เวลาเห็นคนอื่นมีเงินทำบุญเยอะๆแล้วอยากทำบ้าง แต่ก็จนใจ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 15 กรกฎาคม 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ถาม
     
  2. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุบุญ



    ขอมวลมนุษย์จงสิ้นกรรมขอจงรู้เห็นธรรมตามกาล<O:p</O:p


    ขอจงประจักษ์ในคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า<O:p</O:p
     
  3. narapat

    narapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +718
    เมื่อก่อนผมก็คิดเหมือนคุณนี่แหล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ผมพอทำบุญได้ถึงหลักพันแล้ว
    เริ่มต้นด้วยการอนุโมทนาบุญกับผู้อื่นแล้วอธิษฐานจิตว่าอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสทำบุญได้มากเช่นนี้ด้วยเถิด สาธุ ทำบ่อยๆอธิษฐานบ่อยๆ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิแผ่เมตตาบ่อยๆน่ะครับ
    ขออนุโมทนาบุญสำหรับจิตกุศลของคุณ สาธุฯ
     
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    เราก็ขอแจมร่วมเป็นเจ้าภาพกับเค้าสัก 1 บาทก็ได้ครับ แล้วโมทนาบุญเอาครับ
    อย่าลืมเรื่อง "มุติตา" นะครับ ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี หรือ ทำดีครับ

    สาธุ
     
  5. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    หรือจะใช้วิธีอนุโมทนากับเค้า...เราก็ได้ด้วยเช่นกัน...

    แต่ทำบ่อย ๆ ไม่ดีค่ะ เพราะมีแต่คนอนุโมทนา...แต่ไม่มีใครควักกระเป๋า...ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..

    สาธุ...(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)




    บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใสให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาโดยชอบธรรม

    ย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสองของผู้มีศรัทธาอยู่ครองเรือน

    คือ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขในสัมปรายภพ

    การบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้นย่อมเจริญบุญ...



    อิณสูตร : พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกายปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๖๖๗
    ;aa31
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2008
  6. สวนะ

    สวนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +201
    "ฉะนั้นให้ไปเท่าไรไม่เห็นน่าคำนึง หันมาคำนึงเถอะว่าคุณได้ตัวตนใหม่และความสงบของใจเป็นเครื่องตอบแทนหรือเปล่า ถ้าได้มา ก็ขอจงจำไว้ว่าคุณได้มากกว่าให้ไปเกินจะนับ เพราะสิ่งที่คุณให้นั้นเป็นสมบัติภายนอก แต่สิ่งที่ได้มาเป็นสมบัติภายในซึ่งอยู่ติดตัวตลอด ๒๔ ชั่วโมง และจะเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ติดตามไปแม้กายนี้แตกทำลายลงแล้วครับ"

    อนุโมทนา สาธุการค่ะ..



     
  7. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    ทําบุญด้วยเงินจํานวนมากๆกับน้อยไม่ต่างกันหรอกครับ ถ้าทําโดยหวังผลตอบเเทนก็ค่าเท่านั้น ทางกลับกัน ถ้าทําน้อยเพราะมีน้อย เเต่ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยกุศล รับไปเน้นๆครับ จริงๆไม่จําเป็นต้องทําบุญด้วยเงินทองเสมอไปถ้าเราไม่สะดวก เเค่พี่ จขกท สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน กรวดนํ้า นั่งสมาธิ เเผ่ส่วนกุศลทุกวัน เเค่นี้ก็สุดยอดเเล้วครับ เผลอๆได้บุญมากกว่าการบริจาคเงินเสียอีก ถ้าจิตเราสงบเท่าไหร่ กุศลก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นครับ
     
  8. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235
    อนุโมทนากับทุกความเห็นคะ

    เมื่อก่อนก็เคยคิดแบบนี้เห็นคนทำบุญถวายของเยอะแยะแต่เราไม่มีแบบเค้า

    แต่เดี๋ยวนี้อนุโทนากับเค้าค่ะ ยินดีกับสิ่งที่เค้าทำรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ
     
