ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 (ดาวมหายนะสู่วันสิ้นโลก)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อธิมุตโต, 10 ธันวาคม 2008.

  1. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk

    [​IMG]


    โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?

    ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า

    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

    เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?


    [​IMG]


    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

    เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย

    [​IMG]

    Image:planetx_orbit_path1.jpg


    นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา

    น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก

    หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น
     
  2. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน

    Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"

    แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย

    [​IMG]


    จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง

    จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่

    คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ

    [​IMG]


    อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย

    การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา


    โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!!


    ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน
     
  3. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก

    [​IMG]

    Image:X_smash_earth1.jpg


    ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย

    ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)


    Planet X และพระผู้สร้าง


    เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับ

    [​IMG]


    Anunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์


    ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย

    ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง


    มันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่า


    หลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง?

    ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น?

    [​IMG]

    Image:Dnas21.jpg


    ภาพนี้ได้มาจากพิพิธภัณฑ์ British Museum ในอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของจารึกที่เกี่ยวกับ Anunnaki และสถานที่ที่พวกเขามา แล้วคุณล่ะครับ ตอนนี้พอจะเชื่อหรือเปล่าว่าดาวเคราะห์ Nibiru ของชาวสุเมเรียนโบราณมีจริง? ถ้ามีเวลาผมจะแกะหนังสือของนักเขียนคนนี้มาให้ดูกันเล่นๆอีก รายละเอียดค่อนข้างเยอะมากครับแต่หลักฐานก็หนักแน่นน่าเชื่อถือดี หาซื้อตามร้านขายหนังสือต่างประเทศตามห้างใหญ่ๆน่าจะพอมีครับ


    [​IMG]

    Image:Mainorbit.jpg


    วงโคจรของ Planet X ที่แหกคอกจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ
     
  4. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    The Planet X


    ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามมากจากภาคแรก คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับว่า เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมา ว่า เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru

    Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ โปรดอ่าน The search of Planet X ภาคแรกประกอบ ถ้าท่านยังไม่ได้อ่าน หรือลืมไปแล้ว) ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?

    หลักฐานไงครับ Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนาครับ ก็เพราะว่าความเชื่อศัทรธานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

    ขอฝอยเรื่องของ Sitchin สักหน่อยนะครับ จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดๆใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากๆกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเอามาเล่าตรงนี้ทั้งหมด ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมานะครับ

    Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่ กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ( ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk ) จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน

    จะเรียกยังไงก็ตามแต่เถอะนะครับ Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมา ในอวกาศได้ พวกเขา(เพื่อความคล่องปาก ขอเรียกว่า Anunnaki ตามต้นตำรับก็แล้วกันนะครับ)เคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว


    ทำไมจึงเป็น 12th Planet?


    หลายๆท่านอาจจะสงสัย ว่าทั้งๆที่ Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากดาวพลูโตแท้ๆ ถ้าเรียงลำดับมันก็ควรจะอยู่อันดับสิบ ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 กัน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานในวงการดาราศาสตร์ เพราะว่านับตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้างไปเลย พวกเขารู้จักดาวเคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อนนักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปีว่างั้นเถอะครับ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัดจากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคยส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็น พื้นฐาน แต่ด้วยความผลุบโผล่ๆของมัน หลายๆคนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่

    เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้าของพวกเขาสอนเอาไว้ครับ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยายระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียนนี่ก็นับว่าแปลกเอามากๆ ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังว่า แนวคิดด้านนี้ของพวกเขา ก้าวไกลและน่าพิศวงเพียงไร

    [​IMG]

    Image:SolarSystem2.gif
     
  5. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    มาพูดถึง Nibiru กันต่อ แม้ว่าดาวดาวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไปจากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งน้องจากจะกว้างกินระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจรเดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์ ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะหมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายคนปิ๊งไอเดียขึ้นมาล่ะครับว่า เจ้าดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นักดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง

    จะมีอยู่หรือไม่ก็คงต้องใช้เวลาค้นกันหน่อยล่ะครับ เพราะดาวฤกษ์ดวงดังกล่าว อยู่ไกลออกไปจากระบบสุริยะของเรามาก คิดดูง่ายๆว่า Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง เกิดหรือตายกันกี่รุ่นล่ะครับมนุษย์เรา ถึงจะมีบุญได้เห็นดาวเคราะห์ยักษ์ Nibiru ดวงนี้ ที่แน่ๆก็คือ คนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ในหลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกันมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นคนละดวงกัน อ้อ... สำหรับท่านที่สงสัยว่า ทำไมคนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่าดาวหางสีแดง เดี๋ยวผมจะมาเฉลยทีหลังนะครับ ตอนนี้พูดเรื่องวงโคจรให้จบเสียก่อน

    Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้ ชาวสุเมมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar (คูณกันเอาเองนะครับ) มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว


    Why the Anunnaki Came Down?


    ยังจำวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันในสมัยมัธยมได้ไหมครับ? จำเรื่องของการแสวงหาอาณานิคมและการล่าเมืองขึ้นของชาวตะวันตกได้หรือไม่ และพอจะตอบได้ไหม ว่าการที่ชาวตะวันตกในยุโรปทำเช่นนั้น ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกัน

    ครับ ผมเชื่อว่าทุกท่านคงตอบได้ดี ว่า เพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ เผยแพร่อำนาจ ศาสนา ล่าเมืองขึ้น ขุดค้นทรัพยากรและแสวงหาความมั่งคั่ง พระเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยครับ พวกเขาเดินทางมายังโลกของเรา ในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลก เพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติบางประการกลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main หลักที่ Anunnaki ต้องการก็คือทองคำครับ เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการ ที่เป็นประโยชน์กับการรักษาอุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้ (ก็คงสำคัญมากจริงๆนั่นแหละ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต)

    Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้ไหมครับว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุด ที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษกับ"พระเจ้า"จากอวกาศ ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึงมักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่ Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา

    [​IMG]

    Image:Ancient7.jpg


    ภาพวาดพาหนะของพระเจ้า ซึ่งไม่น่าไปคล้ายกับยานอวกาศโดยบังเอิญขนาดนี้
     
  6. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ต่างๆ (หันมาดูชุดอวกาศหรือชุดแฟนซีของหนัง Sci-fi บ้างสิครับ ถ้าเอาไปให้เงาะป่าซาไก หรือปิ๊กมี่ในอาฟริกาพิศดูเสียบ้าง ถ้าไม่โดนเรียกเป็นมนุษย์นั่นมนุษย์นี่ผมให้เตะเลยล่ะ ) และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki นี่แหละครับ

    แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลครับว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ

    เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ครับ ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนืออีกด้วย แน่นอนครับ นี่เป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่มีผลทำให้อาดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดนใน ภายหลัง ซึ่งผมจะค่อยๆเล่าเรื่องราวในส่วนนี้อย่างละเอียดให้ฟังอีกทีครับ

    [​IMG]


    Exodus and the 12 Planet


    จากการค้นคว้าพบว่า ช่วงเวลาล่าสุดที่ Nibiru โคจรเข้ามาใกล้กับโลกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ Exodus อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง เรื่องของเอ็กซ์โซดัสนี้นายโซนิคคงไม่ต้องกล่าวมากความแล้วนะครับ เพราะเคยเล่าไปหลายครั้งมากเลย ล่าสุดก็ทฤษฎีพิลึกของ ดร.เวลิคอฟสกี้ นี่แหละ ที่กล่าวถึงภัยพิบัติและผลกระทบของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวเหมือนกัน เพียงแต่เวลิคอฟสกี้จะมุ่งประเด็นไปที่ดาวศุกร์ ส่วน Sitchin จะใช้หลักฐานของสุเมเรียนอ้างไปถึง Nibiru เอง ท่านผู้อ่านก็ใช้วิจารณญาณเอาละกันนะครับ ว่าเหตุผลของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน

    ภัยพิบัติที่เกิดจากการโคจรเข้ามาเฉียดโลกของ Nibiru นั้นมหาศาลนัก น่าสังเกตว่าทั้งเวลิคอฟสกี้และ Sitchin ต่างก็มุ่งประเด็นไปในทิศทางเดียวกัน ทิศทางดังกล่าวนั้นคือดาว(หาง)ขนาดยักษ์สีแดง (บอกแล้วนะครับ รายละเอียดของภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งเรื่องของโมเสสนั้นให้ไปอ่านกันเพิ่มเติมที่นี่) ซึ่งก็มีข้อสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์มาประกอบ อันว่าสีแดงของเจ้าดาวดวงดังกล่าวนั้น อาจจะมาจากผงฝุ่นสีแดงของ Iron oxide ที่เกิดจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงของ Nibiru (หรืออาจจะเป็นดาวหางตามทัศนของเวลิคอฟสกี้) เมื่อมันโคจรเข้ามาเฉียดในระยะที่พอเหมาะ ผงฝุ่งและอนุภาคเหล่านั้นก็จะถูกแรงดึงดูของโลกดูดเข้ามา จนปกคลุมทั่วทั้งบรรยากาศ มีบางส่วนตกลงไปในแหล่งน้ำกลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องเล่า แม่น้ำและทะเลกลายเป็นสีเลือดอย่างในพระคัมภีร์ไงครับ

    ทว่า ทฤษฎีผงฝุ่นเหล่านี้ยังฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ มีหลายท่านกล่าวว่า ถ้าบรรยากาศของโลกผิดปกติ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม่น้ำลำธารเปลี่ยนเป็นสีเลือดจริง มันก็น่าจะเกิดจากปฏิกิริยาทางแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นผลจากแรงดึงดูดระหว่าง ดวงดาวมากกว่า ซึ่งผลจากการนี้จะทำให้มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ควันและลาวาจากภูเขาไฟที่พุ่งขึ้นสูงๆปกคลุมชั้นบรรยากาศ ก็อาจจะเป็นต้นเหตุอีกอย่างของบรรยากาศสีเลือดดังกล่าวได้เหมือนกัน
     
  7. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    [​IMG]


    มนุษย์เกิดมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นด้วยฝีมือของพระเจ้า?


    เป็นที่ถกเถียงกันมานานระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา และเป็นหัวข้อที่ใช้เยาะหยันไยไพกันได้เป็นอย่างดี ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนิกชนผู้เคร่งครัด ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ทำให้ศาสนิกชนและโบสถ์ต้องแค้นแทบกระอัก เพราะดันไปอ้างถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทลิง แถมยังลบล้างความเชื่อเรื่องของพระเจ้าสร้างโลก สิ่งมีชิวิต และมนุษย์เสียอีกแน่ะ

    แต่ก็ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะหัวเราะได้เต็มปากนัก เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการยังมีช่องโหว่อยู่มากมาย ห่วงโซ่ที่หายไปที่นักมานุษยวิทยาพากันตามหามานานแสนนาน ปัจจุบัก็ยังไม่ส่อแววว่าจะเจอแบบจังๆ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจริงๆ อย่างที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆกล่าวกันก็เป็นได้ เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ ใช้ได้กับสัตว์เกือบทั้งหมด ยกเว้นมนุษย์ โอเคครับ... ไม่มีใครเถียงว่าทฤษฎีของดาร์วินเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ท่านเชื่อหรือไม่ครับว่า ถ้าการวิวัฒน์ตามทฤษฎีนี้มีอยู่จริง มันอาจจะเกิดขึ้นที่ดาวดวงอื่น แต่ไม่ใช่โลกของเราอย่างเด็ดขาด ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่า ปัจจุบันเราพิสูจน์ได้แล้วว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษของเรานั้น แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างและอื่นๆของพวกนั้นไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะสามารถวิวัฒนาการมาเป็นโฮโม เซเปี้ยน มนุษย์ปัจจุบันอย่างพวกเราเลยแม้แต่น้อย และล่าสุดกรณีของการศึกษา DNA ของโฮมินอยด์ประเภท ออสตรัลโลพิทธิคัส และโฮโม อิเร็คตัส ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบนเลย ซึ่งถ้าทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเป็นจริงบนโลกเราแล้วไซร้ เจ้าห่วงโซ่ที่หายไปมันจะไปอยู่ส่วนไหนของโลกกันครับ ช่วยตอบนายโซนิคที

    [​IMG]

