การ์ตูนสอนศาสนาคริสต์ แต่มีการพาดพิงถึงศาสนาพุทธ ไม่ได้ว่าศาสนาคริสต์ไม่ดีนะ แต่เราว่

น่าอ่านดี เข้ากับ กระทู้ใหม เนี่ย มันออกจะ วิทยศาสตร์ บ้าง

Creation and Evolution


ทฤษฎีวิวัฒนาการ

เราอาจหาคำนิยามของการวิวัฒนาการว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งกระบวนการนี้มีด้วยกัน 2 ระดับ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพทางพันธุกรรมเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ ไม่มีปัจจัยใดมาเกี่ยวกับสาเหตุนั้น แนวคิดสมัยใหม่เรื่องการวิวัฒนาการใช้แนวคิดของดาร์วินเป็นฐานในการศึกษา โดยยึดแนวคิด

 

พระเจ้า"ของซิกมุนด์ ฟรอยด์

ที่มา : นสพ. มติชน ฉบับวันที่ 15 ก.พ. 2547

คอลัมน์ หน้าต่างความจิรง

โดย ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์

ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งวิชาจิตวิเคราะห์" (Psycho-analysis) ได้เสนอแนวคิดในเรื่องการกำเนิดของ "พระเจ้า" (God) ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง ฟรอยด์สนใจว่าเพราะเหตุใด ผู้คนจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ จึงเชื่อในเรื่องพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระเจ้าเป็นเพียงแนวคิด ในเชิงนามธรรมเท่านั้น หลังจากที่เฝ้าศึกษาอยู่นานหลายปี ในที่สุดฟรอยด์ก็อธิบายได้สำเร็จ และกลายเป็นทฤษฎีหนึ่ง ที่มีความสำคัญยิ่งในเรื่องของศาสนากับจิตวิเคราะห์

ฟรอยด์ซึ่งเป็นนักคิดในโลกตะวันตกมองว่า ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ธรรมชาติภายนอกเป็นภัยคุกคามของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่หนาวจัด สิงสาราสัตว์ที่ดุร้าย โรคภัยไข้เจ็บที่คร่าชีวิตมนุษย์ครั้งละเป็นจำนวนมาก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เหล่านี้เป็นต้น มนุษย์จึงได้สร้างวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อปกป้องมนุษย์ให้พ้น จากภัยคุกคามของธรรมชาติ ครั้นเมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นสังคม และสร้างวัฒนธรรมเมืองขึ้นแล้ว มนุษย์ก็ต้องเผชิญกับภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ด้วยกันเองอีก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การกดขี่เบียดเบียนกัน ความอิจฉาริษยา การแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน เป็นต้น มนุษย์จึงต้องสร้างกฎกติกาทางสังคมขึ้นมา

ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความต้องการทางร่างกาย หรือสัญชาตญาณตามธรรมชาติ เช่น มนุษย์ต้องการอาหาร การนอนหลับ การขับถ่าย และการสืบพันธุ์ เป็นต้น ซึ่งฟรอยด์เรียกว่า "อิด" (id) เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นสังคม และต่างคนต่างก็ทำตามสัญชาตญาณแห่งความ ต้องการทางร่างกายของตน ความสับสนอลหม่านจึงเกิดขึ้น มนุษย์จึงได้สร้างกฎระเบียบหรือ "กติกา" ทางสังคมขึ้น เช่น ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ศีลธรรม ศาสนา และกฎหมาย เป็นต้น โดยต่างฝ่ายต่างยินยอมจำกัดความต้องการตามสัญชาติญาณของตนเองลง ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขของสังคม แต่ขณะเดียวกันก็เพื่อความสงบสุขของตนเองด้วย ฟรอยด์เรียก "กฎระเบียบหรือกติกาทางสังคม" นี้ว่า "ซูเปอร์อีโก้" (super-ego) ตามทรรศนะของฟรอยด์ มนุษย์แต่ละคนจะประนีประนอมระหว่าง "อิด" กับ "ซูเปอร์อีโก้" ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน กลายเป็นบุคคลิกภาพหรือความเป็น "ตัวตน" ของคนๆ นั้นขึ้นมา ซึ่งฟรอยด์เรียกว่า "อีโก้" (ego)

ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ มนุษย์รับรู้โลกภายนอกโดยผ่าน "จิตสำนึก" (conscious mind) ตั้งแต่เด็กประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในจิตสำนึกของมนุษย์ ในที่สุดแล้วมิได้หายไปไหน แต่กลับถูกเก็บไว้ในก้นบึ้งของจิตใจที่เรียกว่า "จิตใต้สำนึก" (subconscious mind) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ที่มีผลกระทบกับเราอย่างรุนแรง ไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกยาวนานเป็นพิเศษ

