เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.JPG
      1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      28.6 KB
      เปิดดู:
      451
    • 2.JPG
      2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      26.6 KB
      เปิดดู:
      450
    • 3.JPG
      3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      447
  2. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    ขอขอบคุณคุณเซลล์ และพี่นักเขียนมากครับ

    คำอธิบายของพี่นักเขียนตรงใจของข้าพเจ้าจริงๆครับ ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าได้แต่ทำสมาธิอย่างเดียวแต่พอได้มาศึกษาในเรื่องของความฝันและจิตวิญญาณแล้วคิดว่าทั้งสองเรื่องสามารถผสมผสานกันได้เป็นอย่างดี การทำสมาธิทำให้เรามีสติสัมปชัญญะและเป็นการง่ายกับการที่เราจะเอาสติสัมปชัญญะไปใช้กับความฝัน

    ข้าพเจ้าขอเปิดเผยความลับนิดนึงนะครับ ข้าพเจ้าอ่านหนังสือของโนวา อนาลัยไปแล้วสามเล่มกว่าๆ โดยซื้อมาทั้งสิบเล่มเลย เพราะมีความสนใจในเรื่องนี้มาก แต่หยุดอ่านไปพักหนึ่ง กะว่าจะเริ่มอ่าน "จิตวิญญาณประสานกาย"ต่อให้จบในเร็วๆนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะตามเพื่อนๆในห้องนี้ทันรึเปล่า
     
  3. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    คุณ jaroen ลองอ่านหนังสือ ของ อ.อนาลัย ในเรื่อง โลกความเป็นจริงหลากมิติดูนะครับ ตามลิงค์ที่พี่นักเขียนให้มา จะอธิบายถึงจุดนี้อย่างชัดเจนครับ ;aa16

    ;aa14ยินดีต้อนรับคุณ jaroen และ คุณจันทร์เจ้า ด้วยนะครับ

    ยินดีครับคุณธรรมจิตต์ เราต่างเป็นนักเรียนที่กำลังเรียนรู้เหมือนกันหมด โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติช่างใหญ่โตเหลือเกิน มาเรียนรู้ไปด้วยกันนะครับ หนังสือผมก็ยังอ่านไม่จบเหมือนคุณธรรมจิตต์เหมือนกัน เพราะข้อมูลเยอะ และล้ำลึกมากๆ เกินกว่าที่จะอ่านผ่านๆไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเรียนรู้ควบคู่ไปด้วย คือ เรียนรู้ความเชื่อที่เรามี เรียนรู้ที่จะเข้าใจความเชื่อ และเรียนรู้ที่จะใช้ความเชื่อ และเรียนรู้ที่จะวางความเชื่อ เพื่อเข้าสู่ความรู้

    ขอบคุณความรู้ที่พี่นักเขียนได้แนะนำมากๆครับ ที่ได้แนะนำจากประสบการณ์จริงที่ใช้ได้จริง และปราถนาให้พวกเราทำได้จริง ปฎิบัติได้จริง และเห็นประโยชน์จริงๆ ;aa30

    วิธีในการทำสมาธิ เราทุกคนที่เข้ามาต่างรู้ว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งแต่ละท่านมีรูปแบบแตกต่างกันไป แต่เราเข้าสู่ภายในด้วยความหมายเดียวกัน


    "หากเรารับเอาข้อมูล:
    จากคำพูดของผู้อื่น
    จากการเฝ้าดูประสบการณ์ของผู้อื่น

    สิ่งที่เรารับเอา คือความเชื่อที่เกิดจากการฟัง หรือ การรู้เห็นจากผู้อื่นอีกต่อหนึ่ง ไม่ว่าเราจะรับฟัง หรือเฝ้าดู บุคคลใดๆที่เราเชื่อถือหรือศรัทธา มันย่อมไม่ใช่ความรู้ อันเกิดจากการมีประสบการณ์ด้วยตนเอง กล่าวได้ว่า เรายังเข้าไม่ถึงความรู้นั้นๆอย่างแท้จริง

    การรับเอา ความคิดเห็นของพี่นักเขียน แม้จะเป็นสิ่งที่พี่นักเขียนจะรับเอามาถ่ายทอดให้พวกเราได้จากความฝัน ก็ไม่ต่างไปจากการรับสิ่งที่เป็นเพียงวัตถุ เป็นเพียงจินตภาพ หรือเป็นเสมือนข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือชุดนี้ ซึ่งท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า เป็นสาระที่ท่านไม่ได้ปรารถนาให้เราเชื่อ แต่ปรารถนาให้เราทดลอง ฝึกฝน และพิสูจน์ด้วยตนเอง เพื่อสัมผัสกับความเป็นจริงเหล่านั้นด้วยจิตวิญญาณของตนเอง

    ไม่มีการเรียนรู้ใดๆ ที่เป็นไปได้โดยปราศจากการเผชิญกับประสบการณ์นั้นๆด้วยตนเอง
    สิ่งที่ขัดขวางการเรียนรู้ของเราเสมอๆ คือ ความกลัว

    ความเชื่อของกลุ่มชน ไม่อาจทำอันตรายต่อเราได้เลย
    ความเชื่อของตนเองเท่านั้นที่ทำอันตรายต่อตนเองได้เสมอ

    แต่เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวความเชื่อใดๆ เพราะเราสามารถปลิดมันทิ้งได้ทุกเมื่อ ด้วยการใช้สติพร้อม และ สัญชาติญาณควบคู่กับปัญญา

    ความเชื่อไม่ใช่ตัวตนของเรา ความเชื่อทุกความเชื่อเป็นเพียงภาวะชั่วคราว ที่เป็นเสมือนพาหนะที่นำเราไปสู่การเรียนรู้เสมอ เมื่อเราไปถึงจุดหมายหนึ่งๆ เราสามารถก้าวออกจากพาหนะนั้นๆได้เสมอ เช่นเดียวกับการที่เราก้าวออกจากเรือหรือแพ เมื่อเราถึงฝั่ง เราไม่มีความจำเป็นจะต้องแบกเอาเรือหรือแพขึ้นฝั่งไปด้วย

    การมีสติพร้อม และ การใช้สัญชาติญาณควบคู่กับปัญญา จะทำให้เราปราศจากความกลัว และพบว่า ทุกจุดของความเชื่อ เต็มไปด้วยความรู้ที่เราสามารถเก็บเกี่ยวได้เสมอ(rose)"
    <!-- / message --><!-- sig -->

    คำพูดเหล่านี้เป็นอมตะอยู่ในความทรงจำผมมาตลอด และตลอดไป

    ผมเคยถามเพื่อนๆเมื่อวันก่อนในห้องชมรมว่า จุดศูนย์กลางของโลก เราสามารถเข้าไปอยู่ได้ไม๊

