เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 กุมภาพันธ์ 2025 at 19:39.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,510
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,510
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ไต้ฝุ่นลูกแรกของปีมาถึงเร็วกว่าที่คิด เรื่องของดินฟ้าอากาศ ถ้าหากว่าโบราณเขาจะมีจุดสังเกต อย่างเช่นว่า "ปีไหนหนาวนาน ปีนั้นฝนจะตกหนัก" หรือบางคนใช้คำว่า "ปีไหนมะม่วงออกดอกมาก ปีนั้นฝนจะตกหนัก" ซึ่งความจริงก็เหมือนกัน เพราะว่าถ้ากระทบอากาศหนาวมาก ต้นมะม่วงก็จะออกดอกมากเป็นพิเศษ

    เรื่องพวกนี้เป็นการช่างสังเกตของคนรุ่นเก่า ๆ แล้วก็บอกเล่าสืบ ๆ กันมา อย่างเช่นว่า "ปีไหนหน่อไผ่ขึ้นสูงกว่ากอแม่ ปีนั้นก็จะน้ำมาก" เราจะสังเกตว่าปีนั้นหน่อไม้จะขึ้นชะลูดสูงเลยกอแม่ขึ้นไปมาก หรือไม่ก็ "ปีไหนปูขุดรูที่ริมตลิ่งสูงกว่ารูเดิมมากเท่าไร น้ำก็จะมากเท่านั้น" หรือที่เอาง่าย ๆ ว่า "เห็นมดขนไข่ขึ้นที่สูง แปลว่าฝนจะตก"

    คราวนี้เรื่องพวกนี้แม้ว่าจะเป็นภูมิปัญญาโบราณ แต่ว่าคนที่จะจดจำใส่ใจมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ และโดยเฉพาะฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมทรัพยากรน้ำ หรือบรรดากระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ไม่ค่อยจะใส่ใจเตรียมตัวอะไรกันเลย

    ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า การทำงานของข้าราชการไทยส่วนใหญ่ อยู่ในลักษณะรอให้เกิดเรื่องแล้วค่อยไปแก้ไข ไม่มีการป้องกันไม่ให้เรื่องเกิดก่อน เนื่องเพราะว่าพอมีเรื่องแล้วค่อยเข้าไปแก้ไข มีโอกาสที่จะใช้งบประมาณ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะเกิด "เงินทอน" เล็ดลอดไปสู่กระเป๋าของแต่ละคนก็จะมีมาก

    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่จะไปหวังว่าให้ข้าราชการไทยของเรามีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล ทำอะไรล่วงหน้า รอไปเถอะ..! เนื่องเพราะว่าเขาทั้งหลายมีวิสัยทัศน์รู้ว่า ถ้าทำอะไรหลังเหตุการณ์แล้วจะเบิกงบประมาณได้..!


    จะว่าไปแล้ว ก็เป็นความล้มเหลวของพวกเรา ที่ไม่สามารถสอนให้เขาเหล่านั้นละอายชั่วกลัวบาป แต่ว่าเราก็ต้องเข้าใจว่า วิสัยของคนโดยปกติ สภาพจิตจะไหลลงต่ำอยู่เสมอ ถ้าไม่เอาไม่ได้แปลว่ามีศีลมีธรรม แต่แปลว่ายังไม่มีโอกาส..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องพวกนี้เราก็ต้องมาใส่ใจที่ตัวตนของพวกเราเองก่อน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,510
    อย่างเช่นวันนี้เป็นการสอบบาลีสนามหลวงวันสุดท้าย ซึ่งทางสำนักเรียนคณะจังหวัดกาญจนบุรี เหลือเฉพาะผู้เข้าสอบเปรียญธรรมประโยค ๓ เท่านั้น ซึ่งเหลืออยู่แค่ไม่กี่รูป แต่กระนั้นก็ตาม พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) หรือหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม เจ้าคณะภาค ๑๔ ก็ยังเมตตามาเยี่ยมเยือนสนามสอบคณะจังหวัดกาญจนบุรี ที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) อุตส่าห์มาให้ข้อคิด โดยเฉพาะความภาคภูมิใจในการสอบได้

    พวกเราต้องเข้าใจว่า การสอบบาลีนั้น การให้คะแนนไม่เหมือนชาวบ้านเขา โดนเก็บ ๑๒ คะแนนคือสอบตก แต่ถ้าหากว่าเป็นทางโลก ๑๐๐ คะแนน โดนหักไป ๑๒ ยังเหลือตั้ง ๘๘ คะแนน..! ยังอยู่ในระดับ B+ หรือถ้าหากว่าบางสถานที่ตัดเกรด A ที่ ๘๕ ขึ้นไป ยังอยู่ในเกรด A ด้วย แต่พอมาสอบบาลีแล้วสอบตก เพราะว่า
    ข้อสอบอื่นนั้นตรวจหาที่ถูกแล้วให้คะแนน แต่บาลีนั้นตรวจหาที่ผิดแล้วให้คะแนน..!

