พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    รอรับรูปเหมือนกัน ฮึฮึ สำหรับคนติงต๊อง น้องยาบอกว่าจะให้รูปน้องยามาด้วย ก๊ากกก
     
  2. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ได้รับที่อยู้แล้วครับ ส่งให้แล้วครับรอรับนะครับคงอาทิตย์หน้าถึงอะ เอาไปใส่กรอบเองนะครับ
     
  3. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    ครับพี่เพชร ผมส่งให้แย้วนะครับ แต่รูปน้องยาไปดูที่ฮิ5 ครับ อิอิอิ ที่ http://Nakhonputae.hi5.com
     
  4. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    จิต ครั้งหนึ่งเคยเรียนรู้และจารจำ สรรพสิ่งล้วนตั้งอยู่บนความไม่เที่ยง ผันเปลี่ยนแปรปรวนไปตามกาล<O:p</O:p
    ทุกๆ สรรพชีวิตดำรงค์อยู่เฉกนี้ ไปมา-มาไป เป็นอยู่อย่างนี้มิมีที่สุดสิ้น จนกว่าจะพบหนทาง สู่มรรค!<O:p</O:p
    ธรรมะคือธรรมชาติ สิ่งต่างๆรอบตัวล้วนแล้วแต่สามารถหยิบและยกขึ้นมาพิจารณา สรรพสิ่งล้วนมีความรู้สึก.. <O:p</O:p
    ใช่! มิผิด แต่ความรู้สึกในที่นี้มิได้หมายถึงรู้สึกในความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ผิดแล้วมิใช่! ..หากแต่เป็นธาตุรู้ต่างหาก รู้ในหน้าที่แห่งตน เจตจำนง โลกหมุนวนเป็นพลวัต คือการขับเคลือนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นด้วยเหตุ ตั้งอยู่ด้วยเหตุ ท้ายสุดก็ดับด้วยเหตุ ที่ตนกระทำและสรรค์สร้าง แปรเปลี่ยนหมุนวนเป็น วัฏฏะ หนทางแห่งอริยะมรรคเท่านั้นดับเหตุได้อย่างสิ้นเชิง ดั่งพระธรรมคำสอนที่พระศาสดาเจ้าได้ทรงตรัสไว้..หนทางแห่งมรรคต้องเริ่มด้วยทุกข์เสียก่อน เมื่อเจอทุกข์ จึงหาทางดับทุกข์ ตามด้วยสมุทัย คือรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์...เมื่อหาเหตุได้จึงพบเจอ นิโรธ หนทางแห่งการดับทุกข์ ท้ายสุด ค้นพบเส้นทางแห่งมรรคคา..<O:p</O:p
    มนุษย์มัวแต่หลงยึดมั่นในขันธ์อันไม่เที่ยงหมายมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน.. มิรู้นั้น อวิชชา เพราะความไม่รู้จึงหลง<O:p</O:p
    กิเกสคือ ยางเหนียว ตัณหาต่างหากหละ คือสิ่งที่ร้อยรัด มนุษย์ให้ลุ่มหลงมัวเมาจนหลงลืมหน้าที่ๆแท้จริงแห่งตน<O:p</O:p
    จิตเดิมแท้นั้น ประภัสสร แต่ต้องมัวหมองเพราะความไม่รู้ของมนุษย์ จิตจึงถูกห่อหุ้มด้วย อวิชชา ...!<O:p</O:p
    มนุษย์.. "หามาเพื่อทิ้ง" คำนี้ถูกต้องที่สุดแม้แต่....ร่างกาย...... ยังต้องละทิ้งไว้เช่นกัน เมื่อเกิด....ต้องการกำทุกอย่างไว้ในมือ ทรัพย์สมบัติเกียรติยศ หากกำทั้งโลกไว้ในอุ้งมือได้คงทำ ยามตาย...แม้ไม่แบเขาก็พยายามแบมือให้ มือที่กำจริงแท้ว่างเปล่า มิมีสิ่งใดยึดไว้ได้ ชีวิตยังยึดมิได้ แล้วจะยึดสิ่งใด?<O:p</O:p
    น่าจะจริง..! มนุษย์หามาเพื่อทิ้ง..คนที่ได้ใช้จริงๆคือคนที่อยู่ข้างหลัง..จะมีซักกี่คนที่จะขวานขวายสั่งสมทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์..เสบียงที่จะนำพาเราไปยังหนทางข้างหน้า..เมื่อใกล้เวลาที่จะอย่างเข้าสู่..”นรกาล”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หลวงปู่พร่ำสอน สามสิ่งควรยึดและถือให้มั่น แก้วมณีอันมีค่า..<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พุทธังสะระณังคัสฉามิ<O:p</O:p
    ธัมมังสะระณังคัจฉามิ<O:p</O:p
    สังฆังสะระณังคัจฉามิ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บุญใดที่จะพึงบังเกิดจากการจารและบันทึกตัวอักษรนี้ของเรา..รฐนนท์ ..จงดลและบรรดาลให้เทวะ และ เดวะ พร้อมทั้งเทพดา นางฟ้าทั้งหลายที่ทรงปกปักษ์สวัสดิรักษาตัวของข้าพเจ้า จงมีส่วนในกุศลผลแห่งบุญในการให้ความรู้อันเป็นธรรมทานในครั้งนี้ด้วยเทอญsleeping_rb<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โอม! มหาทุรคา อุมาเทวี นมัส<O:p</O:p
     
  5. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    แวะมาเมืองนี้บ้าง ไปสองเมืองเลย ตามท่านเจ้าเมืองมา เดี๋ยวได้รูปปู่กับยาพี่อุ้มจะรีบเอาไปใส่กรอบ บูชาดีใจจังเลย ขอบคุณน้องยามากๆนะจ๊ะ
     
  6. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ตามติดๆ...แต่ม่ายอยากจะบอกว่ากลับบ้านม่ายได้เพราะฝนตก..ง่า*-*!
     
