เมื่อจิตเคลื่อนผ่านตาที่สาม วอนผู้รู้ชี้แนะ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เต๋า เต๋อ ซุน, 30 กันยายน 2008.

  1. เต๋า เต๋อ ซุน

    เต๋า เต๋อ ซุน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมเคยรับวิถีอนุตรธรรมตั้งแต่ปี 2543 เข้าฟังธรรมบ้างในช่วงแรก แต่พอปี 2544
    ก็ไม่เคยเข้าร่วมอีกเลย แทบไม่สนใจอีกเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งปี 2550 ได้ไปปฏิบัติธรรมกลางหุบเขาที่แม่ฮ่องสอน
    เป็นเวลาหลายเดือน คือได้ปฏิบัติตามหลักการเจริญสติของพระพุทธองค์ที่ทรงวางไว้ (นั่งสมาธิแบบอาณาปานาสติบ้างแต่ไม่หลับตา)
    จนจิตเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในขึ้น หลังจากนั้นก็เกิดสัมผัสถึงดวงจิต ขณะที่กำลังเฝ้ามองจิตอยู่นั้น
    จิตก็ได้โคจรออกจากฐานที่ตั้งขึ้นสู่บริเวณตาที่สาม และนิ่งพักสักครู่หนึ่ง
    จากนั้นก็เกิดอาการเคาะ เหมือนลูกเจี๊ยบจะกระเทาะออกจากเปลือกไข่ นานประมาณ 2-3 นาที
    แล้วจิตโคจรออกฐานนี้ เข้าสู่ฐาน....และสถิตอยู่ฐานนี้ตลอดมา
    (ตำแหน่งรับวิถีอนุตรธรรม ผู้ที่เคยเข้าร่วมมาก่อนเหมือนผม คงทราบดี จึงขออนุญาตไม่กล่าวถึง)
    ..ทุกวันนี้จิตยังคงสถิตอยู่ที่ตำแหน่งนี้ แม้จะทำผิดศีลใดๆก็ตาม(ใจยังมีกิเลสครบถ้วนทั้ง โลภะ โทสะ โมหะ) ก็ยังคงสัมผัสได้ดังเดิม
    ซึ่งจะมีอาการ หน่วง ตื้อ หมุนวนรอบตัวเองตลอด ณ ตำแหน่งนั้น
    แต่ก็ต้องมีสติเฝ้าดู หากเผลอสติหรือลืมตัว ก็คือไม่รู้สึก ถึงแม้จิตจะยังคงอยู่ตลอดก็ตาม
    ..จึงอยากใคร่ขอคำชี้แนะจากผู้รู้บ้างว่าอาการเช่นนี้คืออะไร?
    หรือทางอนุตรธรรมมีหลักปฏิบัติใดที่เป็นระดับสูงโดยไม่เปิดเผยกับผู้รับวิถีธรรมทั่วไปหรือไม่?
    การที่จิตโคจรเกิดจากการเข้าชี้นำตำแหน่งของจิตในอดีตหรือไม่?
    หรือเป็นเพียงวิปัสสนูกิเลส/ผลข้างเคียงจากการปฏิบัติหรือไม่?

    ใคร่ขอคำชี้แนะจากผู้รู้ทั้งฝ่ายอนุตรธรรม มหายาน หรือเถรวาท โปรดชี้แนะ...ขอคาราวะด้วยใจ
    (younger_love@hotmail.com)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2008
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนาค่ะ

    ดิฉันเอง ไม่เห็นแบบที่คุณเห็น มีแต่รู้สึก

    เมื่อรู้สึก ก็มีสติระลึกรู้ได้ ทำอะไรก็รู้ตัว

    ถ้าลืมตัว เผลอไป ก็ขาดสติ ไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ลืมรู้ดีรู้ชั่ว ทำไปตามอารมณ์จะนำพา

    รอผู้รู้จริงมาชี้แนะอีกที ดิฉันมีแต่ประสบการณ์จากการเจริญสติมาเล่าสู่กันฟัง

    ถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์นะคะ

    ดิฉันไม่เคยรับวิถีอนุตรธรรม แต่พอได้ฟังผ่านมาบ้าง แต่ไม่ได้ใส่ใจ

    ดิฉันไม่ชอบนั่งสมาธิ ไม่ชอบเดินจงกรม ไม่ชอบท่องบทสวดมนต์

    ดิฉันชอบฟังธรรม ฟังเพลงสวดมนต์ เสวนาธรรม เจริญสติด้วยการรู้อารมณ์ ความรู้สึก...

