เอ่อ ถ้าอยากได้ เจโตปริยญานต้องทำยังไงครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย mayl8e, 11 กันยายน 2005.

  1. mayl8e

    mayl8e Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +55
    ช่วยบอกทีครับ อยากรู้อ่ะครับ
     
  2. Catwater

    Catwater เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2005
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +142
    เพื่ออะไร ???

    เราว่าถึงได้ไปมันก็ไม่มีไรดีขึ้นมา ดีไม่ดีไม่ได้ยังจะดีกว่า ( ดีที่ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดกะตัวเองยังไง ) แล้วก็หลอกตัวเองไปวันๆ ตุณอยากจะมีความสุขกะชีวิตที่คุณหลอกตัวเองคุณไม่รู้คุณไม่เข้าใจ หรือคุณจะรู้คุณจะเข้าใจและซาบซึงถึงสัจธรรมอันโหดร้ายป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรมใดๆโดยที่ไม่มีวิธีไหนที่คุณจะแก้ไขได้ และจมอยู่กับความทุกข์จากความอ่อนแอและไม่ได้เรื่องของตัวคุณเองที่ไม่มีพลังใดๆไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขความเลวร้ายที่เป็นอยู่และคุณสามารถมองเห็นมันอยู่ต่อหน้านั้นได้ล่ะ
    (b-wow)
    ปล. คุณคิดว่าคุณพร้อมแล้วหรือยัง... ที่จะรู้ว่าคนอื่นคิดกะคุณยังไง...
     
  3. ดวงแก้ว

    ดวงแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +259
    ปฏิบัติเพื่อละอย่างเดียว ไม่ใช่เพิ่ม หรืออยากได้ค่ะ
    ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องได้อย่างบริบูรณ์ก่อน
    สิ่งที่คุณถามเป็นเรื่องที่ไกลเกินปุถุชนที่ยังมีกิเลส
    และมีความยึดมั่นจะสัมผัสถึง นอกจากจะมีสัญญามาจากอดีต

    ความจริงการปฏิบัติ ตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะแนวทางไว้
    ท่านต้องการให้พ้นทุกข์ หาทางออกจากทุกข์มากกว่า
    ไม่ใช่เพื่อฤทธิ์ เพื่อเดช ต่อให้คุณได้ดังต้องการ แต่ถ้าหากเรา
    ยังปล่อยวางไม่เป็น ยังยึดยังถือ ว่า ตัวเรา ของเราอยู่ ก็อาจ
    เป็นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราละได้แล้ว ถึงรู้ ก็ไม่กระทบใจ เพราะ
    เราวางหมดแล้ว และทุกสิ่งต้องเป็นไปตามกรรม มีเกิด มีดับ
    หมุนเวียนอย่างไม่จบสิ้น

    แต่ยังไงก็ขอให้กำลังใจ เพื่อให้คุณเริ่มปฏิบัติ เพื่อเดินไปสู่
    จุดหมาย ด้วยความเพียรสม่ำเสมอแบบปล่อยวาง อย่างน้อย
    ก็จะประสบสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ดีกว่า ไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ
    แล้วเอาแต่คิด เหมือนคนที่อยากทานอาหาร แต่ไม่ยอมตักเข้าปาก
    เอาแต่คิดว่าตัวเองกินแล้ว เดี๋ยวก็หิว และคิดว่าคงไม่อร่อย
    แต่อาหาร หากเราหิว เราทานเข้าไป ย่อมมีความอิ่ม ย่อมรู้รสชาด
    ดีกว่าดูคนอื่นทาน แล้วถามความรู้สึกเขา ย่อมหาประโยชน์ไม่ได้
    แม้เราจะนั่งเฝ้าผู้ทานอาหารอย่างใกล้ชิด และถามในทุกคำที่เขาทาน
    เข้าไป ก็ไม่สามารถทำให้เราเข้าใจได้อย่างที่เราลงมือตักทานเอง
    แค่ 1 คำ จริงไหมจ้ะ ...
     
