ถ้ากระทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐานจะมีสิทธิ์ตกนรกไหม?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เมื่อข้าพเจ้าเลิกดื่มสุราได้แล้ว การบำเพ็ญทานและการรักษาศีลของข้าพเจ้าก็เป็นไปโดยง่าย ไม่มีอะไรติดขัดไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวาง ทำให้เกิดการไขว้เขวอีกต่อไป จึงนับว่าข้าพเจ้าได้เหยียบย่างขึ้นสู่บันไดขั้นที่ 1 อันเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนาได้แล้วอย่างค่อนข้างมั่นคงทีเดียว แต่คนอย่างข้าพเจ้าย่อมไม่อยู่หยุดเพียงเท่านี้แน่ จะต้องพยายามหาทางก้าวเดินขึ้นสู่บันไดขั้นที่ 2 คือการเจริญภาวนาให้ได้ฌานสมาบัติให้จงได้

    ด้วยเหตุนี้ในคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าไปไหว้พระสวดมนต์ตามที่หลวงพ่อเคยสอนไว้(จะสวดอะไรบ้างนั้นขอท่านผูอ่านจงเปิดดูในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานที่หลวงพ่อเขียนไว้เถิด เพราะขณะนี้ได้มีจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มไว้แล้ว) แล้วลองนั่งดูตามแบบฉบับของการนั่งกรรมฐานคือนั่งขัดสมาธิเพชร นั่นเอง ต่อจากนั้นก็เริ่มระลึกถึงลมหายใจเป็นอารมณ์(อานาปานุสสติกรรมฐาน) แล้วกำหนดเอา “พุทโธ” เป็นองค์ภาวนา (พุทธานุสสติกรรมฐาน) คือหายใจเข้าภาวนาว่า “พุท” หายใจออกภาวนาว่า “โธ” และชั่วระยะเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกคันตามเนื้อตามตัว โดยเฉพาะที่ใบหน้าเหมือนมีตัวแมลงมาเดินไต่ยิ่งหักห้ามใจสะกดนิ่งไว้ เจ้าแมลงที่ว่าก็ดูเหมือนจะเดินไปเข้าหูบ้าง จมูกบ้าง จนข้าพเจ้าทนไม่ไหว ต้องใช้มือคอยปัด และเกาตามเนื้อตามตัวที่คันอยู่บ่อยๆ อดนึกขำไม่ได้ที่มีคนเคยเอาปัญหานี้ถามหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อเย้าว่า

    “ไอ้ตัวสมาธินี่มันคันใช่ไหม อย่าไปสนใจมันนะปล่อยไปเดี๋ยวมันก็หายคันเองแหละ” เอ้าปล่อยก็ปล่อย ข้าพเจ้ากำหนดจิตอยู่แต่ลมหายใจเข้า-ออก และองค์ภาวนา “พุทโธ” ต่อไปความคันต่างๆ เกิดหายไปจริงๆ แต่ความเจ็บที่ตาตุ่มซึ่งกดติดกับพื้นกระดานนี่สิมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นที่ก้นกบอีกแห่งหนึ่งก็ดูเหมือนจะมีอาการเจ็บปวดขึ้น และแม้ว่าข้าพเจ้าจะหาเบาะมา รองพื้น และนั่งใหม่ก็หาได้พ้นจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นไม่ มิหนำซ้ำขาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า กลับเกิดอาการเหน็บชาจนขยับเขยื้อนไม่ได้เลยอีกด้วยเป็นอันว่าการเจริญภาวนาของข้าพเจ้าในคืนนั้น ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการเจริญภาวนานั้นทำไมจึงช่างยากเย็นและทุกขเวทนาเช่นนี้ และถ้าแก้ไขไม่ตกก็เห็นทีที่ข้าพเจ้าจะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่ 2 ไม่ได้แน่ ดังนั้นในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ถามหลวงพ่อว่า

    “หลวงพ่อคับ ถ้ากระผมทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐานจะมีสิทธิ์ตกนรกไหมครับ?”