    ถ้าอย่างนั้นคำตอบของนักการศาสนาที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจึงเหลือเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับพวกเรา ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างหัวร้างข้างแตกก็ยอมรับ อย่างกลายๆแล้วว่า มนุษย์เรานั้นไซร้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าจริงๆ เพียงแต่ พระเจ้าที่สร้างพวกเราขึ้นมานั้น หาได้เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือในคัมภีร์ไม่ พระเจ้าที่สร้างพวกเรานั้นเป็นเพียงนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นด้วยยานอวกาศที่เปล่งลำแสงเจิดจ้าต่างหาก เล่า สำหรับท่านที่เพิ่งมาใหม่และยังตามไม่ทัน โปรดอ่านปฐมบทและแนวคิดในทฤษฎีนี้ จากเรื่องไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศนะครับ สำหรับตรงนี้ผมขอสรุปเพียงสั้นๆว่า นักท่องอวกาศกลุ่มนั้นแม้ไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็มีความสามารถที่ใกล้เคียงมาก ใกล้เคียงจนสามารถสมอ้างเป็นพระเจ้าของคนโบราณบนโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ หลักฐานที่ผมจะใช้อ้างในเรื่องต่อไปนี้ จะมาจากสองแหล่งคือไบเบิลในบทเยเนซิส และจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณอยู่เช่นเดิมเพราะหลักฐานจากสองแหล่งดังกล่าว ดูจะเด่นชัดกว่าแหล่งอื่นๆมาก

    หลักฐานอะไรเรอะ? ก็หลักฐานที่ว่าพระเจ้าได้ปั้นแต่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างเราๆท่านๆน่ะซีครับ ซึ่งจริงๆแล้ว บทบาทของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์นั้ คงจะยังเป็นนิทานไปอีกนานแสนนานถ้าวิทยาศาสตร์ของเราไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นมี วิชาพันธุวิศวกรรม ซึ่งเจ้าศาสตร์แขนงนี้นี้แหละครับ ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า กิจกรรมของพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาเคยเรียกว่านิทานหรือตำนานนั้น แท้ที่จริงมันคือบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่สุดหน้าหนึ่ง ของมนุษยชาติเลยทีเดียว

    หลายท่านคงพอจะนึกออกอย่างเลาๆว่าผมกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ถ้าเอ่ยถึงพันธุวิศวกรรม สิ่งที่ผุดขึ้นมาสำหรับพวกเราก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการดัดแปลง DNA ที่กำลังเป็นที่ตื่นตัวไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ Zecharia Sitchin เอามาอ้างว่า พระเจ้าจากดาว Nibiru ได้ทำการสร้างสิ่งมีชีวิตกลุ่มโฮโม เซเปี้ยนขึ้นมาจากเหล่าโฮโม อิเร็คตัส ด้วยการดัดแปลง DNA โดยมีจุดประสงค์หลักคือใช้แรงงานมนุษย์ในการขุดค้นทรัพยากรของพวกเขา และรองลงมาก็คือสร้างอารยธรรมที่เจริญขึ้นมาบนโลก โดยมีพวกเขาเป็นพระเจ้าปกครองเหล่ามนุษย์
     
  8. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    Planet X and Genesis: Genetic Engineering Sapiens II.


    ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะครับ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลน นิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงครับ เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA

    [​IMG]


    ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!??


    แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง(ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ"ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ผู้เชี่ยวชาญที่แปลและตีความเรื่องนี้ได้ให้รายละเอียดที่ยืดยาวจนผมเอามา เล่าไม่ไหว แต่ก็พอจะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน(และเหมืองทองขนาดใหญ่)ที่อา ฟริกา แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆมาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย ครับ เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน) ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก

    ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ครับ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท) จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา มันก็แหงสิครับ... ออกจะดวงเบ้อเริ่มขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละครับ เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่

    ที่มา : http://scratchpad.wikia.com/wiki/ดาว...

    http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=18940
     
  9. Nexu

    Nexu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +130
    น่าสนใจจริงๆครับ ^^ ขอบคุณมากๆ
     
  10. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    บนดาว Nibiru ตอนนี้น่าจะมีมนุษย์ชาวดาว นิบิรุ เหลืออยู่นะคะ

    ผิวคงขาวซีดๆ รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเหมือนคนตะวันตก ตามแบบที่เคยอ่านเจอ
     
  11. โบ๊ต

    โบ๊ต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    387
    ค่าพลัง:
    +847
    สุดยอดอีกแล้ว

    ไม่รู้สิผมว่า ชาวยิว เนี่ยน่าจะเป็นบรรพบุรุษมนุษญ์ต่างดาวนะ 5555

    เพราะพวกนี้คิดไวคิดไกลจริงๆเพื่อนสนิมผมก็คนยิว แรงมากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2008
  12. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    ชาวจีนสิต่างดาวตัวจริงเลย เพราะเคยดูสารคดี

