เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 มิถุนายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,918
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,386
    ค่าพลัง:
    +26,202
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,918
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,386
    ค่าพลัง:
    +26,202
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพออกบิณฑบาตตามปกติทุกครั้งที่อยู่วัด หลังจากที่ฉันเช้าแล้ว ฝนก็ได้ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก

    ในระหว่างนั้น กระผม/อาตมภาพต้องเข้าระบบซูม เพื่อร่วมอบรมในโครงการปลูกฝังจิตพอเพียงต้านทุจริตแก่คนไทย ครั้งที่ ๒ ในหัวข้อ "เป็น อยู่ คือ อย่างเรียบง่ายในโลกที่ซับซ้อน" ซึ่งวิทยากรนั้นประกอบไปด้วยพระเดชพระคุณพระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙)
    กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานศูนย์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ

    ตลอดจนกระทั่งวิทยากรอีกหลายท่านซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์, ศ.ดร. (หรรษา ธมฺมหาโส) ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของกระผม/อาตมภาพมาตั้งแต่สมัยที่เพิ่งจะเรียนปริญญาเอก ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ อย่างเช่นว่าท่านอาจารย์เจ้าคุณพระศรีธรรมภาณี, ดร. (วัลลภ โกวิโล ป.ธ.๘) หรือว่า รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ จาก ป.ป.ช.เป็นต้น

    สิ่งที่ทุกท่านพยายามที่จะบอกกล่าวกับผู้เข้าร่วมโครงการก็คือว่า การเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอยู่ในใจ โดยเฉพาะความสันโดษ รู้จักพอเพียง และกำลังใจของเราจะต้องเป็นบุคคลที่ไม่ปรารถนาสิ่งใดจริง ๆ เพราะว่าถ้ายังมีความปรารถนาอยู่ ก็จะทำให้ขาดความเรียบง่ายไป

    ท่านทั้งหลายอาจจะเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ค้านกับบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน ที่ทุกคนกระโดดเข้าสู่กระแสบริโภคนิยมอันเชี่ยวกราก แล้วก็โดนกระแสลากพาไป อย่างชนิดที่ไม่สามารถจะยั้งตนเองได้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่เคยประสบกับความลำบากมาก่อน เมื่อต้องมาอยู่อย่างเรียบง่าย ก็มักจะรับไม่ได้ อย่างเช่นที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ มีแม้กระทั่งพระภิกษุ หรือว่าญาติโยมหลายท่าน เมื่อมาแล้วก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เนื่องเพราะว่าไม่มีห้องพักที่มีเครื่องปรับอากาศให้ เป็นต้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,918
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,386
    ค่าพลัง:
    +26,202
    ดังนั้น..ในเรื่องของความเรียบง่ายนั้น จะว่าไปแล้ว เราต้องผ่านการฝึกฝนด้วยความอดทนอดกลั้นมาเป็นระยะเวลาพอสมควร จนกระทั่งเคยชินกับความยากลำบาก แล้วก็จะทำให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีอะไรลำบาก เนื่องเพราะว่าเราพบกับสิ่งที่ลำบากกว่านั้นมาแล้ว จึงตรงกับคำโบราณที่ว่า "ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ" คำว่า "สบาย" นี้คือ สบายของผู้ที่เคยลำบากมาก่อน ไม่ใช่สบายของบุคคลทั่วไป บุคคลทั่วไปอาจจะเห็นว่านั่นคือสิ่งที่ลำบากชนิดเหลือที่จะทนก็เป็นได้..!

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าต้องการให้ประสบความสำเร็จ อาจจะต้องถึงขนาดเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาเลยทีเดียว เหมือนอย่างกับประเทศจีนที่เปลี่ยนหลักสูตรให้เด็ก ๆ รู้จักทำมาหากิน ทำไร่ไถนา ปลูกผักปลูกหญ้า อยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าไม่สามารถจะหางานในเมืองใหญ่ได้ เด็กทั้งหลายเหล่านั้นก็สามารถเอาตัวรอดได้ เพราะว่ารู้จักทำไร่ทำนาเหมือนกับบรรพบุรุษของตน

