11111111111111* 11111111111111* แบ่งให้บูชาพระเครื่องหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(ฤาษีลิงดำ)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย พรแม่ศรี, 13 พฤษภาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Pattana

    Pattana ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    12,768
    ค่าพลัง:
    +206,064
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลูกคนที่ 62 [​IMG]
    กระซิบ :ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามนะครับ เก็บกันไว้เยอะ ๆ นะครับ เผื่ออนุชนลูกหลานรุ่นหลังด้วย เพราะท่านบอกว่าเป็นยันต์ใหญ่ มีอานุภาพมากมหาศาล มีความสำคัญยิ่งกว่าเหรียญเอกราช ( คำพูดหลวงพ่อเอง )


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เคยบอกกับน้อง ๆ ไปหลายคนแล้ว แต่เขาจะเชื่อเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนนี้ผมเก็บไว้ได้เพียงแค่ 1 เองครับ
     
  2. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174
    บ่ เจื๊อ...ครับ บ่ เจื๊อ...... หนึ่งผืนหรือ 1 ลังครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2010
  3. พงศ์กฤต

    พงศ์กฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,699
    ค่าพลัง:
    +33,737
  4. Pattana

    Pattana ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    12,768
    ค่าพลัง:
    +206,064
    1 ร้อยกว่าผืนครับ เพิ่งจะมาเก็บเอาเมื่อสัก 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง ไปเอาที่วัดกับบ้านสายลมครับ คิดว่าพอแล้ว ต่อไปจะเก็บ รุ่นพระบรมสารีริกธาตุ 5 องค์เป็นรายการต่อไปครับ
     
  5. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174
    320 * 100 เท่าก่ะ 32000 เองเฮีย...จิ๊บๆช่ายป่าว หรือเอาผืนใหญ่ไปเลย 800 บาท...
     
  6. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174

    เหมือนจำได้ว่าพี่พัฒนาบอกว่าจะเก็บเดือนละ 1 ผืนไม่ช่ายเหรอ...หุหุ ไหงตอนนี้กลายเป็นร้อยไปแล้ว...หุหุ
     
  7. Pattana

    Pattana ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    12,768
    ค่าพลัง:
    +206,064
    ผ้ายันต์ไม่ได้เก็บเดือนละ 1 ผืนหรอกครับ ไปเอามาทีละ 10 ผืน 20 ผืน สูงสุดตอนไปที่วัด 50 ผืน ส่วนพระคำข้าวรุ่นพิเศษติดพระบรมฯ 5 องค์ นั้นแหละที่บอกไว้ว่าเดือนละ 1 องค์ครับ ผ้ายันต์นี้คิดว่าตอนนี้เก็บพอแล้วครับ ถ้าเอาเพิ่มก็คงไม่เกิน 200 เก็บอย่างอื่นบ้างครับ ไม่อยากพูดมาก ขืนพูดออกอากาศไปว่าให้เก็บอะไรบ้าง เกรงว่าเดี๋ยวจะเฮโลกันไปเอาจนหมดซะอีก สรุปดีกว่าว่าถ้ามีโอกาสก็ควรเก็บไว้ทุกรายการเลยครับ ของที่วัดยังมีเหลือนะครับ
     
  8. ลูกคนที่ 62

    ลูกคนที่ 62 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +21,538
    100 น่ะสิครับ เก็บกันเถอะครับ ของดีราคาถูกมาก ๆ ๆ ๆ สุดยอดเลยผ้ายันต์นี่ อธิบายยังไงก็ไม่สมแก่ใจ
     
  9. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174
    น๊อตถามหน่อยนะพี่ท่าน ว่าการตั้งพระวิสุทธิเทพนี่ควรตั้งสูงหรือต่ำกว่าหรือ เสมอพระพุทธรูปได้อ่ะครับ
     
  10. Pattana

    Pattana ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    12,768
    ค่าพลัง:
    +206,064
    พระวิสุทธิเทพ เป็นพระที่เข้าพระนิพพานแล้ว อาจจะเป็นสมเด็จองค์ปฐมปางพระสุทธิเทพ หรือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรืออาจจะเป็นพระอรหันต์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งบนพระนิพพานก็ได้เช่นกันครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งใจจะให้ท่านเป็นองค์แทนของพระองค์ใดมากกว่า เช่นถ้าเราต้องการให้ท่านเป็นองค์แทนของสมเด็จองค์ปฐม ก็ควรต้องตั้งสูงกว่าพระพุทธรูป หรือถ้าเอาเป็นสมเด็จฯ องค์ปัจจุบันก็ควรตั้งเสมอกัน นี่เป็นความเห็นของพี่นะครับ อย่าเพิ่งเชื่อพี่ให้ถามหลายๆ ท่านดูก่อน
     
  11. ลูกคนที่ 62

    ลูกคนที่ 62 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +21,538
    ท่านสมัคร สุนทรเวช มีตะกรุดของหลวงพ่อด้วยนะครับ ท่านทำให้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะท่านสมัคร ใครสนิทก็เข้าไปขอได้เลยครับ 5555
     
  12. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174
    ขอบพระคุณคร้าบ.บ.. ตั้งใจว่าจะไปนิมนต์ท่านเมื่องานธุดงค์ แต่ปรากฏว่าหมดครับ ต้องรอไปเช่าที่สายลมแล้วน๊อต ยังไม่มีและอยากไว้บูชามากมาย....
     