    ดิฉันจะเฝ้ามองความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เมื่ออารมณ์เปลี่ยน หรือเมื่อมีเหตุมากระทบ

    ดิฉันจะดูด้วยความเป็นกลาง เท่าที่จะทำได้ เพื่อเรียนรู้ตัวเอง รู้จิตตัวเองเมื่อกระทบ จะกระเทือนเป็นอย่างไร

    ดูโดยสักว่ารู้ ไม่แทรกแซง เพื่อจิตจะเรียนรู้จิตด้วยตัวเอง

    ที่เหลือจิตเขาจะพัฒนาเรียนรู้ รู้ดี รู้ชั่ว ปล่อยวางเอง

    เมื่อรู้ว่าจิตมีกุศลจิต(ดี)เกิด ก็รู้ และยอมรับโดยไม่หลงในกุศลความดี ไม่พองฟู

    เมื่อรู้ว่าจิตมีอกุศลจิต(ชั่ว)เกิด ก็รู้ และยอมรับโดยไม่หลงไปโกรธ โมโห ที่เขาเกิดอกุศลจิต(ชั่ว)

    เมื่อยอมรับความจริงของตัวเอง เขาก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เจริญ ขัดเกลาตัวเอง

    เมื่อจิตเกิดใหม่เรื่อยๆ เขารู้ ดี ว่าดี เขาก็จะใฝ่ดี เดินในหนทางที่ดี ที่เจริญขึ้นไปเอง

    มีพระธรรมสถิตย์ในจิต มีจิตเป็นพระธรรม เป็นความบริสุทธิ์ในจิต

    จิตเกิดการขัดเกลาตนเองตลอดเวลา จนกว่าจิตจะกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์แท้จริง

    จิตคือพุทธะ จิตคือพระธรรม จิตคือความบริสุทธิ์

    เราปฏิบัติธรรม ก็เพื่อขัดเกลาให้จิตบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากอวิชชา กิเลสตัณหา ครอบงำจิตไม่ได้

    บทสวดที่ชอบฟังบ่อยๆ ก็มีเยอะอย่างเช่น มหากรุณา ชินบัญชร ปรัชญาปารมิตา...
    http://audio.palungjit.org/showthread.php?t=418

    [music]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=3111[/music]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2008
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ไม่แน่ใจว่าวิถีอนุตรธรรมจะของจริงหรือไม่

    แต่ธรรมะมีแต่เปิดเผยไม่มีปิดบัง
    ยกเว้นเรื่องอจินไตย ที่เกินคนทั่วไปจะจินตนาการถึง นอกจากพุทธภูมิระดับมหาโพธิสัตวา เพราะต้องเพียรทำบารมีมาเนิ่นนาน
    ความรู้ธรรมอื่นๆ สามารถใคร่ครวญและน้อมมาปฏิบัติได้ค่ะ
    ถ้าเป็นทางสายเอก (สติปัฎฐานสี่) ก็จะตรงไม่อ้อม

    ส่วนเรื่องสมาธิ สายไหนก็เอามาสอนได้ค่ะ แม้นแต่คนไม่ถือศาสนาก็ฝึกได้
    จิตอยู่ทุกที่ แม้นจะมีฐานอยู่ที่หฤทัย (หัวใจ) แต่ก็โยกย้ายไปอย่างรวดเร็ว ตามการปรุงแต่ง การทำสมาธิให้มาอยู่ที่ตาที่สาม ด้วยการเพ่ง จะทำให้จดจ่ออยู่ที่นั่น