    ในสารคดีบอกว่า ชาวจีนเป็นต่างดาวกลุ่มแรกที่มาถึงโลก ก่อนใคร

    เพราะค้นพบ จารึกที่บันทึกว่า เมื่อ8000ปีก่อน
    ยานบินสำรวจมาตกบนโลกแล้วกลับดาวแม่ไม่ได้

    เลยต้องอยู่บนโลกมาเรื่อยๆแถมมีการค้นพบ อุปกรณ์โบราณที่อายุเก่าแก่กว่า 8000ปีอีก(พวกนี้คงเป็นมนุษย์กลุ่มแรกอ่ะ)
    นี่เป็นสาเหตุที่ ชาวจีนมีประชากรเยอะสุดบนโลก

    เพราะ มาถึงก่อน ต่างดาวสายพันธุ์อื่นเพราะหลงมาอยู่
    เลยไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยติดตัวมาเยอะ แต่ก็อยู่รอดมาได้
    สร้างประเทศชาติได้เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

    ชาวจีน - ส่วนใหญ่จะหน้าคล้ายๆกัน ตาชั้นเดียว ตัวเล็ก ผิวเหลือง คนหล่ะสายพันธุ์กับชาว นิบิรุ

    ชาวดาวนิบิรุ น่าจะผิวขาวซีด รูปร่างหน้าตาแบบชาวยุโรป
    เผลอๆ มนุษย์ชาวดาวนิบิรุ นี่แหล่ะลงมาอยู่บนโลกมาสร้างแอตแลนติค มาสร้างอารยธรรมต่างๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2008
  13. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    http://www.mythland.org/html/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=84&page=1

    <CENTER>แสดงเนื้อหาสาระที่มีใน Mythland:</CENTER>


    <BIG>·</BIG> Majestic 12 โครงการลับอันอื้อฉาว(เอ๊ะ ยังไง?) ของรัฐบาลสหรัฐ
    <BIG>·</BIG> UFO นั้นสำคัญไฉน?
    <BIG>·</BIG> About UFO : เรื่องราวที่เป็น Basic เกี่ยวกับ UFO สำหรับมือใหม่ครับ
    <BIG>·</BIG> Basic Theory of UFOs : ว่าด้วยเรื่องราวพื้นฐานอีกหน่อยเกี่ยวกับ UFOs
    <BIG>·</BIG> The Search for Planet X : การค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบ ตามตำนานของชาวสุเมเรี่ยน
    <BIG>·</BIG> The Search of Planet X , again... ( ตามล่าหาดาวเคราะห์ปริศนา ภาคขยายความ)
    <BIG>·</BIG> พระเจ้าจากอวกาศ ตอนที่ 1
    <BIG>·</BIG> พระเจ้าจากอวกาศ ตอนที่ 2-3
    <BIG>·</BIG> พระเจ้าจากอวกาศ ตอนที่ 4
    <BIG>·</BIG> UFO กับไบเบิล : ภาคแรก
    <BIG>·</BIG> UFO กับไบเบิล : ภาคสอง
    <BIG>·</BIG> History of Area 51 (สถานที่ทดลองอาวุธลับสุดยอด เทตโนโลยีอันทันสมัย การติดต่อกับสิ่งมีชีวิตทรงปัญญานอกพิภพ ที่ถูกปกปิดโดยรัฐบาลสหรัฐ)
    <CENTER>[ ย้อนกลับ ]</CENTER>
     
  14. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ชอบครับเรื่องแนวนี้
     
  15. rasetsacrifa

    rasetsacrifa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +127
    มิธแลน ผมโคตรชอบเลยครับ

    จำได้ว่าอ่านอยู่อาทิตนึงแบบ ไม่หลับไม่นอนกันเลยทีเดียว

    จบ ไม่มีไรให้อ่านเลยครับ แต่ก็ยังเข้าเรื่อยๆ อิอิ

    เว็บนี้ เขาดีๆจริงๆ ผมชอบบทความ ดาวดวงที่ 12 นี่เป็นพิเศษเลยครับ

    อิอิ
     
  16. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    ได้ความรู้สุดยอดเยี่ยม กระเทียมเจียว เลยเชียว .....55555+
     