  13. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174
    เอ....แล้วใครจะตามไปขอหล่ะเนี่ย....คิดก่อน 555555
     
  14. nong_cm

    nong_cm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    721
    ค่าพลัง:
    +4,975
    น้องประเสริฐช่วงนี้หวานจังนะค่ะ ข้ามเวปเลย มีความนัยอะไรมั้ยค่ะ(kiss)(kiss)(เปิดเผยตัวจริงกันแล้วเหรอค่ะ) เห็นมีกฎว่าต้องแสดงตัวจริงกันเวลาโพสวันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2010
  15. panchita

    panchita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    15,692
    ค่าพลัง:
    +49,188
    โมทนา สาธุ ด้วยนะคะ _/\_
     
  16. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174
    หุหุ ผู้คนห่างหาย...ครับ...
     
  17. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174
    ขออนุญาติ อัพเดทรายการวัตถุมงคลของพี่ทศพล ในส่วนที่ยังไม่ปิดรายการครับ หากผิดพลาดต้องขออภัย....

    เหรียญพระเจ้าพรหม ทรงช้างประกายแก้ว(p.213#4244)
    บูชา 700 ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset>
    พระกลีบบัวรูปเหมือนหลวงพ่อ (กลีบบัวเล็ก) สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2527 แจกเป็นที่ระลึกในงานฉลองสมณศักดิ์ พระสุธรรมยานเถระ เดือนมีนาคม 2528(หน้า384#7672)
    บูชา 4,500 ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999



    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </fieldset> พระเนื้อผงหลวงพ่อโสธร รุ่นเส้นเกศา (สมัยหลวงพ่อ) สร้าง 21 ก.ย. 2533 จำนวน 5000 องค์ องค์ สวย ๆ เดิม ๆ (p.405#8081)
    บูชา 2,500 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999



    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </fieldset> พระวิสุทธิเทพด้านหลังมียันต์เกราะเพชร สุดยอดแห่งมวลสารที่สำคัญ ๆ ของหลวงพ่อ สร้างประมาณ ปี 253..กว่า ๆ ก่อนพระคำข้าว องค์พระสวย ๆ เดิม ๆ (หน้า 405#8093)บูชา 1000 ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset> ล็อคเก็ตดาว ที่ระลึกงานเป่ายันต์เกราะเพชร ครั้งที่ 5 องค์พระสวย ๆ เดิม ๆ (p.477#8924)
    บูชา 1300 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </fieldset> ส่วนหนึ่งจากผ้ากาสายะของพลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) สร้างเป็นที่ระลึกในงานครบรอบ 100 ปีเกิดหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ณ.วัดท่าซุง 6-10 ส.ค. 2518 (หน้า 452 #9027)
    บูชา 1,300 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset> มงกุฎเพชร รุ่นพระราชพรหมยานฯ หลวงพ่อท่านทราบ ถึงอนาคตต่อไปในภายภาคหน้าว่าจะเกิดโรคระบาดขึ้นต่อมวลมนุษยชาติและสิ่งนี้ ก็ได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันซึ่งมีโรคแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมายหลายโรคซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ท่านจึงได้จัดสร้างเข็มกลัดมงกุฎเพชรไว้ให้เป็นสมบัติเพื่อลูกหลานของท่านจะ ได้ปลอดภัยจากโรคระบาดต่าง ๆ พระรุ่นนี้จึงเป็นพระรุ่นที่หลวงพ่อท่านจะเน้นมาก (p.454#9071)
    บูชา 700บาท ค่าส่ง 50 บาท


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </fieldset> เหรียญหลวงปู่ปาน ด้านหลังมียันต์เกราะเพชร สร้าง 13 ส.ค.2526 รุ่นนี้จะมี 2 แบบ 2 พิมพ์ คือชุบกระไหล่เงินและกระไหล่ทอง (หน้า460#9200)
    บูชา 360 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG]
    </fieldset> แก้วมณีรัตนะ รูปทรงดาว 5 แฉก (สมัยหลวงพ่อ) สร้างจากแก้วคลิสตั้นอย่างดี รุ่นนี้หายากมาก (p.471#9414)
    บูชา 2,400 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999

    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG] [​IMG]</fieldset> หวายสาแหรกลูกนิมิต พระอุโบสถวัดท่าซุง ใน งานตัดลูกนิมิตเมื่อปี พ.ศ.2520 ในงานนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถพร้อมด้วยพระบรมวงษ์ศานุวงษ์ ได้เสด็จมาในงานนี้ด้วย และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประธานตัดลูกนิมิตในครั้งนี้ด้วยและ นอกจากนี้ยังมีพระสหธรรมมิกของหลวงพ่อ มาร่วมงานกันอย่างมากมาย อาทิ หลวงปู่สิม,พระครูบาธรรมชัย,หลวงปู่คำแสนเล็ก,หลวงปู่คำแสนใหญ่,พระครูบาชัย ยะวงศ์ษาพัฒนา,หลวงปู่บุดดา,ฯลฯ (หน้า 471#9417)
    บูชา 600 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset> เหรียญมหาลาภ-เอกราช (รมดำ) สร้างประมาณปี 2520 พระองค์นี้สวย กริ๊บ ๆ 100% (หน้า 471#9418)บูชาองค์ละ 390 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999