    สามารถใช้ลมหายใจช่วยได้ คือทำความรู้สึกว่าหายใจเข้าออกอยู่ที่กลางหน้าผาก
    หากคุณจิตสงบพอ จนถึงเอกัคตา
    อาจมีประสบการณ์ทั้งที่มีแสงสว่างจากภายนอกทะลุทลวงเข้ามา
    หรือมีแสงคือจิตคุณพุ่งออกไปจากดวงตาที่สามนี้

    ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น คุณจะเห็นนิมิตได้ง่าย ขอให้จิตสงบระงับไม่ฟุ้งซ่าน นิมิตอาจมีการสื่อสารจากโลกอื่นก็ดี หรือเป็นนิมิตของอดีตอนาคต

    ถ้าอยากจะไม่ได้ ถ้าสงบพอ ก็จะเห็น

    การฝึกสมาธินั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นหนึ่งในนอริยมรรค ควรฝึกสมาธิให้เข้าสู่ทางที่ถูก คือมีศีลเป็นฐาน เมื่อพบเห็นอะไรเข้า จิตก็จะไม่หลงทาง
    ไม่มีกำลังตัวนี้ ไม่มีทางประหารกิเลสได้

    ส่วนการฝึกสมาธิง่ายๆ เพื่อรักษาสุขภาพก็ทำได้ โดยเฉพาะเจริญอานาปานสติ นอกจากจะทำให้จิตระงับแล้ว ร่างกายก็จะดี เลือดลมดี เป็นหวัดยาก แม้นในที่หายใจได้ยาก ก็ยังหายใจได้

    ส่วนคนไม่ถนัดทำสมาธิ ต้องหมั่นวิปัสนา ไม่ใช่วิปัสนึก เพราะวิปัสนาที่ถูกจะเป็นฐานของสติ และสมาธิ
    คนที่ทำสมาธิได้ ขอให้ทำค่ะ และยกเข้าภูมิสู่วิปัสนา
    ส่วนคนที่เจริญได้ทั้งสมาธิและวิปัสนาพร้อมกัน ก็ทำไปตามถนัด

    ;aa23
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2008
  4. อำนวย. ส

    อำนวย. ส สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +6
    เป็นธรรมชาติของจิตครับเมื่อคุณละ วิตก วิจารณ์ ปิติ และสุขได้จิตก็จะเป็นเอกตาหรือจิตเป็นหนึ่งเดียว จิตก็จะตั้งอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสองหรือจุดที่ตั้งของตาที่สามนั้นเอง บางคนตั้งอยู่กลางกระหม่อม เมื่อฝึกต่อไปเรื่อยๆจิตละเอียดมากขึ้นก็สามารถมองเห็นส่วนละเอียดได้ด้วยตาที่สาม หรือสามารถถอดจิตได้ด้วยจุดนี้นั้นเอง ถ้ามีพลังมากๆสามารถไปดูอนาคตหรืออดีตได้ ถึงแม้ว่าจะทำผิดศิล มีโลภ โกรธ หลง แต่จิตยังเป็นเอกตาอยู่ แต่ก็ยังมีอารมณ์เหมือนกับคนทั่วๆไป แต่จิตไม่ค่อยจะมีทุกข์เท่านั้นเอง เพราะจิตละวิตก วิจารณ์ ได้เป็นส่วนมาก เป็นธรรมดาที่จะเกิดกับผู้ปฎิบัติได้เสมอ ส่วนของวิปัสนูกิเลสจะละเอียดกว่านี้ขึ้นไปอีก ผลข้างเคียงก็คือถ้าเราไปหลงกับมันมากจะทำให้เราวนเวียนอยู่ไมไปไหน เพราะเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง แต่เป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าปุถุชนทั่วๆไป การเจริญทางธรรมก็จะเกิดขึ้นน้อย ให้ฝึกเจริญสติให้มากๆอย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับอารมณ์ที่เกิดอยู่ให้ปล่อยวางไป
    โดยใช้หลัก สติปัฎฐาน 4 คือ 1 กายสักว่าเป็นกาย, 2 เวทนาสักว่าเป็นเวทนา, 3 จิตสักว่าเป็นจิต, 4 ธรรมสักว่าเป็นธรรม, เท่านั้นเอง
     
