พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากหน้าที่ 34 ผมขอนำมาลงอีกครั้ง สำหรับผู้ที่ไม่อยากอ่านหลายๆหน้าครับ

    ผมขอรวบรวมบทความที่ผมได้นำมาลงในกระทู้นี้ และนำเรื่องศิลปการใช้พระเครื่อง ซึ่งเขียนโดยท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร นำมาลงอีกครั้งนะครับ จะได้ไม่ต้องหาอ่านกันหลายๆหน้า


    ศิลปการใช้พระเครื่อง


    โดย อ.ประถม อาจสาคร



    คนไทยนิยมใช้และบูชาพระเครื่องพระพิมพ์มาช้านานไม่มีวันเบื่อหน่ายคลายจาง ทั้งนี้น่าจะเริ่มในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีหลังหลุดพ้นจากอิทธิพลของขอมแล้ว นิยมสร้างพระเครื่องพระพิมพ์บรรจุกรุตามเจดีย์และศาสนสถานต่าง ๆ โดยการนำขององค์พระมหากษัตริย์และคณาจารย์ต่างๆ นับเป็นต้นฉบับสืบเนื่องกันต่อมาทุกยุคสมัย เช่น สมัยอยุธยาตอนต้นที่เราเรียกกันว่าสมัยอู่ทอง สมัยอยุธยากลาง สมัยอยุธยาปลาย จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปัจจุบัน พระเครื่องนับว่ามีบทบาทเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยจนแทบจะกำหนดได้ทุกครัวเรือนที่เป็นชาวพุทธ ยามสงบก็ใช้พระเครื่องเป็นสิ่งคุ้มกันในการผจญภัยต่าง ๆ ใช้เป็นสื่อในการทำมาค้าขาย ในยามสงครามใช้สำหรับปกป้องคุ้มครองประเทศชาติ เพราะเป็นการรบแบบประชิดตัวในดงหอกดงดาบ ใครดีใครอยู่ ใครไม่ดีก็ตายไป ทำให้เกิดกำลังใจอันห้าวหาญ เป็นพละปัจจัยในการสู้รบ พระเครื่องจึงอาจมีบทบาทในการทำสงครามกู้ชาติขับไล่อริราชศัตรู

    ศิลปการใช้พระเครื่องในสมัยโบราณนิยมอมไว้ในปาก จนมีคำพังเพยว่า "ถึงอมพระมาพูดก็ไม่อยากเชื่อ" ใช้ผูกแขนด้วยผ้าประเจียด ใช้คล้องสะพายแบบสังวาลย์ หรือคล้องคอ ใช้บรรจุในมงคลคาดศีรษะสำหรับพวกแทงกระบี่ตีกระบอง เคยมีการค้นพบพระวัดตะไกรพิมพ์หนึ่ง นิยมซ่อนอยู่ในมงคลคาดศีรษะ เลยนิยมเรียกกันว่า พระวัดตะไกรหน้ามงคล เป็นต้น สมัยต่อมาใช้วิธีถักด้วยเชือกหรือลวดเงิน ทอง ทองแดง หรือเลี่ยมเปิดหน้าหลัง หรือบางทีก็เจาะด้านหลังเป็นรูปใบโพ สอบถามได้ความว่าเพื่อจะให้สัมผัสกับธาตุทั้ง ๔ ในกายตัว ที่เจาะเป็นรูปใบโพเรียกว่า "พระเจ้าเปิดโลก" และปรากฏประสบการณ์สูง แต่ในด้านการอนุรักษ์แล้วใช้การไม่ได้ สุนทรีภาพขององค์พระจะสึกกร่อนมาก

    ในสมัยปัจจุบันพระเครื่องที่อยู่ในเกณฑ์นิยม กลายเป็นสินค้าราคาแพงจนน่าใจหาย ยิ่งแพงยิ่งเป็นสิ่งที่นิยมชมชอบ แม้จะไม่มีปัญญาเป็นเจ้าของก็ยังสนับสนุน ประกอบกับพระเครื่องโบราณชักฝืดและหายาก จึงคิดอนุรักษ์สุนทรีภาพขององค์พระด้วยการเลี่ยมตลับอย่างดี หรือบางที่ก็ใช้พลาสติคอย่างหนาเลี่ยมปิดสนิทแบบน้ำไม่เข้าลมไม่ออก แต่การใช้พระไม่ประสบผล คือถ้าเกิดอุบัติเหตุหากไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตทุกรายไป เป็นเพราะปราศจากวิทยาการในการใช้พระเครื่อง ไม่ศึกษาถึงรังสีของพระเครื่อง และเรื่องของธาตุรู้หรือวิญญาณธาตุย่อมต้องเดินในอากาศธาตุ เมื่อไปปิดกั้นพลังคุ้มครองซึ่งเสมือนสนามแม่เหล็กพลังจึงไม่สามารถกระจายออกได้ จึงทำให้ลดคุณภาพจนถึงปราศจากคุณภาพ

    สำหรับเรื่องนี้ได้อธิบายมานานปีแล้ว มีบุคคลเชื่อเป็น ๒ ฝ่าย ส่วนช่างเลี่ยมพระจะไม่แนะนำอะไร เพียงแต่รับเลี่ยมอย่างเดียว หากสั่งให้เจาะก็จะทักท้วงว่าไม่มีใครเขาเจาะกัน ดีไม่ดีเชยแหลก การกล่าวเช่นนี้ผมจัดว่า "เป็นสื่อมัจจุราชสี่มุมเมืองทีเดียว" คือเป็นเหตุให้ผู้จ้างเลี่ยมพระนั้นได้ตายสนิทไม่มีทางแก้ไข ผู้ที่คบคุ้นกับผมจะเชื่อโดยเหตุผลและประสบการณ์ ผมเองก็ได้มีผู้หวังดีมาแนะนำอบรมสั่งสอนเพื่อคลายสโลแกนที่ว่า "เปิดไว้ปลอดภัยกว่า" ซึ่งตัวผมเองก็คิดคำนึงว่ามันเปรียบเสมือนมีดสองคม หากผู้คิดมิชอบนำไปใช้ก็จะเป็นเรื่องน่าหนักใจ เพราะอิทธิคุณที่บรรจุไว้ท่านมักตรงไปตรงมา ยัดใส่ปากปลาก็คุ้มกันมีดได้ แขวนคอสุนัขก็เคยลองกันยิงได้ ท่านคุ้มหมดเว้นแต่ถึงคราวจะสิ้นอายุขัยจริง ๆ

    อันศิลปการใช้พระเครื่องของขลังมีอยู่มากมายหลายประการ สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะนำพระแขวนคอฝากชีวิตกันต้องศึกษาหาความรู้ว่าพระที่จะนำมาแขวนคอมีอิทธิคุณคุ้มครองทางด้านใด หรือมีผลทางด้านไหนสูง เช่น แคล้วคลาด เมตตามหานิยม อยู่ยงคงกระพัน ฯลฯ การตรวจพระมิใช่ตรวจเพียงวัตถุธาตุหรือรูปธรรม คุณพระหรืออิทธิคุณเป็นนามธรรม สร้างจากจิตจึงจำเป็นต้องตรวจด้วยจิตอย่างปฏิเสธมิได้ การตรวจด้วยแว่นส่องเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเห็นหรือทราบอิทธิคุณได้ แม้จะมั่นใจว่าพระที่ได้มาเป็นของแท้ เพราะได้มาจากวัดหรือรับมาจากมือก็ไม่ควรประมาท จากประสบการณ์อันยาวนานพบว่า พิมพ์ใช่ถูกต้อง แต่พลังไม่มี เพราะเหตุใด? ที่นี่มีคำตอบคือ
    ๑. ฤกษ์ในขณะสร้างพระ พิมพ์พระ ปั๊มพระ ไม่ถูกต้อง ตรงกับฤกษ์ไม่ดีที่เรียกว่าลูกพิษ แม้จะผ่านการปลุกเสกนานเท่าใดก็ปราศจากอิทธิคุณ คือยังมีค่าเท่ากับศูนย์เช่นเดิม
    ๒. สร้างพระไว้เกินจำนวนมิได้ผ่านพิธีปลุกเสก แอบสร้างเกินไว้เพื่อหวังผลทางพาณิชย์
    ๓. เป็นพระเสื่อม หมดพลัง ไม่มีเทพรักษาคุ้มครอง เพราะผู้ใช้นำไปสู่สถานที่อันไม่สมควร
    ๔. เป็นของทำเลียนแบบ ไม่ผ่านการปลุกเสก เรียกว่าเก๊นอก เก๊ใน
    ๕. เป็นของทำเลียนแบบ แต่ผ่านการปลุกเสก สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญทางปรจิตจะทราบได้ว่าพลังต่างจากของแท้ และบางครั้งมีอิทธิคุณสูงไม่แพ้ของเดิม หรือพลังสูงกว่าก็ยังมี แต่ทางรูปเขาบอกว่าเก๊

    ดังนั้นการใช้พระเครื่องจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่มีแว่นส่องพระจำชื่อพระจำรูปจำแบบจำโค๊ดก็ถือว่าเก่งแล้ว คราวนี้ถ้าเรามีพระดีมีอิทธิคุณและใช้ให้ถูกต้องย่อมได้รับผลสูงสุด การใช้พระเครื่องแต่ไม่ได้เข้าอยู่ในหลักวิชา เพียงนึกคิดเอาเองหรือทำตาม ๆ กันไป เช่นบางคนแขวนพระคี่ คือ ๑, ๓, ๕, ๗, ๙ บางคนถือว่าพระปิดตาเป็นพระที่ขัดลาภ เช่นนี้ก็ควรทดสอบดู คือผู้ใดมีพระปิดทวารวัดหนังสักร้อยองค์ พระปิดตาวัดทองสุวรรณารามอีกร้อยองค์ เป็นพระแท้ทั้งสิ้น รับรองบันไดบ้านไม่แห้งแน่ ก็ลองเอาหลักแสนคูณด้วย ๒๐๐ ดูเถอะ หรือพระปิดตาหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี รุ่นปลดหนี้ ก็ไม่รู้ปลดหนี้คนขายหรือคนซื้อ บางท่านก็ยึดถือพระพิมพ์ประจำวันเกิดเป็นหหลัก ทีนี้พระนอกวันเกิด เช่น พระลีลา พระควัมปติ พระปิดทวารทั้งเก้า พระปางมารวิชัย พระตรีกาย พระนารายณ์ทรงปืน จะจัดกันอย่างไร ก็เห็นใช้กันไปตมเขานิยม ตามหลักวิชาที่ทดสอบด้านรังสีแล้ว พระหมวดคงกระพันเข้ากันได้ พระหมวดเมตตาก็เข้ากันได้เป็นสมังคีธรรมไป หากไปจัดแบบเบญจภาคีเข้า รังสีพระจะขัดกัน ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต เพราะพระแต่ละชนิดประกอบด้วยพลังต่างกัน ถ้าอยู่ในองค์เดียวกันย่อมไม่มีการขัดแย้ง เปรียบเสมือนเรามีทีวีเครื่องหนึ่ง จะเปิดช่อง ๓, ๕, ๗, ๙ จะไม่มีช่องอื่นมาแทรกและเลือกเปิดได้ทีละช่อง การใช้พระหลายองค์ที่ไม่อยู่ในแนวทางเดียวกัน เปรียบเสมือนมีทีวีหลายเครื่อง เปิดหลายช่องไม่ทราบจะดูช่องไหนดี การที่โบราณกล่าวว่า "พระท่านเกี่ยงกัน" น่าจะเป็นข้อคิด มิใช่คำพูดที่ตลกขบขัน ดังนั้นการใช้พระองค์เดียวที่มีพลังครบทุกด้านจึงให้ผลสูงสุด เพราะผู้ใช้จะมีจิตเป็นหนึ่งเป็นสมาธิ เมื่อประสบเหตุก็มีจิตตั้งมั่นไม่ซัดส่าย หากท่านใดคิดจะศึกษาศิลปการใช้พระเครื่องก็ควรใช้หลักโหราศาสตร์ เป็นเครื่องประกอบ เพราะหลักโหราศาสตร์มีความสัมพันธ์อันแนบแน่น ตั้งแต่การสร้าง การเสก การประกอบพิธีปลุกเสก ฯ