  7. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    เจ้าบ่าวที่กลัวฝนหร๋อจ๊ะถึงฝนตกกลับบ้านไม่ได้ ได้เล่นน้ำดีออกมะชอบหรือไง พี่อุ้มชอบอยู่ท่ามกลางสายฝนชอบเล่นฝนมากๆเลย
     
  8. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
    บางกะปิฝนตกหนักมาก น้ำท่วมซอย happy land อั้มเลยแวะร้านเน็ตแทนถือโอกาศเล่นเกมส์ด้วย เอิ้กๆ พี่อุ้มกะเบ๊นคุงระวังเป็นจังหวัดนะ จะฮัดชิ่วๆ เอาแค่อำเภอก็พอกินยาจะได้หายไวกว่า
     
  9. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351
    พี่ยาคับ.....บอมขอด้วยได้ป่ะ อิๆ


    Saturn_Titan@hotmail.com เมลล์บอมนะคับ


    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าคับ......:d
     
  10. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    ทราบข่าวว่าพี่อุ้มจะไปบริจาคโลหิตวันนี้นะฮับ ขออนุโมทนาด้วยนะจ๊ะ ได้รับพัสดุแล้วแจ้งกลับด่วน ว่าเซอร์ไพรซ์หรือไม่ และแกะอย่างระมัดระวังนะจ๊ะ ห้ามให้ใครต่อนะ เก๊าหวงมากนะ เมื่อคืนฝันถึงผู้ชายหน้าตาไม่คุ้นด้วย แต่ไม่มีอะไรหรอก ก่อนนอนคิดถึงพลอยเท่านั้นเอง ฮึฮึ
     
  11. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    คุณจะเลือกเป็นคนและหรือ..เลือกเป็นมนุษย์โส ผู้ซึ่งมีใจสูง!