    โดยเฉพาะการเรียนบาลีนั้น ต้องบอกว่าผู้ที่สอบได้แทบจะแปลกแยกจากสังคม เนื่องเพราะว่าถ้าไม่ได้บวชเป็นพระเป็นเณรอยู่ ก็แทบจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ยังดีที่พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรมที่ออกใหม่ ยังเทียบให้ว่า
    จบนักธรรมชั้นเอก เท่ากับจบชั้นมัธยมปีที่ ๓ จบเปรียญธรรม ๓ ประโยค เท่ากับจบชั้นมัธยมปีที่ ๖

    แต่ว่าพอจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค เทียบให้แค่ปริญญาตรี ทั้ง ๆ ที่ถ้าหากว่าท่านมีความเก่งกล้าสามารถ ถึงขนาดสอบรวดเดียวไม่เคยตกเลย การเรียนบาลีกว่าจะจบประโยค ๙ ยังใช้เวลาต่ำสุดถึง ๘ ปี จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลักลั่นกันมาก เคยมีบุคคลจะนำเสนอให้เทียบว่าประโยค ๖ เท่าปริญญาโท ประโยค ๙ เท่าปริญญาเอก แต่ไม่มีใครยอมรับ เนื่องเพราะว่าท่านไม่ได้เรียนวิชาสามัญเลย

    สมัยที่ท่านเจ้าคุณไพบูลย์ - พระราชปริยัติโมลี (ไพบูลย์ วิปุโล ป.ธ. ๙) วัดสามพระยา วรวิหาร ท่านเรียนปริญญาโทร่วมกับกระผม/อาตมภาพ โดยใช้เปรียญธรรม ๙ ประโยคของท่านเทียบปริญญาตรีเข้ามา ปรากฏว่าวิชาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ สังคมศาสตร์ จิตวิทยา หรือแม้กระทั่งไอ้วิชาเพี้ยน ๆ อย่างตรรกศาสตร์ ท่านไม่มีความรู้ด้านนี้เลย..!

    กระผม/อาตมภาพก็แทบจะต้องแบกท่านขึ้นหลังไปด้วย ถึงเวลาก็ดึงมาอยู่กลุ่มงานเดียวกัน เพื่อจะพากันไปให้รอด จนกระทั่งทุกวันนี้รุ่นของกระผม/อาตมภาพ ก็ยังเป็นนิสิตมหัศจรรย์อยู่ดี เพราะว่าจบปริญญาโทก็จบทั้งรุ่นพร้อมกัน จบปริญญาเอกก็จบทั้งรุ่นพร้อมกัน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,510
    โดยธรรมชาติของการเรียนระดับมหาบัณฑิตหรือดุษฎีบัณฑิต ไม่มีการจบพร้อมกัน เพราะว่าเขาไม่รักกัน ถึงเวลาต่างคนต่างเอาตัวรอด แต่รุ่นของกระผม/อาตมภาพไม่ใช่อย่างนั้น ทุกคนช่วยกันอย่างชนิดที่แทบจะไม่สนใจงานตัวเอง แต่ช่วยให้เพื่อนรอดก่อน ตัวอย่างของ ดร.พระครูปรีชาของเรา พระครูสุตกาญจนวัฒน์, ดร. (ปรีชา จิรนาโค) เจ้าอาวาสวัดวังปะโท่ เหลือเวลา ๒ วันจะถึงเส้นตาย ต้องส่งเล่มวิทยานิพนธ์ให้ทัน ไม่อย่างนั้นก็จบปีหน้า คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์บอกว่า "ให้ไปแก้ไขมาภายใน ๙๐ วัน" ทั้งที่มีเวลาแค่ ๒ วัน แปลตรง ๆ ว่าคุณสอบตกแน่..!

    พวกกระผม/อาตมภาพทำอย่างไร ? ผ่าเล่มวิทยานิพนธ์แบ่งไปเลย ๕ คน ๆ ละบท คืนนี้ไปทำมา หลักการและเหตุผลอย่างนี้ วัตถุประสงค์อย่างนี้ พื้นที่ในการทำวิจัยอย่างนี้ อธิบายเสร็จสรรพเรียบร้อย ต่างคนต่างก็หัวทิ่มอยู่กับบทนั้น ๆ แล้วก็เอามาต่อกันในเช้าวันรุ่งขึ้น วิ่งไปร้านให้เขาพิมพ์วิทยานิพนธ์ให้ ไล่ตามท่านอาจารย์ล่าลายเซ็น ลายเซ็นสุดท้ายได้ตอน ๑ ทุ่มของวันที่สอง..!

