อยากถาม....เรื่องของการนั่งสมาธิ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย bumbimnick, 28 กรกฎาคม 2008.

  1. bumbimnick

    bumbimnick เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +160
    สวัสดีค่ะ ทุกๆคน อิอิ
    คือดิชั้นเป็นสมาชิกใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

    ดิชั้นเพิ่งเริ่มฝึกสมาธิอ่ะค่ะ
    ฝึกได้ไม่นาน เลยมีปัญหาคาใจหลายอย่างอยากถามผู้รู้เกี่ยวกับการนั่งสมาธิค่ะ

    1. อยากรู้ว่าการนั่งสมาธิ มีกี่ขั้นค่ะ
    2. แต่ละขั้นเป็นอย่างไร
    3. หนูนั่งแล้วรู้สึกตัวพองๆ ยืดๆ นี่ได้ขั้นไหนคะ หรือยังไม่ได้สักขั้น(แง่ว)
    4. การเข้าออกสมาธิที่ถูกต้องมีหลักการยังไงคะ
    5. เวลาหนูออกจากสมาธิจะลืมตาแล้วก็ออกมาเลย เป็นอะไรมั้ยคะ
    6. ชอบตกใจเวลานั่งสมาธิแล้วมีเสียงโครมคราม(จะสะดุ้งโหยง ลืมตาเลย)
    มีวิธีแก้ยังไงคะ
    7. วิธีการที่นั่งสมาธิที่ถูกต้อง ต้องทำยังไงบ้างคะ จิตจึงจะสงบจริง
    8. มาเล่าสู่กันฟังว่าแต่ละคนนั่งสมาธิได้ขั้นไหน เป็นยังไงบ้างแล้ว มาแชร์
    ประสบการณ์กันเถอะค่ะ
     
  2. zixxi

    zixxi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +0
    (ขออนุญาตเจ้ากระทู้นะคะ)
    สงสัยเช่นกันค่ะ ขอฝากถามหน่อย :p
    ฝึกนั่งสมาธิแบบสมถะ กับแบบวิปัสนา ไม่เหมือนกันใช่มั้ยคะ?
    สมถะ = เพ่ง
    วิปัสนา = รู้ลงปัจจุบัน ไม่เพ่ง ไม่กด

    หรือสายวิปัสนาไม่ต้องนั่งสมาธิคะ?
    แล้วนั่งสมาธิแบบสมถะต้องเพ่งไปที่ไหน


    ขอบคุณค่า
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลองฟังธรรมะหลวงพ่อปราโมช
    http://wimutti.net/pramote/cd.php?cd=13
    วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฏาคม 2549(1)
    วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฏาคม 2549(2)
    วันอื่นก็มีนะ แต่วันนี้หลวงพ่อเทศน์เรื่อง สมถะ-วิปัสนา เหมาะกับผู้เริ่มต้นดี
     
  4. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    รู้อะไรมามากแล้วยังแกล้งถาม อืม! งั้นลุงแกล้งตอบ ๆ ไป ละกันนะหนู
    คำถามยาวมาก คนตอบต้องมานั่งพิมพ์ เอาคำสอนของหลวงพ่อพุทไปอ่าน
    ท่านเป็นอาจารย์องค์แรก ที่ผมได้เรียนรู้การปฏิบัตธรรม



    [​IMG]
    แผนการปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน 4
    โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


    ต่อไปนี้ขอเชิญทุกท่านกำหนดจิตทำสมาธิในท่านั่ง ในกายของเรานี้มีจิตเป็นใหญ่ มีจิตเป็นหัวหน้า มีจิตเป็นประธาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้วแต่จิต ในขณะนี้กายกับจิตของท่านยังมีความสัมพันธ์ คือรับรู้กันอยู่ เมื่อท่านกำหนดรู้ที่จิต ท่านก็ยังรู้ว่ากายยังมี เมื่อกายยังมีอยู่ จิตของท่านก็รู้เรื่องของกายโดยไม่ได้ตั้งใจ เวลานี้ท่านนั่งอยู่ กายสบายมั๊ย ท่านก็รู้ มีอะไรมา สัมผัสกายท่านมั๊ย ท่านก็รู้ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่กาย ท่านก็รู้ เพราะกายกับจิตของท่านยังอยู่ด้วยกัน ยังไม่แยกจากกัน ถ้าหากว่าจิตของท่านกำหนดรู้ความสุข และความทุกข์ หรือ ความเฉยๆ ที่เกิดที่กาย สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เกิดขึ้นเมื่อกายยังปรากฏอยู่กับความรู้สึก