  9. - เงาะป่า -

    - เงาะป่า - เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +565
    “แต่คนร่ำรวยก็ยังได้เปรียบกว่าคนจนในการทำบุญอยู่ดีแหละครับหลวงพ่อ เพราะคนร่ำรวยอาจทำบุญได้ครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านได้ในขณะที่คนจนทำบุญได้ครั้งละ 5 บาท 10 บาทเท่านั้นเอง”ข้าพเจ้าติง
    “การทำบุญด้วยเงินก็ดี อาหารก็ดี เสื้อผ้าก็ดี หรือสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี เขาเรียกว่า “วัตถุทาน” นะ และกุศลผลบุญอันจะเกิดจากวัตถุทานนั้น หาได้วัดกันที่จำนวนเงินหรือจำนวนสิ่งของเครื่องใช้ไม่แต่เขาวัดกันที่องค์ประกอบ 3 อย่างคือ
    1- ผู้มีความเต็มใจในการให้(ถึงพร้อมด้วยเจตนา)
    2- วัตถุทานที่ให้นั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์(ถึงพร้อมด้วยไทยธรรม)
    3- ผู้รับมีความบริสุทธิ์(ถึงพร้อมด้วยบุญเขต)
    ดังนั้นหากคนจนบริจาคเงินทำบุญเพียงแค่ 5 บาท 10 บาทแต่มีความเต็มใจในการทำบุญ อีกทั้งเงินที่ทำนั้นหามาได้อย่างสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ก็ย่อมได้กุศลผลบุญมากกว่าคนร่ำรวยที่บริจาคเงินเป็นหมื่น เป็นแสน หรือเป็นล้าน ด้วยเจตนาที่หวังอวดหรือแบ่งทับผู้อื่น หรือว่าเงินที่บริจาคนั้นได้มาเพราะคดโกงเขามานะ”หลวงพ่ออธิบาย ทำให้ข้าพเจ้าค่อยยิ้มออก
    “แล้วที่ว่าผู้รับบริสุทธิ์ล่ะครับ หมายความว่าอย่างไรครับ?”ข้าพเจ้าถาม
    “อ๋อ หมายความว่า ให้ทานแก่ท่านที่เป็นอริยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของโลกมีอานิสงส์สูงมาก พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบไว้ดังนี้
    -ให้ทานแก่พระสกิทาคามี 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระโสดาบัน 100 ครั้ง
    -ให้ทานแก่พระอนาคามี 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระสกิทาคามี 100 ครั้ง
    -ให้ทานแก่พระอรหันต์ 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระอนาคามี 100 ครั้ง
    -ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง มีผลมากกว่าให้ทานแก่พระอรหันต์ 100ครั้ง
    -ให้ทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง
    -ให้ทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข (สังฆทาน)มีผลมากกว่าถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้ง
    และการสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจตุรทิศมีผลมากกว่าสังฆทานเข้าใจหรือยัง?” หลวงพ่ออธิบายอย่างอารมณ์ดี และเมื่อยังเห็นข้าพเจ้ายังสนใจอยู่ก็พูดต่อว่า
    “ความจริงแล้ว วัตถุทานนี้แม้ไม่มีเงินสักบาทเดียวก็ทำได้นะ”
    “ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ?”ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ
    “ก็คอยโมทนาเขาไงล่ะ ใครถวายเงินแสน เงินล้าน คุณก็ยกมือไหว้กำหนดจิตโมทนาไปกับเขาด้วย เขาได้บุญเท่าไร คุณก็ได้เท่านั้นแหละดีไหมล่ะ ไม่ต้องไปอิจฉาคนร่ำรวยให้เสียเวลาจริงไหม?”หลวงพ่อตอบ
    “แบบนี้ไม่เป็นการเอาเปรียบผู้อื่นเหรอครับ?”ข้าพเจ้าถามอย่างติดใจสงสัย
    “ไม่เอาเปรียบหรอก เพราะคุณจะโมทนาหรือไม่ ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ผู้ทำบุญนี่ เขาก็ยังได้บุญของเขาเต็มที่อย่างเดิมนั่นแหละแต่อย่างไรก็ตาม วัตถุทานนี้ก็เป็นเพียงแค่ทานเบื้องต้นเท่านั้นนะ ยังมีทานแบบอื่นที่ไม่ต้องใช้เงินทองเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ให้กุศลผลบุญได้สูงกว่าวัตถุทานเสียอีกนะ”หลวงพ่ออธิบาย
    “ทำทานแบบใดล่ะครับ?”ข้าพเจ้ารีบถามด้วยความสนใจ
    “อภัยทาน อย่างไรล่ะ ใครเขาทำผิดคิดร้ายต่อคุณอย่างไร คุณก็ไม่ถือโกรธ อภัยให้เขาเสีย เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านให้อภัยให้แก่บรรดาผู้คนที่มุ่งร้ายต่อองค์ท่านนั่นแหละ เห็นไหมไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียวแต่ได้กุศลผลบุญมากกว่าบริจาคเงินเป็นจำนวนมากๆเสียด้วยซ้ำไป”หลวงพ่ออธิบายยิ้มๆ


    อนุโมทนาสาธุครับ
    ------------------------------------------------------------------------------------------------------
    พระคุณพ่อ
    --> http://palungjit.org/showthread.php?p=1326572#post1326572
    มาเที่ยว วัดเกตการาม จ.เชียงใหม่ วัดประจำปีจอกัน
    --> http://palungjit.org/showthread.php?t=136821
    พุทโธหาย....?
    --> http://palungjit.org/showthread.php?p=1329341#post1329341
    ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา) เอ๊า!!ใครอกหักยกมือขึ้น
    --> http://palungjit.org/showthread.php?p=1338677#post1338677<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  10. กตัญญุตา

    กตัญญุตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +109
    เงินทำทานจำนวนมากๆ ก็หาได้บ่งชี้ถึงกำลังศรัทธาเสมอไปไม่ หลายครั้งที่การปิดทองหลังพระทำได้ยาก ...ทำบุญภายนอกแล้วอย่าลืมทำบุญภายในใจด้วยนะครับ สงบจิตภาวนา จิตสงบเกิดปัญญา....อนุโมทนา สาธุครับ
     