  5. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ตัวอย่างที่เคยฝึก แบบผ่าน ๆ มา

    มังกรบูรพา <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1444584", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 04:12 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2008
    อายุ: 48
    ข้อความ: 308
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,490
    ได้รับอนุโมทนา 4,397 ครั้ง ใน 309 โพส
    พลังการให้คะแนน: 33 [​IMG]


    <!-- message --> [FONT=&quot]เห็นหลายท่าน สนใจและอยากเปิดตาที่สามกันมาก และคงอีกหลายท่าน[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่จะตามต่อกันมา ตัวผมขอเป็นฟรีเซ็นเตอร์ เล่าเรื่องถึงตำแหน่ง[/FONT]
    [FONT=&quot]จักกระที่ 6 หรือตาที่สาม เหนือหว่างคิ้ว ที่หลายคนสงสัย[/FONT]
    [FONT=&quot]
    ต่อไป คืออาการของจักกระที่ 6 (เหนือหว่างคิ้ว) ที่เคยสัมผัสมา[/FONT]

    [FONT=&quot]
    1. อาการปวด/หน่วง จากน้อยไปหามาก[/FONT]
    [FONT=&quot]
    2. อาการเสียว/ชา จากน้อยไปหามาก[/FONT]
    [FONT=&quot]
    4. อาการไชคล้ายดอกสว่าน ไชลึกเข้า ๆ ๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    5. หน้าผากเต้น หุบเข้า ดันออก[/FONT]
    [FONT=&quot]
    6. บางครั้งมองเห็นลูกตาคน

    7. บางทีมองเห็นจุดแสง
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    8. บางครั้งอาการลามแผ่ไปเต็มหน้าผาก[/FONT]
    [FONT=&quot]
    9. จ้องมองสิ่งของ หรือคนนาน ๆ จะมีความรู้สึกที่หน้าผาก[/FONT]
    [FONT=&quot]
    10.บางทีเห็นภาพใส ๆ ลาง ๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    11.หลังออกจากสมาธิ อาการ ปวด , หน่วง , เสียว , ชา , ทั้งหลายก็ยังเป็น
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    ช่วงหลัง ๆ บางทีคันแถวหน้าผาก หรืออาจถูกยุงกัด ไม่แน่ใจ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    อาการครั้งสุดท้ายคือ มองหน้าผาก แล้วเจอหัวกะโหลก ซ้อนอยู่

    เจริญสมาธิ เจริญสติตามแบบที่ชำนาญ ต่อไปเดี๋ยวดีเอง

    เห่อะ เห่อะ เห่อะ

    ไปล่ะ! เดี๋ยวหาว่าผมบ้า อิอิ
    [/FONT]
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทำต่อไปเลยครับ สำคัญตรงการมีสติ ตรงนั้นอย่าให้หาย และอย่าเร่งเกินไป
    ต้องให้ สติ มันคอยระลึกอยู่ เห็นอยู่โดยตลอดว่ามีอาการใดปรากฏ อาการที่
    ปรากฏให้มองเป็นเพียงของถูกรู้ถูกดู โดยตัวสติ ถ้าสติหมดกำลัง มันจะถอย
    เข้าสู่ภวังค์ จะวูบ หลังจากวูบ สติจะกลับมามีกำลัง อาจจะเกิดสภาวะนิ่งเข้าฐาน

    ดังนั้น ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ วูบ และไม่ได้อยู่ที่อาการที่แปรไป

    แต่อยู่ที่ การมี สติตั้งมั่น เป็นผู้ดู รู้อาการตลอดสาย

    หากฝึกถูกต้อง การตั้งมั่นของสติ จะติดออกมาเป็นผล เดินเหินไปไหนจะ
    เหมือนมันอยู่ที่ฐานตลอด โดยดูสิ่งรอบตัวราบเรียบ ไม่มีความหาย มีแต่
    ตากระทบเห็นรูป หูได้ยินเสียง แต่ไม่มีการพรรณาความหมาย จิตใจจะปลอด
    โปร่ง เหมือนอยู่ในความว่าง ซึ่ง ความว่างนี้ ก็ถูกรู้ถูกดูอยู่ด้วยตัว สติ

