จักอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้ว ทางธรรมก็ถือเป็นผู้ที่มีอวิชชาทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถรู้ถึงทางที่จะพ้นทุกข์ คือนิพพานได้ เพราะยังติดตัณหาอุปาทานที่จะนำให้เกิดภพเกิดชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเพราะความสำคัญเช่นนี้ในปฏิจจสมุปบาทจึงเริ่มต้นด้วยคำว่า อวิชชา

    กิเลส ข้อที่สำคัญที่สุดคือ อวิชชา คือความไม่รู้ ความไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง ในเรื่องของชีวิต ของสังขาร ของบาปบุญ รู้เรื่องของการเกิดดับฯ อวิชชาทำให้เกิดกิเลสตัวอื่น คือ ตัณหา และอุปาทาน และทำนองเดียวกัน การเกิดตัณหาและอุปาทานทำให้เกิดอวิชชา อวิชชาจึงเป็นกิเลสตัวใหญ่ ถ้าแก้ความไม่รู้ได้ ก็จะไม่มีตัณหาและอุปาทาน ก็จะหมดซึ่งกิเลสทั้งปวง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      12.3 KB
      เปิดดู:
      25

แชร์หน้านี้

Loading...