    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset> เหรียญมหาลาภ-เอชราช (เบา ๆ)
    บูชา 250 บาท ค่าส่ง 50 บาท (หน้า 481#9602)
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset> 2.พระคำข้าว รุ่นแรก (พิมพ์แขนจุด บัว 1 จุด) ปลุกเสกเมื่อ 17 มี.ค.2533 จำนวน 100,000 องค์ องค์พระสวย ๆ เดิม มีความคมชัด ตามแบบฉบับของพระรุ่นนี้ ปัจจุบันนี้หาได้ยากยิ่ง (หน้า 481#9605)
    บูชา 1,800บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset> เหรียญพระยืน 30 ศอก (หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา) สร้างเมื่อ พ.ศ.2533 องค์พระสวย ๆ เดิม ๆ (หน้า 485#9691)
    บูชา 1200 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999

    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset>
    เหรียญกูผู้ชนะ,ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม เลี่ยมอัดกรอบพลาสติก รุ่นนี้มีประสบการณ์มากมาย เนื่องด้วยในสมัยก่อนหลวงพ่อท่านจะนำไปแจกทหารและตำรวจ (หน้า487#9730)
    บูชา 800 ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999



    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]</fieldset>พระแก้วมรกต หน้าตัก 5 นิ้ว องค์ พระเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองเนื่องจากกาลเวลา สวย ๆ เดิม ๆ รุ่นนี้เกศพระสามารถถอดบรรจุพระบรมสาริกธาตุได้ สำหรับพระแก้วมรกตนี้ หลวงพ่อท่านเคยปรารภว่า ทุกบ้านสมควรจะมีไว้บูชา เนื่องจากพระแก้วมรกตเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง และท่านยังได้ปรารภอีกว่า ตราบใดที่พระมรกตยังอยู่เมืองไทย ประเทศไทยจะไม่มีวันเสียเอกราชและจะยังคงต่อไป (ในหนังสือก็มีบันทึกไว้เหมือนกันนะครับ) (หน้า 488#9743)
    pm.หรือโทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset>
    พระวิสุทธิเทพทรงประทับ ณ.จุฬามณี หลังยันต์เกราะเพชร รุ่นนี้หายาก สร้างน้อย เต็มเปี่ยมไปด้วยมวลสารที่สำคัญ ๆ มากมายของหลวงพ่อ องค์พระสวย ๆ เดิม ๆ (หน้า496#9921)
    บูชา 1200 ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999


    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG]
    </fieldset>เหรียญทำน้ำมนต์ สร้าง 17 ต.ค. 2532 เหรียญนี้เลี่ยมกรอบพลาสติกเดิม ๆ จากวัด และเป็นเหรียญเดียวที่หลวงพ่อท่านบอกว่าสามารถตัดกรรมได้ (หน้า 252#10486)
    pm.หรือโทร 089-4035999
    นายทศพล ศรีสุข ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาบ้านฉาง ออมทรัพย์ 7762142467
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG] </fieldset>




    *ท่านใดสนใจสามารถ Copy ข้อความผมเพื่อโพส สั่งจองได้เลยครับ..
    ************************************************
    โอนเงินที่ คุณทศพล ศรีสุข
    หมายเลขบัญชี
    7762142467<!-- google_ad_section_end -->
    ธนาคาร ไทยพาณิชย์
    สาขา บ้านฉาง
    ประเภท ออมทรัพย์

    ค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    ติดต่อสอบถามโทร. 089-4035999
     
  18. baimin

    baimin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,933
    ค่าพลัง:
    +14,580
    ขออนุญาติแทรกธรรมะช่วงค่ำของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ พี่ทศพล
    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่อ่านธรรมะครับ
    (ขออภัยหากเป็นการรบกวน)
    ขอบพระคุณครับ...bamin


    [​IMG]

    สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา

    สำหรับวันนี้ เป็นการศึกษามหาสติปัฏฐานสูตร ในบรรพที่เรียกว่า เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน คำเวทนานี้แปลว่า การเสวยอารมณ์ พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ ปุน จปรํ ภิกฺขเว ภิกฺขุ เสยฺย ปสฺเสยฺย สีวถิกาย ฉฑฺทิตํ วฏฺฐิกานิ นี่มันไม่ใช่นี่ ดันเปิดผิดเข้าไปแล้ว นี่แปลว่า นวสี ๙ นี่ อ่านบาลีแล้วไม่ใช่นี่

    ในเวทนาบรรพ ท่านบอกว่า กถญฺจ ภิกฺขเวภิกฺขุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งอื่นยังมีอยู่ เวทฺนาสุ เวทฺนานุปสฺสี วิหรติ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา คำว่าเวทนานี้ ท่านแปลว่าอย่างนั้น ท่านว่าแปลว่า ความเสวยอารมณ์ ถ้าพูดกันแบบไทย ๆ ไอ้คำว่าเสวยนี่ ก็แปลว่ากิน คนก็เลยกินอาหารเข้าไป ไม่ต้องกินข้าวแล้ว คำว่าเสวยอารมณ์ ก็หมายความว่า อารมณ์ที่เกิดกับใจเรา มันมีอยู่เป็นปกติ ท่านบอก บอกว่าย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ คือว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ท่านบอกยังไง ดูตามของท่านไป ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อเสวยสุขเวทนาก็รู้ชัดอยู่ ว่าบัดนี้เราเสวยสุขเวทนา เมื่อเสวยทุกขเวทนาก็รู้ชัดอยู่ ว่าบัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา เมื่อเสวย อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยมาโน เพื่อนก็เลยแปลบอกว่า เมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนา เป็นอันว่า เมื่อเราไม่ได้เสวยทุกข์หรือเสวยสุขเวทนา อันเป็นอุเบกขา คืออารมณ์เฉยเราก็รู้ชัดอยู่ว่าเวลานี้อารมณ์ของเราเฉย ๆ ไม่มีสุข หรือมีทุกข์ใด ๆ