    เพราะจากฝันวันที่ 10/09/08 ผมได้ฝันว่าเห็นโลกที่แบ่งเป็นสองท่อน เหมือนกับภาพตัดด้านข้าง และเห็นจุดศูนย์กลางของโลก เป็นที่ที่ปลอดภัย สามารถเข้าไปอยู่ได้

    เมื่อคืนนี้ผมได้ฝันต่อจากเดิมว่า ได้ไปที่รีสอร์ตที่นึง มีกลุ่มคนกลุ่มนึงอยู่ในห้องสีขาว มีผู้ชายคนนึงเดินมาเล่าความฝันให้ผมฟัง เล่าว่าเขาจะเดินทางไปที่จุดศูนย์กลางของโลก ขณะที่กำลังเดินทางไป แต่ไปไม่ถึง ตื่นขึ้นมาซะก่อน
    ซักพักมีชายชราในชุดคลุมสีขาว ปรากฎตัวขึ้นมา และบอกกับผมว่า ชายคนนี้เข้ากำลังเดินทางเข้าไป จะถึงอยู่แล้ว แต่ดันเลี้ยวออกมาซะก่อนที่จะเข้าไป
    (สัญลักษณ์ชายชราในชุดคลุมสีขาว เป็นตัวแทน อ.อนาลัย ในความรู้สึกผม)
    ผมได้พูดคุยกับชายคนนี้ และตกลงว่า เราจะนับพบกันที่นี่ และจะเดินทางเข้าไปด้วยกัน พอคิดได้ดังนั้น ผมและผู้ชายคนนี้ได้เข้ามาที่จุดศูนย์กลางของโลก เป็นถ้ำที่สามารถอยู่ได้
    ชายชราชุดขาวปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง และให้เราทั้งคู่หยิบกระถางขึ้นมาคนละใบ ภายในกระถางจะมีลวดลายเป็นแม่กุญแจ ท่านสอนเราให้ใช้จิตปลดล๊อคแม่กุญแจที่ปิดตาย ผมและชายคนนี้ได้ทำตามที่สอน ซักพักลายแม่กุญแจก็หายไป เหลือเพียงประตูทางเข้า แต่ผู้ชายที่ไปด้วยกันกับผมยังทำไม่ได้ เพราะขาดแค่ความเชื่อมั่นว่าจะทำได้เท่านั้น

    เมื่อการสอนเสร็จสิ้น ผมได้กลับออกมาที่ศาลาไม้ ที่รอบๆเป็นทุ่งหญ้าสวยงาม
    มีเพื่อนๆกลุ่มนึงรออยู่ คือ เพื่อนๆในห้องวิทย์นี้ ทั้งคุณ mead คุณ zip คุณ soul และอีกหลายๆท่าน

    ชายชราชุดขาวได้ปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้ง และให้เพื่อนๆได้ถือกระถางคนละใบเช่นกัน ให้ใช้จิตปลดล๊อคออกมา
    คุณ mead ได้ตะโกนออกมาว่า กระถางของเขาไม่มีแม่กุญแจ ดีใจจังที่ประตูเปิดออกแล้ว
    ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็กำลังจะปลดล๊อคอยู่
    คุณ zip ปลดล๊อคออกมา ได้เป็นสีเขียวอ่อน เป็นตัวแทนของคุณ zip
    ส่วนท่านอื่นๆยังไม่รู้ เพราะตื่นขึ้นมาซะก่อน

    ความฝันนี้ผมเข้าใจว่าหมายถึงอะไร แต่เมื่อเพื่อนๆอ่าน ก็แค่รับฟังไว้อย่างเดียว เพราะถ้ารับไปโดยขาดการไตร่ตรอง เราก็จะรับเพียงความเชื่อมือสองเท่านั้น

    แต่หากเพื่อนๆได้ฝัน และได้ปลดล๊อคความเชื่อบางอย่าง เพื่อนๆก็จะเข้าใจได้อย่างแท้จริงเช่นกัน เพราะเป็นการสื่อสารจากจิตสู่จิตโดยตรง

    ถ้าแปลแบบสรุปๆก็คือ เราต่างก็มีความเชื่อ ถึงแม้จะมีจุดยืนที่ต่างกัน นั่นไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถมองความเชื่อจากจุดยืนที่เรายึดถืออยู่ และสามารถปลดล๊อคมันได้ทุกเมื่อ ถ้าเราต้องการ โดยการใช้ สติ+ปัญญา+สัญชาติญาณ ตามที่พี่นักเขียนได้แนะเอาไว้

    ผมเคยตอบคำถามพี่นักเขียน ว่าวิธีการใดที่จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องเป้าหมายของชีวิต

    และผมได้ตอบพี่นักเขียนไปว่า สติ และปัญญา

    ในตอนนั้นผมยังไม่เชื่อมั่นถึงคำว่า สัญชาติญาณ
    เมื่อไม่เชื่อมั่น เราก็ปลิดคำนี้ทิ้งไป
    ตอนนี้ผมเข้าใจความหมายของคำนี้แล้ว แม้จะเข้าใจเพียงน้อยนิดจากความหมายจริงๆ แต่หากเรานำทั้งสามอย่างมาใช้ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยปลดล๊อคแม่กุญแจในกระถางที่เราต่างก็ถือไว้ครับ

    จากในฝันทุกฉาก ทุกตอน ทุกสถานที่
    บุคลิกภาพของชายชราชุดขาว ที่เป็นตัวแทนความรู้ แสงสว่าง ความรัก และความเมตตาอย่างไม่มีประมาณ ได้อยู่พร้อมกันหมดทุกมิติ
    จิตวิญญาณเราต่างเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณที่ปราศจากขีดจำกัด
    ขีดจำกัด เป็นคำที่เราใช้ กำหนดตัวเราเอง

    "การฝึกฝัน เป็นการยอมรับพลังอำนาจตามธรรมชาติของจิตวิญญาณด้วย-ความคิด อันเป็นจินตภาพ
    ความฝันเป็นภาวะที่เอื้ออำนวยให้ความเชื่อยามตื่นอ่อนกำลังลง

    การฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เป็นการยอมรับด้วย-การกระทำ-อันเป็นกายภาพ จินตภาพ และ จิตวิญญาณ
    สมาธิเป็นภาวะที่เอื้ออำนวยให้ความรู้ หรือตัวรู้ตามสัญชาติญาณธรรมชาติ มีพลังมากกว่าการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งคล้อยตามความเชื่อส่วนบุคคล และความเชื่อส่วนรวม