  11. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้
    ข้าพเจ้าขออุทิศให้
     
  12. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    คนร่ำรวยมีโอกาสสร้างกุศล
    ผลบุญได้มากกว่าคนจนจริงหรือไม่?
    [​IMG]
    ความที่ข้าพเจ้าเป็นคนช่างคิดก็อดที่จะคิดไม่ได้ ว่าอันคนร่ำรวยซึ่งมีตึกคฤหาสน์เป็นที่พำนัก พรั่งพร้อมไปด้วยข้าทาสบริวารคนครัว คนรถ คนสวน คอบปรนนิบัติรับใช้ จะขยับตัวทำอะไรสักหน่อยบริวารก็วิ่งพล่านแย่งยื้อทำให้หมด แต่ละห้องในบ้านก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ บรรดาลูกๆ ก็ล้วนได้รับการส่งเสียให้ได้เล่าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อ และการไปโรงเรียนหรือกลับบ้านก็มีคนขับรถรับ-ส่งให้เสร็จ อยากจะได้อะไรก็ได้เพราะมีเงินมีทองร่ำรวยมหาศาล ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย และเมื่ออยากจะทำบุญก็สามารถจะควักเงินออกทำบุญครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านได้อย่างสบายๆ ผิดกับคนที่จะต้องดิ้นรนขวนขวายหางานทำ พอได้ค่าจ้างมาซื้อกรอกหม้อ และกับราคาถูก ไปเพียงวันหนึ่งๆ ไหนจะต้องวิตกกังวลในเรื่องค่าเช่าบ้าน ไหนจะค่าเล่าเรียน ไหนจะดอกเบี้ยที่ไปกู้ยืมเขามา จิปาถะ มิหนำซ้ำบ้านที่อยู่ก็อุดอู้หาความสะดวกสบายใดๆ มิได้เลยและแม้เมื่ออยากจะสร้างกุศลผลบุญกับเขาบ้างก็คงจะทำได้เพียงครั้งละ 5 บาท 10 บาท เป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อความแตกต่างระหว่างคนร่ำรวยกับคนจนมีมากเช่นนี้จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า โอกาสในการสร้างบุญกุศลของคนร่ำรวยย่อมจะมีได้มากกว่าคนจน และเมื่อเป็นเช่นนี้อีกกี่ภพกี่ชาติหากเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ย่อมเป็นคนร่ำรวยอีก ส่วนคนจนนั้นก็จะน่าจะต้องยากจนอยู่เช่นนั้นทุกภพทุกชาติไปซิ
    ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ เลียบเคียงถามหลวงพ่อว่า
    “หลวงพ่อครับ บรรดาเศรษฐีมีเงินทั้งหลายนั้นมีความเป็นอยู่ที่พรั่งพร้อมมีความสุขและสะดวกสบายไปเสียทุกอยาง ผิดกับคนจนที่มีความวิตกทุกข์ร้อนทั้งในด้านการงาน,ค่าเล่าเรียนลูก,ค่าเช่าบ้าน,ดอกเบี้ยที่ไปกู้ยืมเขามาจิปาถะ ดังนั้นคนร่ำรวยซึ่งไม่มีความทุกข์ก็ย่อมได้เปรียบคนยากจนซึ่งมีความทุกข์ ในกาสร้างบุญกุศลใช่ไหมครับ?”
    “คุณรู้ได้อย่างไรว่าคนร่ำรวยไม่มีทุกข์?” หลวงพ่อย้อนถาม
    “จะมีทุกข์อะไรล่ะครับ อยู่คฤหาสน์โอ่อ่า มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบ จะขยับตัวทำอะไรสักหน่อยข้าทาสบริวารก็วิ่งกันพล่านยื้อแย่งทำให้หมด อยากจะได้อะไรก็ได้ เพราะมีเงินทองร่ำรวยมหาศาล”ข้าพเจ้าอธิบาย
    “เอ้อ คุณเคยเจ็บไข้ ได้ป่วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดฟัน แขนหัก ขาหัก ออกหัด อีสุกอีใสอีดำอีแดง กับเขาบ้างไหม?”หลวงพ่อถามเรื่อยๆ
    “เคยซิครับ และดูเหมือนจะเป็นมาแล้วทุกอย่างที่หลวงพ่อถามนั่นแหละครับ”ข้าพเจ้าชักลังเลไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมาในรูปใด
    “แล้วในระหว่างที่คุณเจ็บไข้ได้ป่วยนะ คุณเป็นทุกข์ไหม?”หลวงพ่อถามต่อ
    “เป็นทุกข์สิครับ”ข้าพเจ้าตอบ
    “แล้วคนร่ำรวย เขาต้องเจ็บป่วยอย่างคุณบ้างไหมหรือว่าคนร่ำรวยไม่มีสิทธิ์เจ็บไข้ได้ป่วย?”หลวงพ่อถามเรื่อยๆ
    “ก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือน๐ กันแหละครับแต่เขาคงมีหมอมีพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด”ข้าพเจ้าตอบเสียงอ่อยๆ แต่คุณอย่าลืมนะว่า
    “คนร่ำรวยหัวไม่แข็งอย่างคนจนเจ็บนิดเจ็บหน่อยละก้อเขาเป็นทุกข์กว่าคนจนเสียอีกนะ ความเจ็บไข้บางชนิดคนจนเป็นวันสองวันก็หาย บางทีเป็นเองหายเองได้เช่นหวัด แต่ถ้าคนร่ำรวยเป็นอาจต้องฉีดยา นอนให้น้ำเกลือกันทีเดียวทุกข์กว่าคนจนอีกนะ”หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถามว่า “แล้วคนร่ำรวยมีสิทธิ์แก่ชราหรือตายไหม?”
    “โธ่ หลวงพ่อจะมีหรือจนเกิดมาก็ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตายทุกคนแหละครับ”ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง
    “แล้วคุณว่า ความเจ็บ ความแก่ ความตายเป็นทุกข์ไหม?” หลวงพ่อถาม