    ต่อไป เมื่อเสวยสุขเวทนา ที่มีอามิส คำว่าอามิสแปลว่าสิ่งของ คือมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้ามาเจือ เช่น กามคุณ ก็รู้ชัดว่า เวลานี้เราเสวยสุขเวทนาที่มีอามิส หรือว่าสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เวลานี้เราเสวยสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส หรือว่าเมื่อเสวยทุกขเวทนาที่มีอามิส ก็รู้ชัดอยู่ว่าเราเสวยทุกขเวทนาที่มีอามิส หรือเมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนาก็หมายความว่า จิตใจมันเฉย ๆ ไม่มีสุขหรือไม่มีทุกข์ เพราะมีอามิสหรือว่าไม่มีอามิส ก็รู้อยู่ว่า เวลานี้เราเสวยความสุข ความสุขที่เจือปนด้วยอามิส ท่านว่าอย่างงั้น

    ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาทั้งภายในและภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง นี่พอบอกว่าเห็นเวทนาเป็นธรรมดา นี่จัดว่าเป็น จัดเป็นวิปัสสนาญาณ ตอนต้นเป็นสมถะ อันนี้มหาสติปัฏฐาน นี่พระพุทธเจ้าควบวิปัสสนาญาณอยู่ตลอดเวลา ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปบ้าง ก็หรือว่าสติมีเวทนา มีอยู่ ก็ไปตั้งอยู่ย่อมไม่ยึดถืออะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ นี้แล้ว คือตามใจความตามมหาสติปัฏฐานสูตรในเวทนาปัสสนานี้ พระพุทธเจ้าให้ทรงพิจารณาว่า เวลานี้จิตของเรามีความสุขหรือมีความทุกข์ เวทนาก็คืออารมณ์ ตามบาลีท่านแปลว่า ความเสวยอารมณ์ คำว่าเสวยอารมณ์นี่มันฟังไม่ชัด นี้คำว่าอารมณ์ หมายถึงอะไร คำว่าอารมณ์ นี่ก็หมายถึงว่า ความรู้สึกของใจ คือความรู้สึกของเรานี้ มันมีความสุข หรือมีความทุกข์ ถามว่าเวลานี้ใจของเราหดหู่ประกอบไปด้วยความทุกข์ หมายความว่า มีความปรารถนาไม่สมหวังบ้าง สิ่งที่ตั้งใจไว้ไม่ปรากฏบ้าง สิ่งที่ตั้งใจไว้ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจบ้าง อย่างนี้เป็นอาการของความทุกข์ อย่างนี้เรียกกันว่า ทุกขเวทนา

    ทีนี้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านบอกชัดไว้ว่ามหาสติปัฏฐาน คือ ให้พยายามเอาจิตของเราเข้าไปตั้งในสติสัมปชัญญะตลอดเวลา นี้เรียกว่า ตามนึกอารมณ์ จงรู้อารมณ์ของเราว่าเวลานี้อารมณ์เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถ้าอารมณ์มีความสุขก็รู้อยู่ว่า อารมณ์เรามีความสุขเพราะมีอามิสเป็นปัจจัย คำว่าอามิส หมายว่าสิ่งของ เราจะเรียกกันว่าวัตถุก็ได้จะเป็นสิ่งที่มีชีวิตก็ตาม หรือว่าไม่มีชีวิตก็ตาม ถ้ามันมีสิ่งใดปรากฏขึ้น เป็นอะไรก็ตามเป็นเครื่องปรากฏเฉพาะหน้า และเป็นเหตุให้เราได้สุข เราได้ทุกข์ อย่างนี้เราเรียกว่าอามิส อย่างพบคนที่ไม่ชอบใจ ใจมันก็เริ่มไม่สบาย นี้ถือว่าเป็นอามิส เป็นเหตุให้เราเกิดความทุกข์ เพราะไม่สบายแปลว่าทุกข์ ความไม่สบายกายก็ดี ความไม่สบายใจก็ดี จัดเป็นทุกข์ อันนี้เราต้องรู้ตัวทุกข์ด้วยนะ หรือว่าพบสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่เป็นที่ไม่ชอบใจของเรา จิตมันเป็นทุกข์ หรือว่าพบคนที่น่าตา ไม่เกลียด ไม่โกรธ ไม่เป็นศัตรูแต่กลับมาพูดในสิ่งที่เราไม่ปรารถนา เราไม่ต้องการจะฟัง ใจเราไม่ชอบ อย่างนี้ก็ทุกข์ เรียกว่าทุกขเวทนา ทีนี้พระพุทธเจ้าให้พิจารณาจิตของตนว่าเวลานี้จิตของเรามีอารมณ์เป็นอย่างไร มีอารมณ์เป็นสุขหรือทุกข์ มาอีกตอนหนึ่งท่านพูดถึงสุขเวทนา เวลานี้จิตของเราเป็นสุข มันเป็นสุขเพราะว่าอะไร เป็นสุขเพราะว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากระทบ หรือว่าเป็นสุขอยู่เฉย ๆ ไม่มีสิ่งอื่นเข้ามากระทบ คำว่าสิ่งอื่นก็คืออามิส จะเป็นคนหรือว่าเป็นวัตถุก็ตาม หรือว่าหาคนไม่ได้ หาวัตถุไม่ได้ แต่ปรากฏเป็นเสียงหรือแสง ถ้าเป็นแสงก็เป็นวัตถุ ถ้าเป็นเสียงก็เป็นวัตถุเหมือนกัน จัดเป็นกาย แต่ว่าเป็นอนุปาทายรูป ทีนี้เรากระทบกับเสียง กระทบกับแสง กระทบวัตถุ กระทบกับคน ทำให้เราเกิดความสุขหรือว่าความทุกข์