    ทุกวันนี้สังคมของโลกกำลังเปลี่ยนๆ จากสังคมที่มีจิตดีงาม เป็นการแก่งแย่งแข่งขัน เอารัดเอาเปรียบกันสารพัด
    คงจะถึงกาลเวลาที่โลกจะถึงคราววิบัติ..ใช่ คนเหล่านี้จำต้องชดใช้อย่างครั้งใหญ่แก่ธรรมชาติ ฟังมิผิดหลอกเราใช้คำว่าคน..แทนการใช้คำว่ามนุษย์ เพราะถือว่าคน ยังคงความเป็นสัตว์อยู่ในตัวอีกมาก แต่ก็ยังมีอีกหลายๆคนยังทรนงตน อหังการ กล้าอวดอ้างว่าตนคือมนุษย์ น่าขัน! เดวะเองต่างขานขันในความโง่เขลาของคน ดีพอแล้วหรือที่เรียกตนว่า”มนุษย์” เพราะคำนี้ตามรากศัพท์แล้ว แปลว่า ผู้ประเสริฐ ประเสริฐจากอะไรเล่า ก็ประเสริฐจากหัวใจที่ดีงาม ศีลพร้อม กาย วาจาพร้อม อย่างนี้แหละถึงเรียกว่า “มนุษย์” แต่ถ้าลองหันกลับมามองพฤติกรรมของคนเราในสังคมดูเอาเถอะ..เหอะ! ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัสฉาน ถูกแล้ว..เรากล่าวมิผิด ทั้งพฤติกรรมและการกระทำต่างกันตรงไหน..เข่นฆ่ากันให้มอดไหม้ ..มะล้างทำลายกันอย่างไม่มีความเมตตาปราณี นี่หรือผู้ที่เรียกตัวเรียกตนว่า มนุษย์ น่าอดสู่! ช่างมิอายฟ้า มิอายกรรม สำคัญ ! มิอายการกระทำแห่งตน.. ถึงคราที่คนเหล่านี้ที่เรียกว่าตัวเองเป็น มนุษย์ จำต้องชดและใช้ในผลแห่งการกระทำแห่งตน ..ท้ายสุดให้เหลือเพียง “ มนุษย์”
    ผู้ที่มีใจประเสริฐ สุดท้าย พัฒนาจิตให้สูง จนกลายเป็น มนุษย์โส ใกล้เพลาแล้วที่การหมุนวนแห่งวัฏฏะเข้ามาถึง..กรรมะ! ทิพยะภพต่างวิตก แต่ก็ต้องยอมศิยอยบ(ศิ-ยอ-ยบ)เพราะมิอาจขวางพลังงานแห่งกรรม..! ทิพยสภาต่างประชุม แบ่งแยกอำนาจและหน้าที่แห่งตนตามฝ่าย ฉุดช่วย และทำลาย หาไม่การกระทำของคนต่างๆ จะกลายเป็นพลังด้านลบที่มหาศาล กระเทือนถึงทิพยะภพได้..เคยได้ยินไหม สำนวน เด็ดใบไม่เพียงใบเดียวกระเทือนถึงดวงดาว...สรรพสิ่งล้วนมีสายใยเกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบ เมื่อธรรมชาติการแปรปรวนและขัดข้อง จำต้องเยียวยารักษาตนเอง...ใครเคยดู อวตาร จะนึกออก ธรรมชาติโยงใยกันเช่นนั้นจริงๆ หากแต่คนใช้ตามอง มิได้ใช้ใจและหรือจิตที่สว่างกระจ่าง ท้ายสุดสว่าง ช่วยในการมอง จึงมิรู้ว่าธรรมชาตินั้น เป็นพลังงานที่ละเอียดอ่อนและโยงใยกันเพียงใด....อีกมินานเทพและเหล่าเทวา มิเว้น นาคีและนาคา ต่างก็ต้องทำหน้าที่แห่งตน ส่วนใครฝ่ายไหนจะรับทำหน้าที่รักษา หรือทำลายประหัตประหาร..นั่นขึ้นอยู่กรรมะและเทวะโองการ..! หากถามขัดได้มั้ยและหรือเลือนเพลาออกไปได้อีกหรือไม่...เดวะและเทวะต่างเยยหยัน ดีพอแล้วหรือกับการ อุทร ท่านเอาอะไรมาแรกและมะล้างการเกิดพลังงานด้านลบที่เกิดจากน้ำมือของพวกท่านเอง..ความดีงามกระนั้นหรือ น่าขัน เข่นฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน นี้หรือความดีงามของสูเจ้า!... หากช้ามิยอมลงทัณฑ์ จะเสียย่อยยับกันทั้งทิพยภพและมนุษยภพ...ดังนั้นจำต้องอุบัตเพื่อทำลาย..เพื่อคืนความสมดุลให้แก่โลกนั้นคือ “ธรรมชาติ” เทวะโองการ หรือมีผู้ใดกล้าขัด..มิมี!
    <O:p</O:p
    อริยเจ้าต่างใช้พลังแห่งความดีงามเข้าแลกและฉุดช่วย..หวังเพียงได้เห็นผู้ที่เรียกตนว่า มนุษย์ ได้พ้นภัย..<O:p</O:p
    ช่างน่าขัน..! ท้ายสุดสูญเปล่าคนเหล่านี้หาสำนึกในพระคุณแห่งอริยเจ้าไม่....สุดท้ายเทวะจำต้องลงทัณฑ์
    สิ่งเดียวควรยึ่ดให้มั่นเพื่อประโยชน์ในการฉุดช่วยนั่นคือ พระรัตนตรัย ยึดไว้เถิด นั่นหละที่มั่นอันอุดมและมั่นคง.. เมื่อถึงเพลา ทั้งเหล่า เทวะ และ เดวะ เทพเทวา และหรือ นาคราชเจ้า ต่างจะยืนมือเข้าช่วยเหลือตามหน้าที่แห่งตน...หากเกี่ยวเนื่องและเกี่ยวข้องมิพ้นและเกินพลังงานแห่งกรรมะ...รับรองได้พบเจอและได้รับการช่วยเหลือตามแต่เชื้อสายและสายสัมพันธ์แห่งกรรมะแห่งตนที่สร้างสมร่วมกันมา...! สุดท้ายสิ่งที่ควรดำรงให้ตั้งมั่น สติ”<O:p</O:p
    ดังคำตรัสแห่งพระตถาคตเจ้าได้กล่าวไว้ก่อนปรินิพพาน..ท่านทั้งหลายจงตั้งอยู่บนความไม่ประมาท!
    ท้ายสุดบุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งแก่เราได้...จงทำ ก่อนที่ท่านจะไม่มีโอกาสจะได้ทำ คราใดที่โองการมาถึง เหล่าเทพดาทั้งหลายทำตามโองการ..ครานั้นจะถึงกาลละวิบัติ..โอม! นมัส<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บุญใดที่จะพึงบังเกิดจากการจารและบันทึกตัวอักษรนี้ของเรา..รฐนนท์ ..จงดลและบรรดาลให้เทวะ และ เดวะ พร้อมทั้งเทพดา นางฟ้าทั้งหลายที่ทรงปกปักษ์สวัสดิรักษาตัวของข้าพเจ้า จงมีส่วนในกุศลผลแห่งบุญในการให้ความรู้อันเป็นธรรมทานในครั้งนี้ด้วยเทอญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โอม! มหาทุรคา อุมาเทวี นมัสsleeping_rb<O:p</O:p
     