    “เป็นทุกข์สิครับ แม้เพียงแค่คิดถึงก็เกิดทุกข์แล้วครับ?” ข้าพเจ้าตอบ
    “แล้วบิดา มารดา ลูก เมีย ของคุณต้องตายจากไปก็ดีหรือข้าวของเครื่องใช้ที่คุณรักใคร่หวงแหนหายไปคุณเป็นทุกข์ไหม?” หลวงพ่อถาม“เป็นทุกข์สิครับ มากด้วย”ข้าพเจ้าตอบ
    การพลัดพรากจากของรัก ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้นนะ ไม่ว่าคนร่ำรวยหรือคนจน หากประสบเข้าก็ล้วนทุกข์ทั้งสิ้น ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนะความจริงแล้วคนร่ำรวยที่มีกิจการใหญ่โตเขาก็ต้องกู้เงินธนาคารมาลงทุนนะ ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนกัน มิหนำซ้ำจำนวนมากมายเสียด้วย ยิ่งถ้าวางแผนไว้ผิดเขาก็ต้องคิดหนัก ทุกข์หนักกว่าคนจนเสียอีกบางคนถึงกับฆ่าตัวตายก็มีบ้านช่องก็ถูกยึดไปก็มี ส่วนการมีข้าทาสบริวานมากน่ะ ยิ่งมากเท่าไรปัญหาก็ยิ่งมากเท่านั้นนะ และยิ่งคนร่ำรวยมีกิจการมากมายไม่มีเวลาอบรมลูก อีกทั้งลูกก็ถือว่าพ่อแม่ร่ำรวยประพฤติตนไปในทางเสื่อมเสียก็ยิ่งทำให้พ่อแม่ทุกข์หนักได้เช่นกัน ดังนั้นคนร่ำรวยก็ดี คนจนก็ดี ล้วนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใครหรอก เป็นแต่ว่ามีทุกข์กันคนละรูปแบบเท่านั้นเองนะ”หลวงพ่ออธิบานอย่างละเอียด
    “แต่คนร่ำรวยก็ยังได้เปรียบกว่าคนจนในการทำบุญอยู่ดีแหละครับหลวงพ่อ เพราะคนร่ำรวยอาจทำบุญได้ครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านได้ในขณะที่คนจนทำบุญได้ครั้งละ 5 บาท 10 บาทเท่านั้นเอง”ข้าพเจ้าติง
    “การทำบุญด้วยเงินก็ดี อาหารก็ดี เสื้อผ้าก็ดี หรือสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี เขาเรียกว่า “วัตถุทาน” นะ และกุศลผลบุญอันจะเกิดจากวัตถุทานนั้น หาได้วัดกันที่จำนวนเงินหรือจำนวนสิ่งของเครื่องใช้ไม่แต่เขาวัดกันที่องค์ประกอบ 3 อย่างคือ
    1-ผู้มีความเต็มใจในการให้(ถึงพร้อมด้วยเจตนา)
    2-วัตถุทานที่ให้นั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์(ถึงพร้อมด้วยไทยธรรม)
    3-ผู้รับมีความบริสุทธิ์(ถึงพร้อมด้วยบุญเขต)
    ดังนั้นหากคนจนบริจาคเงินทำบุญเพียงแค่ 5 บาท 10 บาทแต่มีความเต็มใจในการทำบุญ อีกทั้งเงินที่ทำนั้นหามาได้อย่างสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ก็ย่อมได้กุศลผลบุญมากกว่าคนร่ำรวยที่บริจาคเงินเป็นหมื่น เป็นแสน หรือเป็นล้าน ด้วยเจตนาที่หวังอวดหรือแบ่งทับผู้อื่น หรือว่าเงินที่บริจาคนั้นได้มาเพราะคดโกงเขามานะ”หลวงพ่ออธิบาย ทำให้ข้าพเจ้าค่อยยิ้มออก
    “แล้วที่ว่าผู้รับบริสุทธิ์ล่ะครับ หมายความว่าอย่างไรครับ?”ข้าพเจ้าถาม
    “อ๋อ หมายความว่า ให้ทานแก่ท่านที่เป็นอริยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของโลกมีอานิสงส์สูงมาก พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบไว้ดังนี้
    -ให้ทานแก่พระสกิทาคามี 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระโสดาบัน 100 ครั้ง
    -ให้ทานแก่พระอนาคามี 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระสกิทาคามี 100 ครั้ง
    -ให้ทานแก่พระอรหันต์ 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระอนาคามี 100 ครั้ง
    -ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง มีผลมากกว่าให้ทานแก่พระอรหันต์ 100ครั้ง
    -ให้ทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง
    -ให้ทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข (สังฆทาน)มีผลมากกว่าถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้ง
    และการสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจตุรทิศมีผลมากกว่าสังฆทานเข้าใจหรือยัง?” หลวงพ่ออธิบายอย่างอารมณ์ดี และเมื่อยังเห็นข้าพเจ้ายังสนใจอยู่ก็พูดต่อว่า “ความจริงแล้ว วัตถุทานนี้แม้ไม่มีเงินสักบาทเดียวก็ทำได้นะ”
    “ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ?”ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ
    “ก็คอยโมทนาเขาไงล่ะ ใครถวายเงินแสน เงินล้าน คุณก็ยกมือไหว้กำหนดจิตโมทนาไปกับเขาด้วย เขาได้บุญเท่าไร คุณก็ได้เท่านั้นแหละดีไหมล่ะ ไม่ต้องไปอิจฉาคนร่ำรวยให้เสียเวลาจริงไหม?”หลวงพ่อตอบ