    แต่ความสุขหรือความทุกข์นี้ พระพุทธเจ้าท่านขมวดท้ายไว้ว่า เนื่องด้วยกามารมณ์ ไอ้คำว่ากามารมณ์นี่ไม่ใช่ อามรณ์อยากมีผัว มีเมีย เฉย ๆ ตีความแบบนั้นไม่ถูก คือกามารมณ์ กามะแปลว่า ความใคร่ อารมณ์ สระอา ตัวนี้ก็เป็นตัว " อ " เรียกว่า อารมณ์ อารมณ์คือความรู้สึกของเราเกิดความใคร่อยากจะได้สิ่งนั้น อยากจะได้สิ่งนี้ หรือว่าเราไม่อยากได้สิ่งนั้น ไม่อยากได้สิ่งนี้ เพราะเราไม่ชอบใจ สิ่งที่เราอยากได้เป็นอาการของความชอบใจ อารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ท่านเรียกว่า กามารมณ์ คืออารมณ์ที่มีความอยากเกิดขึ้น นี้อารมณ์ที่มีความอยากเกิดขึ้นมันเป็นอารมณ์ที่ทำให้เราสุขใจ หรือว่าทุกข์ใจ อันนี้พระพุทธเจ้าให้ใช้สติคิดไว้เสมอ สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่เป็นธรรมดา แต่เรามานั่งคิดดูว่าพระพุทธเจ้านี่มานั่งสอนเราทำไม ไอ้เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของใจ แต่ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเราก็เพราะว่า พวกเราลืมคิด ไม่ได้ใช้สติเข้าไปควบคุมอารมณ์เราปล่อยไปตามเรื่อง มันจะสุขหรือมันจะทุกข์ก็ไม่ได้หาเหตุ ไม่ได้หาผล ไม่ได้ค้นคว้าตามความเป็นจริง ทีนี้การที่พระพุทธเจ้าให้รู้อารมณ์ของเรา ว่าอารมณ์เรานี่มันเป็นสุขหรือว่ามันเป็นทุกข์ เวลาที่มันมีความสุขหรือว่ามีความทุกข์ มีอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยหรือเปล่า คือมีอามิส วัตถุ หรือบุคคลเป็นเหตุหรือเปล่า หรือว่าไม่มีอามิส วัตถุ หรือบุคคล เป็นเหตุ จึงเกิดความสุขหรือความทุกข์ ให้ใคร่ครวญ อย่างนี้เรียกว่า พิจารณาเวทนาในเวทนา กำหนดรู้เวทนาในเวทนา หมายความว่า อารมณ์ความสุข หรือความทุกข์น่ะเป็นเวทนา ถ้าตัวสุขเป็นสุขเวทนา ที่เราชอบใจนะ ความทุกข์เป็นทุกขเวทนา เป็นเวทนาตัวนอก ตอนนี้เราก็ไปหาเวทนาในเวทนาอีกทีหนึ่ง คืออารมณ์ในอารมณ์อีกทีหนึ่งว่าอะไรนี่มันสร้างความสุขความทุกข์ใจให้เกิดแก่เรา เมื่อเราคิดไปเราก็คิดได้ว่า นี่เราไม่สบายใจ นี่เมื่อสักครู่เจ้าหนี้เขามาทวงสตางค์