  12. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่ตัวของเราเอง
    โกงคนอื่น เหมือนจุดไฟเผาตัวเอง
    เมตตาคนอื่น เหมือนสร้างบ้านให้ตัวเอง
    อย่าระแวงคนอื่น ยิ่งกว่าระวังตัวเอง
    ชีวิตไม่พอกับตัณหา เวลาไม่พอกับความต้องการ
    ที่พักครั้งสุดท้าย คือป่าช้า
    ถ้าท่านทำงานแข่งกับสังคม ความพินาศล่มจมจะตามมา
    ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบปัญหาเรื่อยไป
    ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้ ท่านอย่าหว ังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
    ถ้าท่านกล้าเกินไป ท่านจะทำอะไรไม่สำเร็จ
    ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
    ถ้าท่านขาดความพอดี ท่านจะพบกับความทุกข์อย่างมหันต์
    ถ้าท่านขาดความยังคิด ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย
    ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
    ถ้าท่านมีความพอดี ท่านจะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก
    ถ้าท่านมีแต่ความงก ท่านจะเป็นยาจกในเรือนเศรษฐี
    ถ้าท่านมีเมตตาจิต ท่านจะมีญาติมิตรทั่วบ้าน
    ถ้าท่านเมตตาเกินประมาณ ท่านจะพบคนพาลทั่วเมือง
    ถ้าท่านคิดถึงความหลัง ท่านจะพบรังแห่งความเศร้า
    ถ้าท่านมีความมัวเมา ท่านจะพบความปวดร้าวภายหลัง
    ถ้าท่านทำดีเพื่อเด่น ท่านจะถูกขเม่นจากญาติมิตร
    ถ้าท่านทำดีเพื่อน้ำจิต ท่านจะมีชีวิตอยู่อย่างสบาย
    ถ้าท่านหวังพึ่งแต่คนอื่น ท่านจะต้องกลืนน้ำตาตัวเอง
    ถ้าท่านรู้จักใช้เวลา ชีวิตจะมีค่ากว่านี้
    ถ้าไม่กินอยู่เท่าที่มี จะได้เป็นเศรษฐีเงินกู้
    ถ้ามั่วสุมกับอมายมุข จะพบความทุกข์ในเบื้องปลาย
    ถ้าทำหูเบาตามเขาว่า จะต้องน้ำตาตกใน
    ถ้าพูดโดยไม่คิด เท่ากับพ่นลมพิษใส่คนอื่น
    ถ้าจริงจังกับโลกเกินไป จะต้องตายเพราะความเศร้า
    ถ้าต้องการความเป็นอิสระ ให้พยายามชนะใจตัวเอง
    ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ จะพบกับความสุขได้ที่ไหน
    ถ้าไม่ยอมปล่อยวาง จะพบกับความว่างได้อย่างไร
    ถ้าหาความสุขจากความมัวเมา ท่านกำลังจับเงาในกระจก
    ถ้าอยากเป็นคนงาม อย่าวู่วามโกรธง่าย
    ถ้าอยากเป็นคนสบาย อย่าเบื่อหน่ายความเพียร
    ถ้าอยากเป็นคนมั่งมี อย่าเป็นคนดีแต่จ่าย
    ถ้าอยากเป็นคนนำสมัย อย่าทำลายวัฒนธรรม
    ถ้าอยากเป็นคนมีเกียรติ อย่าเหยียดหยามคนอื่น
    ถ้าอยากเป็นคนความรู้ อย่าลบหลู่อาจารย์
    ถ้าอยากหาความสำราญ อย่าล้างผลาญสมบัติ
    ถ้าอยากเป็นคนมีอำนาจ อย่าขาดความยุติธรรม
    ถ้าอยากเป็นคนดัง อย่าหวังความสงบ
    ถ้าอยากเป็นที่เคารพ ต้องพบความจบก่อนตาย
    อย่าทำตัวให้เด่น โดยการสร้างหนี้ให้ตัวเอง
    (อย่าพยายามทำใจคนอื่นให้เหมือนใจเรา เพราะเราก็ทำใจให้เหมือนคนอื่นไม่ได้)<!-- google_ad_section_end -->
    :cool::cool::cool::cool:
     