    ผลลัพธ์ของการฝึกฝนทั้งสองทิศทาง จะเอื้ออำนวยให้เราก้าวไปสู่ภาวะที่บรรลุผลสำเร็จได้ในระดับจิตวิญญาณ อันได้แก่การพัฒนาจิตวิญญาณ ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ ทั้งยามตื่น-ยามฝัน"


    ประโยคนี้ของพี่นักเขียนกินใจมากๆ ผมเคยผ่านการตัดสินใจด้วยความเชื่อ ปฎิเสธความเป็นจริงจากสัญชาติญาณ ยึดหลักเหตุและผลเป็นหลัก ซึ่งเราสามารถเลือกเดินได้จริง แต่ปัญหาก็จะตามมาไม่จบไม่สิ้นเหมือนกัน

    คำว่า เหตุและผล ที่เคยยึดถือมาตลอด เหมือนเชือกพันคอเอาไว้จนหายใจไม่ออกเหมือนกัน

    เพราะในความเป็นจริงแล้ว นอกจากคำว่าเหตุและผลที่เรายึดถือไว้ มีความเป็นจริงที่มากกว่าเหตุและผล คือ สัญชาติญาณภายใน หากเราใช้บ่อยๆ จะช่วยปลดล๊อคคำว่าเหตุและผลออกไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อให้เข้าใจถึงคำว่ากฎที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่นอกเหนือคำจำกัดความว่าเหตุผลที่ประกอบด้วยความเชื่อ

    ;aa15
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2008
  4. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอบอกก่อนนะว่ายังอ่านที่โพสมายังไม่จบเลย แต่อ่านเห็นพี่นักเขียนเขียนถึง email ที่ผู้อ่านส่งมาเกี่ยวกับเรื่องสมาธิกับความฝัน ผมก็เคยมีปัญหาอยู่ในใจว่า แล้วสมาธิระดับไหนถึงจะทำให้จำฝันได้แม่น? การจดจำความฝันได้ดีมันขึ้นกับระดับสมาธิด้วยหรือเปล่า อย่างระดับสมาธิเองก็มี
    1. ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ
    2. อุปจารสมาธิ สมาธิเกือบจะแน่วแน่
    3. อัปปนาสมาธิ สมาธิแน่วแน่

    หรืออย่างระดับญาณต่างๆ ต้องทำให้อยู่ถึงระดับบางระดับก่อนหรือเปล่า

    ลองสังเกตตังเองบางวันที่ทำสมาธิไม่นาน เข้าได้ไม่ลึก ก็จะจำได้นิดหน่อย บางวันที่ทำสมาธิดีๆ ก็จะจำได้ดี

    ผมคิดว่าถ้าเรื่องพวกนี้มีส่วนเกี่ยว การเขียนอธิบายถึงระดับสมาธิไว้เป็นจุดอ้างอิงจะทำให้เข้าใจดีขึ้นหรือเปล่า คำอธิบายนั้นไม่ต้องใช้ศัพท์ทางศาสนาก็ได้ครับ

    อนึ่งผมเคยคิดว่าการที่เราเอาสติสัมปชัญญะมาจับที่อารมณ์ความรู้สึกของเรา นั่นเป็นการเปลี่ยนการจับสติมาไว้ที่จิตวิญญาณเราหรือเปล่าครับ เพราะว่า จิต คืออารมณ์ ความรู้สึก
     
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,424
    Breakfast กันครับ
    [​IMG]


    ขอบคุณคุณจันทร์เจ้าที่นำเทคนิค Digital Painting มาให้ชมกันนะครับ
    เห็นแล้วก็น่าหัดทำนะตอนนี้ติดเรื่องเวลา ถ้ามีโอกาสจะลองทำดูสักวันครับ
    เดี่ยวนี้อุปกรณ์ในคอมทำได้มากมายนะครับ แทบไม่ต้องใช้ดินสอ-ภู่กันแล้ว
    แต่สะดวกกว่าตรงที่ไม่ต้องซึ้อสี แค่ใช้โปรแกรม 1-2 ตัวก็ทำงานได้ทันที
    แต่งานจะออกมาสมบูรณ์ขนาดไหน ก็ไม่พ้นการใช้ทักษะ+อารมณ์+จินตนาการอยู่ดีครับ

    ศิลปินเก่งๆระดับ legend ที่ชำนาญสามารถวาดภาพออกมาได้อย่างตราตรึงและประทับใจคนดู
    คงเกิดจากความช่างสังเกตสิ่งต่างๆรอบข้างเก็บรายละเอียดเล็กน้อยๆได้อย่างครบถ้วน
    ไม่มองข้ามไปแบบผ่านๆ กลับมองเห็นรายละเอียดได้ลึกกว่าที่คนปกติมองเห็นอีกนะครับ
    ว่าไปแล้วก็เหมือนพี่นักเขียนฯนะครับ เหมือนศิลปินนักเขียนฯ ที่ไม่มองข้ามรายละเอียด..แต่กลับใส่ใจและซูมลงไปจนมองเห็นร่องรอยเงื่อนงำของมิติต่างๆด้วยมุมมองอันพิเศษของจิตวิญญาณ จนไปพบเห็นสาระมากมายในสิ่งที่เราเองก็นึกไม่ถึงกันมานานครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2008
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,424
    สงสัยผมจะต้องปลดล๊อคความเชื่ออีกหลายชั้นเลยครับคุณเซลล์
    ข้อดีของความเชื่อก็คือที่ทำให้เราเกิดความลึกด้านจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นๆ
    ถ้ากุณแจต่างๆไขออกง่ายเกินไป หนังเรื่องนี้คงจบแบบไม่สนุกนะครับ
    สติ+ปัญญา+สัญชาติญาณ ต้องถือไว้ให้พร้อม..(อาจมีตกหล่นไปบ้างถ้าอ่อนซ้อมนะครับ..)
    (deejai)
     