  17. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    เหมือนนิยายมากกว่า เชิงวิชาการ นะ

    ให้ความน่าเชื่อถือ 5/10
     
  18. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
     
  19. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    [​IMG]

    ข้อสันนิษฐานเกื่ยวดาวเกตุ และ ดาวนิบิรุ

    สำหรับดาวเกตุเป็นที่รู้จักกันดีว่า คือ ดาวที่ไม่มีตัวตน เป็น วิญญาณธาตุ

    มีวงโคจรราศีหล่ะ 2 เดือน แต่ก็มีตำราบางเล่ม

    ที่ตั้งข้อสังเกตุว่า อาจจะเป็นกลุ่มดาวที่วงโคจรผิดปรกติหลงเข้ามาก็ได้

    ตอนนั้นจะมีโหรหลายคนสงสัยว่าจะเป็นดาว พลูโต เพราะพลูโต โคจรแบบ วงรี

    แล้วในบางครั้งก็ สามารถโคจรเข้าใกล้โลกและดวงอาทิตย์ได้

    ****เป็นไปได้ไหมที่ โหร สมัยก่อน เห็นดาว นิบิรุ แล้วเฝ้าสังเกตุการโคจรของมันมาตลอด แล้วจดบันทึกเหตุการณ์สำคัญในบ้านเมืองไว้ทั้งหมด จนในที่สุดก็ยกย่องให้
    ดาวนิบิรุ คือ ดาวเกตุ สุดยอดดาวศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองมนุษย์ ****

    หลังจาก บันทึกได้สักระยะ อยู่ดีๆ ดาวนิบิรุ ก็หลุดพ้นวงโคจรหายยยยยยยยยยไปเลย
    ทำให้ โหรปวดหัวมาก แต่จะทิ้ง บันทึกทางสถิติโหราศาสตร์ไปก็เสียดายมากๆ

    เลยมีการตั้งดาวใหม่ขึ้นมา

    ให้ชื่อว่า ดาวเกตุ -- เป็นดาวศักดิ์สิทธิ์ มีวงโคจรใกล้โลก ย้ายราศีทุก2เดือน
    แล้วให้รุ่นลูกหลาน จดบันทึกไปเรื่อยๆ โดยใช้การสมมุติฐานเอา
    ว่า สมมุติว่ามันโคจร มาเรือน ราศีพิจิกนะ เด็กที่เกิดวันนั้นนิสัยยังไงคะ
    มีรสนิยมทางเพศเป็นไง นิสัยยังไง


    สรุปได้ว่า ดาวเกตุก็คือ ดาวนิบิรุแหล่ะ แต่วงโคจรไม่ตรงกับดาวนิบิรุของจริง
    เพราะ ดาวนิบิรุ ของจริงโคจรแบบดาวหาง ตอนเข้าใกล้โลก น่าจะโคจรผ่านราศีหล่ะ 2 เดือน ตามแบบที่โหราจารย์สมัยก่อนบันทึกไว้

    เพราะ ดาวพวกนี้ยาวเข้าใกล้ดาวอาทิตย์จะโคจรเร็วมากๆ ทำให้ย้ายราศีเร็ว แต่พอ ถอยตัวออกห่างดวงอาทิตย์ออกมาจะเคลื่อนตัวช้ามากๆ
    ที่สำคัญ ช่วงที่ดาวนิบิรุ ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าใกล้โลก ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญมากมายในอินเดีย ทำให้ โหรอดไมได้ ที่จะสนใจ ในตัวดาวนิบิรุอย่างมากๆ แต่อยู่ดีๆมันก็หายไปเลย

    ทำให้ ดาวเกตุจึง ถือกำเนิดขึ้นมาแทน
    ทั้งที่ไม่มีตัวตนให้โหรเห็น แต่ก็มีการบันทึกความหมายทางสถิติมาเรื่อยๆ โดยอิงจาก การโคจรย้ายราศี และ การโคจรสัมพันธ์กับดาวดวงอื่นๆโดยที่