    เมื่อท่านกำหนดรู้กายอยู่สติก็ตั้งอยู่ที่กาย ระลึกรู้อยู่ที่กาย โดยเพียงแค่นึกรู้สึกว่ากายมีอยู่ แล้วเมื่อท่านไม่ได้นึกเช่นนั้น ท่านก็ยังรู้ว่ากายมีอยู่ เมื่อจิตของท่านรู้สึกว่ากายมีอยู่ เวทนาสุขทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นที่กาย เมื่อท่านมีสติรู้อยู่ ท่านก็รู้ว่าเวทนามี สุข ทุกข์เรียกว่าเวทนา สุขเรียกว่าสุขเวทนา

    เมื่อสติของท่านกำหนดรู้เวทนา สติไปตั้งอยู่ที่นั่นก็เรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ความรู้ ความคิด คิดว่านี่กาย นี่เวทนา นี่สุขเวทนา นี่ทุกขเวทนา นี่อุเบกขาเวทนา ความคิดหรือรู้เป็นอาการของจิต เมื่อสติมากำหนดรู้พร้อมอยู่กับความคิดเช่นนั้น ถ้าสติตั้งมั่น หรือสติตามรู้ รู้ความคิดอันนั้นเรียกว่าจิตตานุปัสสนา ถ้าสติตั้งมั่นอยู่กับความคิดนั้น เรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

    เมื่อหากว่าสุขเวทนาเกิดขึ้น ทุกขเวทนาเกิดขึ้น จิตปรุงแต่ง ธรรมชาติของคนเรามีความรู้สึกชอบ ความสบาย ถ้าหากจิตของท่านใฝ่หาความสบายโดยไม่อยากทำอะไร ไม่ปฏิบัติ บางทีอาจไปคิดว่าเลิกปฏิบัติซะดีกว่า อยู่เฉยๆ สบายดี แสดงว่าจิตของท่านใคร่ต่อความสบาย ติดความสบาย เมื่อจิตติดความสุข ความสบาย จิตก็มีความใคร่ในกาม กามก็คือความสบายใคร่ในความสุข คือไม่อยากทำอะไร เรียกว่ากามฉันทะ ความใคร่พอใจในความสบาย เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตปรุงแต่งว่าจะปฏิบัติต่อไปดีหรือจะหยุดเพียงแค่นี้

    ความคิดเช่นนี้เป็นลักษณะของพยาบาท คือเป็นความคิดที่จะตัดรอนคุณความดี เกิดความคิดกังวลสงสัยว่า จะเอาดีหรือไม่เอาดี ความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญบังเกิดขึ้นเรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ เมื่อมีความฟุ้งซ่านรำคาญบังเกิดขึ้น ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนเกิดขึ้นมาแทรก จิตก็ปรุงแต่งขึ้นมาว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี หรือจะหยุดกันเพียงแค่นี้ เป็นวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ลังเลใจ ไม่แน่ใจ เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดลงไปไม่เอาล่ะ เลิกดีกว่า พยาปาทะวิ่งเข้ามาตัดรอน

    เมื่อจิตมากำหนดรู้อยู่ที่นิวรณ์ 5 คือ กามฉันทะ ความใคร่ในความสุขสบาย พยาปาทะ ความคิดริดรอนหรือตัดรอน อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ ถีนมิทธะความง่วงเหงาหาวนอน วิจิกิจฉา ความสงสัยไม่เอาจริง ถ้าจิตมากำหนดดูอยู่ที่ตรงนี้ อันนี้เป็นธรรมฝ่ายอกุศล เป็นนิวารณะธรรม เป็นธรรมที่คอยกางกั้นคุณงามความดีไม่ให้บังเกิดขึ้นจึงเรียกว่า นิวรณ์ หรือ นิวารณะ แปลว่าจิตปิดกั้น กั้นสมาธิไม่ให้เกิด กั้นปัญญาไม่ให้เกิด กั้นกุศลไม่ให้เกิด เพราะอันนี้เป็นธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อจิตมากำหนดรู้ธรรมที่เป็นกุศล อกุศล เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

    ถ้าสติมากำหนดตั้งมั่นพิจารณาอยู่ที่ธรรม ก็เรียกว่าธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมะเป็นฐานที่ตั้งของสติ จิตรู้ว่ากายมีอยู่ และมีสติตั้งมั่นอยู่ที่กาย อย่างน้อยก็ตั้งมั่นอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย เพราะปอดเป็นผู้มีหน้าที่ ทำหน้าที่ หายใจเข้า หายใจออก เมื่อสติไปตั้งอยู่ที่ลมหายใจ ก็ได้ชื่อว่าสติไปตั้งอยู่ที่กาย จัดเป็นอานาปาณุสติด้วย กายานุปัสสนาสติปัฏฐานด้วย ในมหาสติปัฏฐานบรรพัท ท่านจำแนกแจกวิธีการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมไว้อย่างกว้างขวางพิศดาร แต่อันนั้นเป็นภาคปฏิบัติ