    ที่มา http://www.geocities.com/magic_angelth/index21_1.htm

    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  13. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    คนร่ำรวยมีโอกาสสร้างกุศล
    ผลบุญได้มากกว่าคนจนจริงหรือไม่?(ต่อ)
    [​IMG]
    “แบบนี้ไม่เป็นการเอาเปรียบผู้อื่นเหรอครับ?”ข้าพเจ้าถามอย่างติดใจสงสัย
    “ไม่เอาเปรียบหรอก เพราะคุณจะโมทนาหรือไม่ ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ผู้ทำบุญนี่ เขาก็ยังได้บุญของเขาเต็มที่อย่างเดิมนั่นแหละแต่อย่างไรก็ตาม วัตถุทานนี้ก็เป็นเพียงแค่ทานเบื้องต้นเท่านั้นนะ ยังมีทานแบบอื่นที่ไม่ต้องใช้เงินทองเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ให้กุศลผลบุญได้สูงกว่าวัตถุทานเสียอีกนะ”หลวงพ่ออธิบาย
    “ทำทานแบบใดล่ะครับ?”ข้าพเจ้ารีบถามด้วยความสนใจ
    “อภัยทาน อย่างไรล่ะ ใครเขาทำผิดคิดร้ายต่อคุณอย่างไร คุณก็ไม่ถือโกรธ อภัยให้เขาเสีย เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านให้อภัยให้แก่บรรดาผู้คนที่มุ่งร้ายต่อองค์ท่านนั่นแหละ เห็นไหมไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียวแต่ได้กุศลผลบุญมากกว่าบริจาคเงินเป็นจำนวนมากๆเสียด้วยซ้ำไป”หลวงพ่ออธิบายยิ้มๆ
    “แหม หลวงพ่อครับได้บุญมากโดยไม่เสียเงินก็จริง แต่มันทำได้ยากนะครับ โดยเฉพาะผมแล้ว ผมชอบประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนแบบเกลือจิ้มเกลือ คือดีมาก็ดีไป ร้ายมาก็ร้ายตอบ แรงมาก็แรงไป หวานมาก็หวานไป อะไรทำนองนี้แหละครับ มันค่อยมีชีวิตชีวาหน่อยขืนอภัยให้บ่อยๆ คนเลวๆ เหล่านั้นก็ยิ่งได้ใจใหญ่คิดว่าเราแหยซิครับเคยแค่แอบลอบนินทาลอบกัดลับหลัง คราวนี้ละก็มันต้องบุกเข้ามาด่าว่าท้าทายถึงในบ้านเป็นแน่”ข้าพเจ้าให้เหตุผลไปตามที่คิด
    “อ้าว อยากได้บุญมาก หนำซ้ำไม่ต้องเสียเงินเสียมองด้วยก็ต้องยากหน่อยซิ แต่ก็มิใช่ยากเย็นจนทำไม่ได้นะ หากคุณควบคุมสติได้แล้วคิดว่า โอ หนอ คนเลวเหล่านี้ คงรับกรรมอยู่ในนรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉานมานานหลายภพหลายชาติแล้ว กว่าจะชดใช้กรรมชั่วหมดได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขาชาติแรกได้ ก็ต้องทนทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัส มาหลายกัปหลายกัลป์ แม้เป็นมนุษย์แล้วความเลวร้ายความดุร้ายก็ยังติดตามมาตามสันดานดั้งเดิมอีก ดังนั้นเราเองซึ่งเป็นมนุษย์ที่สร้างสมบุญบารมีมาแล้วหลายภพหลายชาติ จะใช้วิธีแบบเกลือจิ้มเกลือ คือร้ายมาก็ร้ายไป เลวมาก็เลวไปอย่างที่คุณว่าแล้ว เรามิต้องเป็นคนเลวไปเช่นเขาเหล่านั้นหรอกหรือ ต้องพยายามคิดอย่างนี้นะแล้วในที่สุดคุณจะให้ “อภัยทาน” ได้เองนะ ยิ่งถ้าคุณได้เจริญวิปัสสนาญาณด้วยแล้วการให้อภัยทานจะเป็นของง่ายมาก” หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อยังเห็นข้าพเจ้าสนใจก็พูดต่อว่า “ยังมีทานที่ไม่ต้องใช้เงินทองแต่ได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานอีกนะ”
    “ทานอะไรหรือครับ ที่สูงกว่าอภัยทาน”ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้