    โหราศาสตร์สากล (หรือยูเรเนียน) งง กับเจ้าดาว เกตุมากๆ

    เพราะ ยูเรเนียน ไม่มีการดูดวงโดยใช้ดาวเกตุ
    ยูเรเนียนจะดูดวงดาวเพิ่มมา 2 ดวง คือ ดาวพลูโต และ เนปจูน
    ซึ่งโหราศาสตร์ไทย หรือ อินเดีย จะไม่ดูดวงโดยใช้ดาวเนปจูน หรือ พลูโต
    ตำราโหราศาสตร์ไทยเปรี้ยวอยู่แล้วเพราะมีดาวเกตุ (ซึ่งไม่มีตัวตนมาใช้ดู)

    กรณีดาวเนปจูน ทางยูเรเนียนจะยกย่องให้เกื่ยวกับ เทพโพเซดอน จะเกื่ยวกับทะเล มรสุมทางทะเล ภัยทางทะเลและอื่นๆอีกมากมาย

    ส่วนดาวอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ ราหู(โลก)

    ดาวมฤตยู ดาวเกตุ --- ปัจจุบันยังใช้ดูดวงกันอย่างแพร่หลายแม้ เกตุจะไม่มีตัวตน แต่ตำราเก่าก็ระบุชัดนะว่า

    พระเกตุ -ในตำรา อ.เก่งกาจ บอกว่าเป็นสีแสด

    ของ อ.ประภาพร บอกว่า เป็นสีทองบอรน์ คล้ายทองคำขาว
    สีที่ส่องประกายเงินๆคล้ายตะกั่ว (จะว่าไปก็เหมือนในรูปอยู่นะ)

    สรุปคือ ดาวเกตุคือ ดาวที่มีประกายในตัวเอง

    ส่วนดาวอังคาร ---ก็สีชมพู ดาวจันทร์--- ก็สีเหลือง

    ++++ให้ 4 ดาวเลย เป็นไปได้ไหมว่า ดาวนิบิรุ มีสีออกจะบรอนซ์


    ++++++++++++++++++

    โดยส่วนตัวดิฉันเชื่อว่าดาวเกตุ มีกำเนิดมาจาก ดาวนิบิรุแหละ

    แต่เพราะมันหลุดวงโคจรไปทำให้ โหรสมัยนั้นเสียดายมากที่จะไม่สามารถบันทึกทางสถิติได้อีก เลยตั้งค่าสมมุติขึ้นมาว่า มันโคจรแบบ 2 เดือนย้ายราศีนะ แล้วสมมุติว่า
    มีดาวดวงนี้จริงๆ แต่มองไม่เห็น แล้วที่ผ่านมาหลายพันปี ก็ยึดหลักการโคจรแบบ 2 เดือน
    ใช้บันทึกทาง สถิติแทน ดาวนิบิรุตัวจริงที่หลุดวงโคจรไปแล้ว

    โดยยังใช้หลักสถิติแรกที่จดไว้ ( เมื่อเห็นดาวเกตุบนท้องฟ้า จะมีอะไรที่เหนือธรรมชาติเกิดขึ้น) เพราะ ดาวเกตุเป็นดาวศักดิ์สิทธิ์


    +++++++++++++++++++++++

    ความจริงแล้วการบันทึกทางดาราศาสตร์ของโหรไทยมีความละเอียดมากๆ เช่นดาวดวงนี้มีสีนี้นะ ตอนดาวอังคารมันโคจรใกล้โลกเกิดสงครามใหญ่นะ

    และดาวทุกดวงมีโอกาสโคจรแบบผิดปรกติได้

    เช่น พักร์ มน เสิด

    เดินหน้าถอยหลัง พักร์
    เดินหน้าเร็วกว่ากำหนด มน
    เดินหน้าช้ากว่ากำหนด เสิด

    ดาวอาทิตย์ มีความหมายอย่างนี้นะ ตอนที่ดาวอาทิตย์เคลื่อนเข้ารนาศีนี้
    มีเหตุการณ์แบบนี้นะ ตอนราหูจะย้ายเรือนเกิดภัยธรรมชาตินะ
    โหราจารย์สมัยก่อน จะอาศัยการสังเกตุบนท้องฟ้าและจดบันทึกสถิติต่างๆ

    ช่วงที่ ดาวโคจรมาใกล้โลก อาจจะเห็นพอดีเลยคอยสังเกตุการโคจรผ่านแต่หล่ะราศีว่า

    ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ ซึ่งวงโคจร ราศีหล่ะ 2 เดือน บ่งบอกชัดว่า

    ดาวดวงนั้นที่อาจจะเป็นดาวนิบิรุ น่าจะโคจรใกล้กับโลกมากๆ เพราะ ดาวอังคารโคจรราศีหล่ะ 45 วันถึงย้ายราศี