    ท่านเริ่มต้นแต่ให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก โดยความเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดบ้าง โดยความเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ บ้าง เพื่อจะให้จิตหรือสติไปตั้งอยู่ที่กาย จะได้เกิดความรู้ว่ากายสักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา ท่านให้เริ่มพิจารณาตั้งแต่กายภายนอก คือกายของคนอื่น หรือพิจารณาซากอสุ หมายถึง ซากอสุภะ แล้วก็น้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตนเอง เช่นอย่างไปเห็นซากศพที่นอนตายอยู่ ท่านให้พิจารณาซากศพว่าเมื่อก่อนนี้ซากศพก็มีชีวิตจิตใจเดินเหินไปมาได้เหมือนเรา บัดนี้เขาปราศจากวิญญาณแล้ว เขามีแต่จะเน่าเปื่อยผุพัง แล้วก็น้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตนเองว่า แม้เราก็เช่นกัน เวลานี้ เรามีกาย มีจิต มีวิญญาณ เราก็ยังเดินเหินไปไหนมาไหนได้ ทำอะไรได้จิปาถะ เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว ร่างกายก็มีแต่จะเน่าเปื่อยผุพังทับถมแผ่นดินเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก เมื่อสลายตัวไปก็จะเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ

    หาสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ร่างกายภายนอกกับกายภายในเป็นเช่นไร กายภายนอกเป็นเช่นไร กายภายใน ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ทีนี้การพิจารณากายภายนอก สักแต่ว่ากาย แต่ว่ามันเป็นกายของคนอื่น อันนั้นเรียกว่าเห็นกายภายนอก แต่เมื่อมาพิจารณากายของตนเอง ให้เห็นว่ากายของเราก็จักเป็นเช่นนั้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แม้ปัจจุบันนี้จะยังสดสวยงดงามพอดูกันได้ แต่เมื่อกายสลายตัวลงไปแล้วก็จะเน่าเปื่อยผุพัง เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก แล้วเราจะได้รู้ได้เห็นว่ากายของเรานี้สักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา กายเป็นแต่เพียงกาย กายเป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ กายนี้ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัว ตน เรา เขา แต่ที่สมมติว่าบุคคล ตัวตนเราเขาและสัตว์นั้นเป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ ตามภาษารูป แต่เมื่อความเป็นจริงแล้ว สมมติบัญญัติอันนี้เป็นกาย ก็สักแต่ว่ากายเท่านั้น ในเมื่อเรามาพิจารณาเห็นกายภายในคือกายของเราเป็นเช่นนั้น เรียกว่า พิจารณากายในกาย ถ้าสติไปตั้งมั่นอยู่ในการพิจารณากาย โดยยึดเอากายเป็นอารมณ์ตั้งมั่นอยู่ที่ตรงนั้น จนกระทั่งว่าในขณะที่พิจารณาในสมาธิก็เป็นเช่นนั้น

    ออกจากสมาธิไปแล้ว สติก็กำหนดตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด ซึ่งเป็นเรื่องของกาย ก็เรียกว่า สติไปตั้งอยู่ที่กาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าสติเพียงแค่ว่าควบคุมบังคับให้ระลึกไปในกาย คือระลึกถึง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันนี้เรียกว่าเป็นภาคปฏิบัติ เป็นสติปัญญาธรรมดา แต่ถ้าหากว่าจิตมีสติกำหนดรู้เรื่องของกายอยู่ตลอดเวลาโดยอัติโนมัติ จะตั้งใจก็กำหนดรู้ ไม่ตั้งใจก็กำหนดรู้ กำหนดรู้อยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิตทุกลมหายใจ สติไม่พรากจากกาย ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด สติก็รู้พร้อมอยู่ที่กายตลอดเวลา อันนี้เรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เอาสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวก็เป็นมหาสติปัฏฐาน