    ก่อนอื่นทำความรู้จักกับ พระประจำวัน สีประจำวัน สีที่ควรเว้น
    ๑. วันอาทิตย์ พระปางถวายเนตร สีบริวารสีแดง สีที่ควรเว้นคือสีฟ้า
    ๒. วันจันทร์ พระปางห้ามญาติ สีบริวารสีเหลือง สีที่ควรเว้นคือสีแดง
    ๓. วันอังคาร พระปางไสยาสน์ สีบริวารสีชมพู สีที่ควรเว้นคือสีเหลือง
    ๔. วันพุธ พระปางอุ้มบาตร สีบริวารสีเขียว สีที่ควรเว้นคือสีชมพู
    ๕. วันพฤหัส พระปางสมาธิ สีบริวารสีน้ำตาลหรือสีส้ม สีที่ควรเว้นคือสีดำ
    ๖. วันศุกร์ พระปางรำพึง สีบริวารสีฟ้า สีที่ควรเว้นคือสีน้ำเงินและสีม่วง
    ๗. วันเสาร์ พระปางนาคปรก สีบริวารสีดำหรือสีเทา สีที่ควรเว้นคือสีเขียว
    ๘. วันราหู (วันพุธกลางคืน) พระปางปาลิไลยก์ สีบริวารสีน้ำเงินหรือสีม่วง สีที่ควรเว้นคือสีน้ำตาล

    วันคู่มิตรที่ใช้แทนกันได้
    ๑. อาทิตย์เป็นมิตรกับครู พระปางถวายเนตรกับพระปางสมาธิ
    ๒. จันทร์โฉมตรูพุธนงเยาว์ พระปางห้ามญาติกับพระปางอุ้มบาตร
    ๓. ศุกร์ปากหวานอังคารรับเอา พระปางรำพึงกับพระปางไสยาสน์
    ๔. ราหูกับเสาร์เป็นมิตรแก่กัน พระปางนาคปรกกับพระปางปาลิไลยก์

    หากไม่พิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่าเป็นไปได้ยาก คณาจารย์ใดจะจัดสร้างพระสีพิสดารอะไรเช่นนั้น การที่ลงไว้ก็เพื่อให้ครบสูตร สิ่งที่ว่านั้นมีอยุ่หรือหาทดแทนกันได้ และพระพิมพ์ที่สร้างจากพระราชวังหน้าก็มีครบแทบทุกปางทุกสี ต้องศึกษาค้นคว้าด้วยความละเอียดอ่อน อย่ามองข้ามพระสี อย่าดูถูกว่าพระลิเก พระนอกระบบ ปราชญ์โบราณท่านฉลาดรอบรู้ ท่านบรรจงสร้างด้วยจิตวิญญาณ แต่ลูกหลานไม่สนใจ มองข้ามด้วยสายตาที่ดูแคลน ถ้าเห็นใครแขวนพระสีก็ว่าเชย ไม่มีคุณค่า ไร้ราคา ฯลฯ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    (ต่อ)

    สีแห่งธาตุวิเศษ ๕ ประการ

    ธาตุวิเศษ ๕ ประการของนักปราชญ์จีนในสมัยโบราณ กำหนดไว้ ๕ ธาตุด้วยกันคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง จัดเป็นอาถรรพ์และมงคลสูงสุด และนับถือสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
    ๑. ธาตุดิน สีเหลือง ตรงกับความหมายของคำว่า "ซิ่ว" อายุวัฒนะยืนยาว
    ๒. ธาตุน้ำ สีดำ ตรงกำความหมายว่า "ซิ่ว" อายุวัฒนะยืนยาว ปกติ ดิน ทราย น้ำ ย่อมเป็นสิ่งคู่กันตามธรรมชาติ ดินมีอายุยาวนาน น้ำก็มีอายุยาวนาน เปรียบอายุของคนดุจเพียงดาวกระพริบแสง
    ๓. ธาตุลม ไม่มีสี จึงใช้ธาตุไม้สีเขียวแทน ตรงกับคำว่า "ลก" บริวาร
    ๔. ธาตุไฟ สีแดงหรือสีแสด ตรงกับความหมายของคำว่า "ฮก" บารมีเกริกไกร ดาวในจักรวาลดวงใดเล่าจะมีอิทธิพลเท่าดวงอาทิตย์
    ๕. ธาตุทอง สีขาว ตรงกับความหมายของคำว่า "ลก" บริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ควบคู่กับบริวาร

    รวมคุณวิเศษทั้งหมดเข้าสู่องค์พระ งามดั่งจิตกรรมฝาผนัง ศิลปแห่งมรดกไทย เป็นปริศนาธรรมอันลึกล้ำ สนองภูมิปัญญาของผู้ที่เรียกตนเองว่านักพระเครื่อง ซึ่งจะได้ช่วยอนุรักษ์มรดกไทย ผมถวายพระนามพระชนิดนี้ว่า "พระสมเด็จปัญจสิริ" นับเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่ายิ่ง

    เพื่อให้ครบหลักเกณฑ์ทางวิชาการ จำเป็นต้องเข้าใจกับทักษาพิศดารให้เข้าใจก่อน คำว่าทักษาคือ บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลกิณี มีอยู่ด้วยกัน ๘ อย่าง จัดเป็นมูลพยากรณ์ในการใช้พระอย่างพิศดาร หากพิจารณาให้ลึกซึ้งจะเห็นว่าให้ผลดีเลิศกว่าการใช้พระแบบทั่วไป

    บริวาร หมายถึงผู้แวดล้อมคอยรับใช้ ผู้ห้อมล้อมติดตาม ผู้ไกล้ชิดและบริวารทั่วไป สิ่งอยู่รอบตัวเรารวมถึงเสื้อผ้าของใช้ ตรงกับความหมายว่า "ลก"
    อายุ หมายถึงความแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ความยั่งยืน ตรงกับความหมายว่า "ซิ่ว" อายุยืนยาว
    เดช หมายถึงอำนาจ ความงาม ความสุกใส ชื่อเสียงเกียรติยศ ความสง่างาม ตรงกับคำว่า "ฮก" บารมีเกริกไกร
    ศรี หมายถึงความงาม ความดี ความน่ารัก ความเจริญ ความร่ำรวย ความสำเร็จ มงคล ความเป็นใหญ่ อำนาจ ราชศักดิ์
    มูละ หมายถึงทุนทรัพย์ เหตุ ที่ตั้ง มีพื้นฐานมั่นคง สถานที่ประกอบธุรกิจ สถานที่อยู่อาศัย
    อุตสาหะ หมายถึงความพยายาม ความขยัน ความอดทน การประกอบอาชีพการงาน
    มนตรี หมายถึงมีผู้คอยช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำหรือเป็นที่ปรึกษา
    กาลกิณี หมายถึงความชั่วร้าย ความสูญเสีย ความบกพร่อง อุปสรรค โรคร้าย

    สรุปต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อน ว่าเราคือใคร มีอาชีพความเป็นอยู่อย่างไร ต้องการอะไรให้กับชีวิต แล้วมาพิจารณาว่าสมควรใช้พระแบบไหน สีอะไร ประการแรกให้ตัดสีที่เป็นกาลกิณีออกไป แล้วค่อย ๆ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองดู ก็จะประสบความสำเร็จขั้นสูงสุดในศาสตร์และศิลป์การใช้พระ

    สำหรับผู้ที่ศึกษาแล้วเกิดความท้อแท้ โบราณท่านกล่าวว่า รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ เรื่องอะไรที่เราไม่คุ้นเคยมันก็ดูยากไปทุกเรื่อง หาพระสีที่ต้องการไม่ได้ พระประจำวันก็หาลำบาก เคยเห็นพระกำลังแผ่นดินไหม ทำไมต้องเป็นปางสมาธิสีน้ำตาล พระองค์ท่านเป็นปราชญ์ทรงรอบรู้สารพัดศาสตร์ ทรงพิจารณาแล้วว่าสีน้ำตาลนี่แหละที่สะดวกเข้าได้ทั้ง ๗ วัน ยกเว้นราหูก็ช่วยตนเองหน่อย เพื่อความสะดวกเป็นตัวอย่างให้พิจารณาดังนี้

    ผู้เกิดวันอาทิตย์ พระปางสมาธิสีน้ำตาลจัดเป็นอุตสาหะ ปางสมาธิสีแดง/ชมพูจัดเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิเป็นบริวาร(ลก) ปางสมาธิสีนวล/เหลืองเป็นอายุ(ซิ่ว) พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง ชมพู ขาว เหลือง ฯ เว้นสีฟ้า
    ผู้เกิดวันจันทร์ พระปางสมาธิสีน้ำตาลจัดเป็นมูละ ปางสมาธิสีเขียวเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิสีนวล/เหลืองเป็นบริวาร(ลก) ปางสมาธิสีเหลือง/ชมพูเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีเขียว ขาว เหลือง ชมพู ฯ เว้นสีแดง
    ผู้ที่เกิดวันอังคาร พระปางสมาธิจัดเป็นศรี ปางสมาธิสีแดง/ดำเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิสีชมพูเป็นบริวาร(ลก) ปางสมาธิสีเขียวเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง ดำ นวล ชมพู เขียว ฯ เว้นสีเหลือง
    ผู้ที่เกิดวันพุธ พระปางสมาะสีน้ำตาลเป็นเดช(ฮก) ปางสมาธิสีเขียวเป็นบริวาร(ลก)
    ปางสมาธิสีดำเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง น้ำตาล ขาว เขียว เหลือง ดำ ฯ เว้นสีชมพู
    ผู้ที่เกิดวันพฤหัส พระปางสมาธิสีฟ้าจัดเป็นเดช(ฮก) ปางสมาธิสีน้ำตาลเป็นบริวาร(ลก)
    ปางสมาธิสีน้ำเงินเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง ฟ้า ขาว น้ำตาล เหลือง น้ำเงินเข้ม ฯ เว้นสีดำ
    ผู่ที่เกิดวันศุกร์ พระปางสมาธิสีน้ำตาลเป็นมนตรี ปางสมาธิสีเหลืองเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิสีฟ้าเป็นบริวาร(ลก) ปางสมาธิสีแดงเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง เหลือง ขาว ฟ้า ฯ เว้นสีน้ำเงินเข้ม/ม่วง
    ผู้ที่เกิดวันเสาร์ พระปางสมาธิสีน้ำตาลเป็นอายุ(ซิ่ว) ปางสมาธิสีน้ำเงินเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิสีดำเป็นบริวาร(ลก)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง น้ำเงินเข้ม ขาว ดำ เหลือง น้ำตาล ฯ เว้นสีเขียว
    ผู้เกิดวันราหู (วันพุธกลางคืน) พระปางปาลิไลยก์ ปางอุ้มบาตร หรือปางนาคปรก สีแดงเป็นเดช(ฮก)
    สีน้ำเงินเป็นบริวาร(ลก) สีฟ้าเป็นอายุ(ซิ่ว) เว้นสีน้ำตาล
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต่อ)

