2549 ปีจอ-ปีหมาดุ

การผลัดปีไทยแม้จะถือเอาวันที่ 1 มกราคม ตามสากล แต่ว่ากันตามโหราศาสตร์ยังคงถือวันสงกรานต์เช่นเดิม โดยถือเอาเวลาที่ดวงอาทิตย์ย้ายเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 14 เมษายน 2549 ตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา 30 นาที 36 วินาที

ดวงเมืองปีระกา เศรษฐกิจที่ว่าแย่แล้ว ย่างเข้าปีจอยิ่งแย่หนัก เป็น หมาดุ เป็นปีแห่งความเลวร้ายทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ การก่อการร้ายที่ทะลุเพดานไปสู่การก่อวินาศกรรม

โสรัจจะ นวลอยู่ ถึงกับกล่าวถึงดวงเมือง ปี 2549 ในหนังสือ ศาสตร์แห่งโหร ว่า

"พระอาทิตย์จะมืดมิด พื้นพสุธาจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พื้นแผ่นดินจะจมลงสู่ทะเล เกิดน้ำท่วมใหญ่ ปลาจะกินดาว ฝนกรดจะตกลงเป็นไฟ น้ำจะพุ่งสูงถึงพระจันทร์ ไฟประลัยกัลป์จะทำลายล้างโลก" ทั้งหมดนี้คงใกล้เข้ามาถึงมนุษยชาติแล้ว

ภัยพิบัติทางธรรมชาติยังไม่หยุดยั้งจะมีการสูญเสียแผ่นดินทางภาคใต้แถบฝั่งทะเลอันดามันตั้งแต่จังหวัดระนองลงมา อาจจะจมสู่ใต้ทะเลในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว ผู้คนจะล้มตายและสูญหายเป็นจำนวนมาก

อิทธิพลของดาวเสาร์ทำให้เป็นปีนี้เป็นปีแห่งการก่อการร้ายและวินาศกรรมทั้งปี มีการเคลื่อนไหวของผู้คนที่ไม่สามารถจะควบคุมได้ใน 3 จังหวัดภาคใต้ แต่ตามดวงเมืองแล้วไม่บ่งบอกว่าเราจะเสียดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้

ดวงผู้นำประเทศไม่สัมพันธ์กับดวงเมืองปี 2549 นี้ ทำให้เหตุการณ์ร้อนแรงบานปลายขยายวงกว้าง

รัฐบาลจะประสบภาวะวิกฤตอย่างรุนแรงแทบหาทางออกไม่ได้ รัฐมนตรีที่มีอำนาจบางคนใช้อำนาจย่ำยีต่อกฎหมายและคอร์รัปชั่นโกงกินจะต้องได้รับกรรม อาจถูกจับประหารในที่สาธารณชน ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองอาจต้องหาทางแก้ไขความปั่นป่วนของฝูงชน ในช่วงปีนี้บุคคลสำคัญจักร่วงหล่นไป

เศรษฐกิจของประเทศซบเซาเหมือนปีก่อนแต่หนักกว่าเข้าขั้นโคม่า เป็นปีแห่งการล้มละลายทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ประชาชนอดอยากเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า บริษัทส่วนใหญ่ต้องปิดตัวลง ปัญหาเรื่องการว่างงานจนล้นเมือง ธุรกิจการส่งออก ค่าเงินบาท ตลาดหุ้นถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก สถาบันทางการเงินและธนาคารใหญ่ๆ ล้มลง ประชาชนเบียดเสียดแย่งกันถอนเงินโกลาหลจนเกิดการจลาจล มีการเผาสถานที่หรือหน่วยงานของชาวต่างชาติบางแห่งจนย่อยยับ

ปลายปีโลกจะเข้าสู่ยุคเข็ญ สหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลางเริ่มเปิดฉากสงครามปรมาณู มีการใช้ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์หรือสงครามไฮเทคนำมาใช้กัน ทำให้เกิดจุดวิกฤตการณ์ของโลกเขม็งเกลียวเป็นสงครามเลือด บ้านเมืองพินาศ ผู้คนล้มตายจำนวนมหาศาล สงครามครั้งนี้จะยืดเยื้อไปอีกหลายปี

 

ก่อน อื่น ขออนุโมทนา กับ เรื่องที่นำมาเสนอ
แต่ ..ไม่มีข้อดี เลยหรือ
มีแต่ สิ่งเลวร้าย

 

ขออนุโมทนาด้วยครับ ++++ อืมมันตรงกับความคิดของผมเลยที่ปีนี้ไม่ดีเลย+++แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ใครทำอะไรไว้ก็แล้วแต่ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