    ดังนั้น การปฏิบัติตลอดสาย มีแต่ตัวสติ ที่ได้รับการฝึกฝน ส่วนอาการอื่น
    เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ที่ผ่านมาผ่านไป เลิกทำก็หายไป ไม่เหมือน สติ ที่
    คงอยู่เป็นผลเสมอ

    วิปัสสนูกิเลส จะเกิดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ การไปยินดีในผลที่เกิด เช่น ไปยินดี
    การเข้าฐานของสติ อันนี้ก็เกิดเป็นวิปัสสนูกิเลสได้ ตอนที่ว่างๆ เดินไปไหน
    ก็ว่าง แล้วยินดีภาวะนี้ ก็เกิดเป็นวิปัสสนูกิเลสได้ ไปยินดีอาการในสมาธิ จะ
    เหวี่ยงๆ หน่วงๆ หนึบๆ แสบๆ ร้อนๆ วูบๆ ก็จะทำให้เกิดวิปัสสนูกิเลสได้

    สรุปง่ายๆคือ ไปเกิดชอบใจ ยินดีพอใจ สภาวะที่ สติ ไปรู้เข้า แทนที่จะเดินต่อ
    จะทำให้หยุดและอยากได้อย่างนั้น แต่ทำอีกจะไม่ได้ ทำได้แล้วก็เอาไปแสดง
    ยึดถือเป็นคุณวิเศษปัจจัตตัง ก็จะเนิ่นช้า

    ดังนั้น การมีสตินั้น สำคัญกว่า แต่ก็ต้องไม่ยินดี

    * * * * *

    บางทีจะมีการ ยินร้าย เข้ามาแทรก เช่น บางอาการเป็นแล้ว เห็นแล้ว เกิดไม่ชอบ
    พอไม่ชอบ ไปอยากให้มันหาย หรือ ระหว่างปฏิบัติไม่อยากให้มันเกิด ก็คอยจ้องที่
    จะผลักไส แบบนี้ก็ทำให้ติดข้อง เนิ่นช้าได้

    ดังนั้น การจะติดวิปัสสนูกิเลส หรือ ติดความไม่ชอบใจ ก็เอาตัว สติ นั้นแหละครับ
    ระลึกไปว่า มี ยินดี ยินร้ายหรือเปล่า ให้รู้ทันสภาวะตัวนี้ ก็จะหลุดและดำเนินได้ต่อ
    เอง
     
  7. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    อ่านเยอะเข้าๆ..
    มันไม่เป็นไปในทางบวกต่อจิตใจตัวเองเลย..
    เริ่มจะฟุ้งแล้วครับ

    ไม่ได้ว่าที่เล่ามามันเวอร์แต่อย่างได มือใหม่อย่างผมมันเกิดจะน้อมเชื่อใครโดยง่ายซะด้วย
    สติปัฏฐานสี่ ขอไปทางนี้ดีกว่าตรงๆเข้าใจง่าย
    สำหรับฆราวาทเส้นทางมรรคผลมันคับแคบอยู่แล้วแถมยังมีแต่อุปสรรคเต็มไปหมด
    ทิ้งมันซะให้หมดทุกอย่าง
    ยังไงๆผมขอไปทางเดิมดีกว่าไม่อยากแวะ
    ฮือ..((= = "))!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2008
  8. จิตเอกภพ

    จิตเอกภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +48
    คุณเต๋า เต๋อ ซุนครับ

    ลัทธินี้ นับถือเทพเจ้าองค์ใดบ้าง? มีเรื่องราวของการประทับจิตด้วยไหม?
    มีเป้าหมายและแนวทางปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมและหลุดพ้นด้วยหรือไม่?