  13. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ความเคารพ หมายถึง

    ความเคารพ หมายถึง ความตระหนักซาบซึ้งรู้ถึงคุณความดีที่มีอยู่จริงของบุคคลอื่น ยอมรับนับถือความดีของเขาด้วยใจจริง แล้วแสดงความนับถือต่อผู้นั้นด้วยการแสดงความอ่อนน้อม อ่อนโยน อย่างเหมาะสมทั้งต่อหน้าและลับหลัง
    วัตถุทั้งหลายในโลก ต่างมีคุณสมบัติเฉพาะตัวของมัน ถ้าใครทราบคุณสมบัติเหล่านั้นตามความเป็นจริง ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มาก เช่น นักวิทยาศาสตร์รู้คุณสมบัติของแม่เหล็ก ก็นำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ รู้คุณสมบัติของแร่เรเดียม ก็นำไปใช้รักษาโรคมะเร็งได้
    แต่การที่จะรู้คุณสมบัติตามความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ นั้นทำได้ยากมาก เป็นวิสัยของนักปราชญ์ ของผู้มีปัญญาเท่านั้น
    เช่นกัน คนทั้งหลายในโลก ต่างก็มีคุณความดีในตัวต่างๆ กันไปมากบ้างน้อยบ้างไม่เท่ากัน ผู้ใดทราบถึงคุณความดีของบุคคลทั้งหลายได้ตามความเป็นจริง ก็จะเป็นประโยชน์ ทำให้มีโอกาสที่จะถ่ายทอดคุณความดีนั้นๆ จากผู้อื่นมาสู่ตนเอง แต่การจะสามารถรู้เห็นถึงคุณความดีของผู้อื่นก็ทำได้ยาก ยิ่งกว่าการรู้คุณสมบัติของวัตถุต่างๆ เพราะมีกิเลสมาบังใจ เช่น มีความคิดลบหลู่คุณท่านบ้าง ความไม่ใส่ใจบ้าง ความทะนงตัวบ้าง ทำให้มองคนอื่นกี่คนๆ ก็ไม่เห็นมีใครดี คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี คนไหนก็ไม่ดี ไม่เห็นมีใครดีสักคน ถ้าจะมีก็เห็นจะมีอยู่คนเดียว...ใคร? ตัวเอง
    คนพวกนี้เป็นพวกตาไม่มีแวว คือ ตาก็ใสๆ ดี แต่ไม่เห็นเพราะขาดความสังเกต มองคุณความดีของคนอื่นไม่ออก เมื่อมองความดีของเขาไม่ออกก็ไม่สนใจที่จะถ่ายทอดเอาความดีของเขา เข้ามาสู่ตัวเอง
    ดังนั้น คนที่มีปัญญามากจนกระทั่งตระหนักในคุณความดีของผู้อื่นจึงจัดเป็นคนพิเศษจริงๆ เพราะใจของเขาได้ยกสูงขึ้นแล้ว พ้นจากมานะต่างๆ เปิดกว้าง พร้อมที่จะรองรับความดีจากผู้อื่นเข้าสู่ตน คนชนิดนี้คือ คนที่มีความเคารพ
    สิ่งที่ควรเคารพอย่างยิ่ง
    ในโลกนี้มีคน สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ การงาน และอะไรๆ อีกมากมายจนนับไม่ถ้วน ที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะให้เรามีความเคารพ ไม่ดูเบา ตระหนักในสิ่งมีคุณค่าที่สำคัญ ๗ ประการ ได้แก่
    ๑.ให้มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ๒.ให้มีความเคารพในพระธรรม
    ๓.ให้มีความเคารพในพระสงฆ์
    ๔.ให้มีความเคารพในการศึกษา
    ๕.ให้มีความเคารพในสมาธิ
    ๖.ให้มีความเคารพในความไม่ประมาท
    ๗.ให้มีความเคารพในการต้อนรับแขก
    ความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ตระหนักถึงพระคุณความดีอันมีอยู่ในพระองค์ ซึ่งกล่าวโดยย่อได้แก่ พระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ
    และพระบริสุทธิคุณ และแสดงออกซึ่งความเคารพนี้
    สมัยเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็แสดงความเคารพโดย
    ๑.เข้าเฝ้าทั้ง ๓ กาล คือ เช้า กลางวัน เย็น
    ๒.เมื่อพระองค์ไม่สวมรองเท้าจงกรม เราจะไม่สวมรองเท้าจงกรม
    ๓.เมื่อพระองค์จงกรมในที่ต่ำ เราจะไม่จงกรมในที่สูงกว่า
    ๔.เมื่อพระองค์ประทับในที่ต่ำ เราจะไม่อยู่ในที่สูงกว่า
    ๕.ไม่ห่มผ้าคลุมบ่าทั้งสอง ในที่ซึ่งทอดพระเนตรเห็น
    ๖.ไม่สวมรองเท้าในที่ทอดพระเนตรเห็น
    ๗.ไม่กั้นร่มในที่ทอดพระเนตรเห็น
    ๘.ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะในที่ทอดพระเนตรเห็น
    สมัยเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วก็แสดงความเคารพโดย
    ๑.ไปไหว้พระเจดีย์ตามโอกาส
    ๒.ไปไหว้สังเวชนียสถาน คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา
    ปรินิพพาน ตามโอกาส
    ๓.เคารพพระพุทธรูป
    ๔.เคารพเขตพุทธาวาส คือ เขตโบสถ์
    ๕.ไม่สวมรองเท้าในลานพระเจดีย์
    ๖.ไม่กั้นร่มในลานพระเจดีย์
    ๗.เมื่อเดินใกล้พระเจดีย์ ไม่เดินไปพูดไป
    ๘.เมื่อเข้าในเขตวัด ก็ถอดรองเท้า หุบร่ม ถ้าเป็นพระภิกษุต้องลดไหล่ ไม่ทำ อาการต่างๆ ซึ่งแสดงถึงความกระด้าง หยาบคาย