    “ก็ ธรรมทาน ยังไงล่ะ สร้างสมได้โดยช่วยชี้แนะสั่งสอนผู้คนที่ประพฤติตนหลงผิด คิดชั่วให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ช่วยนำทางคนที่เดินทางผิดให้มาเดินถูกทางนั่นแหละ ธรรมทานนี้จะได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานนะ เพราะแม้เราให้อภัยทานแก่คนที่เลวร้ายไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็หาได้อยู่รอดปลอดภัยไม่ อาจถูกคนอื่นที่เขาไม่ให้อภัยกำจัดเสียก็ได้ แต่ถ้าเราให้ธรรมทาน จนสามารถทำให้คนเลวกลับกลายมาเป็นคนดีเสียได้เขาจะอยู่ได้โดยรอดปลอดภัยใช่ไหม?” หลวงพ่ออธิบาย
    “ครับ แต่แหม มันก็ยิ่งยากกว่าให้อภัยอีกทานเสียอีก เพราะอภัยทานนั้น เราเพียงอภัยในใจไม่ต้องไปข้องแวะกับคนเลวๆ พรรค์นั้นเขาร้ายมาเราก็เลี่ยงเสีย เขาด่าเขานินทาเราก็เอาหูทวนลมเสีย แต่ถ้าถึงขั้นต้องพาตัวเข้าไปอบรมสั่งสอนคนชั่วร้ายเช่นนั้น คงไม่ไหวหรอกครับหลวงพ่อ”ข้าพเจ้าตอบพร้อมส่ายหัวอย่างท้อแท้
    “อ้าว ถ้าคุฯยังทำใจไม่ได้ ก็ต้องรู้จักใช้อุบายสิ เช่น ถ้าคุณรู้ว่าคนเลวผู้นั้นนับถือใคร หรือเกรงใจใครและบังเอิญคุณก็รักใคร่ชอบพอกับเขา ก็ขอความร่วมมือกับเขา ฝากหนังสือธรรมะไปให้อ่านบ้างหรือให้เขาหาทางชวนไปหาพระฟังธรรมะบ้าง หรือหาทางล่อหลอกพามาหาฉันก็ได้นะ อย่างนี้คุณก็ได้ธรรมทานด้วยเช่นกัน” หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังสนใจฟังก็พูดต่อว่า “ยังมีวิธีสร้างกุศลผลบุญที่สูงกว่า ทานทั้งหลายโดยไม่ต้องเสียเงินและข้องแวะกับบุคคลอื่นอีกด้วยนะ”
    “ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ”ข้าพเจ้ารีบถามอย่างกระตือรือร้น
    “ก็รักษาศีล อย่างไรเล่า อย่างคุณรักษาแค่ศีล 5 ให้บริสุทธิ์ก็พอแล้วได้บุญมากกว่าการให้ทานทุกรูปแบบเสียอีกนะ และยิ่งอยากได้กุศลผลบุญมากกว่ารักษาศีลก็ต้อง เจริญภาวนาให้ได้ ฌานสมาบัติ นะหากคุณสามารถทรงฌานได้ และจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้แม้เพียงชั่วเสี้ยววินาที หรือแค่ช้างกระดิกหูเท่านั้นคุณจะได้กุศลผลบุญมากเสียกว่าบวชตั้งหลายพรรษาโดยมิได้เจริญภาวนาเสียอีกนะ”หลวงพ่ออธิบาย
    “เอ ถ้ายังงั้น ผมเลือกสร้างกุศลผลบุญด้วยการเจริญภาวนาเสียเลยจะมิดีกว่าหรือครับ?” ได้บุญสูงกว่าการให้ทาน และรักษาศีลเสียอีกข้าพเจ้าและให้ข้อคิดเห็น
    “มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดนะซี การขึ้นบันไดเขาต้องขึ้นทีละขั้นมิใช่กระโดดทีเดียวขึ้นไปอยู่บันไดขั้นสูงสุดเลย ดีไม่ดีตกมาแข้งขาหักนะ การให้ทานบ่อยๆ ย่อมทำให้เกิดตัวเมตตา คือ ความรักบังเกิด ตัวกรุณา คือความสงสารเกิด และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ทำให้คุณเกิดความละอายที่จะผิดศีลโดยเฉพาะศีล 5 และเมื่อศีล 5 บริสุทธิ์การเจริญภาวนาก็เป็นไปได้โดยง่ายมันเป็นบันได 3 ขั้นนะ จะกระโดดพรวดพราวไปเจริญภาวนาเลยมันก็ยากเย็น หากไม่มีการให้ทานและการรักษาศีลมาก่อน เสมือนหนึ่งกระโดดจากพื้นขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายนั่นแหละ แต่ก็อาจทำได้นะ ถ้าคุณมีวิชาตัวเบาเหมือนในหนังจีน และก็เคยมีคนในสมัยพระพุทธเจ้าทำมาแล้วด้วยเหมือนกันคือ ท่านผู้นั้นดูถูกว่าการให้ทานเป็นกุศลผลบุญขั้นต่ำ จึงมุ่งรักษาศีลและเจริญภาวนาไปเลย ด้วยกุศลผลบุญดังกล่าวเมื่อตายไปก็เป็นผลทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชในพระพุทธศาสนาเมื่อบวชใหม่ได้ออกบิณฑบาตแต่เนื่องจากท่านอาวุโสน้อยที่สุด จึงต้องเดินท้ายสุดปรากฏว่า ชาวบ้านที่นำอาหารมาใส่บาตร พอใส่มาถึงท่านนั้นอาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรป่าวกลับมาอาศรมและต้องอาศัยภัตตาหารจากพระรูปอื่นที่แบ่งปันให้พอได้ขบฉันบ้าง