    ในเมื่อสติมาตั้งมั่นอยู่ที่กาย ระลึกรู้ รู้อยู่ที่กายตลอดเวลา เรื่องเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราไม่ได้ตั้งใจจะกำหนดรู้ ไม่ได้ตั้งใจจะพิจารณา จิตของเราก็รู้เอง เพราะจิตมีกาย กายเป็นที่เกิดแห่งเวทนา เมื่อจิตมาจดจ่อเอาใจใส่ต่อกาย อะไรเกิดขึ้นที่กาย จิตของเรารู้หมดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตมาตั้งมั่นอยู่ที่กาย เอากายเป็นอารมณ์สติตั้งมั่นอยู่ที่กาย แม้แต่ความคิดที่เกิดขึ้นก็เพราะอาศัยกายนั่นแหละเป็นเครื่องมือ เมื่อมีกายอยู่จิตย่อมมีความคิด ความคิดที่เกิดขึ้นนั้น แม้เราไม่ได้ตั้งใจจะกำหนดรู้ จิตของเราก็จะรู้เพราะการคิดเป็นเรื่องของจิต

    ในเมื่อสติของเราไปตั้งมั่นอยู่กับความคิดที่คิดอยู่ในปัจจุบัน คิดอะไรขึ้นมาก็รู้ คิดอะไรขึ้นมาก็รู้แต่ความคิดนั้น คิดแล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ยึดมั่นอะไรไว้สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน สติกำหนดตั้งมั่นอยู่ที่ความคิดนั้น เรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทีนี้ความคิดที่ปรุงแต่งนั้นอาศัยเวทนาเป็นสิ่งหนุน สุขเวทนา เป็นเหตุให้จิตมีความเพลิดเพลินยินดี ทุกขเวทนาเป็นเหตุให้จิตเกิดความไม่พอใจ หรือบางทีอาจจะเกิดคับแคบใจ ในเมื่อกิเลสที่เป็นตัวการ คือการเสพความสุขความสบายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในขณะนั้น

    ทีนี้พอนั่งๆ ไป ปฏิบัติไป บางทีก็เกิดทุกขเวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีความรู้สึกว่ามีอาการง่วงๆ แล้วก็เกิดปวดต้นคอ หรือบางทีหายใจอึดอัดซึ่งนักปฏิบัติทั้งหลายจะต้องผ่านสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น และเป็นชนวนให้เกิดความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญ ในเมื่อจิตมากำหนดรู้อยู่ที่ความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญ จิตก็เริ่มกำหนดรู้เรื่องของธรรมแล้วก็จะมองเห็นนิวรณ์ทั้ง 5 ได้ชัดเจน คือมองเห็นความใคร่ในความสุขสบาย ทำให้เกิดขี้เกียจขี้คร้านมองเห็นได้ชัด แล้วก็มองเห็นความหงุดหงิดรำคาญ อุทธัจจกุกกุจจะได้ชัดเจน และยิ่งเกิดความง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาแทรกด้วย เราก็มองเห็นได้ชัดเจน

    เราเกิดสงสัยว่าจะปฏิบัติต่อไปดีหรือจะหยุดเพียงแค่นี้ เราก็มองเห็นได้ชัดเจน ในเมื่อเราเกิดความสงสัยว่าจะปฏิบัติต่อไปหรือจะหยุดแค่นี้ พยาปาทะคือตัวคอยตัดรอนได้โอกาสก็วิ่งเข้าไปตัด พอตัดลงไปแล้ว เราก็จะนึกว่าเอาแค่นี้พอแล้ว เอาไว้วันหลังปฏิบัติต่อใหม่ ทีนี้ถ้าหากว่าจิตของเราเป็นอย่างนี้เรื่อยไป พอเกิดหงุดหงิดขึ้นมาแล้วก็บอกว่า เอาล่ะ แค่นี้ ฝากไว้วันหลังจึงปฏิบัติต่อใหม่ เราก็จะไม่ได้ประสบกับความสำเร็จเพราะอันนี้มันเป็นนิวรณ์ที่คอยตัดรอนคุณงามความดี ถ้าจิตของเรามาตั้งสติพิจารณาคุณโทษแห่งนิวรณ์ 5 ดังที่กล่าวแล้วก็พยายามหาอุบายปลดเปลื้อง

    อุบายปลดเปลื้องนิวรณ์ 5 ก็คือเอาตัวนิวรณ์ 5 นั้นแหละเป็นเครื่องแก้ คือพิจารณาให้เห็นโทษของนิวรณ์เลย พิจารณาว่ากามฉันทะ ถ้าเราทำจิตให้ไปติดในความสุขความสบายจนเกินไปอย่างไม่มีเหตุผล ก็จะทำให้เราเสียกาลเสียเวลาเสียการปฏิบัติเพราะการปฏิบัตินี่ก็ย่อมลงทุนลงแรงบ้างพอสมควร ต้องอาศัยความอดทน