ฟรอยด์วิเคราะห์ว่า ในวัยเด็กเล็กเมื่อเราเกิดความตกใจกลัวไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม เราจะวิ่งเข้าไปกอดพ่อ เรียกร้องหาพ่อ (ส่วนแม่นั้นเราจะร้องหาก็ต่อเมื่อเราต้องการความรักความอบอุ่น เช่น เวลาจะกินนม หรือจะให้กล่อมนอน เป็นต้น) เพราะพ่อคือที่พึ่งที่สูงสุดของเด็ก ในวัยเด็กเรามีความรู้สึกว่า พ่อเป็นบุคคลที่เข้มแข็งที่สุดที่สามารถปกป้องคุ้มครองภัยทุกอย่างแก่เราได้ (omnipotent) พ่อเป็นบุคคลที่รอบรู้ทุกเรื่อง ไม่ว่าเราสงสัยอะไรหรือถามอะไร พ่อจะตอบได้ทุกอย่าง (omniscient) พ่ออยู่กับเรา (หรืออยู่ฝ่ายข้างเรา) ตลอดเวลา เราสามารถเรียกหาพ่อได้ในทุกโอกาส และทุกเวลา (omnipresent) และพ่อก็จะอยู่กับเราตลอดไป แม้ว่าบางครั้งพ่ออาจจะดุเราบ้างทำโทษเราบ้าง แต่พ่อก็มีความรักความเมตตาต่อเรา เราจึงมีความรู้สึกทั้งรักทั้งเคารพทั้งยำเกรงต่อพ่อ ความรู้สึกเช่นนี้ได้ฝังอยู่ใน "จิตใต้สำนึก" ของเด็กทารกหรือเด็กเล็ก ซึ่งฟรอยด์เรียกว่า "ปมแห่งความต้องการพ่อ" (Father Complex)

ครั้นเมื่อเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เราก็ค้นพบ (ด้วยความเจ็บปวด) ว่า ในความเป็นจริงแล้วพ่อของเราไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เราคิดในตอนที่เราเป็นเด็กเล็ก พ่อนั้นมีข้อจำกัดอย่างมากในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง พ่อไม่ได้มีอำนาจในทุกเรื่องอย่างที่เราคิด พ่อมีความรู้ที่จำกัด และพ่อก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างกับเราได้ตลอดเวลา แม้ว่าพ่อจะยังมีความรักความเมตตาต่อเราอยู่ก็ตาม และเหนือสิ่งอื่นใดพ่อนั้นมิได้เป็นอมตะ

ในวัยผู้ใหญ่เราอยู่ในสังคมที่สลับซับซ้อน ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องของหน้าที่การงานและเรื่องส่วนตัว เราเรียกร้องหาพ่อ แต่พ่อก็ไม่อาจตอบสนองต่อเราได้อีก ด้วยข้อจำกัดโดยประการทั้งปวงดังที่กล่าว และอีกไม่นานพ่อก็จะตายจากเราไป เราจะรู้สึกว้าเหว่เปล่าเปลี่ยว

ฟรอยด์วิเคราะห์ว่า เมื่อพ่อที่เป็นจริงไม่อาจเป็นที่พึ่งแก่เราได้อีก แต่ "ปมแห่งความต้องการพ่อ" ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ มนุษย์จึงไขว่คว้าเรียกร้องหา "พ่อที่ยิ่งใหญ่" พ่อซึ่งมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อซึ่งมีความรอบรู้ในทุกเรื่อง พ่อซึ่งจะอยู่กับเราในทุกหนทุกแห่ง พ่อซึ่งมีความรักความเมตตาอันยิ่งใหญ่ พ่อซึ่งเป็นอมตะและจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ตลอดไป มนุษย์จึงได้สร้าง "พระเจ้า" (God) ในฐานะ "พ่อที่ยิ่งใหญ่" (Father) ขึ้นมา เพื่อตอบสนองต่อ "ปมแห่งความต้องการพ่อ" ในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ "พระเจ้า" จึงสะท้อนออกมาจากความสัมพันธ์ในส่วนลึกของจิตใจของลูกที่มีต่อพ่อ ศาสนาจึงเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอในจิตใจของมนุษย์

 

ยาวมากเลย

 

ผมมีเพื่อนเป็นคริสต์คนหนึ่งเขาไม่นับถือพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก แต่ก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู

 

ผมคิดว่า ทุกทุกคำสอน ของทุกทุก ศาสนา สอนให้คนเป็นคนดีหมดละครับ

แต่อาจจะมีรายละเอียดปลีก ย่อยต่างกัน โดยส่วนตัวผมเอง ก็ชอบ มิกซ์
คำสอน และหลักการจากหลายๆ ศาสนา เข้าด้วยกัน

เพราะยังไงจุดมุ่งหมายเราก็คือ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

 

Please do not..........