    “มีสิทธิ์ตกแน่”หลวงพ่อตอบทันที

    “อ้าว ก็พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มิใช่หรือครับ?”ข้าพเจ้าแย้ง

    “ใช่ แต่คุณหรือคนธรรมดาทั่วๆ ไปจะมีใครกระทำแต่ความดี 100 เปอร์เซ็นต์ เล่า มีแต่ทำดีมาก ทำชั่วน้อยหรือทำชั่วมาก ทำดีน้อยจริงไหม? ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ ท่านมีสติทุกลมหายใจเข้าออกจึงจะทำความดีได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์”หลวงพ่ออธิบาย

    “แต่หลวงพ่อเคยพูดไว้นี่ครับว่า การบำเพ็ญทานและรักษาศีลนั้นถึงเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนา หากตายไปก็มีสิทธิ์ไปจุติเป็นเทวดา เสวยสุขในสวรรค์ได้”ข้าพเจ้าแย้งเพราะยังข้องใจอยู่

    “เก่งนี่ ที่จำได้ แต่นั่นต้องหมายความว่า ก่อนตายจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายต้องจับอยู่ในกุศลผลบุญของทาน ศีล ที่คุณทำมา

    “จิตก็คือจิต, กายก็คือกาย จิตมิใช่เป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของกายนะ เสมือนเช่นคนขับรถ ก็มิใช่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวรถนั่นแหละ กล่าวคือคนขับรถก็มิใช่เป็นพวงมาลัย,มิใช่เป็นเพลา,มิใช่เป็นลูกล้อ ,มิใช่เป็นตัวรถฉันใด จิตก็มิใช่เป็นหัวใจ, ไส้, ปอด,มันสมองหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายฉันนั้น เมื่อรถเกิดเสียคนขับก็พยายามซ่อม พยายามแก้ไข อย่างสุดความสามารถแต่เมื่อแก้ไขไม่ได้คนขับรถก็ต้องทิ้งรถหารถคันอื่นใหม่ฉันใด จิตก็เช่นกันนะ เมื่อกายเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยก็นำกายไปหาหมอให้รักษาเยียวยา แต่เมื่อไม่สามารถจะแก้ไขเยียวยาได้ จิตก็จำต้องทิ้งกายไปฉันนั้น”หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังสนใจฟังอยู่ก็พูดต่อว่า

    “คุณไปเอาอกเอาใจกายของคุณมามากต่อมากแล้วนะ อยากกินอะไรไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหนเพียงไรคุณก็พากายไปกินจนได้ อยากจะเที่ยวที่ไหน อยากจะดูอะไรคุณก็พากายไปเที่ยว ไปดู อยากจะเสียอยากจะงามเสีย เงินสักเท่าไรคุณก็สรรหามาแต่งให้กายคุณจนได้ อยากจะฟังอะไรคุณก็พากายไปฟัง หรือไม่ก็หาซื้อเครื่องเสียงขั้นดีมาเปิดให้ฟังแต่คุณเคยขอร้องอะไรกับร่างกายคุณบ้างไหม ลองใคร่ครวญดูให้ดีซิเวลาเกิดปวดหัว ปวดฟัน คุณขอร้องมิให้ปวดได้ไหม? เมื่อผมหงอกผมร่วงคุณขอร้องมิให้หงอก มิให้ร่วงได้ไหม?เวลาจะแก่คุณขอร้องไม่ให้แก่ได้ไหม? และเวลาคุณจะตายคุณขอร้องว่าอย่าเพิ่งตายได้ไหม? มันไม่เคยยอมทำตามที่คุณขอร้องเลยสักอย่างเดียวนะ นี่หรือมิตรแท้ มิตรแท้ก็ต้องฟังกันบ้างซิ ยามสุขก็ต้องสุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกันสิจึงจะถูก นี่อะไรทำชั่วไว้มากมาย พอตายนอนแหงแก๋ไม่ยอมตามไปรับกรรมในนรกด้วย ปล่อยให้จิตเป็นผู้รับภาระในการใช้หนี้กรรมเอาดื้อๆ เห็นไหมว่า มิตรที่แท้จริงของคุณก็คือจิตรนะ มิใช่กายเพราะจิตนั้นไม่มีวันตายและจะติดตามคุณไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะรับกรรมหรือเสวยสุขนะแต่คุณเคยเอาใจมิตรแท้หรือจิตของคุณบ้างไหม? เปล่าเลย คุณใช้จิตอย่างไม่เคยว่างเว้นใน 5 นาทีคุณคิดไม่รู้กี่เรื่องจริงไหม? มิหนำซ้ำยามนอนคุณก็ยังไม่ละเว้นที่จะใช้จิต จึงได้ฝัน ได้ละเมอเปรอะไปหมด คุณทารุณโหดร้ายต่อจิตซึ่งเป็นมิตรแท้ของคุณมามากแล้วนะ” หลวงพ่ออธิบายซ้ำ