    ขอบคุณครับ
     
  9. จิตเอกภพ

    จิตเอกภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +48
    มังกรบูรพา<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1543969", true); </SCRIPT>

    ขอให้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างพลังจักระ กับวิถีอนุตรธรรมด้วยครับ เพราะไม่เข้าใจ

    แต่เดิมเข้าใจว่า พลังจักระมีรากฐานมาจากหฐโยคะเหมาะสำหรับการรักษาสมดุลย์ทั้งกายและจิตใจ เลยไม่ทราบเป็นแนวทางเดียวกันหรือเปล่า
     
  10. เต๋า เต๋อ ซุน

    เต๋า เต๋อ ซุน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมรู้เกี่ยวกับกลุ่มอนุตรธรรมน้อยมาก เพราะเมื่อก่อนแค่สนใจตามเพื่อนไปเฉยๆ ส่วนการรับวิถีอนุตรธรรมนั้น ก็คือการเปิดจุดญาณทวารโดยอาจารย์ผู้เผยแพร่ธรรม (ซึ่งต้องได้รับการรับรองจากอาจารย์ใหญ่จากทางไต้หวัน..ข้อมูลไม่ชัวร์นะครับเท่าที่รู้นะ) วันนั้นก็จะการเข้าร่วมต่างพิธีการของเขาก่อน จากนั้นก็จะได้รับการเปิดจุดโดยการสัมผัสด้วยปลายนิ้ว ตรงตำแหน่ง...เหมือนการเปิดจักระโดยผู้มีพลังอะไรทำนองนั้น (ส่วนตำแหน่งนั้นเอาเป็นว่าศึกษาได้จากแนวทางของหลวงปู่สาวกโลกอุดรก็แล้วกันนะครับ) คือเป็นตำแหน่งเดียวกันแป๊ะเลยครับ เพราะไม่อยากกล่าวถึงตำแหน่งนี้มากเดียวเขาจะหาว่านอกทางพุทธ ซึ่งผมก็ได้รับทราบว่าแนวทางของหลวงปู่ท่านภายหลังจาก ที่ออกจากการปฏิบัติที่แม่ฮ่องสอนครับ เพราะตอนนั้นผมเก็บความสงสัยมาโดยตลอด ว่าทำไมจิตมานิ่งที่ตรงจุดนี้ เกี่ยวข้องอะไรกับสายอนุตรธรรม หรือเป็นดั่งแนวทางของหลวงปู่สาวกโลกอุดรท่าน บางครั้งเพ่งเข้าไปที่ตำแหน่งนี้เหมือนกัน เกิดความรู้สึกเหมือนกับมีเข็มเล่มเล็กๆ หมุนจี๋ จี้เข้าไปที่ตำแหน่งนี้ครับ หากเพ่งแรงเข้าบางครั้งก็เกิดอาการเหมือนมีแรงดันอยู่ภายในหัวอ่ะ
     
  11. เต๋า เต๋อ ซุน

    เต๋า เต๋อ ซุน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    ส่วนเรื่องที่กลุ่มอนุตรธรรมนับถืออะไรนั้น ก็สามารถบอกได้ว่าเขา
    นับถือ พระศรีอาริย์ เป็นองค์พระประธาน รองลงมาคือองค์พระโพธิสัตว์ และพระอรหันต์จี้กง รองลงมาจากนั้นก็คือเหล่าเซียน หรือเทพเจ้าต่างของฝ่ายมหายาน
     
  12. เต๋า เต๋อ ซุน

    เต๋า เต๋อ ซุน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    มีเรื่องของการประทับจิตครับ และแนวทางหลุดพ้นก็คือการบำเพ็ญบารมีของตนเองต่อไป คือถือศีลกินเจ เพื่อรอการชำระล้างคัดกรองคนดี เข้าสู่ยุคแห่งพระศรีอาริย์ต่อไป (เท่าที่รู้นะครับ เพราะไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับอนุตรธรรมอีกเลยตั้งแต่รับการเปิดจุดญาณทวาร)
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ไม่มีอะไรหรอกนะครับ จุดกลางคิ้ว กลางหน้าผาก หรือแม้แต่การแน่นที่หน้าผาก