มิได้จะมาเล่าชีวประวัติหรืออะไรนะครับผมเกิดมาจากเด็กบ้านนอกที่วันๆหนึ่งพ่อแม่มีแต่จะออกหางานทำ(แต่พ่อกับแม่ผมเลิกกันตอนอายุผม6ขวบ)ผมเองก็คนหนึ่งที่เข้าได้ทั้งสองศาสนาเพราะพ่อผมเป็นคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกแต่แม่ผมเป็นพุทธศานิกชนผมก็ไม่เคยตั้งแง่ว่าผมจะต้องรังเกียจศานานั้นศานานี้เพราะนิสัยคนไทยเรารักที่จะสามัคคีอยู่แล้วผมเองก็เคยไปล้างปาบหรือรับพัพติสมาแล้วแต่เนื่องจากผมเองต้องมาอยู่กับแม่จึงเข้าสู่พุทธศานาแต่ผมก็เคยเข้าโบสถ์ไปอธิฐานจิตทุกวันอาทิตย์เหมือนกับคริสศานิกชนทั่วไปจนถึงที่แม่ผมกับพ่อผมเลิกทางกันผมก็เลยต้อง
ทำตามแม่และผมเริ่มศึกษาวิปัสสนากรรมฐานมาตั้งแต่เด็กๆเพราะมีคำอยู่คำหนึ่งผมจำได้ว่าบทสวดมนต์ทำนองสรภัญญะจะมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า

 

ช่างมันเถอะ เราอย่าไปว่าใครเป็นใช้ได้

 

ผมก็ไปมาหลายที่ครับ โบสถ์คริสต์ก็เคยเข้าเพราะเพื่อนเป็นคริสต์ มัสยิสก็เคยเข้าเพราะปู่เป็นอิสลามผมยังเคยไหว้แบบอิสลามก็หลายครั้ง เพราะอยู่ในสังคมเขา ไปร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าก็เคยทำมาแล้ว แต่ไม่มีครัยรู้ว่าผมแขวนพระพุทธเจ้าไปด้วยตลอด หึหึ... ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีทั้งนั้นละครับ ที่เพี้ยนไปก็พวกมารทั้งนั้นละครับ

 

แล้วพระเยซูตายอย่างไรขอรับ บอกหน่อยเถอะ

 

ขอถามอีกข้อ ถ้าเอารูปการ์ตูนเวบฯนั้นวาด ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ไหม เพราะดูแล้วรู้สึกว่า โม้ แถมยังใส่ร้ายพระสงฆ์
เหมือนกับว่า เป็นมือที่ 3 ที่จะยุให้ พุทธกับคริสต์ ทะเลาะกัน
ช่วยพิจารณาหน่อยเถอะ

 

อย่าไปยึดติดกับมันเลย
ก็แค่การ์ตูน อย่าไปใส่ใจ
เค้าทำอะไรก็ให้เค้าทำไป

ถ้าเรามีใจหนักแน่นพอ
ของแบบนี้ต้องไม่กระทบจิตใจเรา
เราทำของเรา ปฏิบัติของเราไป
เราเชื่อว่่าทำแบบเรา เราได้ดี มีความสุขก็ทำไป
เค้าเชื่อทางนั้นก็ให้เค้าทำไป

อย่าให้ความเชื่อของแต่ละศาสนา
เป็นเหตุแห่งการทะเลาะแบาะแว้งดีกว่า
ดีไม่ดี จะได้บาปทั้งสองฝ่าย

 

คำสอนบิดเบือน
พระเจ้าสร้างโลกใครสร้างพระเจ้า
เหมือนท้าวพกาพรหมคิดว่าตนสร้างโลกเพราะว่าตนมีฤทธิ์มาก
พอพระพุทธเจ้าขึ้นไปปราบก็สำเร็จเป็นพระพรหม
พระเยซูนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไง
แต่ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี
พวกมารร้ายต่างหากละที่จะต้องตกนรกชั่วตลอดกาลนาน

 

ทุกศาสนาล้วนดีงาม ขอจงยึดมั่นแก่นแท้ไว้ให้ได้


มารทั้งหลายมักกระทำการในรูปแบบต่างๆ ให้ศาสนิกเตลิดหลงทางเข้ารกเข้าพง เพื่อฉวยจังหวะควบคุมครอบงำทั้งสังขารและจ<WBR>ิตวิญญาณไปลงนรก


รวมถึง มารซึ่งทำทีแฝงตัวอยู่ในศาสนา คอยล่อลวงยั่วยุด้วยสิ่งเท็จเทียมให้เกิดการขุ่นข้องหมองใจหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ระหว่างชนที่ต่างความเชื่อ