  7. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เฮ้อ เหนื่อย ในที่สุดก็ได้พักซักที จริง ๆไม่ได้พักหรอกต้องไปเกาะช้างอีกแล้ว แต่ปรากฏว่าวิสัยทัศน์ไม่ดี ลูกค้ายกเลิก เลยว่างงานสองวันได้พักผ่อนเสียที เมื่อวานงานเข้าซะแล้ว กว่างานจะเข้า ก็ได้รับการทดสอบวาระจิตหลายอย่างเหลือเกิน โดยเฉพาะ ความรู้อันเป็นธรรมชาติของจักรวาล เพราะต้องได้ตอบคำถามและเล่าเรื่องความรู้อันเป็นธรรมชาตินี้ให้กับผู้คนมากมายฟัง บางคนกำลังสนทนาการเมืองอยู่มาชวนเราคุยด้วย เราออกตัวเลยเราไม่ดู BAD TELEVISION เราไม่ดู BAD NEWS เพราะเรารู้กฏของการดึงดูดของจักรวาลดี หลังจากนั้น ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกยาว ล่าสุดได้รับโทรศํพท์จากท่านอาจารย์ที่เก่งมากท่านหนึ่ง ซึ่งจินตวดีก็ยังยืนยันคำเดิม เกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งได้ระบุกับท่านไปว่าเมื่อใดเมื่อเราเข้าถึงการแบ่งแยกเรา-เขา อย่างแท้จริง เมื่อนั้นเราจะเข้าใจถึงคำว่า "รักอันปราศจากเงื่อนไข" หรือ "สุญญตา" ได้อย่างถ่องแท้ เราจึงไม่มีสิทธิที่จะตำหนิใครได้ว่า สิ่งนั้น ถูก หรือ ผิด ดำหรือขาว ดีหรือชั่ว เพราะทุกอย่างล้วนแต่มีมุมมองเป็นของตัวมันเองทั้งนั้น เช่น แม่ที่โขมยนมที่ซุปเปอร์มาเก็ตมาให้ลูกที่กำลังหิวโหย แล้วโดนจับ ในมุมมองของความเป็นแม่ ผู้หญิงคนนี้ได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด และถูกต้องที่สุดสำหรับลูก แต่ในมุมมองของเจ้าของร้าน ผู้หญิงคนนี้ทำผิดเพราะไปล่วงละเมิดในทรัพย์สินของผู้อื่น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เราไม่อาจตัดสินหรือพิพากษาใครได้เพราะเราไม่ได้อยู่สถานการณ์เดียวกันกับเขา ณ จุดนั้น การเข้าไปพิพากษาหรือตัดสินใคร จะทำให้เราต้องประสบกับประการณ์ชีวิตทำนองเดียวกันนั้น เพื่อให้จิตวิญญาณได้เรียนรู้และเข้าใจในแง่มุมนั้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งตรงกับกฏแห่งกรรมทางพุทธศาสนา และ เป็นกฏเดียวกันกับ กฏของจักรวาล
     
  8. triangle-w

    triangle-w เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    3,417
    ค่าพลัง:
    +21,412
    เก่งขึ้นเยอะเลยนะ ตัวแค่เนี้ย
     
  9. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ผมว่าทุกอย่างมันวัดกันที่ความรู้สึกน่ะครับ อะไรบางอย่างที่ดูไม่มีค่าสำหรับบางคนมันอาจมีค่าเสมอสำหรับเค้าก็ได้ หรืออะไรที่มันดูธรรมดาแต่บางคนก็อาจจะมองว่ามีค่าก็ได้
    ถึงผมจะยังไม่ได้บางสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่หันกลับไปมองรอบๆตัวผมก็คิดว่าอย่างน้อยผมก็มีในสิ่งที่บางคนยังไม่มีก็เลยคิดว่า อย่าไปจริงจังมากกับชีวิตดีกว่า เรามีสิทธิ์ที่จะได้ทุกอย่างสมความปรารถนา แต่บางครั้งเราก็ต้องมีเหตุที่ทำให้ต้องเรียนรู้แม้วันนี้จะยังไม่ได้ แต่ในอนาคตก็ต้องได้อยู่ดี เพราะชีวิตของแต่ละคนก็ไม่ได้ดีหรือไม่ดีต่างกันเท่าไหร่หรอก พอมาคิดแบบนี้ก็สบายใจเหมือนกันนะครับ
     
  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,424
    เห็นด้วยกับคุณซิปฯครับที่ว่า...คำจำกัดความทางศาสนาเกี่ยวกับระดับของสติ-สมาธินั้นเป็นเพียงจุดอ้างอิงให้เห็นภาพเบื้องต้นในการเรียนรู้เท่านั้นครับ

    จริงๆแล้วจิตวิญญาณเราทุกคนมีความเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดการฝึกฝนเพื่อการระลึกรู้หรือให้กลับมาใช้งานได้คล่องแคล่วดังเดิมจากที่เคยหลงลืมไป การฝึกฝนทำสมาธิจะตัดความคิดที่สะเปะสะปะที่ควบคุมไม่ได้ออกไปได้ จนในที่สุดความคิดทั้งหลายก็หยุดนิ่ง-เลือกที่จะควบคุมได้และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเครื่องอยู่ (ลมหายใจหรืออะไรก็ตาม) ไปสู่การเป็นผู้กระทำและผู้สังเกตการณ์ไปพร้อมๆกัน ตัวหยั่งรู้ตามธรรมชาติจะผุดขึ้นมาและมีพลังมากกว่าการคิด (ด้วยเหตุ-ผลที่คล้อยตามความเชื่อ) ก้าวไปสู่ภาวะที่บรรลุความสำเร็จในระดับจิตวิญญาณ พี่นักเขียนฯอธิบายไว้ข้างบนนั่นชัดเจนและเข้าใจกระจ่างจริงๆครับ...และการทำจิตให้ว่างนั้นไม่ได้ว่างอย่างที่คิด แต่ที่จริงแล้วในความว่างนั้นมีสติพร้อม - สัญชาติญาณพร้อม -ปัญญาพร้อม สามารถที่จะ focus เจาะลึกข้อมูลได้อย่างคมชัดด้วยนะครับ


    [​IMG]


    การฝึกฝนทำสมาธิบ่อยๆสม่ำเสมอจึงจำเป็นอย่างมากครับ..เมื่อได้ผลดีจากตรงนั้นก็นำมาใช้ในยามตื่นได้ทุกเมื่อ รักษาสติ-ปัญญาเอาไว้ให้มีความพร้อม..เมื่อเจออุปสรรคปัญหาก็แก้ไขด้วยสติปัญญาของจิตวิญญาณอย่างชำนาญยิ่งขึ้น..ไม่คิดด้วยเหตุ-ผลหรือตรรกะที่เกิดจากความเชื่อแต่เพียงด้านเดียวครับ
    เชื่อว่าทำไม่ยากเกินไปนะครับเพื่อนๆ 0_o

    มีอีกนิดนึงครับ ความเชื่อที่ว่า บุญ-บารมี อันเกิดจากการทำสมาธินั้น..
    เห็นหลายๆคนชอบนั่งสมาธิโดยกันเชื่อว่านั่งสมาธินานๆ(อย่างพระสงฆ์) ก็จะยิ่งเกิดบุญ-บารมีสูงไปด้วย
    อยากจะให้พี่นักเขียนฯช่วยเปิดมุมมองด้วยครับ ว่าจริงๆแล้วคืออะไร ?
    น่าจะมีเงื่อนงำอะไรที่อธิบายเรื่องนี้ได้กระจ่างกว่านี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2008
  11. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728