    มันทำได้ง่ายนิดเดียว ไม่ต้องเปิดจุดอะไร แค่หายใจให้ถูกจังหวะ แล้วใช้สติระลึก
    ลมกระทบ เส้นประสาทแถวนั้นก็จะทำงานรับรู้ ออกเป็นอาการแผ่ตั้งแต่หว่างคิ้ว จน
    ถึงในกระหม่อม พอทำได้แล้ว รู้สึกเป็นแล้ว วันหลังเพียงแต่น้อมความจงใจรู้

    ก็จะรู้สึกทันที เป็นอาการที่เรียก ปิติ เป็นพื้นฐานของสมาธิทั่วไป พวกสมาธิหมุน
    ลูกแก้ว นะมะพะทะ ก็จะมาลงที่จุดนี้ทั้งนั้น เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับส่วนจักษุประสาท
    ตัวจงใจรู้ หมายถึง เวลาทำสมาธิแบบเจือเจตนา ตาเนื้อมันจะควานหาอัตโนมัติ
    เพื่อดู เพื่อหา ร่วมๆกับการเห็นแบบจักขุวิญญาณ และมโนวิญญาณ

    แต่ทั้งหมด คือ อาการที่ทำสมาธิไม่ถูกอารมณ์ ยังมีเจตนาเจือมากกว่า ละวางปิติ
     
  14. เต๋า เต๋อ ซุน

    เต๋า เต๋อ ซุน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    อีกประเด็นหนึ่งที่กลุ่มอนุตรธรรมให้ความสำคัญเรื่องจุดญาณทวาร คือการที่ดวงจิตสุดท้ายก่อนตายจะเดินทางออกจากร่างกายนั้น หากเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้รับการเปิดจุดนั้น จิตก็จะออก ไปตามจักระต่างๆ แล้วแต่กรรมที่ทำมา จะเป็นตัวกำหนดเปิดช่องทางออกให้แก่จิตสุดท้ายนี้ เพื่อเข้าสู่ภพภูมิต่าง เช่นการออกทางปาก ต้องไปเกิดที่... ออกทางตา ต้องไปเกิดที่... ออกทางสะดือ ต้องไปเกิดที่... เป็นต้นครับ
     
  15. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715

    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    ไม่ใช่มั๊ง

     
  16. เต๋า เต๋อ ซุน

    เต๋า เต๋อ ซุน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    ขออธิบายให้เข้าใจก่อนนะครับ ว่าขณะที่จิตโคจรดังที่เล่ามานั้น ในขณะนั้นผมไร้ซึ่งการบังคับ หรือกำหนดใดๆ เพียงแต่เฝ้าดูเฉยๆ รู้เฉยๆ ถึงการไปมาของจิตครับ
     
  17. เต๋า เต๋อ ซุน

    เต๋า เต๋อ ซุน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่ได้ตั้งเจตนาก่อนว่าจะต้องเพ่งที่นี่ เอาจิตมาตั้งที่นี่
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็ต้องผ่านไปให้ได้ละครับ ละวางปิติ เดี๋ยวก็สงบระงับ

    ก็ไปสู่ขั้น มีสุข ต่อไป

    สำหรับคุณโอม ไม่ได้ค้างตรงหน้าผาก ก็เพราะกำหนดย้ายลงไปที่อีก
    หลายจุด การย้ายจุดอย่างเร็ว ก็สมาธิหมุนแบบหมุนจักร ก็เลยไม่ค้าง

    แต่คนนิยม หือ ติดค้าง ก็จะดูตรงนั้น เพราะการเลื่อนจุดมันไม่แจ่มเท่า
    ตรงนี้ คนจึงนิยมแช่การรู้สึกไว้ตรงนี้ ไม่ยอมละวาง
     
  19. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ไม่จำเป็นต้องเจตนาแรงๆ ครับ เวลาทำอีกครั้ง แค่น้อมใจ

    แค่หายใจเข้าทีสองที ก็เกิดปิติตรงนี้แล้วครับ
     
  20. เต๋า เต๋อ ซุน

    เต๋า เต๋อ ซุน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    ที่ผ่านขณะที่รู้สึก ไม่เห็นเกิดปีติเลย มีแต่อาการปวดตื้อ หน่วง อ่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...