    พระสีหาได้ที่ไหนจะบอกลายแทงให้ ก็เจดีย์วัดทองนพคุณเคยกรุแตกมาครั้งหนึ่งประมาณปี ๒๕๑๑ มีพระสมเด็จสีทะลักออกมามากมาย คนเป็นพระจริง ๆ จะมีสักกี่คนครับ พอเห็นเข้าก็เบือนหน้าหนี เท่าที่พบเห็นมีสีแดงชาด(จูซาอั้ง) สีเหลืองหรดาร สีฟ้าสีเขียว ดุเหมือนจะมีครบสีนะครับ พระนี้สร้างที่วัดระฆัง แล้วนำมาบรรจุกรุที่วัดทองนพคุณ พระเจดีย์ใหญ่วัดทองนพคุณนี้ ออกทุนสร้างโดยพระยาโชดึก ราชเศรษฐีผู้อุปการะวัดทองนพคุณ นามสกุลท่านโชติพุกนะ ท่านมีอาชีพทางค้าขายเครื่องกังไสลายคราม โดยติดต่อืางประเทศจีน ต่อมาท่านชราภาพลงก็รามือ ท่านมีคนสนิทผู้หนึ่งชื่อนายกิ๊ด แซ่ตั้ง พูดจีนได้ไทยชัด เป็นผู้ติดต่อทางการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีน ต่อมาภายหลังนายกิ๊ดผู้นี้ได้ร่วมงานกับเจ้าคุณกรมท่า และกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในการติดต่อจัดหาหุ่นถ้วยชาม เพื่อจัดสร้างเครื่องเบญจรงค์ขึ้นเป็นเตาแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ และคงได้พบเห็นการสร้างพระพิมพ์สมเด็จสีของพระราชวังหน้า จึงคิดสร้างพระสีโดยใช้พิมพ์ของวัดระฆังเป็นหลักและแกะพิมพ์อื่น ๆ เพิ่มเติม แล้วนำปบรรจุในองค์เจดีย์วัดทองนพคุณ พระพิมพ์นี้ได้รับการอธิษฐานจิตจากเจ้าประคุณสมเด็จโตแน่นอน เพราะทันยุคสมัยและได้รับการพิจารณาทางนามแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย และที่มีมากอีกแห่งหนึ่งก็คือพระพิมพ์ที่สร้างจากพระราชวังหน้า ใครว่าไม่จริงก็แล้วแต่ภูมิปัญญา ไม่ว่ากัน การใช้พระพิมพ์ปางสมาธิองค์เดียว เป็นพระสีน้ำตาลที่ว่านี้มิใช่สมเด็จธรรมดา จากการตรวจสอบทางจิตทราบว่าประกอบด้วยผงวิเศษเป็นผงยาจินดามณี มีอานุภาพครอบคลุมไปหมด อธิษฐานจิตโดยบรมครูพระเทพโลกอุดร ซึ่งเป็นปรมาจารย์ที่ท่านวังหน้าทรงเคารพอย่างสูงสุด (เหมือนการอัญเชิญหลวงปู่ทวดอธิษฐานจิตวัตถุมงคล) ราคาถูกเกินความคาดหมายและหาได้ไม่ยากหากมีความชำนาญเพียงพอ องค์เดียวเกินพอแล้วครับ เลิกเล่นเลิกหาได้แล้ว จบแล้วซึ่งวิทยาการ อายุการสร้างกว่า ๑๓๐ ปี ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้พระกำลังแผ่นดินพิมพ์สามเหลี่ยมปางสมาธิ สีของวันพฤหัสบดีทุกองค์ หรือจะศึกษาพระสมเด็จปัญจสิริ ซึ่งมีสีตามต้องการในองค์เดียวก็ยังพอหาได้

    สีของวัตถุมงคลที่ให้คุณต่าง ๆ
    [​IMG]<!-- / message --><!-- sig -->
    __________________
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    จะเป็นภาพถ่ายหรือรูปหล่อของหลวงปู่ท่าน หรือพระพิมพ์ที่หลวงปู่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ย่อมใช้ได้ทั้งสิ้น หลวงปู่ท่านโปรดผู้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม ชอบอาหารมังสะวิรัติ ชอบฟังคำสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ชอบบูชาด้วยดอกมะลิสด น้ำฝน 1 แก้ว เทียนหนักหนึ่งบาท 1 คู่ ธูปหอม 5 ดอก (คณะพระโลกอุดรมีด้วยกัน 5 พระองค์) การปฏิบัติธรรมสังวรณ์ในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยศีล 5 เป็นอย่างน้อย ย่อมเป็นสิ่งพึงพอใจของหลวงปู่และทั้งยังให้ความสุชความเจริญทั้งคดีโลกและคดีธรรมแก่ผู้ปฏิบัติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    วิธีอาราธนาพระพิมพ์<O:p</O:p

    โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เป็นคาถาสำหรับอาราธนาพระพิมพ์ทุกพิมพ์ทรง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สำหรับพิมพ์อรหันต์ พิมพ์ปิดตา และพิมพ์มหากัจจายนะซึ่งเป็นองค์เดียวกันแต่ปางต่างกันหากจะอาราธนาอย่างพิศดารก็ย่อมกระทำได้ กล่าวคือพิมพ์อรหันต์ใหญ่ พิมพ์อรหันต์กลางและพิมพ์อรหันต์น้อย อยู่ในหมวดพระมหากัจจายนะรูปงามซึ่งเป็นรูปเดิมก่อนการอธิษฐานวรกายให้ต่อท้ายด้วยคาถาดังนี้<O:p</O:p
    พิมพ์อรหันต์<O:p</O:p
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม<O:p</O:p
    (เชยยะ อ่านว่า ไชยะ ; รูปะวะระ แปลว่า รูปงาม)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    *** โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม ***<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สำหรับสำหรับพิมพ์พระปิดตาซึ่งเป็นปางอธิษฐานวรกายให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วยพระคาถาต่อไปนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พิมพ์พระภควัมปติ(ปิดตา)<O:p</O:p
    ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    *** โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    สำหรับพิมพ์พุงพลุ้ยที่นิยมเรียกกันว่า พระสังกัจจายน์ คำนี้ไม่มีศัพท์นี้ในภาษาบาลี ที่ถูกต้องคือ พระมหากัจจายนะ เถระเจ้าอัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เป็นปางหลังจากที่นิมิตวรกายแล้ว ให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วย พระคาถาต่อไปนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ***โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จะเห็นว่าตัดเอาคำว่า รูปะวะระออกไปเพราะสิ้นความงดงามแล้ว พระพิมพ์ของคณะพระเทพโลกอุดรนั้นทุกรูปแบบทุกพิมพ์ทรงมีอานุภาพครอบจักรวาล อาราธนาทำน้ำมนต์ประสิทธิ์ยิ่งนัก โดยให้นำเอาพระแช่ในภาชนะที่บรรจุน้ำเรียบร้อยแล้ว บูชาด้วยดอกไม้ จุดธูปเทียน แล้วอธิษฐานตามความมุ่งหมาย เสร็จแล้วให้รีบนำพระขึ้นเช็ดน้ำด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด ผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปบรรจุตลับ องค์พระจะไม่ละลายลบเลือนและไม่ควรแช่ในน้ำนานเกินควร จงทะนุถนอมให้จงดี เพราะหาไม่ได้อีกแล้ว<O:p</O:p
    สำหรับท่านที่มีพระอันเป็นทิพยสมบัติอันทรงคุณค่า โดยได้รับสืบทอดมาจากบรรพชนหรือได้รับจากทางใดทางหนึ่งก็ตาม เสมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่กับตัว ไม่จำเป็นต้องขวนขวายในอิทธิวัตถุอื่นอีก<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    คำบูชาบรมครูพระโลกอุดร
    <O:p</O:p

    นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯลฯ ( 3 จบ )<O:p</O:p

    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร ปฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรา นุสาสะโก โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต อิฐะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ ปะระมะสาริกะธาตุ วะชิรัญจา ปิวานิตัง โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง เวเรนะ สุภาสิตัง โลกุตตะโร จะ มหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต โลกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    บทสวด แบบย่อ<O:p</O:p
    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา<O:p</O:p
    หรือ<O:p</O:p
    ภาวนา ๓ จบ , ๗ จบ , ๙ จบ (เช้า-เย็น ตื่นนอนและก่อนนอน)<O:p</O:p

    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    พระคาถาจักรพรรดิ์<O:p</O:p

    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก พระนครศรีอยุธยา<O:p</O:p

    (ใช้บูชาพระ)<O:p</O:p
    นะโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ<O:p</O:p
    ยะธาพุทธโมนะ พุทธะบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีทานังวะรังคันธัง สิวะลีจะมหาเถรัง<O:p</O:p
    อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย<O:p</O:p
    อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หมายเหตุ : บทความที่นำมาเสนอนี้ได้รับการอนุญาตในการคัดลอกและเรียบเรียงเพื่อเผยแพรเป็นวิทยาทานจาก ท่าน อาจารย์ ประถม อาจสาคร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นพระคุณและความกรุณาอย่างยิ่ง

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ส่วนพระพิมพ์สมเด็จวังหน้า พิมพ์ที่มีพระธาตุนั้น ผมขอแนะนำให้ใช้บทนี้ครับ

    พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า

    อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ ( 1 , 3 , 5 , 7 , 9 ,108 จบ)

    และต่อด้วยบทสวดหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระสมเด็จวังหน้า สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า พระพิมพ์จุฬามณี หรือพิมพ์อื่นๆ ทุกๆพิมพ์นั้น มีการจัดสร้างขึ้นที่วังหน้าทั้งหมดครับ เพียงแต่ว่า จะแยกกันโดยทรงพิมพ์ เนื้อของพระพิมพ์ โดยพระวังหน้า จะเป็นพิมพ์หลากหลายพิมพ์ ผมเองคาดว่ามีพิมพ์อยู่ประมาณ 100 กว่าพิมพ์ มีการจัดสร้างเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2400 จนถึง พ.ศ.2428 อันเป็นปีที่ท่านเจ้า (กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) ท่านทิวงคต

    แต่พระพิมพ์เจ้าคุณกรมท่า พิมพ์เจ้าคุณกรมท่าที่เป็นพระคะแนน พิมพ์จุฬามณี เนื้อพระพิมพ์ในลักษณะนี้ จะเป็นของท่านเจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)(หรือท่านเจ้าคุณกรมท่า) ซึ่งท่านรับราชการ เป็นเสนาบดีกรมท่า หรือตามที่ใช้เรียกกันในสมัยก่อนซึ่งก็คือ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ท่านเจ้าคุณกรมท่า ท่านเปรียบเสมือนมือขวาของท่านเจ้า(ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) ท่านเจ้าท่านให้ท่านเจ้าคุณกรมท่า เดินเรือสำเภา นำเครื่องบรรณาการ(ไม่ใช้ว่าไทยเราเป็นเมืองขึ้นของจีนนะครับ แต่เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน) ไปถวายเจ้ากรุงจีน พร้อมทั้ง นำสินค้าของไทยไปขายแลกเปลี่ยนกับสินค้าเมืองจีนครับ

    การสร้างพระ ไม่ว่าจะเป็นพระวังหน้า หรือพระเจ้าคุณกรมท่านั้น การสร้าง สร้างโดยช่างสิบหมู่เหมือนกัน สร้างขึ้นที่วังหน้าเหมือนกัน มวลสารหลักก็เป็นปูนเพชร ที่นำเข้าจากเมืองฮันซุย ประเทศจีนเหมือนกันครับ

    เรื่องพระราชพิธีพุทธาภิเษกนั้น พระทุกพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นของวังหน้าหรือพระเจ้าคุณกรมท่า ก็ทำพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานมงคลเหมือนกัน ท่านเจ้า ท่านจะนิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีมาเป็นประธาน อีกทั้งพระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น มาทำพิธีพุทธาภิเษก แต่ท่านเจ้าท่านจะเชิญหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรมาเสกให้ด้วย เพียงแต่ท่านเจ้าจะเชิญหลวงปู่องค์ไหนใน 5 องค์เท่านั้น ส่วนใหญ่หลวงปู่ที่มาเสกให้นั้น จะเป็นหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ซึ่งเป็นองค์ที่ 3 ในคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากปี พ.ศ.2415 ซึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านมรณภาพแล้ว ก็เป็นพิธีหลวงเช่นกันครับ เพียงแต่ว่า มีการทำพิธีพุทธาภิเษกโดยเชิญพระผู้ใหญ่ในสมัยนั้นมาเหมือนกัน และท่านเจ้าท่านก็เชิญหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรมาเสกให้เหมือนกัน ครับ

    คำอารธนาที่เป็นพิมพ์ต่างๆนั้น จะให้ใช้ตามพิมพ์พระวังหน้า ซึ่งพระในยุคแรกๆ จะเป็นพระพิมพ์ 15 พิมพ์ที่เป็นพิมพ์อรหันต์ใหญ่ ,กลาง ,เล็ก หรืออื่นๆใน15พิมพ์แรก
    แต่ของพระพิมพ์เจ้าคุณกรมท่านั้น ให้ใช้คำอารธนา หลวงปู่แบบเต็มหรือแบบย่อก็ได้ครับ

    โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระวังหน้าหรือพระเจ้าคุณกรมท่านั้น สร้างที่เดียวกัน มวลสารลักษณะเดียวกัน เพียงแต่พระวังหน้าอาจจะมีมวลสารประเภทอื่นๆอีก พิธีพุทธาภิเษกก็ที่วัดบวรสถานสุทธาวาส ก็ที่เดียวกัน ส่วนผู้เสกนั้น แล้วแต่ท่านเจ้า(ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) ท่านจะเชิญหลวงปู่องค์ไหนมาเสกให้เท่านั้นเอง ในบางพิมพ์อาจมี 1 องค์เสก ในบางพิมพ์อาจมี 2 องค์เสก ในบางพิมพ์ อาจมี 3 องค์เสก หรือในบางพิมพ์อาจมี 5 องค์ แต่ในบางพิมพ์ของวังหน้าอาจเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านเสกเอง ครับ
    .