    “แล้วผมจะเอาจิตซึ่งเป็นมิตรแท้ ได้อย่างไรครับหลวงพ่อ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้

    “ก็นั่งกรรมฐานซิ เมื่อจิตว่างก็จะได้พักผ่อน เมื่อจิตได้พักผ่อนก็เกิดเอิบอิ่ม มีพลังกล้าแข็ง ยังไงล่ะ”หลวงพ่อตอบยิ้มๆ

    “เมื่อคืนก่อนผมนั่งดูบ้างแล้วครับ แต่ทนทุกขเวทนาไม่ได้ จึงต้องเลิกนั่ง”ข้าพเจ้าตอบแล้วเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดแก่ข้าพเจ้าในการนั่งให้หลวงพ่อฟังดังที่ได้กล่าวในตอนต้น ซึ่งเมื่อหลวงพ่อได้ฟังแล้วก็หัวเราะพูดว่า

    “เอ๊ะ คุณนี่เอาจริงไม่เลวนะ แอบไปนั่งกรรมฐานจนค้นพบว่าตัวสมาธินี่มันคันมันเมื่อยเสียแล้ว แต่อย่างน้อยคุณก็ได้บุญแล้วนะ แต่ความจริงแล้วการเจริญพระกรมฐานนั้น ไม่จำเพาะแต่จะต้องมานั่งกรรมฐานอย่างเดียวเท่านั้นนะ ท่านให้ทำได้ถึง 4 อิริยาบถคือ ยืน เดิน นั่ง หรือนอนก็ได้นะ และการนั่งก็ไม่จำเป็นต้องนั่งให้ถูกตามแบบฉบับนักหากนั่งกับพื้นไม่ได้ก็นั่งบนเก้าอี้ หรือไม่ก็นอนสบายๆ บนเก้าอี้ผ้าใบก็ได้เราฝึกจิตนะ ไม่ใช่ฝึกทรมานกาย พระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนให้เดินสายกลางมิให้ตึงไป มิให้หย่อนไป ถ้ากำหนดกฎเกณฑ์ กันมากมายนักคนสูงอายุก็ดี คนอ้วนก็ดี ที่ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิกับพื้นได้ ก็ไม่ต้องมีโอกาสได้นั่งกรรมฐานซิ ถึงพยายามนั่งก็จะไม่ได้แค่ปฐมฌานทั้งนั้นเพราะเสี้ยนหนามของปฐมฌานก็คือนิวรณ์ 5 ซึ่งได้แก่

    1.ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(กามฉันทะ)
    2.ความผูกพยาบาท
    3.ความง่วงเหงาหาวนอน
    4.ความคิดฟุ้งซ่านและความรำคาญหงุดหงิดใจ
    5.ความเคลือบแคลงสงสัยในผลการปฏิบัติ

    ดังนั้นเมื่อเกิดความเมื่อยขบขึ้นมา ความหงุดหงิดรำคาญใจซึ่งเป็นหนึ่งในนิวรณ์ก็เกิดขึ้น และนิวรณ์ 5 นี้หากเกิดขึ้นแม้เพียงอย่างใด อย่างหนึ่งปฐมฌานก็เกิดขึ้นไม่ได้แล้วนะ เป็นยังไงเข้าใจหรือยัง?”หลวงพ่ออธิบาย

    “เข้าใจแล้วครับแบบนี้ค่อยยังชั่วผมจะพยายามเจริญพระกรรมฐานใหม่ ที่ผมท้อใจก็เพราะทนนั่งเจ็บตาตุ่มไม่ไหว ทรมานจริงๆ ครับ”ข้าพเจ้าตอบอย่างดีใจ