    <TABLE class=tborder id=post1442913 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_1442913 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">การที่จินตวดีรู้สึกว่า หนังสือชุดนี้มีหลายมิติ ก็เพราะว่า ทุกครั้งที่อ่านหนังสือชุดนี้จบลงในแต่ละครั้งมีความรู้สึกว่า ความรู้ความเข้าใจเราขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกครั้งในลักษณะที่กว้างขึ้น ลึกขึ้นกว่าเดิม เปรียบเสมือนกับอ่านจบรอบแรก ก็เข้าใจในระดับหนึ่ง เหมือนจบชั้น ป. 1 พอกลับมาอ่านอีกรอบที่สอง ก็เข้าใจเพิ่มไปในอีกระดับหนึ่ง เหมือนจบชั้น ป. 2 สรุปว่าตั้งแต่ ระดับหนึ่ง จน ขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้น คืออ่านหนังสือชุดเดียวกันทั้งหมด แต่ความเข้าใจกลับขยายตัวไปไม่มีที่สิ้นสุด อุปมาอุปมัยเหมือนกับการขุดสระน้ำ ที่การขุดแต่ละครั้งเพิ่มความกว้าง ความยาว และ ความลึกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดจริง จึงเหมือนการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้นจริง ๆ พอคิดได้ มีถ้อยคำผุดขึ้นมาในความคิดอีกแล้ว " ความรู้ที่ปราศจากการแบ่งปัน เป็นความไร้ค่า" แค่นั้นจินตวดีก็นั่งหัวเราะตัวเอง เพื่อนข้าง ๆรอบตัว ว่าเรานั้น บ้าไปแล้ว เพราะสนใจในสิ่งที่เขาคิดว่า ไร้สาร แต่จริง ๆ แล้ว เขามักลืมว่า "สาระมักจะแฝงมากับสิ่งที่ดูเสมือนไร้สาระเสมอ" คิดถึงคำที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ในหนังสือฃุดนี้ เรามักจะค้นหาพลังอำนาจจากสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเสมอ เรามักจะคิดว่าวิธีที่จะฝึกฝนอำนาจภายในต้องเป็นสิ่งที่เหนือชั้น หรือแตกต่างจากปกติ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งนั้นอบู่ภายในตัวเรานั้นเอง วิธีฝึกฝนก็ไม่ยากเย็น(ดังปรากฏอยู่ในหนังสือชุดนี้) เพียงแต่ต้องอาศัยความเพียรส่วนตัวเท่านั้น
    <!-- / message -->

    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("1442913")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post1472793 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 11:03 AM
    วันที่สมัคร: Jun 2008
    ข้อความ: 25
    ได้ให้อนุโมทนา: 125
    ได้รับอนุโมทนา 296 ครั้ง ใน 26 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1472793 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ

    อ่านข้อความคุณ brotherpray แล้วสะดุดใจ เลยอยากมาทักทาย อย่างที่บอกนะคะว่า คำตอบมีให้เราเสมอ แม้เราจะยังไม่ถามออกไป ริสาก็รู้สึกคล้ายๆคุณค่ะ หลังจากที่อ่าน สนทนากับพระเจ้าแล้วย้อนกลับมาอ่านของพี่นักเขียน ความหมายที่ซ่อนคำตอบไว้อยู่ระหว่างบรรทัดและข้อความ ทำให้ต้องจดและย้อนทบทวน เกิด ตัวรู้ ขึ้นมา เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้

    พูดถึงเรื่องความฝันคุณจิน และคุณมีด คิดว่า เกี่ยวเนื่องกับการหาทางออกไหมคะ ทำไมอ่านแล้วรู้สึกเหมือนคนกำลังหาทางออก ลองเดาเล่นๆดู หุหุ
    <!-- / message -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2008
  12. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    เรื่องขั้นตอนพี่นักเขียนอธิบายได้ชัดเจนเลยครับ เรื่อง การเป็นผู้สังเกตการณ์ และกระทำไปพร้อมๆกัน
    เห็นด้วยนะครับ เรื่องการแยกระดับสมาธิ เป็นจุดอ้างอิง เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
    จากการสังเกตุดู การฝึกสติ เห็นจิตในจิต เช่น เห็นจิตมี อารมณ์ ความคิด จินตนาการที่เป็นไป และมีอีกจิตเป็นผู้สังเกตุการณ์เพื่อทำความเข้าใจกับอารมณ์ ความคิด จินตนาการที่เป็นผู้กระทำ
    ตอนนี้จิตผู้สังเกตุการณ์ เป็นผู้มองดูจิตที่กำลังกระทำอยู่
    จิตผู้สังเกตุการณ์เมื่อเห็นอีกจิตกำลังกระทำอยู่ ได้เกิดความรู้ ความเข้าใจขึ้น โดยไม่มีการวิตก วิจารณ์ เห็นถึงกระบวนการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    จิตผู้สังเกตุกาณ์ คือ จิตผู้รู้

    (หากอธิบายผิดหลักของศาสนา เพราะไม่ชำนาญความรู้ทางศาสนา ต้องขออภัยด้วยนะครับ เพราะผมสังเกตุจากการมองดู และความเข้าใจครับ )



    น่าสนใจครับคุณ mead โดยส่วนตัวผมก็ไม่รู้ว่า บุญ-บารมี คืออะไร
    แต่เมื่อเราทำบุญ ช่วยเหลือคนอื่น แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่หากทำด้วยความตั้งใจจริง ปราถนาดีจริงๆ ก็รู้สึกอิ่มเอิบ
    บุญ เหมือนเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้แช่มชื่นเบิกบาน ให้จิตใจเราเหนี่ยวนำ และเดินในเส้นทางที่แช่มชื่นเบิกบาน เป็นเส้นทางแห่งความรักเช่นกัน
    เมื่อเกิดบุญ ก็เป็นตัวเอื้อให้เกิดปัญญา
    การนั่งสมาธิ การฝึกสติ ทำให้เราเห็นอารมณ์ ความคิด ความเชื่อได้อย่างชัดเจน และวางลงได้
    สิ่งที่ได้จากการเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง คือ เห็นด้วยปัญญา
    เมื่อเห็นแล้วเข้าใจสิ่งใด เกิดความรู้สึกแช่มชื่นเบิกบาน สิ่งนั้นเรียกว่า บุญ
    ปัญญา กับบุญ เอื้อถึงกัน เช่นเดียวกับบุญ ก็เอื้อกับปัญญา
    ทั้งสองอย่างจึงไม่แยกจากกัน แต่เป็นตัวเติมเต็มซึ่งกันและกัน
    (จากความเข้าใจอีกครับ ต้องขออภัยด้วยนะครับ หากผิดหลักการทางศาสนา)
     