    นี่แสดงว่าท่านหาเหตุ หาผล มีความสุข และความทุกข์ เพราะอะไร ท่านให้คิดแบบนี้ทำไม จะได้รู้ว่าแม้แต่อารมณ์ใจของเรานี่ที่เราเกิดมานี่ ความจริงความสุขความทุกข์มันก็จากกายก็จริง แต่ทว่าไอ้ทุกข์จริง ๆ ใจเป็นตัวรับ จะว่ากายมันเกิด แล้วมันแก่ มันเจ็บ มันตาย และไอ้เจ้าใจนี่ล่ะ กายเกิดมาแล้วมันเกิดแก่ลงมา เราไม่ชอบแก่ มันเกิดป่วยไข้ไม่สบาย เราไม่ชอบป่วยไข้ไม่สบาย มันตายเราไม่ปรารถนาให้มันตาย เรานึกว่ากายเป็นทุกข์ แต่ความจริงกายไม่ได้เป็นทุกข์ ใจมันทุกข์ เพราะกายมันมีสภาพเป็นปกติ ถ้ามันทุกข์จริง ๆ มันก็ไม่แก่ อย่างตาเรานี่ถ้ามันรู้ว่ามองอะไรไม่ถนัด ก็จะต้องซื้อแว่นมาใส่ ถ้ามันรู้มันจะต้องเป็นทุกข์อย่างนี้ มันไม่ฝ้า มันไม่ฟาง นี่ความจริงอาการของตามันไม่รู้เรื่อง มันถือว่ากฎธรรมดาของมัน เมื่ออายุมากเข้าแล้วประสาทมันก็เสื่อมโทรมลงไป ไอ้การต้องการในการมองเห็น การต้องการในการได้ยินจากหู เห็นจากตา รับการสัมผัสจากกาย ได้กลิ่นจากจมูก รู้รสจากกลิ่น อย่างนี้เป็นต้น นี่มันเป็นเรื่องของใจ ไอ้ความสุขความทุกข์นี่มันอยู่ที่ใจ ความจริงมันไม่มีอยู่ในกาย ตามลำพังกายอย่างเดียวตัวนั้นไม่ได้สุข มันไม่ได้ทุกข์ เราจะเห็นว่าคนถ้าตายแล้วนี่ ใครจะเอาไปเผา จะเอามีดไปสับไปฟันก็ไม่เคยโกรธ แต่ทว่าที่ยังไม่ตาย อย่าว่าแต่เอามีดมาฟันเลย เอาแค่เล็บมาสะกิดนิดเดียว บอกว่าเจ็บฉันไม่ชอบใจ ที่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะใจมันเป็นเครื่องรับรู้ นี้ถ้ากายเราเจ็บเพราะเล็บจิก ไอ้อย่างนี้เรียกว่า ทุกขเวทนา เกิดจากอามิส อามิสคือของ ของคือเล็บที่มาหยิกเรา หรือว่าวัตถุอะไรเข้ามากระทบ ตานี้ความสุขที่เกิดขึ้นมา กำลังใจ อยากได้ขนม อยากกินขนม อยากนี่ได้ขนมแบบนี้เรามีความสุข เราชอบใจ หรือว่าต้องการวัตถุแบบนี้ เราชอบใจ เกิดความสุข อย่างนี้เขาก็เรียกว่าเกิดความสุขเกิดจากอามิสเหมือนกัน นี่พระพุทธเจ้าให้พิจารณาว่า กำลังใจของเรานี่ ความจริงมันไม่ใช่แม้แต่อารมณ์ ไม่ใช่กาย เพราะอารมณ์นี่ก็ไม่มีสภาพคงที่ มันก็เป็นสุขเป็นทุกข์เหมือนกัน

    ทีนี้มาอีกบทหนึ่งท่านบอกว่า หรือว่ามีความรู้สึกว่าอทุกขมสุข หรือว่าจิตของเราเสวยอารมณ์ที่ไม่มีสุข และไม่มีทุกข์ ไอ้การที่ไม่มีสุขหรือไม่มีทุกข์มันอาศัยอามิสเป็นต้นเหตุ หรือว่าไม่มีอามิส เป็นต้นเหตุ คำว่าอามิสเป็นต้นเหตุ ก็สมมติว่าเราไปนั่งดูพระพุทธรูป เห็นพระพุทธรูปมีความสดสวยงาม ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ลักษณะท่าทางของท่านน่าเคารพนับถือ น่าไหว้ น่าบูชา แล้วก็พิจารณาไว้ พระพุทธรูปนี้ ความจริงเป็นรูปเปรียบของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงมีความดีมาก เวลานี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้ว ความจริงองค์สมเด็จพระประทีปแก้วมีพระองค์เดียว แต่เมื่อพระองค์ทรงนิพพานไปแล้ว กลับหล่อรูปขึ้นมามากทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความดีของพระองค์ ความดีสูงสุดที่พระองค์ทรงมีก็คืออะไร คือ พระองค์สามารถตัดกิเลส เป็นสมุจเฉทปหาน ในเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารพระองค์ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงสอนเรา โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อย ความยาก ความลำบากอะไรทั้งสิ้น จะต้องนอนกลางดินกินกลางทราย นอนกลางเขา กลางป่า เปียกปอนไปด้วยฝนและน้ำค้าง ฝ่าอันตรายทุกอย่าง ความจริงพระองค์เป็นลูกของพระมหากษัตริย์ และก็จะทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิภายใน ๗ วัน แต่ถึงกระนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรมก็ยังทรงสละความสุขมาสอนพวกเรา เมื่อเห็นรูปของพระพุทธเจ้า ท่านมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงยิ้มแย้มแจ่มใส ก็คิดในใจ ว่าการทำใจให้มีจิตสงบอย่างนี้เป็นของดี รูปขององค์สมเด็จพระชินสีห์นี่ ใครจะจับไปโยนน้ำ ไปเผาไฟ ไปจมดิน จมทราย สักเท่าใดก็ตาม เมื่อกลับขึ้นมา ก็ปรากฏว่าหน้าของพระองค์นี้ยิ้มอยู่ตลอดเวลา น่าชื่นใจ ทีนี้อารมณ์ใจเห็นพระพุทธเจ้าก็นึกถึงความดีของพระองค์ นึกถึงพระมหากรุณาของพระองค์ ความสุขเกิดขึ้น เหล่านี้เรียกว่าสุขเวทนา เกิดจากอามิส