  4. ดวงแก้ว

    ดวงแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +259
    ปฏิบัติเพื่อละอย่างเดียว ไม่ใช่เพิ่ม หรืออยากได้ค่ะ
    ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องได้อย่างบริบูรณ์ก่อน
    สิ่งที่คุณถามเป็นเรื่องที่ไกลเกินปุถุชนที่ยังมีกิเลส
    และมีความยึดมั่นจะสัมผัสถึง นอกจากจะมีสัญญามาจากอดีต

    ความจริงการปฏิบัติ ตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะแนวทางไว้
    ท่านต้องการให้พ้นทุกข์ หาทางออกจากทุกข์มากกว่า
    ไม่ใช่เพื่อฤทธิ์ เพื่อเดช ต่อให้คุณได้ดังต้องการ แต่ถ้าหากเรา
    ยังปล่อยวางไม่เป็น ยังยึดยังถือ ว่า ตัวเรา ของเราอยู่ ก็อาจ
    เป็นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราละได้แล้ว ถึงรู้ ก็ไม่กระทบใจ เพราะ
    เราวางหมดแล้ว และทุกสิ่งต้องเป็นไปตามกรรม มีเกิด มีดับ
    หมุนเวียนอย่างไม่จบสิ้น

    แต่ยังไงก็ขอให้กำลังใจ เพื่อให้คุณเริ่มปฏิบัติ เพื่อเดินไปสู่
    จุดหมาย ด้วยความเพียรสม่ำเสมอแบบปล่อยวาง อย่างน้อย
    ก็จะประสบสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ดีกว่า ไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ
    แล้วเอาแต่คิด เหมือนคนที่อยากทานอาหาร แต่ไม่ยอมตักเข้าปาก
    เอาแต่คิดว่าตัวเองกินแล้ว เดี๋ยวก็หิว และคิดว่าคงไม่อร่อย
    แต่อาหาร หากเราหิว เราทานเข้าไป ย่อมมีความอิ่ม ย่อมรู้รสชาด
    ดีกว่าดูคนอื่นทาน แล้วถามความรู้สึกเขา ย่อมหาประโยชน์ไม่ได้
    แม้เราจะนั่งเฝ้าผู้ทานอาหารอย่างใกล้ชิด และถามในทุกคำที่เขาทาน
    เข้าไป ก็ไม่สามารถทำให้เราเข้าใจได้อย่างที่เราลงมือตักทานเอง
    แค่ 1 คำ จริงไหมจ้ะ ...
     
  5. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    เป็นเจตนาดี ไม่เสียหายนี่ครับ ... การจะให้คนมาในสายทางนี้ได้ ความชอบไม่เสมอกัน บางคนต้องการสิ่งล่อ บางคนไม่ต้องการ ว่ากันไม่ได้ แล้วแต่จริต ลองปร฿กษาอาจารย์ไก่ดู ไปวัดท่าซุง หรือไปซอยสายลมนะครับ....โมทนานะครับ
     