    แล้วเดชะบุญคุณพระคุ้ม ท่านอาจารย์ตอนนั้น ก็คือพระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร, ผศ., ดร. ปัจจุบันก็คือท่านเจ้าคุณอาจารย์พระปัญญาวัชรบัณฑิต ป.ธ. ๗, รศ.,ดร. รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    ตอนนั้นท่านเป็นคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย ท่านรอลูกศิษย์จนเที่ยงคืนเป๊ะตามกฎหมายเลย ทำเอาพระครูปรีชารอดไปได้หวุดหวิด แล้วคุณจะไปหาเพื่อนที่รักเพื่อนอย่างรุ่นของ
    กระผม/อาตมภาพไม่ต้องไปหา เพราะว่าตัวหลักไม่มี

    ที่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เพราะว่าในเรื่องของการเรียนบาลีนั้น ต่างจากเรื่องทางโลกมาก ใครที่สอบได้ถือเป็นความภาคภูมิใจในชีวิตของตนเองได้เลย กระผม/อาตมภาพเองเรียนจบปริญญาเอก แม้จะรู้สึกว่ายาก แต่พอมาเรียนบาลีเข้าจริง ๆ ความรู้สึกก็คือ "ใครจบบาลีประโยค ๙ ได้ มีสิทธิ์เรียนด็อกเตอร์จบได้ ๓ ใบเลย..!" ความยากต่างกันจนขนาดนั้น..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,510
    แล้วมีคำถามว่าเรียนบาลีไปแล้วได้อะไร ? ปาลิภาสา ปาเลตีติ ภาษาบาลีเป็นภาษารักษาไว้ซึ่งพุทธพจน์ แค่คุณมาเรียนได้ คุณก็กำลังรักษาพระพุทธศาสนาไว้แล้ว เพราะอะไร ? เพราะว่าการบวชของท่านทั้งหลายเขาใช้ภาษาบาลีทั้งหมด ไม่มีบาลีบวชได้ไหม ? ไม่ได้..ขนาดที่พวกเราเรียกชื่อภาษาบาลี หรือที่เขาใช้คำว่า "ฉายา" ก็ยังจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเป็นภาษาบาลี หรือภาษามคธ ก็แปลว่าต่อให้ยังไม่ทันจะเรียน เราเป็นพระเป็นเณรขึ้นมาได้ก็ด้วยภาษาบาลี

    พอ ๆ กับที่มีคนถามว่า "ทำบุญแล้วได้อะไร ?" ไอ้พวกปัญญานิ่ม..! เอ็งเกิดมาทำบุญได้นั่นแหละบุญแล้ว
    ถ้าไม่อาศัยบุญ เอ็งจะเกิดมาทำบุญได้ไหม ? แล้วยังไม่มีอารมณ์ที่จะทำบุญต่อ ถึงเวลาบุญหมด แล้วก็จะรู้ว่านรกเป็นอย่างไร ?!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ที่กระผม/อาตมภาพบ่นให้พวกเราฟังกันอยู่ ก็เพื่อที่จะบอกพวกเราว่า แม้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ให้ความสำคัญกับการเรียนบาลีเป็นอย่างยิ่ง นอกจากพระองค์ท่านจะพระราชทานพระราชทรัพย์ปีละมาก ๆ สนับสนุนแล้ว ไม่ต้องอะไรหรอก แค่มหาวิทยาลัยบาลีเถรวาทที่กำแพงแสน พระองค์พระราชทานพระราชทรัพย์เป็นร้อยล้านบาท ให้เขาไปจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัย

    แล้วไหนจะเรียนเอง และชักชวนบุคคลรอบข้างเรียนด้วย บางท่านก็เห็นว่าท่านเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี เขียนคำอวยพรเป็นภาษาบาลี ถ้าหากว่าเราใช้สำนวนชาวบ้านก็คือ "หัวต้องส่าย หางถึงจะกระดิก" พระองค์ท่านเล็งเห็นตรงจุดนี้ถึงได้เรียนเป็นตัวอย่าง

    แล้วก่อนหน้านี้เขาไม่อนุญาตให้พระราชาคณะ ก็คือผู้ที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ตั้งแต่เจ้าคุณชั้นสามัญขึ้นไปเรียนบาลี เพราะถือว่า เป็นเจ้าคุณสอบตกแล้วอายเขา..! แต่ว่าปัจจุบันนี้ถึงขนาดอนุญาตให้แม้สมเด็จพระราชาคณะ ถ้าต้องการเรียนบาลีเพิ่มความรู้ ก็อนุญาตให้เรียนได้

    วัดท่าขนุนของเราปีที่แล้ว มีผู้สอบประโยคบาลีได้มากกว่าสำนักเรียนใหญ่อย่างวัดใต้เสียอีก ก็แปลว่าที่ท่านทั้งหลายเพียรพยายามมา ๓ วัน จะรู้ผลภายในเดือนหน้านี้ คราวนี้ก็ลุ้นกันไป เพราะว่าพวกท่านไม่ได้มีความสามารถเหมือนกระผม/อาตมภาพ กระผม/อาตมภาพสอบอะไรสามารถให้คะแนนตัวเองได้ ดังนั้น..พอสอบไปแล้วจะรู้เลยว่าตัวเองได้หรือไม่ได้ ถ้าอยากจะทำแบบนี้ได้ก็คงต้องฝึกฝนกันอีกมาก..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...