นั่นเอง เล่ห์แห่งมาร


ข้อมูลศาสนาคริสต์น<WBR>ิกายโรมันคาทอลิก ว่าด้วยแนวคิด วิถีปฏิบัติ และความเชื่อ มีให้ศึกษาที่นี่


http://www.catholic.or.th/

 

ผมอยากให้ทุกคนที่มีธรรมะ ได้เรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆที่ใช้ในทางธุรกิจ การเมือง การตลาด สังคมชีวิตประจำวันเรา ไว้ป้องกันตัวเอง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ โดยผ่านวรรณกรรม สามก๊ก ว่างๆก็ไปอ่านกันได้นะครับ เพื่อความบันเทิง เกิดสติปัญญา ได้สัจธรรมชีวิต ฯลฯ เรียกได้ว่าครบเครื่องเลยครับ เราจะได้รู้ทัน การเมือง ธุรกิจ การตลาด ฯลฯ ในปัจจุบัน ครับ

Click => สามก๊ก ฉบับนักบริหาร' By ศ.เจริญ วรรธนะสิน

 

ให้อภัยพวกเขาไปเถอะนะครับ เขียนไปตามความไม่รู้

เขาทำอะไร เขาก็จะได้ใน สิ่งที่เขาทำเอง หล่ะครับ

พระเยซู ท่านก็เป็นคนดี สอนสิ่งดีๆ ไม่เกี่ยวข้องอะไรหรอก

ชาวคริสต์ดีๆ มีมากมายเยอะแยะ มากกว่าพวกนี้หลายร้อยเท่า


พวกเราเป็นชาวพุทธ พวกเรารู้ในสิ่งที่ควรทำนะครับ

เดินตามรอยพระพุทธเจ้า และพระอริยะ ทุกๆพระองค์ครับ

สาธุ ขอ อนุโมทนาครับ

 

ท่านศาสนิกผู้เจริญและเข้าถึงแก่นธรรมแห่งศาสนาทุกท่าน ย่อมเข้าใจในคำสอนอันประเสริฐที่มีอยู่ในศาสนาตน ถึงเรื่องการอภัยและอโหสิกรรม


ซึ่งแต่ละคำสอนใช้ภาษาอักษรบรรยายต่างถ้อยคำ ทว่า คือความหมายเดียว


นั่นเอง กุศโลบายฝ่ายบุญกุศลที่ปรารถนาให้เกิดสันติและสุขต่อมวลชนทั้งมวล


ขณะที่ฝ่ายมารร้ายใช้กลอุบายยุแยงให้แตกแยกร้าวฉานมาทุกยุคสมัย


ศึกษาให้รู้ ดูให้เข้าใจ ใช้ให้เป็น ในแก่นแท้พระธรรมคำสอนแห่งศาสนาของแต่ละท่านเถิด

 

เขาก็ว่า เรา มานานแล้วล่ะครับ
บางศาสนา ยัง เผา เรา ด้วยซ้ำ

ของเราก็ มีเสื่อม มีรุ่งเรือง
ของเขา มีสงคราม มีแย่งชิง (ดินแดน)
ทั้งของเรา ของเขา ก็ มีบิดเบือน มีคนชั่ว มีคนดี

สรุป ทั้งของเรา ของเขา ก็เอาตัวไม่รอดกันทั้งนั้น​

 

มาตรฐานความของเขาคือต้องเชื่อ...
ความผิดคือไม่เชื่อ...
แล้วความถูกต้องล่ะ...
อิสระภาพ...ล่ะ...
สันติภาพล่ะ..
สันติสุขล่ะ...
...
อย่างนี้มันก็ไม่ต่างจากเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์เลยนะครับ
...
สวรรค์เป็นของท่านผู้เดียวจริงหรือ..???
ทางรอดมีทางเดียวจริงหรือ???...
..
.
คงไม่ละมั้ง???:555: (eek) (one-eye)

 

ที่เว็บบอร์ดโรงเรียน Bodinzone.com ก็เคยเห็นมีคนเอาไปโพสด้วยเช่นกัน แต่พอดี L รีบแจ้งลบซะก่อน กระทู้ก็ถูกลบไป

แต่ในบอร์ดของ Bodinzone ก็มีที่เป็นคริสต์อยู่เหมือนกันหลายคน ที่ L รู้จักในโรงเรียนก็มีที่เป็นคริสต์เยอะ พูดถึงที่โรงเรียน วิชาพระพุทธเป็นวิชาบังคับ แต่พวกที่เป็นคริสต์ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่ครับ

ถ้าคนจะมีปัญหากับศาสนาอื่น ไม่ว่าศาสนาใดๆ มันก็ต้องหาเรื่องทั้งนั้นแหละครับ ถ้าคนที่เขาไม่คิดอะไร จะอยู่ศาสนาไหน เขาก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละครับ

 

อืม..มันคงขึ้นอยู่กะคนมากกว่าค่ะ