  6. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    สีของจิตนี้ บางแห่งก็เรียกว่า "น้ำเลี้ยงของจิต" ปรากฏเป็นสีออกมาโดยอาศัยอารมณ์ของจิตเป็นตัวเหตุ การที่จะรู้อารมณ์จิตนั้นต้องมี เจโตปริยญาณ ก่อนจึงจะรู้อารมณ์ของจิต สีนั้นบอกถึงจิตเป็นสุข เป็นทุกข์ อารมณ์ขัดข้องขุ่นมัวหรือผ่องใส ท่านกล่าวไว้ดังนี้
    1. จิตที่มีความยินดีด้วยการหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดง
    2. จิตที่มีอารมณ์โกรธ หรือมีความอาฆาตจองล้างจองผลาญ กระแสจิตมีสีดำ
    3. จิตที่มีความผูกพันด้วยความลุ่มหลง เสียดายห่วงใยในทรัพย์สิน และสิ่งมีชีวิต กระแสจิตมีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ
    4. จิตที่มีกังวล ตัดสินใจอะไรไม่ได้เด็ดขาด มีความวิตกกังวลอยู่เสมอ กระแสจิตมีสีเหมือนน้ำต้มตั่วหรือน้ำซาวข้าว
    5. จิตที่มีอารมณ์น้อมไปในความเชื่อง่าย เชื่อโดยไม่ใคร่ครวญทบทวนหาเหตุผล คนประเภทนี้ที่ถูกต้มตุ๋นอยู่เสมอ ๆ จิตของคนประเภทนี้กระแสมีสีเหมือนดอกกรรณิการ์ คือ สีขาว
    6. คนที่มีความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันเหตุการณ์เสมอ เข้าใจอะไรก็ง่าย เล่าเรียนก็เก่ง จดจำดี มีไหวพริบ คนประเภทนี้ กระแสจิตมีสีผ่องใสคล้ายแก้วประกายพรึก หรือคล้ายน้ำกลิ้งอยู่ในใบบัว คือมีสีใสคล้ายเพชร
    สีของจิตโดยย่อ
    เพื่อให้เห็นกันง่าย ๆ ยิ่งขึ้น โดยแบ่งสีของจิตออกเป็นสามอย่างคือ
    1. จิตมีความดีใจ เพราะผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดง
    2. จิตมีทุกข์เพราะความปรารถนาไม่สมหวัง กระแสจิตมีสีดำ
    3. จิตบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกังวล คือสุขไม่กวน ทุกข์ไม่เบียดเบียน จิตมีสีผ่องใส
    กายในกาย สำหรับนักปฏิบัติขั้นต้น ถือเอาอวัยวะภายในเป็นกายในกาย ส่วนท่านที่ได้จุตูปปาตญาณแล้ว ก็ถือเอากายที่ซ้อนกายอยู่นี้เป็นกายในกาย กายในกายนั้น เป็นกายประเภทอทิสมานกาย คือดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น ต้องดูด้วยญาณจึงเห็น ตามปกติกายในกาย หรือกายซ้อนกายนี้ปรากฏตัวให้เจ้าของกายรู้อยู่เสมอในเวลาหลับ ในขณะหลับนั้น ฝันว่าไปไหนทำอะไรที่อื่น จากสถานที่เรานอนอยู่ ตอนนั้นเราว่าเราไปและทำอะไรต่ออะไรอยู่ ความจริงเรานอนและเมื่อไปก็ไปจริง จำเรื่องราวที่ไปทำได้ กายนั้นแหละที่เป็นกายซ้อนกาย หรือกายในกาย ตามที่มีอยู่ในมหาสติปัฏฐาน กายในกายนี้แบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ
    1. กายอบายภูมิ มีรูปร่างลักษณะ คล้ายกับคนขอทานที่มีแต่กายเศร้าหมองอิดโรย หน้าตาซูบซีด ไม่ผ่องใส พวกนี้ตายแล้วไปอบายภูมิ
    2. กายมนุษย์ มีรูปร่างลักษณะค่อนข้างผ่องใส เป็นมนุษย์เต็มอัตรา จะต่างกันตรงที่ผิวพรรณ ***ส่วน ขาวดำ งดงามต่างกัน แต่ลักษณะบอกความเป็นมนุษย์ชัดเจน พวกนี้ตายแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์อีก