  13. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/A54tnp-hbME&hl=en&fs=1 width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true"> ;aa30</EMBED></EMBED>
     
  14. cottonn

    cottonn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +0
    เล่าสู่ผู้ฟังนะค่ะ

    เพิ่งจาเข้ามาเวปนี้ครั้งแรกด้วยความบังเอิญมากๆอ่ะค่ะ เหตุก็เพราะว่าฝันซ้ำๆเและเป็นเรื่องราวที่ต่อเนี่ยงกัน จนคิดว่าจะหลอนไปแล้วนะ อ่อหนูทานมังสวิรัติ นะค่ะ แล้วก็นั่งสมาธิก่อนนอนเป็นประจำอ่ะค่ะ แล้วตอนนี้ความฝันก็เริ่มวนมาอีกครั้ง เลยคิดว่าความฝันต้องการบอกอะไรๆๆ คือความรู้สึกอึดอัดอยากหาคำอธิบายอ่ะค่ะ เลยไม่ไหวแระมาหาข้อมูลในเน็ตดีกว่า ก็มาเจอเวปนี้แล้วก็..อึ้งไปนิดนึง นั่งสมาธินะคะ วันละ 20 นาทีก่อนนอนทุกครั้ง ซึ่งก็บังเอิญตรงกับพี่ผู้เขียนที่เขียนบทความไว้ แล้วตอนนี้ก็ทราบแล้วว่าสิ่งที่พี่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดจากอ.นั้นเป็นความจริงค่ะ เพราะเพิ่งจะเริ่มฝึกได้สามวัน เมื่อคืนก็สามารถที่จะออกจากร่างก็หาทางหายใจแระก็สำรวจร่างตัวเองนิดหน่อยอ่ะค่ะ หลังจากนั้นพบเด็กหญิงต่างชาติเป็นผู้หญิง ตอนแรกก็มองหน้าเค้าก่อนนะค่ะ และก็เด็กผู้หญิงพูดตามที่หนูพูดอ่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าคงเป็นหนูที่อยู่อีกด้านนึง หลังจากนั้นพบกับคุณป้าอ่ะค่ะ ซึ่งไม่ได้รู้จักนะค่ะ แต่ว่าเรียกเค้าแบบนั้น คุณป้าเค้ามาถามชื่อแระนามสกุลก็บอกไปอ่ะค่ะ แล้วรุ้สึกว่าพูดไม่ชัดก็เลยพยายามกลืนน้ำลาย จิตหนูก็เลยกลับสู่ร่างเลยค่ะ หนูจาฝึกต่อไปเรื่อยๆอ่ะค่ะ เพราะความฝันของหนูนั้นเป็นเรื่องของอนาคตซึ่งสำคัญกับหนูมาก หนูจึงต้องพยายามๆๆๆ มากๆเช่นกันค่ะ
     
  15. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เพลงบางเพลง ฟังแล้ว สะท้อน อารมณ์ และความรู้สึก ภายในบางอย่างอย่างได้อย่างเหลือเชื่อ

    สองวันนี้เหนื่อยมาก ทำธุระให้คนกลุ่มใหญ่ เจอปัญหามากมาย..
    ความคิดเห็นที่แตกต่าง ความเชื่อที่มาจากหลายๆกรอบ
    เราอยู่ตรงกลาง เป็นศูนย์ ที่ได้แต่รับ และแก้ปัญหา
    มันไม่ใช่สิ่งแวดล้อมที่เราคุ้นเคยนัก...แต่ด้วยภาระ และหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ
    เราต้องอยู่ตรงนี้ และปล่อยให้สิ่งต่างๆผ่านตัวเราไป ตั้งแต่เริ่ม จนจบ
    เพียงเพื่อให้ถึงเป้าหมาย...ความสำเร็จของงาน และทั้งหมด

    ขอบคุณ คุณเซลล์ มากๆค่ะ วันนี้เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรแล้ว
    แต่มาเจอเพลงนี้ ไม่โพสไม่ได้แล้ว....

    ขอบอกว่า หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ถึงกายจะล้าแค่ไหน แต่ใจเดรด กลับเต็มร้อยแล้วเหมือนเดิมแล้วค่ะ...

    รักคนในห้องนี้ จริงๆเลย...;aa9
     
  16. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ยินดีต้อนรับ คุณ cottonn
    [​IMG]เข้าสู่การเรียนรู้ร่วมกันค่ะ
    [​IMG]
     
  17. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    [​IMG]

    ยินดีครับเพื่อน :z2

    รู้สึกว่าต้องเอาเพลงนี้มาลงให้ได้ ความหมายดี ฟังแล้วฮึกเหิมจริงๆเลยนะครับ
    ผมว่าเพลงนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเมื่อมีเสียงของคุณสันติ ลุนเผ่ ฟังทีไรก็ขนลุกทุกที
    พลังเสียงไม่ธรรมดาเลยนะครับ

    เอาดอกไม้มาช่วยเติมความสดชื่นให้ครับ

    [​IMG]

    ยินดีต้อนรับคุณ cottonn นะครับ มาสนุกกับการเรียนรู้ภาวะจิตไปด้วยกันนะครับ

    ขบวนรถพร้อมแล้ว มาเดินทางไปด้วยกันนะครับ
     
  18. cottonn

    cottonn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณ คุณเซลล์ และคุณkindred มากนะค่ะ ยินดีได้รู้จักค่ะ ส่วนคุณเซลล์จาขึ้นขบวนรถนี้ไปเที่ยวไหนกันอ่ะค่ะ รถออกกี่โมงอ่ะค่ะ กลัวตกรถ อิอิ ขอบอกว่าความจริงแล้วฝันทุกคืนค่ะ เป็นความฝันที่ชัดเจน แต่ยังไม่รุ้ความหมายเท่าไหร่ แล้วบุคคลที่พบในฝันก็คนเดิมนะค่ะ ก็เลยพยายามฝึกมากๆอ่ะค่ะ
     
  19. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    รถขยวนนี้ ไม่มีเวลาออก และไม่มีเวลาไป ขึ้นมาได้ตลอดครับ อิอิ

    คุณ cottonn มีฝันที่คมชัด และซ้ำๆกัน ต้องมีความหมายอะไรดีๆซ่อนอยู่แน่ๆครับ

    ลองอ่านใน e-book และในกระทู้นี้ที่พี่นักเขียนอธิบายไว้นะครับ
    แล้วจะเข้าใจภาวะจิตเราได้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

    ถอดความหมายได้ยังไง มาเล่าให้เพื่อนๆในห้องวิทย์ฟังบ้างนะครับ

    ปู๊นๆๆๆ ฉึกฉักๆๆๆ ;aa8
     
  20. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    บาป-กรรม บุญ(กุศล)-บารมี


    ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับ บาป หรือ กรรมไว้ว่า

    บาป หรือ กรรม(ไม่ดี) คือ ความเชื่อในทางที่ผิด ที่ทำให้บุคคลใช้ความคิดและการกระทำไปในทิศทางที่ไม่สร้างสรรค์ ซึ่งดึงดูด เหนี่ยวนำ และก่อให้เกิดประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่น

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ทุกชาติภพดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน บุคคลผู้ก่อกรรมหรือการกระทำในแง่ลบจากชาติภพหนึ่ง จึงไม่ได้รับโทษทัณฑ์ในชาติภพต่อไป ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาเป็นเส้นตรง หากแต่ว่าการก่อกรรมหรือความคิดและการกระทำในแง่ลบในชาติภพหนึ่งๆ ส่งผลกระทบต่อชาติภพอื่นๆ อย่างเป็นปัจจุบันทันด่วน โดยไม่ต้องใช้เวลา

    บุคคลใดไม่ได้ศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อปลี่ยนความเชื่อในทางที่ผิด ให้กลายเป็นความรู้ ความเชื่อนั้นๆจะติดบุคลิกภาพไปหลายชาติภพ หรือกล่าวในนัยอันปราศจากกาลเวลาได้ว่า ความเชื่อในทางที่ผิดนั้นๆจะปรากฏในหลายชาติภพร้อมกันหมด ยังผลให้จิตวิญญาณพร้อมด้วยบุคคลภาพ ที่ถือกำเนิดเป็นหลายบุคคลตัวตน หลายชาติภพ หลายเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ เผชิญกับประสบการณ์ในแง่ลบ จากทิศทางต่างๆ แง่มุมต่างๆ เพื่อเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนความเชื่อที่ผิดนั้น ให้กลายเป็นความรู้ได้ในที่สุด

    การคิด และกระทำอันเกิดจากความเชื่อในทางที่ผิด ย่อมไม่เกิดประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่น และก่อให้เกิดความรู้สึกผิดอันเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตน เรียนรู้ที่จะละเว้นที่จะไม่คิดผิด กระทำผิด ซ้ำแบบเดิมอีก

    ________________________________________________________________
    ในนัยทางพุทธศาสนา กรรม(ไม่ดี) มีรากเหง้ามาจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย กรรม(ไม่ดี) มีรากเหง้ามาจาก อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบ

    บุญ เป็นภาวะที่ตรงกันข้ามกับ บาป หรือ กรรม
    บุญ เป็นคนละคำ และต่างความหมายกับคำว่า บารมี


    บุญ เป็นคำเดียวกัน และมีความหมายคล้องจองกับคำว่า กุศล (Kusala) (จาก Buddhist Dictionary ของ ท่าน Nyahatiloka) ซึ่งหมายถึง กรรมดี หรือผลลัพธ์ที่เกิดจากความคิดและความเชื่อในทางที่ดี ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการคิดและกระทำดีด้วยความเชื่อในทางที่ดี ซึ่งเป็นไปอย่างผิวเผิน ท่าน Nyanatiloka ได้อธิบายขยายความไว้ว่า บุญ หรือ กุศล หมายถึงการคิดและกระทำดีด้วยความเชื่อในทางที่ดีเป็นนิจนิสัย-พร้อมด้วยทักษะ (skillful) ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเป็นความคิด และการกระทำด้วยสติพร้อมอย่างแท้จริง และเป็นไปเสมอๆเป็นนิจนิสัย

    ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย จึงกล่าวได้ว่า บุญ คือ ความเชื่อในทางที่ถูกต้อง ที่ทำให้บุคคลใช้ความคิดและการกระทำไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ ซึ่งดึงดูด เหนี่ยวนำ และก่อให้เกิดประสบการณ์ชีวิต ที่เอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่น

    ในนัยทางพุทธศาสนา กรรมดี มีรากเหง้ามาจาก การปราศจากความโลภ ปราศจากความโกรธ ปราศจากความหลง ซึ่งเป็นไปได้ด้วยปัญญาและการมีความรู้-ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ปราศจากความลุ่มหลง (อโมหะ)

    ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย กรรมดี มีรากเหง้ามาจาก อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวก หรือเป็นไปตามความรู้

    ในนัยทางพุทธศาสนา: ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด บาป หรือ กรรม และ
    ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด บุญ หรือ กุศล ได้แก่ :
    1. เจตนา อันเป็นต้นกำเนิดของความคิด และการกระทำ
    2. มูลเหตุ อันเป็นมาตรวัดความแตกต่างระหว่าง กุศล กับ อกุศล
    มูลเหตุอันเป็นมาตรวัดภาวะจิตอันเป็น กุศล และ อกุศล ได้แก่ภาวะจิตอันเบิกบาน อิ่มเอิบเต็มไปด้วยปิติ และความรัก ความเมตตา กับ ภาวะจิตอันหม่นหมอง โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา


    ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย: ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด บาป หรือ กรรม และ
    ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด บุญ หรือ กุศล ได้แก่ :
    1. เจตนา
    2. ความมุ่งมั่น
    3. ความปรารถนา
    ซึ่งหากคล้อยตามความเชื่อในแง่ลบ ก็ย่อมเหนี่่ยวนำ ดึงดูดและก่อให้เกิดประสบการณ์ในแง่ลบ
    ซึ่งหากคล้อยตามความเชื่อในแง่บวก ก็ย่อมเหนี่่ยวนำ ดึงดูดและก่อให้เกิดประสบการณ์ในแง่บวก


    ________________________________________________________________

    บารมี เป็นคำที่เรามักกล่าวควบว่า บุญ-บารมี
    เนื่องจากทั้งบุญและบารมี เป็นภาวะที่ล้วนเป็นไปในแง่บวก แต่ก็เป็นคนละคำกัน และคนละภาวะกัน