    โดยเฉพาะบรรดาพ่อแม่นั้น มักจะไม่สามารถที่จะทนได้ถ้าเห็นลูกลำบาก แล้วก็ทำการอนุเคราะห์สงเคราะห์ในทุกด้าน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกกันว่า "สปอยล์" จนกระทั่งทำให้เด็กนั้นไม่เคยพบกับความลำบากเลย

    เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงไม่สามารถที่จะรับมือได้ ทำให้เด็กทั้งหลายเหล่านั้น กลายเป็นบุคคลที่น่าสงสาร ตกอยู่ในภาวะของ"พ่อแม่รังแกฉัน" ก็คือด้วยความที่พ่อแม่รัก ทำให้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งทำอะไรไม่เป็น ถ้าไม่ใช่มีมรดกตกทอดมาจำนวนมหาศาลจริง ๆ ถึงเวลาทำอะไรไม่เป็น ใช้แต่สมบัติเก่าจนหมดตัว ก็อาจจะเหมือนกับงิ้วจีนเรื่องพ่อแม่รังแกฉัน ก็คือกลายเป็นขอทานไป เพราะว่าทำอะไรไม่เป็นนั่นเอง

    หลังจากที่ได้รับการอบรมตั้งแต่เช้ายันเย็นแล้ว ก็ยังมีการทำแบบประเมินเพื่อรับวุฒิบัตรผ่านการอบรมครั้งนี้ด้วย กระผม/อาตมภาพเองนั้น ถ้าหากว่ามีโอกาสก็จะเข้ารับการอบรมแบบนี้อยู่เสมอ เนื่องเพราะว่าโลกหมุนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราหยุดอยู่กับที่ เท่ากับว่าเราถอยหลัง จึงต้องศึกษาหาความรู้จากท่านผู้รู้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์แก่ตน เพิ่มความเป็นพหุสุตตะ คือเป็นบุคคลที่นิยมในการอ่าน ในการฟัง เพื่อที่นำมาประกอบกันเป็นความรู้ใหม่ แล้วเราสามารถที่จะถ่ายทอดต่อให้กับคนอื่นได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,918
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,386
    ค่าพลัง:
    +26,202
    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า โครงการนี้นั้นไม่สามารถที่จะนำหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปจับได้อย่างเต็มที่ เนื่องเพราะว่าบุคคลส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะทนความลำบากเช่นนั้นได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นลองทำแบบคนโบราณดู ก็คืออย่างน้อยต้องบวช ๑ พรรษา โดยเฉพาะให้บวชกับวัดที่ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ในลักษณะพออยู่พอกิน มีบริขาร ๘ บิณฑบาตฉันแล้ว ก็ประกอบกิจหน้าที่การงาน คือ สวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติกรรมฐานของเราไป

    ถ้าอยู่ในลักษณะแบบความนิยมของโบราณอย่างนี้ อย่างน้อย ๆ ลูกผู้ชายทุกคนก็จะพบกับความลำบากในช่วงหนึ่ง อย่างน้อยก็ ๓ เดือนขึ้นไป เพราะว่าต้องอยู่ถึง ๑ พรรษา เมื่อมาโดนตีกรอบ จำกัดด้วยทรัพยากรและข้อห้ามต่าง ๆ ทำให้ต้องพัฒนาความอดทนอดกลั้นของตน มีขีดความสามารถที่จะรับความทุกข์ยากลำบากได้มากขึ้น ก็จะเกิดภาวะ "ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ"

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าไปบวชในสายวัดป่า ซึ่งฉันมื้อเดียว ถือผ้า ๓ ผืน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ต่อให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่หลุดพ้น เมื่อสึกหาลาเพศไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังคงเป็นคุณสมบัติติดตัว ให้ท่านทั้งหลายรับมือความยากลำบากต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าคนอื่นเขา ในเมื่อเราสามารถรับมือกับความยากลำบากเหล่านี้ได้โดยที่ไม่รู้สึกว่าลำบาก ก็จะทำให้ขีดความสามารถในการยืนหยัดในสังคมของท่านทั้งหลายนั้น มีมากกว่าคนอื่นเขา

    ดังนั้น..เรื่องดี ๆ ทั้งหลายที่บรรดาบรรพบุรุษ หรือว่าคนเฒ่าคนแก่ คนโบร่ำโบราณเขายึดถือกันมานั้น ทำให้ท่านสามารถยืนหยัดอยู่ในกระแสบริโภคนิยมที่เชี่ยวกรากนี้ได้อย่างมั่นคง