    ๙.ปฏิบัติตนตามพุทธโอวาทอยู่เป็นนิตย์
    ความเคารพในพระธรรม คือ ตระหนักถึงคุณประโยชน์อันมหาศาลของพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และแสดงออกซึ่งความเคารพ ดังนี้
    ๑.เมื่อมีประกาศแสดงธรรมก็ไปฟัง
    ๒.ฟังธรรมด้วยความสงบ สำรวม ตั้งใจ
    ๓.ไม่นั่งหลับ ไม่นั่งคุยกัน ไม่คิดฟุ้งซ่าน ขณะฟังธรรม
    ๔.ไม่ดูหมิ่นพระธรรม
    ๖.บอกธรรม สอนธรรม โดยความระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาด
    ความเคารพในพระสงฆ์ คือ ตระหนักถึงคุณความดีของพระสงฆ์ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ เป็นผู้สืบอายุพระศาสนา แล้วแสดงออกซึ่งความเคารพ ดังนี้
    ๑.กราบไหว้ โดยกิริยาอาการเรียบร้อย
    ๒.นั่งเรียบร้อย ไม่นั่งกอดเข่าเจ่าจุก
    ๓.ไม่สวมรองเท้า กั้นร่ม ในที่ประชุมสงฆ์
    ๔.ไม่คะนองมือ คะนองเท้าต่อหน้าท่าน
    ๕.เมื่อพระเถระไม่เชิญ ไม่แสดงธรรม
    ๖.เมื่อพระเถระไม่เชิญ ไม่อวดรู้แก้ปัญหาธรรม
    ๗.ไม่เดิน ยืน นั่ง เบียดพระเถระ
    ๘.แลดูท่านด้วยจิตเลื่อมใส
    ๙.ต้อนรับท่านโดยไทยธรรม
    ความเคารพในการศึกษา คือตระหนักถึงคุณค่าของการศึกษาหาความรู้ แล้วแสดงออกซึ่งความเคารพโดย ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ทั้งทางโลกและทางธรรม จะศึกษาเรื่องใดก็ศึกษาให้ถึงแก่น ให้เข้าใจจริงๆ ไม่ทำเหยาะแหยะ บำรุงการศึกษา สนับสนุนการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม
    ความเคารพในสมาธิ คือ ตระหนักถึงคุณประโยชน์อันมหาศาลของการทำสมาธิแล้วแสดงออกซึ่งความเคารพโดย ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะสมาธิเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการสร้างความดีทั้งหลาย เป็นการฝึกฝนตนเองอย่างยิ่งยวด ทำให้รู้และเข้าใจธรรมอย่างแท้จริง ดังจะเห็นได้จากในไตรสิกขา ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าศีลจะเป็นพื้นฐานทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย แล้วสมาธิจะทำให้เกิดปัญญาซึ่งเป็นเครื่องพาเราให้บรรลุนิพพาน จะเห็นว่าเรารักษาศีลก็เพื่อไม่ให้ไปทำความชั่ว ทำให้ใจไม่เศร้าหมองเป็นสมาธิได้ง่าย และปัญญาก็เกิดจากสมาธิ สมาธิจึงเป็นหัวใจหลักในการทำความดีทุกชนิด แม้การกำจัดกิเลสเข้าพระนิพพาน
    มีบางคน พยายามจะเข้าถึงธรรม โดยการอ่านและฟังธรรมโดยไม่ยอมทำสมาธิ แม้เขาจะอ่านจะท่องธรรมะได้มากเพียงใด ก็ย่อมไม่มีโอกาสเข้าถึงธรรมได้เลย เพราะความรู้ธรรมจากการอ่านการท่องนั้นเป็นเพียงพื้นฐานความรู้เท่านั้น จะบังเกิดผลเป็นดวงปัญญารู้แจ้ง สว่างไสว ต่อเมื่อได้นำไปปฏิบัติด้วยการทำสมาธิอย่างยิ่งยวดแล้วเท่านั้น
    ยังมีบางคนกล่าวว่า การทำสมาธิเป็นส่วนเกินบ้าง เป็นการเสียเวลาเปล่าบ้าง ถ้าพบใครที่กล่าวเช่นนี้ ก็พึงทราบทันทีว่า เขากล่าวตู่พุทธพจน์เสียแล้ว เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ไม่ควรคบ เพราะเขายกตัวของเขาเองเข้าข้างตัวเองว่าเก่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียแล้ว ใช้ไม่ได้
    ความเคารพในความไม่ประมาท คือ ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของการมีสติกำกับตัวในการทำงานต่างๆ แล้วแสดงออกซึ่งความเคารพโดยหมั่นฝึกสติเพื่อให้ไม่ประมาท ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาอยู่เนืองๆ มิได้ขาด
    ความเคารพในการต้อนรับแขก คือ ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของการต้อนรับแขก ว่าทำให้ไม่ก่อศัตรู ปกติคนเราจะให้ดีพร้อม ทำอะไรถูกใจคนทุกอย่าง ย่อมเป็นไปไม่ได้ อาจมีช่องว่าง รอยโหว่ ข้อบกพร่องบ้าง การต้อนรับแขกนี้จะเป็นการปิดช่องว่างรอยโหว่ในตัว ทำให้ได้มิตรเพิ่ม เราจึงต้องให้ความสำคัญแก่ผู้มาเยือน ด้วยการต้อนรับ ๒ ประการ ดังนี้
    ๑.อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ เช่น อาหาร น้ำดื่ม เลี้ยงดูอย่างดี ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ฯลฯ
    ๒.ธรรมปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยธรรม เช่น สนทนาธรรมกัน แนะนำธรรมะให้แก่กัน ฯลฯ

    นอกจากตัวเราจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการต้อนรับแขกแล้ว แม้คนในบ้านก็ต้องฝึกให้ต้อนรับแขกเป็นด้วย ไม่เช่นนั้นจะพลาดไปเช่น ข้าราชการผู้ใหญ่บางคนตัวเองต้อนรับแขกได้ดีเยี่ยมเลย แต่ไม่ได้ฝึกคนในบ้านไว้ เวลาตนไม่อยู่มีแขกมาหาที่บ้าน เด็กและคนรับใช้พูดจากับเขาไม่ดี ทำให้เขาผูกใจเจ็บ คิดหาทางแก้แค้น หาทางโจมตีเอา จนต้องเสียผู้เสียคนก็มากต่อมาก โดยที่ตนก็ไม่รู้สาเหตุว่าเขาเป็นศัตรูเพราะอะไร
    เมื่อเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่า คนในโลกนี้มีหลายพันล้านคน สิ่งของ เหตุการณ์ การงานในโลกนี้ มีหลายแสนหลายล้านอย่าง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เราสนใจอย่างจริงจัง ๗ อย่าง ดังนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การศึกษา สมาธิ ความไม่ประมาท และการต้อนรับ ทั้ง ๗ ประการนี้มีความสำคัญเพียงใดโปรดคิดดู
    สิ่งที่ควรเคารพทั้ง ๗ ประการนี้ เป็นแกนหลักของความเคารพทุกอย่าง เมื่อเราสามารถตรองจนตระหนักถึงคุณของสิ่งที่ควรเคารพอย่างยิ่งทั้ง ๗ ประการนี้แล้ว ต่อไปเราก็จะสามารถตรองถึงความดีของสิ่งอื่นๆ ได้ ชัดเจนและละเอียดลึกซึ้งขึ้น กลายเป็นผู้รู้จริงและทำได้จริงผู้หนึ่ง
    เมื่อฝึกตนเองให้มากด้วยความเคารพแล้ว ในไม่ช้านิสัยชอบจับผิดผู้อื่น ก็จะค่อยๆ หายไป เจอใครก็จะคอยมองแต่คุณความดีของเขา ต่อไปความชั่วทั้งหลายเราก็จะนึกไม่ออก นึกออกแต่ความดีและวิธีทำความดีเท่านั้น ตัวเราก็จะกลายเป็นที่รวมแห่งความดีเหมือนทะเลเป็นที่รวมของน้ำฉะนั้น
    การแสดงความเคารพ
    การแสดงความเคารพ คือ การแสดงความตระหนักในคุณความดีของสิ่งที่เราเคารพด้วยใจจริงให้ปรากฏชัดแก่บุคคลทั่วไป ด้วยการแสดงออกทางกาย วาจา มีอยู่หลายวิธี เช่นหลีกทางให้ ลุกขึ้นยืนต้อนรับการให้ที่นั่งแก่ท่าน การประนมมือเวลาพูดกับท่าน การกราบ การไหว้ การขออนุญาตก่อนทำกิจต่างๆ การวันทยาวุธ การวันทยาหัตถ์ การยิงสลุด การลดธง ฯลฯ
    การแสดงความเคารพที่ถูกต้องตามหลักธรรม หมายถึง การแสดงออกเพราะตระหนักในคุณความดีของสิ่งที่เคารพด้วยใจจริง นักเรียนที่คำนับครูเพราะเกรงว่าถ้าไม่ทำจะถูกตัดคะแนนความประพฤติ ทหารที่ทำวันทยาหัตถ์ผู้บังคับบัญชาเพราะเกรงว่าถ้าไม่ทำจะถูกลงโทษ อย่างนี้ไม่จัดว่าเป็นความเคารพ เป็นแต่เพียงวินัยอย่างหนึ่งเท่านั้น
    ข้อเตือนใจ
    ดังได้กล่าวแล้วว่า ความเคารพคือ การตระหนักในความดีของคนอื่นและสิ่งอื่น ซึ่งผู้ที่จะตระหนักในความดีของคนอื่นสิ่งอื่นได้ จะต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งเป็นทุนอยู่ในใจก่อน คือ มีปัญญา ความรู้จักผิดชอบชั่วดีพอสมควร
    และเมื่อเราแสดงความเคารพออกไปแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรู้ทันทีว่า “อ้อ คนนี้เขามีคุณธรรมสูง มีความเคารพและมีแววปัญญา” เขาก็เกิดความตระหนักในความดีของเราและแสดงกิริยาเคารพต่อเราที่เรียกว่ารับเคารพ
    แต่ถ้าผู้ใด เมื่อมีคนมาแสดงความเคารพแล้ว เฉยเสียไม่แสดงความเคารพตอบ ผู้นั้นจัดเป็นคนน่าตำหนิอย่างยิ่ง เพราะการเฉยเสียนั้นเท่ากับบอกให้ชาวโลกรู้ว่า “ตัวข้านี้ แสนจะโง่เง่าหามีปัญญาพอที่จะเห็นคุณความดีในตัวท่านไม่” เท่านั้นเอง
    คนที่ไม่อยากแสดงความเคารพคนอื่น หรือเมินเฉยต่อการเคารพตอบ มักเป็นเพราะเข้าใจว่าการแสดงกิริยาเคารพออกมานั้นนเป็นการลดสง่าราศีของตน แล้วเอาไปเพิ่มให้แก่คนอื่น เลยเกิดเสียดายเกรงว่าตัวเองจะไม่โต หรือเกรงว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวโต ซึ่งเป็นการคิดผิดอย่างยิ่ง
    อานิสงส์การมีความเคารพ
    ๑.ทำให้เป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู น่าเกรงใจ
    ๒.ทำให้ได้รับความสุขกาย สบายใจ
    ๓.ทำให้ผิวพรรณผ่องใส
    ๔.ทำให้ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีเวร ไม่มีภัย
    ๕.ทำให้สามารถ่ายทอดความดีจากผู้อื่นได้ง่าย
    ๖.ทำให้ผู้อื่นอยากช่วยเหลือเพิ่มเติมคุณความดีให้
    ๗.ทำให้สติดีขึ้น เป็นคนไม่ประมาท
    ๘.ทำให้เป็นคนมีปัญญาละเอียดอ่อน รู้จริง และทำได้จริง
    ๙.ทำให้เกิดในตระกูลสูงไปทุกภพทุกชาติ
    ๑๐.ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย
     