    “แต่การเจริญกรรมฐานนั้น คุณจะต้องปฏิบัติทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานด้วยนะ เพราะหากปฏิบัติแค่สมถกรรมฐานแม้จะบรรลุไปสู้จุดสุดยอดคือ ทางฌาน 4 มีจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ได้ก็จริงก็ยังเป็นแค่ฌานโลกีย์อยู่นะ จิตบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังขาดปัญญาเขาเรียกว่า “โง่บริสุทธิ์” นะ จริงอยู่ถ้าเกิดตายในขณะทรงฌานได้ก็จะไปเป็นพรหมได้ แต่คุณจะอยู่ในฌานได้ตลอดเวลาหรือ ส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่นอกฌานจริงไหม? และเมื่ออยู่นอกฌาน จิตซึ่งขาดปัญญาก็ย่อมตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมได้ เช่นปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปๆ ไปเหมือนกันและถ้าหากเกิดตายในขณะนั้นขึ้นมา แม้เคยทรงฌานได้ก็มีสิทธิ์ตกนรกได้นะ เขาเรียกว่า”ตายนอกฌาน” ยังไงล่ะ และก็มีมาแล้วมากต่อมากด้วยเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง ดังนั้นคุณจะต้องเอากำลังฌานของสมถกรรมฐานนี้มาพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานให้ได้ จึงจะล่วงข้ามความทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ หากแม้ไม่ได้ในชาตินี้โอกาสลงนรกของคุณก็จะไม่มีนะถ้าคุณฝึกจิตเพียงแค่อยู่ในระดับพระโสดาบันให้ได้เท่านั้น คุณก็หมดสิทธิ์ลงนรกแล้วนะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียดด้วยความเมตตาเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังอยู่ก็อธิบายต่อว่า

    “การให้ทานและรักษาศีลนั้น เป็นเพียงแค่ป้องกันหรือจำกัดเขตมิให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมนั้นออกมาเพ่นพ่านนอกกรอบด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความโลภ โกรธ หลงคือกิเลส หรือความทะยานอยากได้ อยากจะมี อยากจะเป็นคือตัณหา หรือการยึดมั่นถือมั่นว่าไอ้นั่นคือของเรา ไอ้นี่คือของเรา (อุปาทาน) ยังคงมีอยู่ในจิตนะ เสมือนหนึ่งจับเสือขังกรงไว้นั่นแหละ แม้มันจะไม่สามารถออกมาขบกัดทำร้ายใครได้ก็ตาม แต่มันก็ยังดุใช่ไหม? ส่วนการเจริญสมถกรรมฐานนั้นเพียงแค่ระงับกิเลส ตัณหา อุปทานและอกุศลกรรม ไว้ได้เพียงชั่วขณะที่ทรงฌานเท่านั้น เมื่ออกนอกฌานตัวกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมก็กลับพื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้อีก เปรียบเสมือนฉีดยาสลบให้เสือนั่นเอง ถ้าหมดฤทธิ์ยาสลบเมื่อใด เสือก็ยังคงเป็นเสือที่ดุร้าย พร้อมจะขบกัดทำร้ายผู้คนอยู่เช่นเดิมนั่นแหละ แต่ถ้าหากได้เจริญวิปัสสนาญาณจนเกิดปัญญารู้เท่าทันในกิเลสตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมแล้วค่อยๆละ ค่อยๆ ตัดสังโยชน์ 10 ออกไปทีละข้อๆ ได้จบครบทั้ง 10 ข้าเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน แล้วนั่นแหละ ตัวกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ทั้งหลายจึงหมดฤทธิ์ เปรียบเสมือนหนึ่งคุณใช้มีดเข้าห้ำหั่นเสือจนตายไปนั่นแหละ เสือจึงสิ้นฤทธิ์ เข้าใจหรือยังล่ะ?”หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด แล้วถามข้าพเจ้าอย่างเมตตา

    “เข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะพยายามต่อไปครับ”ข้าพเจ้าตอบด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ และเบิกบาน

    แล้วท่านผู้อ่านที่รักล่ะ เข้าใจตามข้าพเจ้าแล้วหรือยัง?



    http://sv2.mossoloaof.com/index.php?action=printpage;topic=2050.0
     
  2. ธาตุ 4

    ธาตุ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2009
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +110
    เดิน นั่ง ยืน นอน ก็ทำกรรมฐานได้นะ
    ขอแนะนำ ธาตุกรรมฐาน 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ของร่างกายครับ
     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
  4. pothaworn

    pothaworn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +12
    อนุดมทนาครับ
     
  5. เย็นจิต

    เย็นจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +709
    กรรมฐาน คือยอดแห่ง ธรรม ไม่มีอะไรดีกว่ายิ่งแล้ว ...
     