 

ถ้าแม่นอย่างที่ว่าคนคงไปเป็นหมอดูกันหมดล่ะครับ

ชีวิตนี้เราเองกำหนดตถาคตท่านสอนไว้
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติตั้งไว้อายตนะทั้ง 6

ทำดี ดี อันนี้จริงแท้แน่นอน

ตริตรองลองพินิจพิจารณาด้วยปัญญา แล้วจึงค่อยตัดสินใจเชื่อ
กาลามสูตร
(กาลามสูตร เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือ เกสปุตตสูตร)
สูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะ
แห่งเกสปุตตนิคม ในแคว้นโกมล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ
๑.
มา อนุสสะเวนะ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังบอกตามๆ กันมา
๒.
มา ปรัมปรายะ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมาอย่างปรัมปรา
๓.
มา อิติกิรายะ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
๔.
มา ปิฎกสัมปะทาเนนะ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ คำว่า ปิฎก ในที่นี้ก็คือ สิ่งที่เรา
เรียกว่าตำรา สำหรับพระพุทธศาสนา ก็คือ บันทึกคำสอนที่เขียนไว้ในใบลาน
เอามารวมกันไว้เป็นชุดๆ เรียก ไตรปิฎก
๕.
มา ตักกะเหตุ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยตรรก ด้วยการใคร่ครวญตามวิธีที่เรียกว่า ตรรกะ
เพราะว่าตรรกะก็ยังผิดได้ ในเมื่อเหตุผลหรือวิธีใช้เหตุผลมันผิดอยู่
๖.
มา นะยะเหตุ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอนุมาน ด้วยเหตุผลว่าสมเหตุสมผลทางนัยยะ
๗.
มา อาการะปะริวิตักเกนะ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล ด้วยการตรึกตามอาการ
คือ ตามความคุ้นเคย ด้วกยการคิดตามสบายใจ ที่เรียกกันสมัยนี้
ว่า common sense
๘.
มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน อย่าได้รับเอาเพราะว่าสิ่งนั้น
ทนได้ต่อการเพ่งด้วยทิฏฐิของตน ตัวเองมีทิฏฐิอย่างไร ถ้าเขามาสอนด้วย
คำสอนชนิดที่เข้ากันได้กับทิฏฐิของตัวเอง ก็อย่าเพิ่งถือเอา
เพราะว่าทิฏฐิของตัวเอง ก็ผิดได้
๙.
มา ภัพพะรูปะตายะ
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ เพราะเหตุว่าผู้พูดมีลักษณะ
น่าเชื่อถือ มีคำพูด มีลักษณะท่าทางที่น่าเชื่อ
๑๐.
มา สัมโณ โน คะรูติ
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล
มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
คำสอนทั้ง ๑๐ ข้อนี้ เรียกว่าเป็นเสรีภาพในการรับถือธรรมะ
มาเป็นที่พึ่งของตน

ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
____________________________

อานิสงส์ของการฟังธรรม
1.ได้ความรู้ใหม่
2.ได้ใส่ใจเรื่องเก่า
3.บรรเทากังขา
4.มีสัมมาทิฏฐิ
5.จิตใจผ่องใส

 

พระพยอมเคยบอกว่า
คนที่ไปทำบุญด้วยความศรัทธานั้นหายาก
เพราะบางคนไปทำบุญนั้นก็เพราะหมอดูทักว่ามีเคราะห์
ถ้าหมอดดูไม่ทักพระก็คงอดตายไม่มีคนไปทำบุญทำทาน
______________________________________
ฉะนั้นเวลาจะทำบุญเราก็ควรให้มีความศรัทธาเกิดขึ้นในตัวเรา

เวลาที่เราจะถวายสิ่งของอะไรให้กับก็ควรไปถามพระก่อนว่าวัดที่เราจะนำของไปถวายนั้นขาดเหลืออะไร
ไม่ใช่ว่าเรานึกอยากจะถวายอะไรก็ถวายอันนี้ไม่ถูก
เพราะสิ่งที่เรานำไปถวายนั้นอาจจะไม่เกิดประโยชน์กับวัดเลย

 

โสรัจจะ นวลอยู่ ทำนายแบบนี้ทุกปี ลองเปิดดูเล่มปีที่ผ่านมาก็ได้

 

ผู้ที่มีสติแม้จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรก็สามารถผ่อนคลายสถาณการณืได้ศาสนาพุธเราสอนให้มีสติกันอยู่แล้วยิ่งเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรมด้วยละก็ไม่ต้องห่วงเลย