    3. กายทิพย์ คือกายเทวดาชั้นกามาวจร มีลักษณะผ่องใส ละเอียดอ่อน ถ้าเป็นเทพชั้นอากาศเทวดา หรือรุกขเทวดาขึ้นไป ก็จะเห็นสวมมงกุฎแพรวพราว เครื่องประดับสวยสดงดงามมาก ท่านพวกนี้ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์
    4. กายพรหม มีลักษณะคล้ายเทวดา แต่ผิวกายละเอียดกว่า ใสคล้ายแก้ว มีเครื่องประดับสีทองล้วน แลดูเหลืองแพรวพราวไปหมด ตลอดจนมงกุฎที่สวมใส่ ท่านพวกนี้ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นพรหม
    5. กายแก้ว หรือกายธรรม ที่เรียกว่าธรรมกายก็เรียก กายของท่านประเภทนี้ เป็นกายของพระอรหันต์ จะเห็นเป็นประกายพรึกทั้งองค์ ใสสะอาดยิ่งกว่ากายพรหม และเป็นประกายทั้งองค์ ท่านพวกนี้ตายแล้วไปนิพพาน การที่จะรู้กายพระอรหันต์ได้ ต้องเป็นพระอรหันต์เองด้วย มิฉะนั้นจะดูท่านไม่รู้เลย
    ตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่นั้น กล่าวว่า ท่านพวกนี้ตายแล้วไปเกิดที่นั้น ๆ หมายถึงว่า ท่านพวกนั้นไม่สร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วที่มีกำลังแรงกว่าที่เห็น พวกที่ไปสร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วที่แรงกว่า ก็ย่อมไปเสวยผลตามกรรมที่ให้ผลแรงกว่า
    การรู้อารมณ์จิตนั้นมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะการรู้อารมณ์จิตของตนเองสำคัญมาก คอยสกัดกั้นอารมณ์ชั่วร้ายที่เป็นกิเลสและอุปกิเลสไม่ให้มาพัวพันกับจิต ด้วยการคอยตรวจสอบกระแสจิตว่า ขณะนี้เราจะมีสีอะไร ควรรังเกียจสีทุกประเภท เพราะสีทุกอย่างที่ปรากฎนั้น เป็นอาการของกิเลสทั้งสิ้น สีที่ต้องการคือสีใสคล้ายแก้ว ต้องเป็นแก้วทั้งแท่ง อย่าให้มีแกนที่เป็นสีปนแม้แต่นิดหนึ่ง สีที่เป็นแก้วนี้ เป็นอาการของจิตที่ทรงฌาน 4
    • ท่านผู้ทรงฌานหนึ่ง หรือที่เรียกว่า ปฐมฌาน จะมีกระแสจิตเหมือนเนื้อที่ถูกแก้วบาง ๆ เคลือบไว้ภายนอก
    • ท่านที่ทรงฌานสอง หรือที่เรียกว่าทุติยฌานมีเสมือนแก้วเคลือบหนาลงไปครึ่งหนึ่ง
    • ท่านที่ทรงฌานสาม หรือที่เรียกว่า ตติยฌาน มีภาพเหมือนแก้วเคลือบหนามาก เห็นแกนในสั้นไม่เต็มดวง และเป็นแกนนิดหน่อย
    • ท่านที่ทรงฌานสี่ หรือที่เรียกว่า จตุตถฌาน กระแสจิตจะดูเป็นแก้วทั้งดวง เป็นเสมือนแก้วลอยอยู่ในอก
    จิตของพระอริยะ
    1. ท่านที่มีอารมณ์วิปัสสนาญาณเล็กน้อย เรียกว่าได้เจริญวิปัสสนาญาณพอมีผลบ้าง จะเห็นจิตเริ่มมีประกายออกเล็กน้อย เป็นลักษณะบอกชัดว่า ท่านผู้นั้นเจริญวิปัสสนาญาณได้ผลบ้างแล้ว
    2. พระโสดาบัน กระแสจิตจะเกิดเป็นประกายคลุมจิตเข้ามา ประมาณหนึ่งในสี่
    3. พระสกิทาคามี กระแสจิตจะมีประกายออกประมาณครึ่งหนึ่ง
    4. พระอนาคามี กระแสจิตจะเป็นประกายเกือบหมดดวง จะเหลือส่วนที่ไม่เป็นประกายนิดหน่อย
    5. ท่านที่บรรลุอรหันต์ กระแสจิตจะเป็นประกายหมดทั้งดวง คล้ายดาวประกายพรึกลอยอยู่ในอก กระแสจิตที่เป็นประกายทั้งดวงนี้ ควรเป็นกระแสจิตที่นักปฏิบัติสนใจแสวงหาให้ได้ เอาชีวิตเข้าแลกประกายจิตไว้ เพราะถ้าได้จิตเป็นประกายก็จะหมดทุกข์สิ้นกรรมกันเสียที มีพระนิพพานเป็นที่ไป จะพบแต่สุขอย่างประเสริฐ
     