    พระพิมพ์,มวลสารและเนื้อของพระวังหน้านั้น จะมีหลายพิมพ์มาก แค่พิมพ์พิเศษ พ.ศ.2408 นั้น ก็มีอยู่ทั้งหมด 44 พิมพ์ ,พิมพ์ที่เป็นพิมพ์มาตรฐานในยุคแรกๆนั้น(พิมพ์อรหันต์เล็ก ,กลาง,ใหญ่,สังกัจจาย์,อธิษฐานฤทธิ์ ฯลฯ) ในยุคแรกมี 15 พิมพ์ แต่ต่อมามีพิมพ์เพิ่มขึ้นอีก รวมแล้วประมาณ 40 พิมพ์ และยังมีพิมพ์อื่นๆอีกหลายพิมพ์มาก
    ในแต่ละพิมพ์เอง ก็มีหลายเนื้อนะครับ อาจเป็นเนื้อพระสมเด็จ(ปูนเพชร) ,เนื้อดิน , เนื้อดินเผา ,เนื้อปัญจศิริ(เบญจรงค์) หรือเนื้อพิเศษคือเนื้อผงยาวาสนา (ผมเองมี 1 องค์คือพระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนา) หรือเนื้อผงวิเศษล้วนๆ (เนื้อนี้ผมมีอยู่ 1 องค์คือหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน เป็นเนื้ออิทธะเจ ล้วนๆ) ส่วนการสร้างพระนั้น การตำผงพระใน 1 ครก จะใช้ระยะเวลา ตำประมาณ 4 ชั่วโมง แล้วนำไปผสมกับผงทอง ,ผงขี้เหล็กไหล และมวลสารอื่นๆ โดยใช้พระขรรค์หรือกฤช ที่เป็นเนื้อสังฆวานร กวนมวลสารทั้งหมดให้เข้ากันแล้วจึงนำมวลสารทั้งหมดไปกดพิมพ์ ช่างสิบหมู่ 1 ท่าน สามารถทำพระได้วันละประมาณ 500 องค์ ส่วนการสร้างพระวังหน้านั้น เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2400 ถึงปี พ.ศ.2428 ส่วนพระของวังหลวง(ด้านหลังมีครุฑ)นั้น มีการสร้างจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 6ครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในพระพิมพ์ 1 พิมพ์นั้น ก็มีหลายบล็อกนะครับ แต่ว่าในแต่ละบล็อกนั้น จะมีโค๊ตเป็นของช่างแต่ละคนครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เวลาที่ผมอารธนาพระวังหน้าหรือพระเจ้าคุณกรมท่านั้น ผมเองจะใหช้บทย่อเป็นบทอารธนา ครับ ( โลกุตตะโร จะมะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา ) แต่สามารถอารธนาเป็นภาษาไทยได้นะครับ หรือเวลาที่อธิษฐานทำน้ำมนต์ ก็สามารถใช้เป็นภาษาไทยได้ครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระพิมพ์ที่ผมนำมามอบให้กับผู้ที่ทำบุญกับวัดบ่อเงินบ่อทองนั้น ผมจึงต้องนำไปให้ท่านอาจารย์ประถม ท่านตรวจสอบก่อนทุกครั้ง เป็นการตรวจสอบทั้งรูปและนาม เพราะว่าผมจะได้แจ้งให้ผู้ที่รับพระพิมพ์ไปนั้น ได้รู้ว่าพระพิมพ์ที่รับไป หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรองค์ไหนเป็นผู้ที่เสกพระพิมพ์ให้ครับ<O:p</O:p
    <!-- / message -->.

    <!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระเจ้าอโศกมหาราช ท่านได้เชิญหลวงปู่มาเป็นคณะพระธรรมทูต (คณะโสณะ-อุตระ) เดินทางจากอินเดีย มาเมื่อ ปี 235 ท่านอธิษฐานอยู่ครบพุทธศาสนา 5000 ปี (เท่าที่อาจารย์ประถม ท่านทราบมาว่า พระที่ท่านจะอยู่ครบอายุพระศาสนาสมณโคดม 5000ปี นั้น มีทั้งหมดอยุ่ 19 องค์ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้ง 5 องค์ก็อยู่ใน 19 องค์ด้วยครับ)

    หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรในปัจจุบัน ท่านเป็นอทิสมันกายครับ แต่ท่านอาจารย์ประถม ท่านเห็นหลวงปู่ในนิมิต(การนั่งสมาธิ) ส่วนพระหลานชายท่าน เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ออกมาจากรูปทีละองค์จนครบ 5 องค์ ด้วยตาเนื้อครับ

    .​

    พระประวัติกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (โดยย่อ)


    ครั้นเมื่อมีการผลัดแผ่นดินใหม่ ในปีพ.ศ. 2411อันเป็นปีแรกแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญขึ้นดำรงตำแหน่งมหาอุปราชวังหน้าทรงพระนามว่า "กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญสถานมงคล"
    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญสถานมงคลทรงเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระมหาอุปราชในรัชกาลที่ 4มีพรสวรรค์ในด้านศิลปศาสตร์วิทยาการแทบทุกแขนงสาขาคือวิชา รัฐศาสตร์ วิชาการทหารแบบยุโรป การช่างและการฝีมือ หลักการบริหารราชการแผ่นดิน วิชาพุทธศาสตร์ ทรงเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐานมาแต่ครั้งเยาว์วัย ทั้งเจนจบในพิชัยสงครามประกอบด้วย ไสยเวทย์มนตรา ท่านได้เริ่มสร้างพระโลกอุดรบรรจุในพระเจดีย์วังหน้ารุ่นแรกประมาณปี พ.ศ.2400 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ครั้งเมื่อทรงดำรงราชอิสริยยศ
    เป็นพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ โดยได้อาราธนาองค์ปรมาจารย์อรหันต์อธิษฐานฤทธิ์ให้เสร็จสรรพ เรียกกันว่า

    <O:p</O:p

    "สมเด็จพระโลกอุดร" หรือพระพิมพ์วังหน้าทรงแกะแม่แบบโดยฝีพระหัตถ์ 2 พิมพ์ และรุ่นต่อมาเป็นฝีพระหัตถ์ล้วนๆเพื่อสร้างแจกในงานพระศพของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนอกนั้นสร้างเมื่อสมัยเป็นวังหน้าแล้วอีกหลายรุ่นนอกนั้นสร้างเมื่อสมัยเป็นวังหน้าแล้วอีกหลายรุ่น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในปีพ.ศ. 2411 ท่านเจ้าคุณกรมท่าได้สั่งให้ช่างทำการต่อสำเภาหลวงขึ้นหลายลำ เพื่อทำการค้าระหว่างประเทศเช่น บังคลาเทศ ศรีลังกา หมู่เกาะสุมาตรา ตลอดจนแหลมมลายูและประเทศจีน เพื่อเป็นการรักษาดุลย์การค้าส่วน กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ได้ดำริให้สร้างเตาเผาอบเครื่องเบญจรงค์ซึ่งถือเป็นเตาแห่งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ภายในบริเวณพระราชวังหน้าเป็นเตาเผาส่วนพระองค์สาเหตุสำคัญก็คือได้มีการคลั่งเครื่องเบญจรงค์เมื่อต้นรัชกาลที่ 4 และขาดตอนไปในปลายรัชกาลโดยเริ่มหันไปนิยมเครื่องกังใสลายครามเป็นส่วนใหญ่เพราะประเทศทางยุโรป กำลังนิยมมากและมีการสั่งซื้อเครื่องกังใสลายครามจากประเทศจีนเป็นสาเหตุให้กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ จำ
    เป็นต้องสร้างเตาเผาอบเครื่องเบญจรงค์ขึ้นมา ซึ่งในการนี้ได้มีการร่วมมือประสานงานจากกับท่านเจ้าคุณกรมท่า ในการสั่งหุ่นถ้วยชามจากทางประเทศจีนที่ไปทำการค้าขายอยู่และการทำเครื่องเบญจรงค์นี้เองที่ต่อมาได้มีบทบาทในการก่อให้เกิดพระสมเด็จปัญจสิริและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าขึ้นมา

    .

    <!-- / message -->

    หนังสือพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า

    ชื่อหนังสือ
    วิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯ และพระสมเด็จท่านเจ้าคุณกรมท่า
    เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุญนาค)
    ซึ่งเขียนโดย ท่านปรัศนี ประชากร (เป็นนามปากกาของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ) ซึ่งปัจจุบันไม่มีวางขายที่ไหน แต่ยังพอมีจำหน่ายที่ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครครับ แต่ท่านอาจารย์ประถมท่านนำหนังสือเล่มนี้ จำนวน 2 เล่มไปมอบให้หอสมุดแห่งชาติครับ ก็ยังพอหาอ่านได้ครับ หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ในปี 2539 ครับ

    <!-- / message --><!-- edit note -->

    <!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    พระพิมพ์เนื้อผงยาวาสนา นั้น เป็นพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นโดยใช้ไม้มงคลและว่านต่างๆ ที่มีสรรคุณทางยา (แต่ผมเองไม่ทราบว่ามีว่านอะไรบ้าง) โดยปกติก็เหมือนกับพระพิมพ์ของวังหน้า อิทธิคุณขององค์พระเหมือนกัน จะแตกต่างกันที่พระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนานั้น สามารถใช้รักษาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นกรณีพิเศษ เว้นไว้แต่โรคกรรม (เพียงแต่ทุเลาอาการ) หรือโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้เช่น โรคเอดส์ ,โรคมะเร็ง ,โรคหัวใจ ,เบาหวาน โรคในลักษณะนี้ ก็เป็นเพียงทุเลาอาการเท่านั้น แต่โรคอื่นๆ สามารถช่วยรักษาได้ เคยมีผู้ที่ไปหาท่านอาจารย์ประถม คนนี้เป็นโรคกระดูกทับเส้นประสาทบริเวณหลัง ท่านอาจารย์ประถม ท่านให้สมเด็จเนื้อผงยาวาสนาไป โดยให้ใช้องค์พระแช่น้ำทำน้ำมนต์ (และจุดธูปบอกหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร) อาการจากที่เคยเป็นมากๆ ก็คลายลงมากครับ

    สรรพคุณของสมเด็จเนื้อผงยาวาสนานั้น ใช้แทนพระพิมพ์เนื้อผงยาจินดามณีของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วได้เลยครับ

    หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า และหลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ท่านเป็นผู้ที่รอบรู้เรื่องว่าน เรื่องสมุนไพรมาก ในความคิดเห็นส่วนตัวผมนั้น ผมคิดว่าหลวงพระอุตรเถระเจ้าและหลวงปู่พระโสณเถระเจ้า คงบอกท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ให้ไปหาว่าน ตามที่หลวงปู่ท่านบอกครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องการเดินรังษีจิตในพระเครื่อง ซึ่งเขียนโดยปรัศนี ประชากร (ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร) นั้น ผมจะขออนุญาตท่านอาจารย์ประถมและคุณปุ๊ก่อนว่า จะยินยอมให้ลงบทความนี้หรือไม่ครับ ซึ่งเป็นบทความที่เกี่ยวกับการใช้พระเครื่อง ทำไมถึงต้องเจาะ ถ้าไม่เจาะจะเป็นอย่างไร แล้วผมจะมารายงานความคืบหน้าให้นะครับ

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง<O:p</O:p

    หรือศิลปะการใช้พระเครื่อง<O:p</O:p




    <O:p</O:p


    ปรัศนี ประชากร ผู้เขียน
    (ลิขสิทธิ์ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร)<O:p</O:p