    ในวันรุ่งขึ้น พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้พระท่านนั้น ออกเดินนำหน้าพระภิกษุรูปอื่นออกบิณฑบาต โดยให้เหตุผลว่าเมื่อวานนี้พระท่านนั้นเดินท้ายแถวจึงไม่ได้อาหาร ส่วนทางฝ่ายชาวบ้านที่นำอาหารมาคอยใส่บาตรกลับนัดแนะกันว่า เมื่อวานนี้พวกเราใส่บาตรจากหัวไปทางท้ายแถวทำให้พระท่านหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายแถวไม่ได้รับอาหารเลย ดังนั้นวันนี้เราจงใส่บาตรจากท้ายแถวไปทางหัวแถวเพื่อเป็นการชดเชยเถิด ด้วยเหตุนี้เมื่อพระมา ชาวบ้านก็ใส่บาตรจากท้ายแถวไปทางหัวแถว และพอใส่บาตรมาถึงพระท่านนั้นที่อยู่หัวแถวอาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับอาศรม เช่นเดียวกับวันแรกอีก
    ในวันต่อมา พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้ท่านนั้นออกบิณฑบาตโดยให้เดิน อยู่ในตำแหน่งกลางแถวในวันต่อไป โดยให้เหตุผลว่า คราวนี้แม้ชาวบ้านจะใส่บาตรจากหัวแถว หรือท้ายแถวมาก็ตามพระท่านนั้นย่อมต้องได้ภัตตาหารแน่ ส่วนทางฝ่ายชาวบ้านก็กลับปรึกษากันว่าสองวันแล้วนะที่เรานำอาหารมาใส่บาตรและไม่ว่าจะใส่บาตรจากหัวแถวไปหาท้ายแถว หรือใส่บาตรจากท้ายแถวย้อนไปทางหัวแถวก็ตามมีพระภิกษุรูปหนึ่งไม่เคยได้รับอาหารเลยนะ อย่ากระนั้นเลยในวันรุ่นขึ้นพวกเราจงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเถิด คือกลุ่มหนึ่งใส่บาตรจากหัวแถวไปทางท้ายแถว และอีกกลุ่มหนึ่งใส่บาตรจากท้ายแถวไปหาหัวแถว เพราะถ้าทำวิธีนี้แล้วไม่ว่าพระท่านนั้นจะเดินบิณฑบาตอยู่หัวแถว หรือท้ายแถวก็ตามที ย่อมต้องได้ภัตตาหารจากพวกเราอย่างแน่นอน
    ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นเมื่อพระออกบิณฑบาตชาวบ้านก็แยกออกเป็น 2 กลุ่ม และแยกกันใส่บาตรตามวิธีการที่คิดเอาไว้ ปรากฏว่า พอถึงพระท่านนั้นที่ยืมอยู่ตรงกลาง อาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับอาศรมในวันที่ 4 พระอุปัชฌาย์จึงให้พระบวชให้เข้าแถวเป็นองค์ที่สองต่อจากท่านเมื่อชาวบ้านมาใส่บาตร เมื่อใส่องค์แรกแล้วก็ข้ามไปใส่องค์ที่สาม เนื่องจากมองไม่เห็นบาตรองค์ที่สองพระอุปัชฌาย์จึงให้มือของท่านจับปากบาตรรพระบวชใหม่ไว้ ชาวบ้านจึงเห็นบาตรของพระองค์ที่สอง และใส่บาตรของท่านได้โดยอาศัยทานบารมีของพระอุปัชฌาย์
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทราบเรื่องราวแล้วจึงได้ทรงอธิบายว่า พระท่านนั้นในอดีตชาติมิได้สร้างสมทานบารมีมาเลย ด้วยดูถูกว่าทานบารมี เป็นกุศลผลบุญขั้นต่ำจึงมุ่งแต่รักษาศีลและเจริญภาวนา ดังนั้นเมื่อมาเกิดในชาตินี้จึงขาดลาภและขาดแคลนในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่อาหารการกินดังที่ได้ประจักษ์แล้ว ผิดกับพระสีวลีซึ่งในอดีตสร้างทานบารมีมามาก มาในชาตินี้จึงอุดมสมบูรณ์เป็นยังไงล่ะคุณมนูญ จะเอาย่างพระท่านนั้นหรือ?” หลวงพ่ออธิบายโดยละเอียดแล้วย้อยถามข้าพเจ้า
    “เอ หากเป็นเช่นนี้ผมก็เห็นจะต้องรีบสร้างทานและรักษาศีลก่อนแล้วนะครับ
    ท่านผู้อ่านที่รัก พอเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า ไม่ว่าท่านจะเป็นคนร่ำรวยล้นฟ้าสักเพียงไร หรือยากจนข้นแค้นสักปานไหนก็ตามท่านมีโอกาสที่จะสร้างกุศลผลบุญได้ไม่น้อยหน้ากันเลยนะครับ
    ที่มา http://www.geocities.com/magic_angelth/index22_1.htm