    บุญ เป็น ภาวะอันเป็นนามธรรม
    บารมี เป็น ภาวะอันเป็นรูปธรรม

    บารมี (Paramita) หมายถึง คุณสมบัติอันเป็นเลิศ อันได้แก่ :
    1. Perfection in Giving - เป็นเลิศ ในการให้ (dana-parami - ทานบารมี)
    2. Perfection in Morality - เป็นเลิศ ในการประพฤติดี (sila-parami - ศีลบารมี)
    3. Perfection in Renunciation - เป็นเลิศ ในการปฏิเสธซึ่ง ยศ และ อภิสิทธิ์ (nekkhamma-parami - เนกขัมมบารมี)
    4. Perfection in Wisdom - เป็นเลิศ ในการใช้ปัญญา (panna-parami - ปัญญาบารมี)
    5. Perfection in Energy - เป็นเลิศ ในการใช้พลังแห่งความพากเพียร (viriya-parami - วิริยะบารมี)
    6. Perfection in Patience - เป็นเลิศ ในการอดทน (khannti-parami - ขันติบารมี)
    7. Perfection in Truthfulness - เป็นเลิศ ในการรักษาสัจจะ หรือรักษาสัญญา (sacca-parami - สัจจะบารมี)
    8. Perfection in Resolution - เป็นเลิศ ในการแก้ปัญหาและตัดสินใจอย่างแน่วแน่ (adhitthana-parami - อธิษฐานบารมี)
    9. Perfection in Loving-kindness - เป็นเลิศ ในการรักและเมตตา (metta-parami - เมตตาบารมี)
    10. Perfection in Equanimity - เป็นเลิศ ในการควบคุมอารมณ์ได้อย่างสม่ำเสมอ (upekkha-parami - อุเบกขาบารมี)

    ________________________________________________________________

    การทำสมาธิ หรือ การฝึกสมาธิ เป็นการฝึกฝนเพื่ออบรมจิต ให้รู้จักพิจารณาอารมณ์-จิินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองอย่างมีสติ แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์-จิินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเป็นไป โดยคล้อยตามความเชื่ออย่างขาดสติ ขาดการคิดด้วยมูลเหตุที่ดี ขาดเจตนาที่ดี ขาดความมุ่งมั่นในทิศทางที่เป็นคุณ และ ขาดความปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น

    ดังนั้น การกล่าวว่า การทำสมาธิ เป็นการสะสมบุญ
    ก็มีความเป็นจริง เพราะจิตที่ได้รับการอบรมฝึกฝน-อย่างสม่ำเสมอ
    ย่อมจะใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ไปในทิศทางที่เป็นไปตามความเชื่อในแง่บวก หรือตามความรู้จนเป็นนิจนิสัย เป็นทักษะประจำสติสัมปชัญญะของผู้ฝึกฝน ทำให้ผู้ฝึกฝนหยุดยั้งที่จะมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ไม่มากก็น้อย และหยุดยั้งการใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด โดยปราศจากการสำรวจความเชื่อของตนเอง


    บุญ เป็นภาวะจิต เป็นภาวะอันเป็นนามธรรม เป็นจินตภาพ
    ผู้ที่มีบุญ จึงหมายถึงผู้ที่มีภาวะจิตอันแจ่มใส เบิกบาน สุขใจ เพราะตระหนักได้ถึงต้นเหตุของ
    ความหม่นหมองของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย อันมีต้นเหตุมาจากภายใน คือจาก ภาวะจิตของตนเอง เมื่อรู้ต้นเหตุของความหม่นหมอง ก็กำจัดต้นเหตุนั้นๆได้ง่าย เพราะเป็นส่ิงที่สามารถควบคุมและแก้ไขได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องไปพยายามควบคุมหรือแก้ไขสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวตน ซึ่งตนเองไม่อาจควบคุมหรือแก้ไขได้

    ผู้ที่ฝึกสมาธิจนสามารถใช้ อารมณ์-จิินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้อย่างมีสติ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีบุญ ผู้ที่ "รู้สึก"ว่าตนเองมีบุญ ก็คือ ผู้ที่มีภาวะจิตที่แจ่มใส เบิกบานอยู่เสมอ หากจะมีปัญหา หรืออุปสรรคใดๆ และหากจะทุกข์-ก็ทุกข์ได้ไม่นาน เพราะสามารถแก้ทุกข์ได้ด้วยการแก้ไขความเชื่อของตนเอง ซึ่งยังผลให้สามารถพลิกผันอารมณ์-จิินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้

    ผู้อื่นสามารถรู้เห็นหรือสัมผัสกับภาวะอันเป็นบุญในบุคคลได้ด้วย - ความรู้สึกเช่นกัน
    เช่น รู้สึกร่าเริง แจ่มใส เบิกบาน สบายใจ เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดบุคคลที่มีบุญ หรือติดต่อสื่อสารด้วย

    การทำบุญ อาจเป็นได้ทั้ง การคิดและการกระทำ
    การคิด : เช่น การสวดมนต์ การภาวนา การคิดในแง่บวก การมองโลกในแง่ดี การมีเจตนา มีความมุ่งมั่น และความปรารถนาในทางที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น การให้ความรัก ความเมตตา ต่อมนุษย์ สัตว์ พืช สิ่งแวดล้อม
    การกระทำ : เช่น การให้การช่วยเหลือเกื้อกูลมนุษย์ สัตว์ พืช สิ่งแวดล้อม เป็นต้น


    การทำบุญจึงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางศาสนาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงการมีความคิด และการกระทำต่อคนรัก คนใกล้ตัว ต่อผู้อื่น ต่อพืช ต่อสัตว์ ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสังคม ต่อองค์กรต่างๆ ต่อประเทศชาติ ที่ก่อให้เกิดความรู้สึิกร่าเริง แจ่มใส เบิกบาน สบายใจ เพราะบุญที่แท้จริง ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา แต่บุญที่แท้จริงจึงอยู่ที่ผลลัพธ์อันเกิดจากภาวะจิต หรือ ความรู้สึกของบุคคลโดยตรง

    ------------------

    แต่คำกล่าวที่ว่า การทำสมาธิ เป็นการสร้างบารมีนั้น
    พี่นักเขียนมีความเห็นว่า การสร้างบารมีแต่ละข้อ เป็นไปได้ด้วยการกระทำทั้งสิ้น
    บารมี เป็นพฤติกรรม เป็นภาวะอันเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้โดยปราศจากการกระทำ


    การนั่งสมาธิ เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ซึ่งทำให้เราเกิดความคิดในแง่ดี แต่ก็ยังไปไม่ถึงการกระทำที่ดี ดังนั้นการสร้างบารมีด้วยการฝึกสมาธิ ก็เท่ากับว่าเป็นความคิด แต่เพียงอย่างเดียว จึงไม่อาจบรรลุผลได้จนกว่าจะลงมือกระทำ หรือปฏิบัติตามความคิดนั้นๆ

    บารมีเป็นการกระทำที่ไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา การสร้างบารมีเป็นการกระทำอันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ทุกชาติภาษา และทุกศาสนาในโลก ผู้ปรารถนาความรัก ความเอื้ออาทร และการสนับสนุนช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยปราศจากการเหลื่อมล้ำเบียดเบียนด้วยกันทั้งสิ้น บารมีที่แท้จริงจึงอยู่ที่ผลลัพธ์อันเกิดจากพฤติกรรม หรือ การกระทำของบุคคลโดยตรง (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...