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    - จิตเป็นธาตุ<O:p</O:p
    - กายสิทธิ์ลี้ลับ<O:p</O:p
    - และมหัศจรรย์<O:p</O:p
    - ใช้ทำประโยชน์<O:p</O:p
    - ได้อย่างพิสดาร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระเครื่องเป็นอิทธิวัตถุที่นิยมฝังใจกันมาช้านาน บางคนถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตจะขาดเสียมิได้ หากวันใดลืมแขวนพระจิตใจจะไม่สบายคล้ายขาดความสมบูรณ์ในจิตใจ ยิ่งเคยผ่านอุปสรรค์ และประสบการณ์มาแล้ว ยิ่งรักหวงแหนปานแก้วตา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ปัจจุบันพระเครื่องรุ่นเก่าเป็นของหายากจะหาเช่าซื้อกันแต่ละองค์ก็ต้องจ่ายกันอย่างแรงน่าใจหาย กระนั้นยังมีคนใจถึงกล้าสู้ราคา ขอให้ถูกใจเป็นสู้ ใครจะเคยคิดบ้างว่าเหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม จังหวัดอยุธยาราคาเดิมทำบุญเพียงเหรียญละ 1 บาท หากงามไม่มีที่ติ มีคนกล้าสู้ราคาถึงเหรียญละ 50,000 บาท พระสมเด็จวัดระฆังราคาเช่าซื้อกันใต้ตนมะขาม สมัยก่อนราคาเพียงองค์ละ 240 บาท ราคาเหยียบเรือนแสน ถ้าประกวดชนะรางวัลที่หนึ่ง 300,000
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2006
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง<O:p</O:p

    หรือศิลปะการใช้พระเครื่อง(ต่อตอนที่ 2)<O:p</O:p




    <O:p</O:p


    ปรัศนี ประชากร ผู้เขียน

    (ลิขสิทธิ์ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร)<O:p</O:p




    <O:p</O:p

    จิตเป็นธาตุกายสิทธิ์สี้ลับและมหัศจรรย์ ผู้ที่ฝึกจิตสามารถจะใช้ให้ทำประโยชน์อย่างพิสดาร เช่นจิตที่ฝึกฝนจนบรรลุชั้นทิพยจักขุญาณ ย่อมจะมีคุณสมบัติยิ่งกว่ากล้องส่องทางไกล สามารถมองเห็นภาพกายเนื้อแบบดาวเทียมคือ ดาวเทียมไม่สามารถบันทึกภาพใต้พิภพแต่จิตทำได้ จะเป็นตอไม้ วัตถุธาตุที่ฝังจมอยู่ใต้ดินเห็นหมด เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี สามารถเห็นสิ่งฝังในดินลึกประมาณ 1 วา โดยอัตโนมัติมิต้องอาศัยการเพ่งด้วยอำนาจฌานท่านมักไปที่วัดกุฎีดาว จังหวัดอยุธยาบ่อย ๆ เพื่อค้นทรัพย์แผ่นดินมาบูรณะถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาท่านนั่งอยู่วัดระฆังไฟไหม้ที่เมืองเพชรบุรีท่านก็เห็น หลวงพ่อธมมฺวิตกฺโกนั่งอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ ไฟไหม้เมืองอังกฤษก็เห็น ท่านฤๅษีสันตจิตนั่งจากเขาสวกวาง จังหวัดขอนแก่นมองข้ามทวีปถึงประเทศอังกฤษและยังมองดูใต้ดินลึก ซึ่งจะกระทำมาตุฆาตอันเป็นอนันตริยะกรรมสิ้นโอกาสจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นผลสำเร็จ สมัยปัจจุบันหลวงพ่อโอภาสีถอดกายทิพย์ไปเที่ยวประเทศอินเดีย หลวงพ่อธัมมฺวิตฺตโก ถอดกายทิพย์ไปเยี่ยมคนไข้ที่ประเทศอเมริกา ฤาษีแถบภูเขาหิมาลัยถอดกายทิพย์ไปสนทนากับโปรเฟรสเซอร์ที่ประเทศอังกฤษ อาจารย์ของผมท่านหนึ่งเคยทดลองถอดกายทิพย์ออกบิณฑบาต ท่านนำบาตรมาตั้งตรงหน้าแล้วเข้าสมาบัติว่าเดินไปรับบิณฑบาต เห็นมีอาหารในบาตรและแกล้งถามญาติโยมก็ยืนยันว่าท่านลงจากเขาไปบิณฑบาต จิตสำเร็จเจโตปริยญาณ ผมทดลองมา 3 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งที่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ผมกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งนับถือเสมือนพี่ ช่วยกันถ่อเรือจะไปหาหลวงพ่อหวาเพื่อซักถามข้อธรรมบางประการคือ วิชาสามกับพระนิพพานระยะทางห่างวัดประมาณ <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]ประถม อาจสาคร</st1:personName>)
    <O[​IMG]9 เมตร</st1:metricconverter> โดนศิษย์ผู้หนึ่งมีจดหมายมาเรียนว่า บ้านพักที่ประเทศอังกฤษอยู่ไม่เป็นสุขขอให้ช่วยตรวจดู ปรากฏเห็นโครงกระดูกฝังซับซ้อนกันอยู่ถึง 3 ชั้น ท่านให้รื้อพื้นตึกและขุดกระดูกไปฝังที่สุสานจะอยู่สบาย และก็ถูกต้องทุกประการ เช่นนี้เขาเรียกว่านั่งทางในสามารถเห็นกายหยาบ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถดูกายทิพย์ซึ่งมีความละเอียดแตกต่างกัน เช่นกายมนุษย์ละเอียด กายเทพละเอียด กายพรหมละเอียด กายพระโสดาละเอียด กายพระสกิทาคาละเอียดกายพระอนาคามีละเอียด กายพระอรหันตละเอียด ดวงตาของท่านผู้ทรงฌานย่อมจำแนกไปตามชั้นภูมิและวาสนาบารมีคือ ตาใน ตาทิพย์ ตาแก้ว ตาพุทธะ จิตมีคุณลักษณะแบบคลื่นส่งวิทยุทางไกลคือสามารถสนทนากันในระยะทางไกล และรู้เรื่องชัดเจนเหมือนคุยกันธรรมดา สงสัยว่าอาจเห็นหน้ากันเพระแต่ละท่านล้วนได้ทิพยจักขุญาณ ท่านฤๅษีสันตจิตเคยเล่าให้ฟังว่าวิชาของพระพุทธองค์ต้องทดลองตามคัมภีร์กาลามะสูตร์ ท่านกำหนดให้คณะศรัทธาไปนั่งรวมกลุ่มกันห่างจากท่าน 8 กิโลเมตรท่านเทศนาให้ฟังแล้วมาสอบดูปรากฏว่าทุกคนได้ยินเสียงท่านชัดเจนดี ตามหลักของตะโมภิขุกล่าวว่าเป็นการส่งเสียงทางลมปราณ จิตเป็นมโนมยิทธิคือการแสดงฤทธิ์ทางใจสามารถถอดกายทิพย์จากกายเนื้อได้นิยมเรียกระหว่างผู้ปฏิบัติธรรมว่า การเดินกาย ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงถอดพระวรกายทิพย์ไปโปรดพระองคุลิมาน
    <font face=" /><st1:metricconverter w:st="on" ProductID="5 กิโลเมตร">5 กิโลเมตร</st1:metricconverter> พอกราบท่าน ๆ ก็อธิบายเสร็จ ทำเอาเราหันมองหน้ากัน ท่านกล่าวว่าขนาดนี้ยังไม่เก่งระยะ 5-<st1:metricconverter w:st="on" ProductID="6 กิโลเมตร">6 กิโลเมตร</st1:metricconverter> ทราบว่าใครจะมาหาหญิงกี่คนชายกี่คน ถ้าคิดว่าตังเก่งต้องสอบตกแน่ ต่อมาผมลองดูระยะ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="100 กิโลเมตร">100 กิโลเมตร</st1:metricconverter> กับหลวงพ่อฟั่นอาจาโร คือตั้งใจจะนำภัตตาหารไปถวายหลวงพ่อและพระเณร ระยะทางจากสกลนครถึงวัดที่ท่านพำนักประมาณ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="100 กิโลเมตร">100 กิโลเมตร</st1:metricconverter> เกรงรถวิ่งไม่ทันเลยบอกง่าหลวงพ่อนิมนต์ก่อน ขณะนั้นพระเณรเตรียมกระทำภัตกิจแล้ว หลวงพ่อห้ามว่าอย่าเพิ่งฉัน รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงพระเณรนั่งงง หลวงพ่อคอยผมคนเดียวจริง ๆ ครั้งที่สามทดลองกับหลวงพ่อ ธัมมวิตฺตโกยอดจริง ๆ ครับ ใช้วิธีเรียกชื่อในใจระยะไกล ท่านหันควับทันที ลองใหม่ก็เป็นเช่นนั้น ต้องเข้าไปกราบท่าน ท่านยิ้มด้วยความปราณี ของจริงต้องพิสูจน์ได้ แต่ที่ร้ายกว่านั้นระยะทางจากวัดป่าอุดมสมพรกับกรุงเทพ ฯ มันใกล้อยู่เมื่อไรมีศรัทธาที่กรุงเทพฯ จะทำบุญบ้าน พอได้เวลาสามทุ่มก็รำพึงว่าลืมนิมนต์หลวงพ่อฟั่นและก็ไม่ทันเสียแล้ว รุ่งเช้าหลวงพ้อมาถึงแต่ 6 โมงเช้า ไม่ทราบว่าโดยสารยานวิเศษอะไรมาและเรื่องหลวงพ่อออกาจากวัดนั้นดังที่สุดใคร ๆ จะต้องรู้กันและกรุงเทพฯ จะต้องมีผู้ไปรับกันอย่างครึกครื้น เรื่องนี้เคยออกอากาศ ความจริงเป็นกายทิพย์ต่างหาก มิฉะนั้นรับรองว่าเป็นการเดินกายเนื้อ เพราะผู้ที่สำเร็จเพียงอภิญญา 5 นั้นสามารถจะกระทำฤทธิ์เหาะเหินเดินฟ้าได้ บันทึกตอนหนึ่งของท่านอาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="บุนนาค โฆโส">บุนนาค โฆโส</st1:personName> สายพระอาจารย์มั่นเรื่องเที่ยวกรราฐาน บันทึกไว้ว่าขณะที่ยังเป็นสามเณรได้ธุดงค์ไปพบกับพระภิกษุหนุ่ม เป็นพระภิกษุทางจังหวัดหลวงพระบาง อายุได้ 25 พรรษา พอมาถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง ท่านสาธุวันดี ก็เดินข้ามแม่น้ำโขงไปเฉิบ ๆ ท่านต้องนั่งมองอยู่ริมฝั่งน้ำเพราะไม่มีวิชาบุกน้ำข้ามธาร อีกตอนหนึ่งท่านได้เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยยังหาที่ปักกรดเหมาะสมไม่ได้จึงดันดั้นขึ้นภูเขา ขณะนั้นประมาณสี่ทุ่มแล้ว พอนั่งลงพักเหนื่อยเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งเหาะลอยลงมาบนบ่าหาบผลมะเดื่อเต็มหาบ พอเห็นพระอาจารย์บุนนาค ก็ชวนฉันผลมะเดื่อพระอาจารย์บุนนาคปฏิเสธเพราะเป็นเวลาวิกาล และถามไปว่าคนหรือผี ภิกษุชราตอบว่าไม่ใช่ผีเป็นพระ<FONT face=Tahoma>รอสักพักท่านก็กล่าวลา พระอาจารย์บุนนาคถามว่าจะไปที่ใด พระภิกษุชราตอบว่าจะเที่ยวไปในจักรวาล ว่าแล้วหาบผลมะเดื่อเหินฟ้าลับสายตาไปท่ามกลางความสลัวอ้างว้างของแสงจันทร์ สักพักเป็นงูใหญ่ตรงเข้าวัดพระอาจารย์บุนนาคใช้หางจี้ตามรักแร้ไม่ทำอันตรายแล้วงูก็หายไป (ความจริงผลไม้นั้นเป็นยาอายุวัฒนะชนิดหนึ่ง ท่านทราบว่าพระอาจารย์บุนนาค มีอายุสั้นจึงนำไปให้แต่พระอาจารย์บุนนาคไม่มีวาสนาเอง) หลวงปู่องค์นี้อายุยืนกว่า 200 ปี เรียกกันว่าหลวงปู่ดำ น่าจะเป็นอาจารย์ของท่านอภิชิโตภิกขุ อำนาจจิตนี้หากบรรลุขั้นแล้วสามารถที่จะอธิษฐานได้ตามความปรารถนา บรรลุพลังลงในวัตถุธาตุธรรมดาจนกลายเป็นอิทธิวัตถุอันวิเศษ คล้ายกับการอัดเทปแต่เทปเก็บไว้นานมีการเสื่อม พลังอธิษฐานจิตของพระสุปฏิปันโนหรือพระอรหันต์เสื่อมตัวช้า ถ้าผู้เสกสร้างรู้จักการใช้ธาตุประกอบจะเกิดผลดังนี้ อาโปธาตุคือธาตุน้ำมีลักษณะอ่อนโยนบังเกิดประสิทธิภาพทางเมตตา ถ้าจะให้กันปืนก็เป็นได้เพราะน้ำเป็นศัตรูกับดินปืนทำให้เปียกชื้น ใช้เตโชธาตุคือ ธาตุไฟ บังเกิดอำนาจ ขับไล่ภูตผีปีศาจเพราะไฟมันร้อน ใช้ปถวีธาตุ คือ ธาตุดิน มีลักษณะแข็งแกร่งเกิดสภาพคงทน ใช้วาโยธาตุ คือ ธาตุลม ผลักดันให้บังเกิดการแคล้วคลาดหรือต่อต้านกระสุนปืนให้ถูกหนักเป็นเบาในสภาพสุญญากาศ ฟังดูก็น่าเลื่อมใส<FONT face=Tahoma><O:p></O:p>

    แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าพระวิเศษเลิศล้นสักปานใดราคาแสนราคาล้านทราบว่าถึงจุดดับทุกราย น้อยนักที่จะได้ฟังถึงปาฏิหาริย์ทหารตำรวจตายไปไม่ทราบเท่าใดแล้วความจริงก็ไม่อยากพูดเพราะเป็นมีดสองคม ถ้าเกิดอันธพาลทราบเรื่องนี้แล้วเกิดเชื่อตำรวจแย่แน่ แต่ในทางตรงข้ามเกิดตำรวจเชื่ออันธพาลก็แย่เหมือนกัน ทุกวันนี้ใช้พระกันยังไม่เป็น เป็นแต่ดูพระด้วยแว่น จัดประกวดพระ ขายพระเท่านั้น นอกจากไม่เป็นแล้วยังชวนให้ผู้อื่นรับเคราะห์กรรมไปด้วย จึงนับว่าเป็นกรรมที่จะต้องชดใช้ในการแนะแนวทางที่ผิดสมกับที่ไม่รู้อยากอวดรู้ ไม่เคยศึกษาเรื่องฉนวนกั้นขณะที่กำลังเขียนเรื่องอยู่นี้ มีเซียนพระชั้นกรรมการของชมรมพระเครื่องจังหวัดระยองหน้าตาเลิกลั่กเข้ามาหาตะโกนว่า อาจารย์ครับเสี่ยนวยถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ตายคารถทั้ง ๆ ที่คอมีเหรียญหลวงพ่อคงบางพระพร้อม เหรียญหลวงพ่อแดงวัดเขาบันไดอิฐ และของอื่นซึ่งวงการรับรองแล้วทั้งสิ้น จึงถามว่าพระและเหรียญที่กล่าวนั้นเสี่ยอัดพลาสติคหมดใช่ไหม เขาตอบว่าใช่จึงบอกว่าช่วยไม่ได้ ใช้พระไม่เป็น จึงต้องเสียทีเขา อย่าว่าแต่ระยองแม้ชลบุรี เมืองกาญจน์ เมืองเพชร ที่ไหน ๆ ก็เช่นนั้น

    <O:p</O:p
    (โปรดติดตามต่อไป)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    </B>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2006
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง<O:p</O:p

    หรือศิลปะการใช้พระเครื่อง(ต่อตอนจบ)<O:p</O:p




    <O:p</O:p


    ปรัศนี ประชากร ผู้เขียน

    (ลิขสิทธิ์ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร)<O:p</O:p




    <O:p

    ลักษณะการเดินของรังสีจิต กับรังสีจิตที่อยู่ในสภาพถูกบรรจุในวัตถุมันต่างกันไฟฟ้าไม่เปิดสวิตมันก็ไม่เกิดแสงสว่างการกรอกน้ำลงในขวดเสร็จแล้วรินออกได้ แต่ถ้าปิดจุกมันก็ไหลออกไม่ได้ สายไฟฟ้าดูดคนตายแต่ถ้าใช้สายยางห่อหุ้มมันก็ทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้าเกอดรั่วก็เป็นอันตรายกระแสน้ำกระแสไฟฟ้ามีทางเดินคล้ายกระแสจิตถ้าไปกั้นมันเข้ามันก็ไม่มีทางออก ถึงจะออกได้ก็ชักช้าไม่ทันการ เป็นเช่นนี้พระสมเด็จราคาแสนจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ เห็นตายสนิททุกราย ใครว่าใช้พระสมเด็จแล้วไม่ตายโหง อาจเป็นได้ถ้ารู้จักการใช้ นายแพทย์ประจำ วัชราปานเคยกล่าวว่าผู้ใดที่มีพระร่วงหลังรางปืนสนิมแดงกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคโลก เรื่องการตายโหงแล้วรับรองไม่มี สำหรับเหตุผลในข้อนี้วินิจฉัยยากเพราะพระร่วงชนิดนี้มีจำนวนน้อยราคาสูงมาก และมักอยู่กับผู้มีชาตาวาสนาสูงส่ง โอกาสที่จะผจญอันตรายมีเปอร์เซ็นต์น้อยแต่ก็ปรากฏแล้วว่าผู้ที่แขวนพระร่วงชนิดนี้ และเป็นองค์ที่ได้รับรางวัลที่หนึ่งชนะการประกวดมาแล้วตายโหงไปแล้วว่าไงครับ วงการเงียบกริบ ควรออกหนังสือแสดงการตายของพระเครื่องเสียบ้างจะได้หยุดเล่นกันเสียที เล่นไม่ยุติธรรมเซียนพระผู้ยิ่งยงสองท่านขอสงวนนาม คนหนึ่งดูพระสมเด็จเก่งชะมัดถูกตีที่ศีรษะเย็บ 15 เข็ม อีกคนหนึ่งแขวนพระสมเด็จเต็มคอถูกฟาดด้วยเก้าอี้เหล็กฐานไปหลอกลวงเขาเย็บ 18 เข็ม เท่านั้นครับไม่มากมายอะไรทหารปฏิบัติการรบที่จังหวัดชายแดนแขวนพระชนิดสะพายนับได้ 108 องค์เก๊ดีผมไม่ทราบ ทราบแต่เลี่ยมอัดหมด โดนสหายตอกด้วยปืนอาก้าเบาะ ๆ หยุดพูดเลย ต้องเชิญอาจารย์ชุมไชยคีรีไปแสดงอรรถาธิบาย คงมีพระของท่านปนอยู่ด้วย อาจารย์ชุมบอกว่ามันถึงคราวตาย สำหรับศาสตร์นี้จะอธิบายในตอนหลัง ผมจะยกตัวอย่างในการใช้พระอัดพลาสติคให้ดูสักหลายเรื่อง
    <O:p</O:p
    1. รูปไหว้ห้าครั้งของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจริญ ญานวรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลือชื่อมาช้านานในด้านกันภูตผีปีศาจ ศิษย์หน้าวัดเขาบางทรายมีอาชีพขับรถยนต์รับจ้างถูกผีเข้าขณะที่มีรูปไหว้ห้าครั้งติดตัว เขาเชื่อพระคุณเจ้าว่าไม่มีอะไรกางกั้นกระแสจิตได้ จึงนำไปเลี่ยมอัดพลาสติคและได้รับผล ผีมันคอยโอกาสมานานแล้ว เกิดสงสัยจึงนำไปพิจารณาทางในดูปรากฏว่ารังสีจิตหมุนวนอยู่ภายในกรอบพลาสติคไม่สามารถออกมาได้จริงตามที่เล่าลือ อีกรายหนึ่งถูกสุนัขที่บ้านกัดเข้าก็มีรูปไหว้ห้าครั้งอัดพลาสติคเช่นเดียวกัน ความจริงของ ๆ ท่านเก่งทางเขี้ยวงา และเคยปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มาแล้วมากครั้ง
    <O:p</O:p
    2. เพื่อนฝูงคนหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนรัฐวิสาหกิจ แขวนพระชั้นดีเต็มคอแท้ทั้งนั่นแนะนำอย่างไรก็ไม่เชื่อ เชื่อวงการดีกว่า ถูกยิงด้วยปืนลูกกรดขนาด .22 ห้านัดเข้าทุกนัดอาการสาหัส เจอหน้าเข้าดีหน้าชอบกล
    <O:p</O:p
    3. เมื่อวันมหาวิปโยคิ 14 ตุลาคม 2516 มีคนถูกยิงตาย และยิงไม่เข้าหลายรายผมขอร้องให้คุณชินพร สุขสถิต บรรณาธิการหนังสืออภินิหารและพระเครื่องนำเรื่องลงพร้อมกับถ่ายภาพคนที่ถูกยิงไม่เข้าปรากฏว่าเป็นชายชาวชนบท แขวนพระเครื่อง 3 องค์ ที่จำได้มีพระถ้ำเสือ พระปิดตาวัดจากแดง และพระอะไรอีกองค์หนึ่งจำไม่ได้ ปรากฏว่าเลี่ยมเปิดหมด ถ้าไม่เปิดรับรองสบายแน่ ส่วนที่เลี่ยมปิดตายเรียบทุกราย ไม่ตายก็สาหัส
    <O:p</O:p
    4. ที่ตำบลบางวัว อำเภอบางปะกงชายผู้หนึ่งมีเหรียญหลวงพ่อดิ่งรุ่น 2481 ของแท้ติดตัวอยู่เหรียญหนึ่ง เคยถูกแทงด้วยมีดไม่เข้า ต่อมาขัดสนทางการเงินจึงขายให้นักเลงพระผู้หนึ่งไป เขาผู้นั้นก็นำไปเลี่ยมอัดอย่างดีตามคตินิยมได้ผลทันที ครั้งแรกถูกสุนัขกัดเป็นแผลเหวอะ ครั้งที่สองไปชนเหลี่ยมเสาเพียงเบาะ ๆ หน้าผากแตก ทำให้ผู้เป็นเจ้าของ เหรียญงงยิ่งกว่าไก่ตาแตกจนมีเพื่อนล้อเลียนว่าแขวนเหรียญเก๊
    <O:p</O:p
    5. ที่ตำบลบางวัว อำเภอบางปะกงมีผู้แขวนพระไตรภาคี คือพระสมเด็จ ฯ พระนางพญาพิษณุโลก พระผงสุพรรณวงการรับรองว่าเป็นของแท้ ขณะนั่งดูงิ้วรบกันเพลิน มีใครไม่ทราบแสดงงิ้วนอกโรงใช้มีดแทงทะลุหน้าอกถึงแก่ความตาย ปรากฏว่าเป็นพระเลี่ยมอัดพลาสติคตามคตินิยมเป็นการใช้พระนอกครู
    <O:p</O:p
    6. มีผู้แขวนพระร่วงหลังรางปืนสนิมแดง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคโลกองค์ชนะการประกวดถูกยิงนัดเดียวตายคาที่พระองค์นั้นไม่ต้องบอกก็นั่งทางในตอบได้ว่าเลี่ยมอัดอย่างแข็งแรง
    <O:p</O:p
    7. วัยรุ่นที่จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับสมเด็จวัดระฆังขนานแท้และดั้งเดิมจากบรรพบุรุษ ซึ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้วมากครั้ง ครั้งแรกถูกยิงด้วยปืนลูกซองพกไม่ระคายผิวหนัง ต่อมานำไปเลี่ยมอัดพลาสติคเพียงถูกสุนัขกัดเบาะ ๆ ต้องเย็บถึง 8 เข็ม
    <O:p</O:p
    8. นักเลงพระชั้นเซียนผู้หนึ่งได้พระท่าเสาเมืองกาญจน์มาหนึ่งองค์ ทดลองความเหนียวคงโดยนำพระยัดใส่ปากปลาช่อนแล้วฟันด้วยมีดอย่างแรงหลายที ปรากฏว่าฟันไม่เข้าจึงนำไปเลี่ยมอัดพลาสติคตามคตินิยม วันหนึ่งจะอวดของดีกับเพื่อนฝูง จึงไปซื้อปลาช่อนมาจากตลาดลองฟันดูใหม่ปรากฏว่าฟันเข้าหมดลองดูถึง 10 ตัวไม่ได้ผล จึงลองแกะพลาสติคแล้ว ไปหาปลามาทอลองฟันใหม่ปรากฏว่าฟันไม่เข้า การทดลองเช่นนี้ทำให้เพื่อนฝูงเกิดลาภปาก รับประทานปลาแป๊ะซะกันจนอิ่มหนำสำราญ วันนั้นเองเซียนพระผู้นั้นนำพระเครื่องชนิดต่าง ๆ มาแกะพลาสติคออกได้พลาสติคประมาณครึ่งกระบุง
    <O:p</O:p
    9. นักเลงพระชื่อวันชัย อยู่จังหวัดอยุธยามีพระสมเด็จวัดระฆังราคาแสนแขวนสร้อยห้อยคอ ถูกยิงเข้าทุกนัด นักปราชญ์ ท่านยังเชียร์ว่าพระสมเด็จไม่ตายโหง เช่นนี้ ถ้าถูกเอ็ม 16 ที่หน้า หน้าอาจจะไม่เละกระมังเพราะท่านไม่ตายโหง แต่ที่ตายโหงมาแล้วเหลือคณานับ นักปราชญ์ท่านแก้ว่าได้ตรวจทางในแล้ว ถึงสมเด็จ ฯ ปลุกเสกพระของท่าน ถึงวันละสามเวลาไม่ขาดเกิน ก็ไม่ปรากฏนิมิตว่าเหนียวคง ตรวจหลายองค์แล้ว อนิจจา หลงเล่นพระปลอมอยู่ได้
    <O:p</O:p
    10. ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายตำรวจตระเวนชายแดนคนหนึ่งชื่อ สำราญ นามสกุลจำไม่ได้ นำพระสมเด็จ ฯ มาให้ดู ปรากฏว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังไม่มีการเลี่ยมใช้พกกระเป๋าเฉย ๆ เล่าให้ฟังว่า ใช้พระองค์เดียวถูกยิงด้วยกระสุนเจาะเกราะอย่างจังที่ขา ระยะเผาขน พอเป็นผื่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ใครว่าพระสมเด็จไม่เหนียว นอกจากของเก๊ ไม่รับรอง
    <O:p</O:p
    11. ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีการจ้างนักเลงทำร้ายบุคคลผู้หนึ่งผู้ดักทำร้ายล้วนเคยเป็นเสือปล้นและมีประวัติโชกโชนมาแล้วทั้งนั้น แบ่งเป็นมือปืน มือมีด มือขวาน แยกย้ายกันเป็นขั้นตอน ชั้นแรกมือปืนใช้ปืนพกขนาด 11 มม.ยิงถูกท้ายทอยเต็มรัก แรงผลักดันของลูกปืนทำให้ผู้ถูกทำร้ายถึงกับกระเด็นตีลังกาจากรถเครื่อง น่าสงสารตัวเล็กนิดเดียวมองไปข้างหน้าเห็นกลุ่มดาบและกลุ่มมือขวานดักรอ อยู่อีก ได้สติจึงหลบมุดท่อน้ำข้างถนนรอดไปได้ การที่กลุ่มประหารวางแผนอย่างเข้มแข็งเช่นนี้ เพราะทราบว่าผู้ถูกทำร้ายมีพระพีเคยถูกยิงไม่ออก ความจริงคือพระสมเด็จองค์เก่า ๆ ของปู่องค์เดียวเท่านั้นใช้เลี่ยมทองเปิดหน้าเปิดหลังมาเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่เป็นพระสมเด็จวับไชยโยวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง
    <O:p</O:p
    12. ที่จังหวัดภาคใต้ มีนายตำรวจชั้นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรรับคณะเดินทางไปราชการท้องที่โดยรถจิ๊บแลนโรเว่อร์ เกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำมีคนเจ็บและตาย ตัวท่านรองเองขาหัก ขณะที่แล่นรถเข้าตัวเมือง มีการประทับทรงเสด็จปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ริมถนน ร่างทรงได้เรียกให้รถหยุดแล้วเข้าไปต่อว่าท่านรองฯ ว่าไปขังท่านไว้ออกมาช่วยไม่ได้ เพียงขาหักก็ดีแล้ว ปรากฏว่าคอของท่านรองฯ แขวนรูปหลวงปู่ทวดอยู่หนึ่งองค์จริง ๆ ต้องรีบนำไปแกะออกด่วน
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นิทานเรื่องนี้ ถ้าจะกล่าวต่อไปก็นับเป็นพัน ๆ รายและยังมีอยู่ทุกวันและจะมีต่อไปไม่สิ้นสุด เป็นที่น่าเสร้าใจเพราะคบคนผิดคิดว่าเขาเป็นผู้รอบรู้เชี่ยวชาญ ที่แท้คบเอาเถรส่องบาตรเข้าเต็มเปา ผมจึงค้นคิดวิธีการใช้พระเครื่องไว้ดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    1. การเลี่ยมพระควรเปิดหน้าและจำเป็นต้องตรวจพลังภายในก่อนที่จะใช้ในการคุ้มครองป้องกันชีวิต ถ้าเป็นเหรียญรูปพระคณาจารย์ซึ่งมีราคาค่างวดสูงต่ำกว่ากันตามค่านิยม ชนิดราคาเรือนพันเรือนหมื่นควรเป็นตลับทองคำเจาะตรงพระพักตร์ให้เป็นรูกว้างพอสมควรอย่าเจาะเล็ก ๆ เพื่อการแผ่พุ่งของรัวสี ถ้าเหรียญราคาไม่แพงใช้พลาสติคสี่เหลี่ยมเปิดหน้าหลังยกขอบกันสึกเพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้ถาวรทนทาน ถ้าเป็นพระชินตะกั่วสนิมแดงหรือพระเนื้อผงไม่จำเป็นต้องเปิดหลัง คนสมัยก่อนนิยมเลี่ยมเปิดหลังเรียกว่าพระเจ้าเปิดโลก เพื่ออาศัยการสัมผัสจากธาตุสี่ในการตัวขับดันรังสีพระ ความจริงนั้นเพียงรังสีขององค์ท่านก็เป็นการเพียงพอแล้ว การเจาะที่ก้นรังสีไม่ออกชัดเจน ใครจะรักพระหรือรักชีวิตเลือกพิจารณาดูเอง
    <O:p</O:p
    2. ถ้าเลี่ยมเปิดหมดจะต้องยกขอบให้เกิดองค์พระไว้ เพื่อป้องกันการเสียดสีถ้าเลี่ยมแบบไม่ใช้ตลับเจาะหน้าก็ได้แต่มีจุดบกพร่องเพระฝุ่น จะเข้าเกาะในองค์พระแลดูไม่งามยากแก่การทำความสะอาด ถ้าเลี่ยมแบบตลับนาน ๆ ถอดออกทำความสะอาดได้
    <O:p</O:p
    3. ผู้ที่นิยมแขวงพระมากองค์จะเลี่ยมปิดทั้งหมดก็ได้ แต่ควรเลือกองค์ใดองค์หนี่งที่มีประสิทธิภาพสูงและสุนทรียภาพค่อนข้างต่ำเปิดกันเลยองค์เดียวก็พอ อย่าเลี่ยมปิดหมดทั้งชุด และควรใช้พระในอัตราคี่เช่น 1 องค์ 3 องค์ 5 องค์ ( บางคนถือเคล็ดไม่ยอมใช้พระอัตราคู่ )