    ถ้าเราใช้ขันติ ความอดทนปฏิบัติไปสักพักหนึ่งนิวรณ์ 5 ทั้งหลายนั้นย่อมสงบระงับไปได้เพราะพลังของสมาธิ ถ้าหากกามฉันทะความใคร่ในความสุขเกิดขึ้น ให้กำหนดสติรู้ ถ้าพยาปาทะมันเกิดขึ้น ก็กำหนดสติรู้ ถ้าอุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญเกิดขึ้นก็กำหนดสติรู้ ถ้าถีนมิทธะความง่วงเหงาหาวนอนเกิดขึ้น กำหนดสติรู้ ความลังเลสงสัยเกิดขึ้น กำหนดสติรู้ โดยเอาสิ่งเหล่านี้เป็นอารมณ์ของจิตเป็นที่ระลึกของสติ กำหนดจดจ้องพิจารณาอยู่อย่างนั้น ในเมื่อสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้น แล้วก็จะเกิดสมาธิความมั่นใจซึ่งอาศัยขันติความอดทนพิจารณาให้จิตของเรารู้แจ้งเห็นชัดในคุณในโทษของธรรมคือนิวรณ์

    เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงรู้ชัดแล้ว จิตของเราก็จะปล่อยวางเข้าไปสู่ความสงบ แล้วเราก็จะได้สมาธิเพราะอาศัยธรรมะคือนิวรณ์เป็นที่ตั้งของสติ เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นที่ตั้งของสติเป็นเครื่องรู้ของจิต ธรรมชาติของจิตถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก ถ้าเราตั้งใจจดจ่อพิจารณาเพ่งดูอยู่ จิตจะสงบเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นแผนการปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน 4 กำหนดพิจารณากาย เวทนา จิตและธรรม เรากำหนดหมายเอาง่ายๆ คือพอนั่งสมาธิปั๊ปลงไปกำหนดรู้จิต กิริยาที่ตั้งใจกำหนดรู้จิตนั้น เราอาศัยประสาททางกายเป็นเครื่องช่วย

    ถ้าจิตไม่มีกายแล้ว ไม่มีความตั้งใจจะทำอะไร จะคิดอะไร เพราะจิตเป็นธาตุรู้อยู่เฉยๆ ถ้าลำพังแต่จิตดวงเดียวที่ถอดออกไปจากร่างอันนี้ เขาจะไปลอยเด่นใสสว่างไม่มีตัว ไม่มีตน คิดไม่เป็น อยู่เฉยๆ แต่ถ้ายังมีความสัมพันธ์กับกายนี้อยู่ คิดเป็นเพราะมีเครื่องมือ จิตเป็นแต่เพียงพลังงาน ร่างกายเป็นเครื่องมือ จิตเหมือนกระแสไฟฟ้า ในเมื่อกระแสไฟฟ้าวิ่งเข้าไปสู่แม่เหล็กและทองแดงเกิดความหมุน พอหมุนแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดความเคลื่อนไหว ทำให้เกิดพลังต่างๆ ขึ้นมาได้

    ดังนั้นในเมื่อกายมีอยู่ จิตย่อมมีความคิดเพราะกระแสของจิตไปกระทบกับร่างกายเครื่องมือของกาย เราคิดได้เพราะอาศัยประสาททางสมอง เพราะฉะนั้นในเมื่อเรากำหนดรู้ที่จิตของเรา เราย่อมรู้ว่าในกายของเรานี่ มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่ากายของเรามีศรีษะ 1 มีแขน 2 ขา 2 มีลำตัว มีตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ

    เมื่อเราตั้งใจกำหนดรู้อย่างนี้เรียกว่ากำหนดรู้กาย ทีนี้ในเมื่อเรากำหนดรู้กายอยู่ เพราะกายเป็นที่เกิดของสิ่งต่างๆ สุขเกิดที่กาย ทุกข์เกิดที่กาย แต่ว่าใจเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในกายนี้ กายเป็นที่เกิดของความเจ็บ แต่ความเจ็บอันนี้ จิตเป็นผู้รับรู้ ทีนี้ถ้าจิตไม่มีกายก็ไม่รู้จักเจ็บเพราะฉะนั้นเวทนาเกิดที่กาย สุขเวทนาก็เกิดที่กาย ทุกขเวทนาก็เกิดที่กาย หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดที่กาย เมื่อเรากำหนดรู้ว่ากายมีอยู่ เราจะรู้พร้อมทั้งเวทนา จิตและธรรม จิตก็คือตัวผู้รู้ ธรรมก็คือสิ่งที่กำหนดรู้อยู่ เรากำหนดรู้จิต กำหนดรู้อารมณ์ คือจิตกำหนดรู้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน

    ในเมื่อจิตเสวยสุขซึ่งเกิดจากปีติ นิวรณ์ 5 กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะก็หายไป ทีนี้เมื่อสมาธิจิตสงบละเอียดลงไปจนกระทั่งตัวหายไปหมดแล้ว วิตก วิจาร ปีติสุขก็หายไปหมดเพราะสิ่งเหล่านี้อาศัยกายเกิด ถ้าไม่มีกาย วิตกวิจารปีติสุขก็ไม่มีได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกายหายไปแล้วยังเหลือแต่จิตดวงเดียว จึงได้ชื่อว่ามีแต่จิตดวงเดียวซึ่งเรียกว่าเอกัคคตากับอุเบกขา ความเป็นกลางของจิต ร่างกายตนตัวหายไปหมด

    เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญสมาธิซึ่งเดินตามหลักของมหาสติปัฏฐาน 4 จึงเป็นอุบายทำจิตให้สงบตั้งมั่นลงเป็นสมาธิ เพื่อขจัดนิวรณ์ธรรม 5 ประการ ให้หมดไปจากจิตในขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะได้ดำเนินไปสู่ภูมิจิตภูมิธรรมตามลำดับขั้นตอน ซึ่งสุดแล้วแต่พลังจิตพลังสมาธิของท่านผู้ใด จะปฏิวัติจิตของตนเองให้เป็นไปได้

    เพราะฉะนั้นการฝึกฝนอบรมสมาธินี้ เราอาศัยหลัก ภาวิตา อบรมให้มากๆ พหุลีกะตา ทำให้มากๆ ทำให้คล่องตัว ทำจนชำนิชำนาญ ทำจนกระทั่งถึงขั้นเป็นเอง ในเมื่อจิตได้ดำเนินตามหลักของมหาสติปัฏฐานทั้ง 4 ประการ จึงเป็นฐานที่ให้เกิดธรรมะอันเป็นองคคุณแห่งการตรัสรู้คือสติสัมโพชฌงค์

    ในเมื่อเรามาทำสมาธิจิตรวมเป็นหนึ่งเป็นเอกมรรค เอกธรรม สติเป็นเองโดยอัตโนมัติสามารถที่จะกำหนดรู้กายจิต สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมได้เองโดยตลอดเวลา ก็เรียกว่ามีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ที่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ได้ชื่อว่าจิตได้สติสัมโพชฌงค์เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เวลาแห่งการบรรยายธรรมะตามหลักแห่งมหาสติปัฏฐาน 4 ก็จบลงด้วยเวลาเพียงเท่านี้


    http://palungjit.org/showthread.php?t=134554
     
  5. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407


    ข้อความที่ 8 ความจริงก็อยากเล่า แต่ที่ลุงฝึกอยู่ เป็นสมาธิแบบสายพลัง

    สายพลังของลุง หมายถึงการเอาสมาธิที่ทำได้ ไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ

    รักษาโรค , ตรวจสิ่งอัปมงคล , สัมผัสพลังของเครื่องราง , ของต้นไม้ ,

    ของแร่ธาตุ , ฯลฯ ขืนเล่าไปจะกลายเป็นหนังกำลังภายใน เดี๋ยวจะหาว่าบ้า

    ให้ท่านอื่นมาแชร์ก็แล้วกัน
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    สมถะ = เพ่ง , ใช้คำว่าเพ่ง ก็ไม่ถูกนัก แต่อนุโลมใช้ เพื่อความกระชับ
    ..........สำหรับคนที่กำลังทำวิปัสสนา โดยให้ อรรถทางธรรม คือ มันจะ
    ..........ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ไม่อิสระ จิตไม่อิสระ ทำให้ปิดบังไตรลักษณ์
    ..........เพราะ เพ่ง จะต้องมีการเพ่งไปที่รูปอย่างหนึ่ง และรูปมักมีสภาพเป็น
    ..........อดีตกาล ทำให้ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงตามความเป็นจริง
    วิปัสนา = รู้ลงปัจจุบัน ไม่เพ่ง ไม่เผลอ