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. slamb

    slamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,021
    ค่าพลัง:
    +538
    ขอบคุณ คุณ Khunkik มากๆครับผม
    ที่นําบทความของหลวงพ่อมาเป็นแบบอย่าง..สาธุ

    ใส่ศรัทธามากๆเวลาทําบุญ
    ถ้าไม่พร้อมเรื่องทรัพย์ที่จะทําบุญ ถือศีลก็ได้ครับ

    ขออนุโมทนาครับ..สาธุ




     
  15. Ball ^_^

    Ball ^_^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +49
    อนุโมทนาครับ

    ทานที่ทำผลบุญไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนมากหรือน้อย แต่ขึ้นอยู่กับกำลังใจในการสละออก คนจนทำ 1 บาท อาจเท่าคนรวยทำหมื่นบาท แสนบาท เพราะต้องใช้กำลังใจในการสละออกเท่ากัน อีกทั้งมีบุญอีก 9 ใน 10 ของบุญกิริยาวัตถุ 10 ที่ไม่ต้องใช้เงินในการทำบุญ ขอให้เลือกเอาตามเหมาะสม โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

    การทำทานเป็นการฝึกเพื่อลดความตระหนี่ที่เกิดขึ้นในใจให้ลดลง และเพิ่มความเสียสละให้เพิ่มยิ่งๆขึ้น เมื่อจิตไม่มีความตระหนี่ จิตจะเปิดออกสามารถมีทรัพย์เพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพจิต ตอนนี้ผมก็ฝึกลดความตระหนี่ในใจอยู่เช่นกัน
     
  16. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,046
    นั่นเพราะบุญเก่าเค้ามีครับ แต่บุญมันไม่ได้แข่งกันที่ตัวเงิน มันแข่งกันที่กำลังใจว่าใครทำแล้วจิตผ่องใสมากกว่ากัน.
     
  17. บัวล้านนา

    บัวล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +436
    ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เห็นต้องเสียตังซักบาท

    คนทำบุญมากใช่ว่าจะ อยู่ภพภูมิที่ดีกว่าคนที่มีศีล ความคิดเห็นส่วนตัวครับ....

    การทำบุญเป็นแค่หนทางที่ละลายใจไม่ให้หยาบมากกว่าครับ....
     
  18. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    การทำบุญมีหลายวิธีครับ ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุเงินทองก็ได้ โดยบุญที่เราสามารถทำได้ มี 10 ประการ(บุญกิริยาวัตถุ 10) ดังนี้


    ๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม

    ๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (ศีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือ ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม

    ๓. บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย ) คือการอบรมจิตใจในการละกิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด

    ๔. บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย) คือการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๓ ประเภท คือ ผู้มี วัยวุฒิ ได้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องและผู้สูงอายุ ผู้มี คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และผู้มี ชาติวุฒิ ได้แก่พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์

    ๕. บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) คือ การกระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา เช่น การชักนำบุคคลให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ในฝ่ายสัมมาทิฎฐิ

    ๖. บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป

    ๗. บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย

    ๘. บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น บรรเทาความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป

    ๙. บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางที่ชอบ ตามรอยบาทองค์พระศาสดา ให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลอื่น หรือการนำธรรมไปขัดเกลากิเลสอุปนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา มาประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

    ๑๐. บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งอันควรประพฤติสิ่งอันควรละเว้น ตลอดจนการกระทำความคิดความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ

    บุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้ ผู้ใดได้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือยิ่งมากยิ่งดี ผลบุญย่อมเกิดแก่ผู้ได้กระทำมากตามบุญที่ได้กระทำ ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำบุญเป็นเงินทอง วัตถุข้าวของเสมอไป ผู้ไม่มีเงิน ผู้ขัดสนหรือมีความจำเป็นต้องใช้ทรัพย์ที่มีอยู่จำกัด เพื่อการการครองชีพ ก็สามารถทำบุญได้หลายประการ ตามแนวทางที่กล่าวมานี้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2010
  19. อิติปิโส_ภควา

    อิติปิโส_ภควา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +242
    ดิฉันทำบุญทุกวันค่ะ ไม่ได้ทำเป็นเงินทอง หมายถึงอาจจะสวดมนต์บ้าง อะไรบ้าง แต่โดยหน้าที่การทำงาน ดิฉันเป็นครู... แค่นี้ดิฉันก็คิดว่า ได้สร้างบุญมหาศาลแล้ว เพราะได้สร้างคน
     

แชร์หน้านี้

Loading...