เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,937
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,204
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,937
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,204
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ความจริงวันนี้น่าจะเป็นวันว่าง แต่กลายเป็นว่าต้องทำงานมากที่สุด หลายท่านที่ติดตามการทำงานของกระผม/อาตมภาพจากทางเฟซบุ๊ก หรือว่าเว็บไซต์วัดท่าขนุน อาจจะสงสัยว่าวันนี้ไม่มีงานการอะไรที่อัพขึ้นเลย แล้วไปทำงานอะไรมากมายขนาดนั้น ? ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นงานเอกสารทั้งหมด แค่ออกเอกสารเชิญประชุมก็หน้ามืดแล้ว เพราะว่าแต่ละคน...ต้องบอกว่าจะมีส่วนหนึ่งที่แบกทิฏฐิไว้เต็มที่ ไม่เชิญประชุมก็ไม่มา เชิญประชุมบางทีก็ไม่มา ไม่เชิญโกรธก็อีกต่างหาก..!

    ถ้าหากว่าโดยนิสัยของกระผม/อาตมภาพจริง ๆ แล้ว ก็ไม่แยแสคนทั้งหลายเหล่านี้หรอก แต่ว่าการทำงานเพื่อส่วนรวม เราต้องนึกถึงความสำเร็จของการงาน ไม่ใช่เอากิเลสไปชนกัน ในเมื่อเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่เราจะต้องลดทิฏฐิมานะ เพื่อที่จะให้ส่วนรวมไปได้ ก็ต้องยอมอดทน อดกลั้น แม้ว่าไม่อยากจะทำก็ต้องทำ ซึ่งตรงนี้หลายต่อหลายท่านใช้คำว่า "อยู่เป็น" ก็คือ ถ้าหากว่าเรา "อยู่เป็น" การงานต่าง ๆ ก็จะไปได้ง่าย แต่ถ้าเรา "อยู่ไม่เป็น" ทำตัวเหมือนเม่นที่พองขนใส่กัน ก็มีแต่จะทิ่มแทงคนอื่น

    ความจริงแล้วกระผม/อาตมภาพได้รับนิมนต์ให้ไปปลุกเสกวัตถุมงคลในงานใหญ่มาก แต่ว่าที่ไม่ไปนั้น มี ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกนั้นสำคัญที่สุด ก็คืออยู่ในช่วงจัดปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ์ พระบรมราชินี ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

    เมื่อปฏิเสธไป อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพทำอยู่นั้นสำคัญแค่ไหน มองแต่ความสำคัญในงานส่วนของตัวเองเท่านั้น ถึงขนาดพูดในทำนองว่า "ถ้าไม่ไปก็ต้องรายงานท่านประธาน" ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของคณะสงฆ์ คงคิดว่ากระผม/อาตมภาพจะกลัวกระมัง ?

    โดยหลักปฏิบัติเฉพาะตนของ
    กระผม/อาตมภาพแล้ว ถ้ารับงานไหนไว้ก่อน งานถัดไปต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน กระผม/อาตมภาพก็ไม่ไป ยกเว้นว่าถ้าเป็นงานส่วนตัวแล้วงานคณะสงฆ์เข้ามา ก็จะเอางานคณะสงฆ์เป็นใหญ่ ถ้าหากว่าเป็นงานคณะสงฆ์ แล้วมีงานในรั้วในวังเข้ามา ก็จะเอางานในรั้วในวังเป็นใหญ่
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,937
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,204
    ในเมื่อลำดับความสำคัญในลักษณะอย่างนี้ ท่านเจ้าของงานย่อมไม่พอใจ เพราะว่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก ก็คืองานของกูต้องสำคัญที่สุด หลายต่อหลายที่ก็เป็นแบบนี้ นี่เป็นประการแรกว่า กระผม/อาตมภาพติดงานสำคัญที่จัดอยู่ แล้วก็เชื่อว่าคงไม่มีงานอะไรที่สำคัญไปกว่านั้นได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของการจัดงานปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี

    ความจริงอยากจะถามกลับไปเหมือนกันว่า "คุณเห็นว่างานของคุณสำคัญกว่างานตรงนี้จริง ๆ หรือ ?" แต่ก็ไม่อยากที่จะไปสร้างกายกรรม วจีกรรมอะไรมากมาย เมื่อบอกปฏิเสธไปแล้ว คุณจะฟังเหตุผลหรือไม่ฟังเหตุผล กระผม/อาตมภาพก็วางสายแล้ว

    ประการที่ ๒ ก็คือ ไม่มีการติดต่อมาล่วงหน้ามาก่อนเลย มีหนังสือนิมนต์มาถึงก็กระชั้นชิดกับงานมากแล้ว อย่าลืมว่าตัวกระผม/อาตมภาพนั้น หลายคนนิมนต์ข้ามปียังไม่ได้ตัวเลย ติดต่อก็ไม่ติดต่อมาก่อน มีหนังสือฉบับเดียว เหมือนอย่างกับชี้นิ้วสั่งให้ไปร่วมงาน อยากจะถามเหมือนกันว่า "สำคัญตัวเองผิดขนาดนั้นเลยหรือ ?" แต่ก็ไม่อยากให้มีเวรมีกรรมผูกพันกันมากมาย จึงได้แต่ปฏิเสธไปเท่านั้น

    ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะว่าไม่อยากให้พวกเราทุกคนอยู่ในลักษณะอย่างนั้น โดยเฉพาะการทำงานเพื่อคณะสงฆ์ หรือทำงานเพื่อวัด เราต้องคำนึงถึงส่วนรวมเป็นใหญ่ ไม่ใช่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก

    เหมือนอย่างที่มีพราหมณ์เข้าไปแสดงทัศนคติต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่สมณโคดม ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าไม่ชอบใจทั้งหมด" พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบไปว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องไม่ชอบใจแม้กระทั่งตัวของท่านเองด้วย..!"

    แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็ยังมีคนเป็นจำนวนมาก ที่ยังแบกกิเลสอยู่ในลักษณะนี้เป็นปกติ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไร ขาดหลักธรรมในข้อสมานัตตตาเป็นอย่างมาก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,937
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,204
    กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า พวกเราแปลคำว่า สมานัตตตา ผิดมาตั้งแต่ต้น ก็คือไปแปลว่า เสมอต้นเสมอปลาย

    อย่าลืมว่าสังคหวัตถุ ๔ คือหลักธรรมสำหรับยึดโยงสังคมเข้าด้วยกัน ประกอบไปด้วย ทาน รู้จักแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น โดยมีบาลีกำกับว่า ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ปิยวาจา พูดดีพูดเพราะต่อคนอื่น ละเว้นจากวาจาไม่ดีไม่งามทั้ง ๔ ประการ คือการพูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดโกหก พูดเพ้อเจ้อ อัตถจริยา คือทำประโยชน์แก่คนอื่นเขา

    สมานัตตตานั้นก็คือ ต้องนึกถึงอกเขาอกเรา พูดง่าย ๆ ก็คือ นึกถึงคนอื่นเสมอด้วยตนเอง เราไม่ชอบอะไรก็ต้องนึกว่าคนอื่นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน แล้วอย่าไปทำกับเขาอย่างนั้น เราชอบอะไร ก็ต้องนึกว่าคนอื่นเขาก็ชอบแบบเดียวกัน แล้วพยายามทำเพื่อสร้างความชอบใจให้เกิดกับคนอื่นเขา ไม่ใช่ไปแปลว่าความเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าอย่างนั้นคนชั่วเสมอต้นเสมอปลายก็สามารถยึดโยงสังคมได้ ?!

    ในส่วนนี้นอกจากพวกเราจะต้องคำนึงถึงส่วนรวมแล้วยังไม่พอ ยังต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่ต้องไม่ทิ้งหลักการที่ถูกต้อง เท่าที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพเจอพรรคพวกเพื่อนฝูงจำนวนมาก ที่อยู่ในลักษณะไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังประจบคฤหัสถ์ ประทุษร้ายตระกูลของพระพุทธเจ้า เพราะว่าไปเอาใจคนรวย ไปเอาใจผู้มีอำนาจ

    เพราะว่าในส่วนของการประจบเอาใจ กับในส่วนของการปฏิสันถารคาราวะ มีความใกล้เคียงกันมาก ถ้าหากว่าไม่มีความพอเหมาะพอดีเมื่อไร ล้ำเส้นเมื่อไรก็กลายเป็นประทุษร้ายตระกูลด้วยการประจบคฤหัสถ์ทันที
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,937
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,204
    ตัวกระผม/อาตมภาพเองมีญาติโยมจำนวนมากปวารณาเอาไว้ ขนาดบอกว่าสร้างหนี้ได้ตามใจชอบ ถึงเวลาจะ "เคลียร์" ให้ทุกบาททุกสตางค์ แต่กระผม/อาตมภาพไม่เคยใช้สิทธิ์นี้เลย เพราะว่าถ้าหากว่าใช้เมื่อไร ก็จะกลายเป็นประจบคฤหัสถ์ได้ง่าย ๆ..!

    แล้วคนทั้งหลายเหล่านี้เมื่อมา ถ้าหากว่าเจอแนวทางของวัดท่าขนุน ก็อาจจะรับไม่ได้ เพราะว่าที่นี่ไม่มีคนพิเศษ ทุกคนได้รับการต้อนรับเสมอกันหมด จากท่านทั้งหลาย ไม่ใช่กระผม เพราะส่วนใหญ่แล้วผมไม่ได้แยแสสนใจเลย

    จึงเป็นเรื่องที่เราต้องสังวรระวังเอาไว้ว่า เราจะแบกสักกายทิฏฐิและมานะ ซึ่งเป็นกิเลสใหญ่ในสังโยชน์ทั้ง ๑๐ แล้วทำตัวเป็นศูนย์กลางของโลก ทุกสิ่งทุกอย่างต้องได้อย่างใจ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าท่านทั้งหลายกระทำผิดหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปไกลมากแล้ว

    เพราะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้อย่างใจ ถ้าเราต้องการให้ทุกอย่างได้อย่างใจ เราก็จะแบกความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เพราะว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ตรงนี้บาลีใช้คำว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา อนัตตาที่หมายถึงไม่ใช่ตัวตน อีกความหมายหนึ่งก็คือบังคับบัญชาไม่ได้

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเราเองว่าเราจะพยายาม ลด ละ เลิก ทิฏฐิเหล่านี้ หรือว่าจะแบกเอาไว้ให้ความทุกข์ท่วมทับเราอยู่ทุกวัน ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องไปพิจารณาและจัดการกันเองตามอัธยาศัย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...