    ตอนนี้เราก็คิดต่อไปว่า องค์สมเด็จพระจอมไตร เดิมทีพระองค์มีชีวิตอย่างเรา แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยึดถือในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ใครจะนินทา ใครจะด่า จะว่า จะสรรเสริญ เป็นประการใด จะมีลาภสักการมากน้อยเพียงใด ลาภไม่เพียงใดพระองค์ไม่เคยวิตก เรื่องยศบรรดาศักดิ์เพียงใดพระองค์ไม่เคยปรารถนา เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดามีขนตกอยู่เสมอ คำว่าขนตก ถ้าไปอ่านในบาลีจะมี ขนตกอยู่เสมอ เป็นอันว่าไม่มีขนลุก ขนชัน ไปไหนก็มีจิตใจเป็นปกติ ไม่มีอาการหวาดหวั่นหรือยินดียินร้ายอะไร เราก็ชอบทำแบบพระพุทธรูปเสียบ้าง เมื่อมีใจก็ทำเหมือนคนไม่มีใจ มีความรู้สึกก็แกล้งทำเหมือนคนไม่มีความรู้สึก มันจะหนาว มันจะร้อน มันจะหิว มันจะกระหาย มันจะมีทุกขเวทนา จะมีสุขเวทนา อย่างไรก็ตาม ถือว่าช่างมัน มันไม่ปรารถนา ชื่อว่าร่างกายไม่มีความสำคัญ ร่างกายนี้มีแล้วก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษอย่างเดียว ใจก็เกิดอารมณ์สบาย ไม่ยึดถือวัตถุ หรือว่าอามิส เรียกว่า สี เสียง แสง ใด ๆ ทั้งหมด ทำจิตตกมีอารมณ์ปลอดโปร่ง เพราะว่ามีสุขที่ไม่จริง อามิส หรือว่าไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ คำว่าไม่มีทั้งสุขและก็ไม่มีทั้งทุกข์ คำว่าสุขกายเพราะอาศัยกามคุณ คือว่าวัตถุที่เราพึงปรารถนาหรือว่าอารมณ์ที่เราพึงปรารถนา อย่าคิดว่านี่เป็นพระนี่ได้เปรียบนะ ไม่ต้องทำมาหากินอะไรมาก เช้าก็ถือหม้อออกจากวัดชาวบ้านก็ใส่มาให้ กลับมาแล้วก็สบาย กินแล้วก็นอน นี่คิดอย่างนี้พระนรกนะ ไม่ใช่พระสวรรค์ แต่คิดอย่างนี้ ใจเกิดสบายขึ้นมา อย่างนี้กล่าวว่าจิตตกอยู่มีความสุข เพราะอาศัยกามคุณ คืออารมณ์มีความใคร่ ความทุกข์ใจเพราะอาศัยวัตถุก็เหมือนกัน

    ทีนี้ความสุขใจที่ไม่ประกอบด้วยวัตถุก็เหมือนกัน ทีนี้ความสุขใจที่ไม่ประกอบด้วยวัตถุหรือไม่ประกอบด้วยอารมณ์อื่นมันเกิดมีความแช่มชื่น มีอารมณ์โปร่งเฉย ๆ อะไรจะไป อะไรจะมาก็มีความรู้สึกอย่างเดียวว่า ช่างมัน ใครเขาจะด่า ใครเขาจะว่าก็ช่างมัน เราดีของเราเอง เราไม่ได้ดี หรือเราไม่ได้ชั่วเพราะวาจาของเขาพูด มันจะมีของใช้มาก มันจะมีของใช้น้อย ก็ช่างมัน มีมากก็ใช้มาก มีน้อยก็ใช้น้อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราไม่สนใจกับมัน มันก็ไม่มีประโยชน์ ร่างกายของเรามันจะสวยไม่สวยก็ช่างมัน เสียงจะเพราะหรือไม่เพราะก็ช่างมัน มันจะแก่หรือมันจะป่วยอะไรก็ช่างหัวมัน เพราะธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้น ในที่สุดถึงแม้ว่ามันจะตายก็ช่างมัน เรียกว่าไม่ยอมยึดทั้งอารมณ์ซ้ายและอารมณ์ขวา อารมณ์ความสุข หรืออารมณ์ความทุกข์ เราไม่ยึด ปล่อยใจสบาย อย่างนี้ท่านเรียกว่า อทุกขมสุข คือจิตทรงอุเบกขา นี่ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้กำหนดไว้อย่างนี้เพื่อให้รอารมณ์ของเราเวลานี้มีความสุขหรือมีความทุกข์ ถ้ามีความสุขเราก็รู้อยู่ว่ามีความสุข มีความทุกข์เราก็รู้อยู่ว่ามีความทุกข์ มีความสุขเพราะว่าอาศัยสิ่งอื่นเป็นปัจจัย หรือไม่ได้อาศัยสิ่งอื่นเป็นปัจจัยเราก็รู้อยู่ อาการของความทุกข์ก็เหมือนกัน ตานี้อาการวางเฉยก็เหมือนกัน วางเฉยเพราะว่าเราห้ามสิ่งนั้นเราห้ามสิ่งนี้ไม่ได้ เมื่อห้ามมันไม่ได้ก็เลยไม่ห้าม ปล่อยตามใจมัน อันนี้วางเฉยเพราะมีอามิส หรือว่าวางเฉยเพราะไม่มีอามิส เฉยขึ้นมาเฉย ๆ หรือว่าวางเฉยเพราะจิตตั้งอยู่ในอุเบกขา คือกฎธรรมดาเป็นสำคัญ นี่องค์สมเด็จพระทรงธรรมให้รู้ตอนนี้เป็นอารมณ์ของสมถภาวนา นี่รู้ไว้ด้วยนะ ว่าตอนนี้เป็นอารมณ์ของสมถภาวนา รู้ทำไม การตั้งสติเข้าไว้ การรู้ตัวเข้าไว้มันจะได้รู้ว่า เวลานี้มีสุขหรือว่ามีทุกข์ จะได้รู้ชัดว่าคนเราเกิดมานี่ไม่ใช่ว่าจะอยู่เฉย ๆ ได้ มันจะต้องมีสุขและจะต้องมีทุกข์ และมีอารมณ์เฉย ๆ ในบางขณะ เป็นอันว่าแม้แต่อารมณ์ก็หาความแน่นอนไม่ได้