    การใช้พระเครื่องสมัยเดิม
    <O:p</O:p





    เรื่องการอมพระ คาดพระ พกพระใส่ไถ้ใส่ถุง นับเป็นล้าสมัย คนสมัยเก่ามีเคล็ดวิชาเกี่ยวกับการใช้พระเครื่องมากมาย ได้รับประสิทธิผลเป็นส่วนใหญ่ทุกวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่มักพูดว่าไม่จำเป็นต้องใช้การพกพระติดตัวนำไว้กับบ้านก็ใช้ได้ เด็กรุ่นใหม่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือเห็นว่าเป็นการพูดเล่นมากกว่า เพราะขนาดแขวนคอเป็นพวงยังเห็นไปไม่รอด แต่เป็นเรื่องจริงเขาเรียกว่าการใช้พระ โดยการอธิษฐานผู้อธิษฐาน จะต้องมีสมาธิจิตอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวจริง ๆ ย่อมได้ผลจริง มีบุคคลหนึ่งไม่ได้ถามชื่อได้รับพระสมเด็จวัดระฆังเป็นมรดกตกทอดอยู่องค์หนึ่ง ปกติบุคคลผู้นี้ไม่นิยมการแขวนพระ แต่มีความเคร่งครัดกว่าผู้ที่แขวนพระมากมายนักคือก่อนที่จะออกจากบ้านไปกิจธุระทุกครั้งจะไม่ลืมจุดธูปบูชาพระสมเด็จ ฯ เพื่อขอความแคล้วคลาดปลอดภัยคุ้มครองชีวิต วันหนึ่งถูกยิงด้วยปืน 3 นัด ที่ตัวเป็นรอยไหม้ 3 รอย และไม่ได้รับอันตราย สมัยเมื่อพระคุณเจ้าธมมฺวิตกฺโกยังมิได้ทำการอธิษฐานจิตเสกพระเครื่องและเหรียญรูปเหมือนองค์ท่าน มีนายตำรวจบางคนไปขอของดีจากท่าน พระคุณเจ้าชี้แจงว่าไม่ได้มีของดีอะไรแจก หากนับถือพระคุณเจ้าเพียงให้รำลึกถึงฉายาว่า ธัมฺมวิตกฺโกก็พอคุ้มกันภยันตรายได้ ต่อมานายตำรวจผู้นั้นไปตามจับผู้ร้ายสำคัญทางจังหวัดเพชรบุรีที่ป่าตาลแห่งหนึ่งเกิดต่อสู้กันตัวต่อตัว คนร้ายมีร่างกายกำยำแข็งแรงกว่านายตำรวจกดคอนายตำรวจไว้จะเชือดด้วยมีดปาดตาลอันคมกริบ นายตำรวจเห็นจวนแจได้สติจึงรำลึกถึงพระคุณเจ้า ธัมฺมวิตกฺโก เท่านั้นเองผู้ร้ายถึงแก่อาการจังงังเงื้อมีดปาดตาลค้างนายตำรวจผู้นั้นจึงใช้วิชายูโดดล๊อคคนร้ายไว้ได้ และถามด้วยความสงสัยว่าตอนนั้นทำไมไมลงมือเชือดคอฉัน ผู้ร้ายตอบว่าจะเชือดได้อย่างไรครับ พระที่ไหนไม่ทรายมายืนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาผมคิดอะไรไม่ออกเรื่องนี้ทราบจากปากคำนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งคุ้นเคยกันส่วนตัว บางคนว่าเหรียญที่อัดพลาสติคจนแน่นก็ใช้ได้ เช่นเหรียญหลวงพ่อคงบางกระพร้อม เหรียญหลวงพ่อติงวัดบางวัว เขาว่าอย่างนั้น มันออกจะขัดแย้งกับการแผ่พุ่งของรังสีตามที่กล่าวไว้ข้างต้นซักไปคงได้ความเช่นเดียวกับการอธิษฐานโดยไม่ต้องนำพระติดตัว เข้าศาสตร์เดียวกับผู้ที่ใช้พระสมเด็จโดยไม่ต้องนำพระติดตัวไม่ใช่ว่ารังสีการคุ้มครองสามารถพุ่งทะลุพลาสติคออกมาได้ มิฉะนั้นจะเป็นการเข้าใจผิดไปอีกนาน ประเภทนี้เป็นการใช้พระเดี่ยวทั้งสองราย การใช้พระในสมัยก่อนนอกจากการอธิษฐานอาราธนาโดยเคร่งครัดแล้วยังมีการผูกกลึงการคัดถอน โบราณถือว่าเวทย์มนต์คาถานั้นมีการสูบหรือคัดถอนกันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นการต่อสู้ระยะประชิดตัวในการรบสมัยโบราณจึงมีการตายกันไม่น้อยทั้ง ๆ ที่ต่างก็มีของดี ดังคำกลอนเสภา เรืองขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงการคัดของดีจากคู่ต่อสู้ดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หมายเหตุ : บทความที่นำมาเสนอนี้ได้รับการอนุญาตในการคัดลอกและเรียบเรียงเพื่อเผยแพรเป็นวิทยาทานจากท่าน อาจารย์ ประถม อาจสาครเป็นที่เรียบร้อยแล้วนับเป็นพระคุณและความกรุณาอย่างยิ่ง