    ส่วนโลกโคจร 1 ปี 6 เดือนถึงย้ายราศี ซึ่งแปลได้ชัดเจนว่า ดาวเกตุโคจรมาใกล้โลกมากมาลองดูตารางเทียบนะคะ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0 _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TBODY _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TABLE style="WIDTH: 567px; HEIGHT: 377px" cellSpacing=1 cellPadding=2 width=567 border=1 _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TBODY _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD colSpan=3 _base_href="http://www.horawej.com/template/">ระยะการเดินทางของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในแต่ละราศี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">ดาว
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">โคจรราศีละ
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">ครบจักรราศีจะใช้เวลา
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">อาทิตย์
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑ เดือน
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">จันทร์
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๒ วันเศษ
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑ เดือน
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">อังคาร
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๒ เดือน
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๒ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">พุธ
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">ประมาณ ๑ เดือน
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">เกือบ ๑ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">พฤหัสบดี
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑ ปี
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑๒ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">ศุกร์
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">ประมาณ ๑ เดือน
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">เกือบ ๑ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">เสาร์
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๒ ปีครึ่ง
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๓๐ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">ราหู
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑ ปีครึ่ง
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑๘ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">เกตุไทย
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๒ เดือน
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๒ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">มฤตยู
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๗ ปี
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๘๔ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">เนปจูน
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑๓ ปีเศษ
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๑๖๕ ปี
    </TD></TR><TR _base_href="http://www.horawej.com/template/"><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">พลูโต
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๒๐ ปีเศษ
    </TD><TD _base_href="http://www.horawej.com/template/">๒๔๗ ปี

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2008
  20. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    มาดูข้อมูลเกื่ยวกับดาวเกตุนะคะ

    เป็นบันทึกที่สอนกันมานมนาน ว่า จะทายอายุยืนให้ทาย ดาวเกตุ

    ซึ่งจริงๆ ดาวเกตุก็ไม่มีตัวตน แต่ก็อาศัยหลักการบันทึกทางสถิติใช้ทำนายมาเรื่อยๆ

    เอาเป็นว่า ดาวเกตุ ไม่มีการโคจรผิดปรกติแบบดาวดวงอื่นแน่นอน เพราะมันไม่มีตัวตน


    ทำให้ การวางตำแหน่งดาวในปฎิทินดาราศาสตร์ง่ายมากเพราะมันเป็นดาวสมมุติ

    ดาวเกตุแทน อวัยวะ ลมหายใจ วิญญาณ ชีวิต กระแสจิต

    สี- สีเทาจาง สีทองบอรน สีออกประกายตะกั่ว
    (ในบางตำราบอกว่าคือ ...สีแสด)
    +++ถ้าดาวนิบิรุอะไรเนื่ย มีสีออกทองคำขาว ก็น่าจะใช่ดาวเกตุอยู่นะเพราะการบันทึกสีของดาว โหราจารย์สมัยก่อน คงจะบันทึกไม่มีพลาดอยู่แล้ว+++

    เพราะสี ที่ใช้เป็นตัวแทนดาวแต่หล่ะดวง ก็คือสีของดาวนั้นเอง
    เช่น สีส้ม แทนดาวพฤหัส ก็เพราะ ดาวพฤหัสมีสีส้มนั้นเอง

    ดาวเกตุจะ มีความหมายเกื่ยวกับคนต่างชาติ วิญญาณ การทรงเจ้าเข้าผี ชาวต่างประเทศ /เป็นไปได้ไหมว่า อาจจะหมายถึง
    พวกต่างดาวด้วย

    แทนสัตว์ - พวกสัตว์โบราณ สัตว์ดึกดำบรรพ์

    แทนพืช -ที่อายุยืนมากๆ เก่าแก่

    ลักษณะนิสัย ผิวขาว ร่างท้วม หรือ ผอมบาง คนชรา
    ใบหน้า และรูปร่างผิดสัดส่วน นิสัยลึกลับ มักบ๊อง หรือ ห่าม ชอบทะลุกลางป้อง( บางทีชาวดาวนิบิรุ อาจจะบ้าๆบอๆในสายตาชาวโลกก็ได้ แถมพวกที่มาก็แก่เชียว แถมเอาต้นไม้ และสัตว์แปลกๆมาด้วย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...