  7. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ตามตัวอย่างข้างบน เอามาจากเว๊ป http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=319


    เขาใช้ตาทิพย์ ... ดูสีของจิต ... นี่ก็เป็นอีกแง่หนึ่ง
     
  8. mayl8e

    mayl8e Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +55
    คนเราชอบไม่เหมือนกันหรอกอย่าคิดว่าทุกคนจะเหมือนกันสิ
    สำหรับการพร้อมน่ะพร้อมเสมอ ไม่ต้องคิดหรอกนะว่าเริ่มแรกอยากได้ไปๆมาๆจะเบื่อ และกลับไม่ชอบ
    การใช้เจโตปริยญานไม่ได้ใช้กับคนอย่างเดียวนี่ครับ ใช่ไหมล่ะ
    พูดก็พูดเถอะ
    คุณแมวน้ำนั้นเคยได้มาบ้างแล้วหรือยังหรือเพียงพิจารณาหาความหมายแล้วตอบมาเพียงเท่านั้น
     
  9. mayl8e

    mayl8e Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +55
    จริงนั้นผมคิดว่า การอยู่คนเดียวเหมาะที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรม ใช่ไหม
    ผมว่าน่าจะจริง เพราะบางทีอาจ มีศีล5ไปในตัวแล้วด้วย
     
  10. Catwater

    Catwater เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2005
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +142
    อืมมม... ผมแน่ใจว่าคำตอบนั้น ไม่ได้สำคัญอะไรกับตัวคุณเลย... :p

    ส่วนการที่จะรักษาธรรมนั้นควรจะอยู่คนเดียวถูกแล้ว... เพราะว่าคุณอยู่ใกล้ใครคุณก็จะถูกชักนำให้เป็นเหมือนคนนั้น ถ้าคุณอยู่ใกล้ผู้ทรงศีลคุณก็จะถูกชักนำให้ทรงศีล แต่ในสังคมของฆราวาสปุธุชนธรรมดานั้นใครมันจะทรงศีลทรงธรรมกันมั่ง ไอ่พวกนี้คิดแต่หาทางเอาตัวรอดไปวันๆ แล้วก็แสวงหาทรัพย์สินสิ่งของมาสนองกิเลสของตนเองเท่านั้น อยู่กะไอ่พวกนี้มีแต่จะถูกฉุดลงต่ำอย่างเดียว จะรักษาธรรมรักษาคุณความดีไว้ไม่ได้ ถ้าจะปฏิบัติเคร่งๆก็เข้าป่าลูกเดียว :(
     
  11. อักขรสั จร

    อักขรสั จร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +343
    เจโตมีไว้ใช้ดูจิตตัวเอง
    จะได้ปรับระดับจิตให้ถูกทางง่ายขึ้น
     
  12. มหาธาตุ

    มหาธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +524
    เจโตฯนี่เป็นข้อหนึ่งในอภิญญา ถ้าอยากได้ต้องเข้าหลักสูตรอภิญญาคือฝึกกสิณ ๑๐ ให้ชำนาญ
    อภิญญา ๖ http://www1.freehostingguru.com/thaigenx/mongkhol/mk38.htm
    อภิญญา ๖ คือ ความรู้อันยิ่งยวด เหนือความรู้จากการตรองด้วยหลักเหตุผลธรรมดา ได้แก่
    ๑.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็นสิ่งต่างๆ ย่อ-ขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
    ๒.ทิพยโสต มีหูทิพย์
    ๓.เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
    ๔.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
    ๕.จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุ) มีตาทิพย์
    ๖.อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไปได้


    ในอภิญญา ๖ นี้ ๕ ข้อแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อที่ ๖ เป็นโลกุตรอภิญญา คุณวิเศษเหล่านี้ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงด้วยการบอกเล่าหรือสั่งสอนกัน ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นนั้นๆ แล้วจึงจะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง (โอวาทพระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กันยายน 2005
  13. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    พระพุทธเจ้าอยู่ในใจเมื่อใด ทุกอย่างมาเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...