    .<O:p</O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2006
  14. BiMode

    BiMode เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +2,322
    แล้วทำไมพระผมอัดพลาสติกทั้ง 3 องค์แบบปิดหมดหมากัดไม่เข้าล่ะครับ. ตอนนั้นรู้สึกจะแขวนคำข้าวและหางหมากและก็เหรียญระฆังรูปหลวงปู่โตไปบ้านน้าไม่รู้ไอ้หมานี่มาจากไหนวิ่งมาแต่ไกลเลยกัดเข้าที่ชายโครง (นั่งคร่อมมอ'ไซอยู่) เป็นรอยจ้ำยางบอนแต่เสื้อเป็นรู. พอรุ่งเช้าก็หายเหมือนไม่มีแผลอะไร?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2006
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การใช้พระเครื่องสมัยเดิม
    <O:p</O:p

    เรื่องการอมพระ คาดพระ พกพระใส่ไถ้ใส่ถุง นับเป็นล้าสมัย คนสมัยเก่ามีเคล็ดวิชาเกี่ยวกับการใช้พระเครื่องมากมาย ได้รับประสิทธิผลเป็นส่วนใหญ่ทุกวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่มักพูดว่าไม่จำเป็นต้องใช้การพกพระติดตัวนำไว้กับบ้านก็ใช้ได้ เด็กรุ่นใหม่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือเห็นว่าเป็นการพูดเล่นมากกว่า เพราะขนาดแขวนคอเป็นพวงยังเห็นไปไม่รอด แต่เป็นเรื่องจริงเขาเรียกว่าการใช้พระ โดยการอธิษฐานผู้อธิษฐาน จะต้องมีสมาธิจิตอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวจริง ๆ ย่อมได้ผลจริง มีบุคคลหนึ่งไม่ได้ถามชื่อได้รับพระสมเด็จวัดระฆังเป็นมรดกตกทอดอยู่องค์หนึ่ง ปกติบุคคลผู้นี้ไม่นิยมการแขวนพระ แต่มีความเคร่งครัดกว่าผู้ที่แขวนพระมากมายนักคือก่อนที่จะออกจากบ้านไปกิจธุระทุกครั้งจะไม่ลืมจุดธูปบูชาพระสมเด็จ ฯ เพื่อขอความแคล้วคลาดปลอดภัยคุ้มครองชีวิต วันหนึ่งถูกยิงด้วยปืน 3 นัด ที่ตัวเป็นรอยไหม้ 3 รอย และไม่ได้รับอันตราย สมัยเมื่อพระคุณเจ้าธมมฺวิตกฺโกยังมิได้ทำการอธิษฐานจิตเสกพระเครื่องและเหรียญรูปเหมือนองค์ท่าน มีนายตำรวจบางคนไปขอของดีจากท่าน พระคุณเจ้าชี้แจงว่าไม่ได้มีของดีอะไรแจก หากนับถือพระคุณเจ้าเพียงให้รำลึกถึงฉายาว่า ธัมฺมวิตกฺโกก็พอคุ้มกันภยันตรายได้ ต่อมานายตำรวจผู้นั้นไปตามจับผู้ร้ายสำคัญทางจังหวัดเพชรบุรีที่ป่าตาลแห่งหนึ่งเกิดต่อสู้กันตัวต่อตัว คนร้ายมีร่างกายกำยำแข็งแรงกว่านายตำรวจกดคอนายตำรวจไว้จะเชือดด้วยมีดปาดตาลอันคมกริบ นายตำรวจเห็นจวนแจได้สติจึงรำลึกถึงพระคุณเจ้า ธัมฺมวิตกฺโก เท่านั้นเองผู้ร้ายถึงแก่อาการจังงังเงื้อมีดปาดตาลค้างนายตำรวจผู้นั้นจึงใช้วิชายูโดดล๊อคคนร้ายไว้ได้ และถามด้วยความสงสัยว่าตอนนั้นทำไมไมลงมือเชือดคอฉัน ผู้ร้ายตอบว่าจะเชือดได้อย่างไรครับ พระที่ไหนไม่ทรายมายืนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาผมคิดอะไรไม่ออกเรื่องนี้ทราบจากปากคำนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งคุ้นเคยกันส่วนตัว บางคนว่าเหรียญที่อัดพลาสติคจนแน่นก็ใช้ได้ เช่นเหรียญหลวงพ่อคงบางกระพร้อม เหรียญหลวงพ่อติงวัดบางวัว เขาว่าอย่างนั้น มันออกจะขัดแย้งกับการแผ่พุ่งของรังสีตามที่กล่าวไว้ข้างต้นซักไปคงได้ความเช่นเดียวกับการอธิษฐานโดยไม่ต้องนำพระติดตัว เข้าศาสตร์เดียวกับผู้ที่ใช้พระสมเด็จโดยไม่ต้องนำพระติดตัวไม่ใช่ว่ารังสีการคุ้มครองสามารถพุ่งทะลุพลาสติคออกมาได้ มิฉะนั้นจะเป็นการเข้าใจผิดไปอีกนาน ประเภทนี้เป็นการใช้พระเดี่ยวทั้งสองราย การใช้พระในสมัยก่อนนอกจากการอธิษฐานอาราธนาโดยเคร่งครัดแล้วยังมีการผูกกลึงการคัดถอน โบราณถือว่าเวทย์มนต์คาถานั้นมีการสูบหรือคัดถอนกันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นการต่อสู้ระยะประชิดตัวในการรบสมัยโบราณจึงมีการตายกันไม่น้อยทั้ง ๆ ที่ต่างก็มีของดี

    *************************************************

    ประสบการณ์ผมเอง หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ชลบุรี เลี่ยมแสตนเลส แต่กรอบสแตนเลสระเบิด โดยผมนำโกฐกระดูกของใครก็ไม่ทราบซึ่งวางหลังองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ มาทำความสะอาดและวางไว้บนตู้พระไตรปิฎก เหรียญหลวงปู่ม่น ซึ่งเลี่ยมสแตนเลสและเจาะรูไว้ ระเบิดเองทั้งๆที่อยู่บนคอผม

    *************************************************

    ก็แล้วแต่ผู้อ่านนะครับว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไร แต่ส่วนตัวผมเองและกลุ่มลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาครทุกคน เลี่ยมเปิดหรือเจาะรูที่พลาสติกเวลาที่เลี่ยมพระทุกคนครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิดินถวายวัดบ่อเงินบ่อทอง

    พระพิมพ์และวัตถุมงคลที่ยังคงมีเหลือให้บูชา มีแจ้งไว้ที่หน้าแรกของกระทู้นี้นะครับ

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=46498

    ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ทุกๆท่านได้ร่วมกันทำบุญเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิดินถวายวัดบ่อเงินบ่อทอง ด้วยครับ


    เมื่อโอนเงินแล้ว กรุณา msg ข้อความส่วนตัว แจ้งชื่อที่อยู่ไปให้คุณนักเดินทาง เพื่อจัดส่งวัตถุมงคลมาที่ผม ขอโมทนาสาธุกับท่านผู้ใจบุญ ที่คอยเมตตาช่วยเหลือพระภิกษุ-สามเณร วัดบ่อเงินบ่อทอง เสมอมา ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสบแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของการจับพลังพระพิมพ์

    <TABLE class=tborder id=post302208 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal">วันนี้, 11:15 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #11 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>โสระ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_302208", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:18 AM
    วันที่สมัคร: Sep 2005
    อายุ: 29
    ข้อความ: 20 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 3
    Thanked 116 Times in 14 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0[​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_302208><!-- message -->การจับพลังต้องควบคู่ไปกับการเช็คทางวิทยาศาสตร์นั้นถูกต้องแล้วครับ เพราะว่าพระปลอมก็มีพลังได้ถ้า
    -ผู้ปลอมนำพระปลอมไปเสก
    -ผู้ปลอมนำผงเก่า หรือ นำชิ้นส่วนพระแท้ผสมไว้ในพระปลอม
    -ผู้ปลอมๆพระเช่นหลวงปู่ทวด แล้วเวลาเราจับพลัง หลวงปู่มาแสดง ก็จับขึ้นและแรงได้ เป็นต้น
    สิ่งของทางธรรมชาติมีพลังเช่นกัน เช่นพลอย หินบางชนิด คตไม้ต่าง

    การจับพลังก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เป็นการทำจิตให้สื่อกับจิตผู้ปลุกเสก
    ถ้าคุณจับพลังได้แล้วคุณอาจเก็บพระที่วงการเค้าไม่เก็บกันก็ได้

    การจับพระแท้ไม่มีพลังก็เป็นไปได้หลายกรณีเช่น
    พระนั้นเสื่อมคุณภาพไปเพราะบูชาไม่ถูกต้องหรือทำผิดข้อห้ามต่างๆ
    พระนั้นปิดพลังไม่ให้เรารู้ ท่านทำได้บางองค์
    พระนั้นดี แต่ผู้จับมีพลังจิตที่ไม่เที่ยงตรง
    เท่านี้ก่อนครับ เรื่องนี้คุยกันยาวถ้าจะเอาแบบละเอียด
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ผมมีเรื่องของท่านเจ้าคุณนร มาเล่าให้ฟังกัน......
    มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นคนเล่าให้ผมฟังว่า นายตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดท่านหนึ่งเป็นผู้ที่สะสมพระหลักๆ ชนิดเหนียวๆ เพราะทำงานเสี่ยงลูกปืนเป็นประจำพระประจำตัวนายตำรวจท่านนี้คือ พระหลวงพ่อพรหมวัดช่องแค และพระหูยานลพบุรี ที่มีกิติศักดิ์ด้านคงกระพันเป็นเลิศ

    อยู่มาวันหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ตรวจจับยาเสพติด โดนผู้ร้ายยิงด้วย 11 ม.ม (ถ้าจำไม่ผิด) เข้าที่ท้องไปตุงที่กลางหลัง นอนเสียเลือดอย่างหนักใกล้จะสิ้นใจ พอดีใจนึกถึง เจ้าคุณนร ได้ผลปรากฏว่าเกิดกำลังภายในขึ้นมาในกายตำรวจท่านนี้ทำให้อยู่รอจนได้รับการผ่าตัดรอดชีวิต แพทย์ที่ผ่ายังงง ว่าไม่น่ารอดมาได้

    หลังจากรักษาแผลหาย นายตำรวจท่านนี้ได้นำพระหลวงพ่อพรหมไปขายให้เซียนราคาสองหมื่นกว่า และพระหูยานเป็นแสนมั่งถ้าจำไม่ผิด

    แสดงว่าพระทั้งสององค์ก็ไม่ปลอมเพราะเซียนซื้อต่อในราคาแพง แต่ทำไมยิงเข้า ?

    อาจเป็นได้ว่าทำการเลี่ยมปิด ทำให้รังสีพระออกมาช่วยได้ไม่เต็มที่นัก ในกรณีอุบัติเหตุเล็กน้อยเช่น หมากัด หรือ หกล้ม ตะปูตำ ก็จะได้ผลดี แต่ 11 ม.ม คงไม่ไหว เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ
     
  19. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ผู้ใหญ่ท่านนี้ยังบอกต่อว่าเหรียญหลวงปู่เส็ง วัดบางนา ปทุม เคยลองด้วยตัวเองโดยใช้เหรียญรุ่นปี 16 กับ ปี 17 ใส่ปากปลาช่อนที่ซื้อมาจากตลาดฟันด้วยมีอีโต้คมๆ ผลปรากฏว่า ใส่เหรียญปี16 ในปากปลาแล้วฟัน ปลาขาดเป็นสองท่อน พอเปลี่ยนเป็นเหรียญปี 17 ใส่ปากปลาฟันอย่างแรงไม่เป็นไร ฟันจนเหรียญกระเด็นปลาหลังหักตาย ก็ไม่เข้า

    แต่พอเอาเหรียญปี16 ไปให้รุ่นน้องลองอีกที รุ่นน้องกลับมาบอกว่าใส่ปากปลาฟันไป20 ที ก็ไม่เข้า

    ทำไมเหรียญปีเดียวกัน อาจารย์เดียวกัน ลองผลออกมาไม่เหมือนกัน น่าสงสัยอยู่ อันนี้คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ บางท่านใส่พระแล้วเลี่ยมปิดก็ได้ผลดี บางท่านใส่แล้วเลี่ยมปิดก็ตายฟรี ฉนั้นในเรื่องนี้ยังมีเหตุและปัจจัยอีกหลายประการที่เราท่านยังเข้าไม่ถึง คงสรุปยากครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    โมทนาสาธุครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...