    ในตอนท้ายองค์สมเด็จพระจอมไตรให้ถือว่า ความสุขหรือความทุกข์นี่เป็นธรรมดา ธรรมดาของคนที่เกิดมา เราจะไม่ยอมยึดถือมันเพื่อประโยชน์อะไร อารมณ์ใจที่มีความสุขก็ดี อารมณ์ใจที่มีความทุกข์ก็ดี มันไม่มีสภาวะที่ทรงความแน่นอนได้เลย เราจะมาสุขจริง ๆ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็กลับทุกข์ เวลามันทุกข์คิดว่าจะหาความสุขไม่ได้ มันก็ไม่แน่นอนเดี๋ยวมันก็กลับมาหาความสุขใหม่ เป็นอันว่าเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ เหตุฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงเตือนว่า เมื่อเราพิจารณาแล้ว จงพิจารณาสักแต่เพียงว่ารู้ ที่เรารู้แล้ว คำว่ารู้แล้วนี่ สักแต่เพียงว่ารู้ ก็เพียงว่ารู้แล้ว จงอย่ายึดถือว่านี่เป็นความสุข หรือว่านี่เป็นความทุกข์ ที่เราควรจะยึดถือเข้าไว้ แล้วเธอทั้งหลายจงเห็นอาการเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่เกิดมาแล้วย่อมมีอารมณ์อย่างนี้ เมื่อมันหาสภาวะความแน่นอนไม่ได้อย่างนี้ เราก็ไม่ควรยึดถือมันไวเลย คำว่าไม่ยึดถือมันไว้เลยก็หมายความว่าไม่ควรจะยึดถือว่าเราจะทรงมันไว้ต่อไป และเมื่อไม่ยึดถืออารมณ์ แล้วท่านก็เลยสั่งต่อไปว่า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดในโลกจงอย่ายึดถือเอง จงอย่าถือแม้แต่อารมณ์นี้ว่ามันเป็นเราเป็นของเรา เรามีในอารมณ์ อารมณ์มีในเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้มันมีแล้วไม่นานเพียงไม่สักกี่วัน มันก็ถึงอาการดับชีพของมัน คือความตายของ ร่างกาย เมื่อร่างกายตายเมื่อไรแล้ว อารมณ์เหล่านี้มันก็สลายตัวไป นี่เป็นอันว่าการเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานสูตร องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ใช้สติสัมปชัญญะเข้าคุมอารมณ์ ความจริงมันต้องใช้อารมณ์เอาสติสัมปชัญญะหนักหน่อยนะ ที่หนักก็ไม่เห็นว่าเป็นของแปลก มันเป็นสิ่งที่เราควรจะรู้ ถ้าเราคุมอารมณ์ของเราได้ โดยใช้สติสัมปชัญญะควบคุมอารมณ์ของเราตลอดเวลา เป็นอันว่า ชาตินี้พวกเราทุกองค์ มีหวังได้ ในฐานะความเป็นอรหัตผล เพราะอะไรเพราะพระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์นี่ไม่มีอารมณ์เผลอในเรื่องขันธ์ ๕ เป็นอันว่าการพูดเรื่องเวทนาก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้.

    จาก หนังสือ ธรรมะปกิณกะ ๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2010
  19. baimin

    baimin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,933
    ค่าพลัง:
    +14,580
    ขออนุโมทนาด้วยครับคุณพี่พัณณ์ ที่หายไปผมไปต่างจังหวัดมาครับ พอกลับมาก็สะสางงานที่ค้างไว้ให้เสร็จครับ
    ขอบพระคุณครับ...baimin
     
  20. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    ซาหวั้ดดีเด้อ เพื่อน เพื่น ซำบายดีบ่..กินข่าวแลงบ่
    ขออานุโมทนากับอ้าย baimin หลาย ๆ เด้อ ข้อยกำลังคิดฮอดธรรมะของอ้ายอยู่พอดี ซำบายดีบ่
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...