    วิปัสสนา นั่งสมาธิก็ได้(สมถะตัวไหนก็ได้ ขอให้ทำแล้วสุขใจ) และต้องทำเพื่อ
    ............ดูการเคลื่อนไหวของจิต อาศัยการเพ่งรูปแบบเบาๆ เป็นวิหารธรรม
    ............เพื่อดูอาการหลงไปคิด เพื่อดูอาการนิวรณ์ครอบงำ เพื่อดูกิเลสที่มาเย้ายวน
    ............ถ้าทำสมถะแล้วเริ่มถลำเข้าไปที่สุข เริ่มเยิ้มๆ ซึมๆ นิ่งๆ ให้ถอยออก
    ............โดยมากจะอยู่แถวปิติ เกิดปิติแล้วตามรู้ อันนี้ก็ใช้ได้ หรือถ้าแน่จริง
    .............ขั้นสุข แล้วมีสติ รู้ว่าสุข ก็ใช้ได้ หรือ ขั้น ฌาณ แล้วยังมีสติ
    .............ระลึกรู้ดูอยู่ห่างๆ ก็ใช้ได้ แต่อย่างหลังนี่คือพวกทำสมถะมาหลายชาติแล้ว

    สมถะ = ต้องเพ่งไปที่ไหน ไม่ใช่ที่ แต่เป็นการเลือกรูปมาเป็นองค์ฌาณ
    ............เช่น รูปลมเข้าออก รูปท้องพองยุบ รูปยกย่างเท้า รูปดวงกสิณ
    ............รูปอสุภะ โดยเกาะไว้ที่รูปนั้นโดยตลอด จนกว่าจะละ และเปลี่ยน
    ............ไปเป็นปิติ แล้วเปลี่ยนไปเป็นสุข หรือ ข้ามไปนิมิต อุคหนิมิต และ
    .............ปฏิภาคนิมิตตามลำดับ เกินกว่านี้ไม่รู้ละ....ต้องเข้าห้องกระทู้
    .............อภิญญา - กรรมฐาน ถามคนรู้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2008
  7. bumbimnick

    bumbimnick เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +160
    โอวววววว น่าสนใจนะคะ
    นั่งสมาธิแล้วทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอคะ
    เพิ่งรู้อ่ะค่ะ ขอบคุณคุณลุงนะคะ
    จิงๆอยากรู้อีก จะให้ดี รบกวนคุณลุงเล่าอีกนะคะ
    ขอบคุณค่ะ(||)
     
  8. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    มันน่าเขกหัวเจ้าของกระทู้ซะจริง รู้ว่ามีจุดประสงค์อื่นปะปน เพราะกระทู้เงียบไป

    ที่เข้ามานี่ ก็อยากหาสิ่งที่ตัวเอง ยังทำไม่ได้ หรือที่ยังอ่อนมาก ๆ ไปล่ะ!

    ริมาหลอกคนใก้ลแก่ ชิชิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ต่ออีกนิดน่ะ อารมณ์ที่หนูเป็นอยู่ขณะนี้ ก็ดีแล้วนะ อย่าเป็นกระทงหลงทาง

    ลุงเองก็หลงบ่อย ตัวโทสะช่างร้ายนัก แม้แต่โสดาบันยังตัดไม่ขาด นับประสาอะไร

    กับคนธรรมดา คราวนี้ลุงไปจริงล่ะ!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. จารุง นิ่มนวล

    จารุง นิ่มนวล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +105
    จากข้อ6 ผมเห็นว่าสติไม่อยู่กับตัวนะขาดสติ ถ้าได้ยินอะไรก็ไห้รู้ว่าสักแต่ได้ยินแล้วรู้จักวิเคราะว่าคืออะไร
     
  11. bumbimnick

    bumbimnick เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +160
    ขอบคุณค่ะ
     
  12. นิมิตรธัญญา

    นิมิตรธัญญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +199
    ปฏิบัติใช้ได้แล้ว เป็นอาการอย่างนึงในขั้นปิติ ร่างกายจะเป็นอย่างไรปล่อยมัน
    แม้จะมีอะไรเกิดขึ้น ให้มั่นคงในลมหายใจและคำภาวนาไว้ ทำอารมณ์สบายๆ กลางๆ
    ไม่เร่งไม่เพ่งเกินไป เดี๋ยวก็พบความสุขสงบเอง

    เคยปฎิบัติมาก่อนก็เป็นเร็ว มีวาสนามาก่อน เดี๋ยวก็จะเห็นอะไรดีๆอีกเยอะแยะ
    จะทำให้ดีและเร็ว ใช้ประโยชน์ได้ ว่างๆก็มาฝึก ทิพจักขุญาน และมโนมยิทธิ
    จะได้ไม่ต้องเสียเวลางมโข่งอยู่ เวลามีน้อยรีบๆปฏิบัติ

    3 ส.ค. ที่ขอนแก่น 084 888 5499 คุณเล็ก

    ฝึกวันเดียว ใช้ได้เลย
     
  13. bumbimnick

    bumbimnick เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +160
    ขอบคุณที่ชี้แนะนะคะ
    อยากหาที่วิปัสนาอยู่เหมือนกันค่ะ
    แต่ช่วงนี้เรียนหนักมากๆเลยค่ะ
    เสียดายมากๆเลย
    ขอบคุณมากๆนะคะ
    ถ้ามีอีกช่วยบอกด้วยนะคะ
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ใครทำ ก็คนนั้นได้ เพียรให้มาก อะไรที่เราทำบ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็เกิดความชำนาญ เมื่อชำนาญมาก ๆ ก็เกิดทักษะ dencee
     
  15. ~ สุดที่รัก ~

    ~ สุดที่รัก ~ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +1
    เห็นว่าเจ้าของกระทู้ยังเรียนอยู่ ..