    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ค่านิยมทั้งหลายเหล่านี้ คนรุ่นใหม่เห็นเป็นเรื่องของไดโนเสาร์เต่าล้านปี ตกยุคตกสมัย โดยที่ลืมไปว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอกาลิโก สามารถที่จะใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา ใครปฏิบัติก็ได้รับรสพุทธพจน์เทศนานั้นด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรักษาศีล เจริญสมาธิ ปฏิบัติภาวนาพิจารณาให้เห็นว่าปกติธรรมดาของโลกนี้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,918
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,386
    ค่าพลัง:
    +26,202
    เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น จะได้มีสติรับมือได้อย่างมั่นคง แล้วขณะเดียวกัน กำลังสมาธิที่ทรงตัวมาก ก็จะทำให้เราสามารถที่จะยืดหยัดอยู่ได้ โดยที่ไม่ไหลตามกระแสสังคมไปเหมือนกับคนอื่น มีปัญญาที่จะรู้จักว่า สิ่งใดพอเหมาะพอควร พอที่จะดำรงอยู่ได้อย่างพอเพียง เราก็จะกระทำสิ่งนั้น

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอาศัยแค่ปัจจัย ๔ ก็คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ท่านทั้งหลายก็จักเป็นผู้ที่มักน้อย สันโดษ ไม่มีความต้องการมากมายเหมือนกับคนอื่น จนต้องไปดิ้นรนให้เกิดความทุกข์ยากลำบากแก่ตน
    บางทีก็ทุ่มเทให้กับการงานจนบ้านแตกสาแหรกขาด หรือว่าทุ่มเทให้กับการงาน หาเงินหาทองจนสุขภาพชำรุด แล้วก็ต้องเอาเงินทองนั้นมารักษาสุขภาพของตน จนไม่เหลืออะไรเลย..!

    เรื่องของการที่จะอยู่อย่างเรียบง่ายในท่ามกลางความสับสนของสังคมปัจจุบัน ที่มีแต่สิ่งล่อตาล่อใจของเราทั้งหลาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลผู้เป็นพ่อแม่ต้องฝึกฝนให้ลูกของตนหัดรักษาศีล เจริญภาวนาตั้งแต่เด็ก ๆ จะได้มีกำลังในการยืนหยัดต่อต้านกระแสกิเลสได้

    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พ่อแม่ยุคนี้ แม้แต่ตัวเองก็แทบจะไม่รักษาศีลและเจริญภาวนา แล้วจะเอาอะไรไปสอนลูกของตนเอง ในเมื่อรุ่นหนึ่งไม่สามารถที่จะเป็นตัวอย่างได้ รุ่นต่อ ๆ ไปก็ไม่มีบุคคลให้เดินตาม เขาทั้งหลายเหล่านั้น ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถที่จะยืนหยัดอยู่อย่างพอเพียง หากแต่ว่าไปไขว่คว้ากระแสบริโภคนิยม แล้วก็ไหลตามกระแสไปอย่างน่าสงสาร..!

    จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
    เนื่องจากว่าคนไทยของเรานั้นมีสิ่งที่ดีเลิศที่สุด ก็คือพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะช่วยเราให้อยู่ได้โดยไม่ยากลำบาก และสามารถพัฒนากาย วาจา ใจของตน ไปจนกระทั่งสูงสุดถึงขนาดหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน แต่ว่าคนไทยเราก็มักจะไม่เห็นคุณค่าตรงนี้ พากันไปยึดเอาสิ่งต่าง ๆ ที่ศึกษามาจากโลกตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องของการไขว่คว้าหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ให้กับตัวเอง จนกระทั่งบางทีก็ไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ สังคมของเราจึงเดือดร้อนวุ่นวายไปหมด

    ใครที่รู้ตัวรีบกลับเข้ามาหาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตนจนสามารถยืนหยัดต้านกระแสได้ ก็ถือว่าเป็นคุณแก่ตัว ถ้าสามารถตัดกระแส และข้ามกระแส รัก โลภ โกรธ หลง เหล่านั้นไปได้ ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่วิเศษอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้เมื่อไร ก็ขึ้นอยู่กับเวรกับกรรมที่ท่านทั้งหลายได้ทำมา ทั้งอดีตและปัจจุบันนี้เอง


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...