  6. ร่มโพธิ์

    ร่มโพธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,952
    [​IMG]
     
  7. paul1234

    paul1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    392
    ค่าพลัง:
    +634
    <TABLE style="WIDTH: 194pt; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=258 border=0><COLGROUP><COL style="WIDTH: 38pt; mso-width-source: userset; mso-width-alt: 1865" width=51><COL style="WIDTH: 65pt; mso-width-source: userset; mso-width-alt: 3145" width=86><COL style="WIDTH: 65pt; mso-width-source: userset; mso-width-alt: 3181" width=87><COL style="WIDTH: 26pt; mso-width-source: userset; mso-width-alt: 1243" width=34><TBODY><TR style="HEIGHT: 15pt" height=20><TD class=xl66 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 38pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; HEIGHT: 15pt; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8" width=51 height=20> </TD><TD class=xl66 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 65pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8" width=86> </TD><TD class=xl66 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 65pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8" width=87> </TD><TD class=xl66 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 26pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8" width=34> </TD></TR><TR style="HEIGHT: 15.75pt" height=21><TD class=xl66 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; HEIGHT: 15.75pt; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8" height=21> </TD><TD class=xl67 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8; mso-ignore: colspan" align=left colSpan=2>อนุโมทนา... สาธุ...</TD><TD class=xl66 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8"> </TD></TR><TR style="HEIGHT: 24.75pt; mso-height-source: userset" height=33><TD class=xl68 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; BORDER-BOTTOM: #002060 2pt double; HEIGHT: 24.75pt; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8; mso-ignore: colspan" align=left colSpan=4 height=33>ขอให้เจริญในธรรม..และถึงซึ่งนิพพาน</TD></TR><TR style="HEIGHT: 23.25pt; mso-height-source: userset" height=31><TD class=xl66 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; HEIGHT: 23.25pt; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8" height=31> </TD><TD class=xl69 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8; mso-ignore: colspan" align=left colSpan=2>ทาน ศิล สมาธิ ปัญญา</TD><TD class=xl66 style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: #b6dde8"> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. luxury

    luxury เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +583
    ถ้านั่งกรรมฐานประจำแต่จิตใจเห็นแก่ตัวก็ไม่ไหวน่ะค่ะ ที่ทำงานมีหลายคนพอวันหยุดชอบไปนั่งกรรมฐานเห็นไปกันบ่อยมากที่อยุธยา ดูเหมือนจะดีแต่ขอโทษน่ะค่ะทั้งกลุ่มนี้เห็นแก่ตัว ปากร้าย ยึดมั่นถือมั่น ใครมาแตะไม่ได้โวยวายตลอด
     
  9. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    มีเยอะมากมายเลยค่ะพวกมือถือสากปากถือศีล เหตุผลในนั้งกรรมฐาน
    คือ เพื่อพักผ่อนจิตและให้เกิดความสงบ
    และเพื่อให้เกิดสติ ระลึกทันทุกขณะจิตไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม เพื่อปล่อยวาง
    และเท่าทันอารมณ์ของตนเอง การทีใครก็ตามทีคิดว่าตนเองถูกเสมอ แย้งไม่ได้
    ก็เปรียบเหมือนชาล้นถ้วย ดีๆนี้เอง เคยเจอกับตัวเองค่ะเลยเข้าใจดี
    ถ้าจะล้างชามก็ควรล้างจากข้างในก่อนเพื่อให้ด้านนอกสะอาดด้วย กรรมฐาน
    ก็เช่นเดียวกัน ถ้ากล่าวผิดอย่างไร ขออภัย ด้วยนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...