    ก็เลยเอากระทู้ ประสบการณ์และข้อธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดยหนุ่มน้อยอายุ 17 เรียนได้ดีมากโดยไม่ต้องเรียนพิเศษ แถมปีนี้สอบ CUTEP ได้ถึง 616 เชียว
    เวลาว่างทีเหลือจากการไม่ต้องเรียนพิเศษ ก็ใช้เพื่อสอนสมาธิให้กับเพื่อนๆในโรงเรียนด้วยค่ะ

    http://palungjit.org/showpost.php?p=1391147&postcount=2440


    <TABLE class=tborder id=post1391147 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 29-07-2008, 07:56 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#2440 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Xorce<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1391147", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 07:32 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2007
    อายุ: 17
    ข้อความ: 134
    ได้ให้อนุโมทนา: 852
    ได้รับอนุโมทนา 3,208 ครั้ง ใน 139 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 202 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1391147 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ตอนช่วงนี้ผมอยากจะให้ทุกๆคนหมั่นพิจารณาวิปัสสนาญาณมากๆนะครับ
    เอาให้ละเอียด ละเอียดขึ้น ไปเรื่อยๆนะครับ
    มีเรื่องที่ได้พบเจอจะมาเล่าให้ฟังกันครับ
    คือว่าวันนี้หลังจากที่ผมสอนสมาธิไป ก็รู้สึกว่าไม่สบาย แล้วก็มีอาการปวดหัว มีไข้ ต่างๆนานา
    ผมก็พยายามหาทางแก้ ก็ยังแก้ไม่ได้
    จนผมคิดว่า เอออยากป่วย อยากปวด อยากหนาว ก็เชิญไปเลย
    ร่างกายที่มีแต่ความทุกข์แบบนี้จะเป็นยังไงก็เป็นไปเลย ไม่สนใจ ช่างมัน
    แล้วอยู่ดีๆอาการป่วยดังกล่าวก็หายไปในระยะเวลาไม่นาน
    ผมจึงเข้าใจว่า เราป่วยแค่เพราะเราคิดว่าเราป่วย
    เมื่อเราคิดว่า ถ้าจะป่วยก็เรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา
    คือจิตไม่ป่วยตามไปด้วย มันก็หายป่วยได้เอง โดยไม่ต้องทำอะไร
    แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่กรรมด้วย แต่อย่างไรถ้าเราจะไม่สนร่างกาย
    มันจะสบาย ก็ช่างมัน มันจะป่วยก็ช่างมัน มันจะเจ็บจะทรมานก็ช่างมัน เราไม่สนใจ
    ร่างกายตายเมื่อไหร่ เราจะไปนิพพานเท่านั้น
    มันก็จะสามารถระงับทุกขเวทนาไม่ให้เกิดขึ้นกับจิตใจได้
    ผมถึงจะเข้าใจว่าฌาณโลกียนั้นยังเนื่องด้วยร่างกาย
    แต่ถ้าเราวางร่างกายไปได้แล้ว อารมณ์มันก็สุขเอง เย็นเองโดยไม่ต้องตั้งใจจะทรงฌาณ

    แต่คิดว่าอารมณ์เบาสบายแบบนี้ หลายๆคนๆคงจะทำได้ไปตั้งนานแล้ว
    ผมพึ่งจะรู้จักตอนนี้ ก็ยังถือว่าช้าและหยาบไปอยู่มาก ยังหาความดีมิได้
    ยังไงก็ขอให้ทุกๆคนลองหันมาพิจารณาวิปัสสนาญาณดูนะครับ แล้วใจเราจะสบายครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2008
  16. zixxi

    zixxi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +0
    มีกรุงเทพฯมั้ยคะ? แล้วเสียค่าใช้จ่ายหรือเปล่า?
    ที่ถามนี่ไม่ได้อยากเสียค่าใช้จ่ายนะคะ ^-^
     
  17. bumbimnick

    bumbimnick เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +160
    ขอบคุณทุกคนนะคะ ที่ช่วยตอบคำถามมือใหม่
    อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...