  14. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พระคุณของพ่อแม่

    พระคุณของพ่อแม่
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านนั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด
    ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุแแทนปากกาน้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้งก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด
    บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ
    ๑.เป็นต้นฉบับทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลายในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่นก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมาเป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีกเช่นแบบเป็นพระพุทธรูปก็จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียว ก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแแบบที่พิมพ์นั่นเอง ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง มัา วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้แบบเป็นคน ซึ่งเป็นโครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำความดีทุกประการ พระคุณขงอพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้วยิ่งท่านอบรม เลี้ยงดูเรามาเป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกนันต์
    ๒.เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอมอบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก
    สมญานามของพ่อแม่
    สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
    -พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมธรรม ๙ ประการได้แก่
    ๑.มีเมตตา คือ มีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
    ๒.มีความกรุณา คือ หวั่นใจในความทุกข์ของลูกและคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง
    ๓.มีมุทิตา คือ เมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ
    ๔.มีอุเบกขา คือ เมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษา ให้เมื่อลูกต้องการ
    -พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรกของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่น ๆ
    -พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรม คำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่น ๆ
    -พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะมีคุณธรรม ๔ ประการ ได้แก่
    ๑.เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ลูก ท่านได้ทำภารกิจอันทำได้แสนยาก ได้แก่การอุปการะเลี้ยงดูลูก ซึ่งยากที่จะหาคนอื่นทำแก่เราได้อย่างท่าน
    ๒.เป็นพระเดชพระคุณมาก ปกป้องอันตราย ให้ความอบอุ่นแก่ลูกมาก่อน
    ๓.เป็นเนื้อนาบุญของลูก มีความบริสุทธิ์ใจต่อลูกอย่างแท้จริงเป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน
    ๔.เป็นอาหุไนยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมัสการของลูก
    คุณธรรมของลูก
    เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่านคุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีกคือตอบแทนคุณท่าน ในทางศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้น ๆ แต่จับความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า "กตัญญู กตเวที"คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้
    กตัญญู หมายถึงเห็นคุณท่าน คือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญา ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาว ๆไปเท่านั้น
    คุณของงพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้างที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อจะอุปกาะใครเขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้นเป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใด ๆ เลย เราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็เล่มเดียวยัง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มีแต่ทั้ง ๆที่ไม่มี ท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผลอย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละเรียกว่า"กตัญญู" เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร แสดงว่าใจของเราเริ่มใสและสว่างมากขึ้นเท่านั้น
    กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ
    ๑.ประกาศคุณท่าน
    ๒.ตอบแทนคุณท่าน
    การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผุ้อื่นรู้ว่า พ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมากไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือ ที่ตัวเรานี่เอง
    คนเราทุกคนคือตัวแทน ของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่านเนื้อก็แบ่งมาจาท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละจะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างโจ่งแจ้งที่สุด หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาสศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษา ก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อยแต่ตัวเราผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา
    พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรัท่านก็ประกาศคุณความดีของท่านซิประกาศด้วยความดีของตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่ง ส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ดจะทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร
    ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่าเราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม

    การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ
    ๑.เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่านเลี้ยงดูท่านตอนเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
    ๒.เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
    แม้เราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญที่ท่านมีต่อเรา
    ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้
    ๑.ถ้าท่านยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
    ๒.ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ท่าน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
    ๓.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
    ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
    เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธาการให้ท่าน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนา เป็นประโยชน์โดยตรง และเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ประพฤติปฏิบัติเองทั้งในภพนี้ ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือ เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน
    อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา
    ๑.ทำให้เป็นคนมีความอดทน
    ๒.ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ
    ๓.ทำให้เป็นคนมีเหตุผล
    ๔.ทำให้พ้นทุกข์
    ๕.ทำให้พ้นภัย
    ๖.ทำให้ได้ลาภโดยง่าย
    ๗.ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
    ๘.ทำให้เทวดาลงรักษา
    ๙.ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    ๑๐.ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
    ๑๑.ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี
    ๑๒.ทำให้มีความสุข
    ๑๓.ทำให้เป็นตัวอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง
     
  15. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ยินดีต้อนรับสู่กระทู้ นี้นะครับ
     
  16. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ระบำพญานาคินทร์นครคำชะโนค

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.817549/[/MUSIC]​



    รูปตอนสมโภชองค์กฐิน 18 ตุลาคม 2551 ทอดถวาย ณ วัดป่าสามกษัตริย์ อ.เมือง จ.อุดรฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.5 KB
      เปิดดู:
      82
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.9 KB
      เปิดดู:
      100
    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.3 KB
      เปิดดู:
      84
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.7 KB
      เปิดดู:
      76
    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.3 KB
      เปิดดู:
      77
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2010
  17. Star.ka

    Star.ka สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +3


    ....ดาวใจเหรอค่ะ^0^....
     
  18. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    (ping-love(ping-love
     
  19. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    โมทนาบุญด้วยนะครับพี่ยา และทุกๆท่าน สาธุ ๆ ๆ อนุโมทามิ
     
  20. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    สวัสดีปีใหม่นะน้องเทียน หายไปไหนมาอะไม่เห็นต้องนาน คิดถึง คิดถึง
     

แชร์หน้านี้

Loading...