หลักสูตรพุทธภูมิที่หาอ่านได้ในปัจจุบัน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย j46, 2 มกราคม 2009.

?
  1. ถวายทานตามศรัทธาปสาทะ

    0 vote(s)
    0.0%
  2. สละชีวิตถวายบูชาพระพุทธเจ้าและสัทธรรมเมื่อได้รับการพยากรณ์

    0 vote(s)
    0.0%
  3. ออกบวชในสำนักของพระองค์

    0 vote(s)
    0.0%
  4. ถวายทานต่อพระองค์แล้วปลีกตัวมาบำเพ็ญบารมีตามอัธยาศัย

    0 vote(s)
    0.0%
  5. ขอถึงซึ่งพระไตรสรณคมณ์

    0 vote(s)
    0.0%
Multiple votes are allowed.
  1. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    บารมี ๑๐

    ทาน คือการสละ บริจาค เริ่มจากของนอกกาย ของภายในกาย และสุดท้าย คือสละสิ่งที่เกี่ยวข้องในจิตคือ กิเลส สละออกทุกอย่าง ที่ข้องแวะกับจิต ตัดความอาลัย สละเวลาในการบำเพ็ญเพียรทางจิต ปลดปล่อย ละวาง ไม่ยึดติด
    ศีล คือ กรอบ เจตนาที่ละเว้นจากบาปธรรมคือ ศีล ๕, ศีล ๘ , ศีล ๑๐ และสูงสุดคือศีล ๒๒๗ ถือพรหมจรรย์ ระมัดระวังเกี่ยวกับจิตจากกิเลสให้รู้เท่าทันกิเลส รู้เท่าทันเห็นเหตุเห็นปัจจัย
    เนกขัมมะ คือการถือบวชบำเพ็ญพรหมจรรย์ ถือศีล ๘ ,ศีล ๑๐ ,ศีล ๒๒๗ บำเพ็ญจิตใจให้ละจากบาปธรรมทั้งปวงที่เป็นกิเลสอยู่ในจิตใจตามสภาวะธรรม
    ปัญญา คือ ตัวรู้ในการละหรือตัดความข้องแวะของจิต รู้ในสิ่งกุศล อกุศล สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ อะไรควร อะไรไม่ควร รู้กาลเทศะ รู้เท่าทันกิเลส รวมถึงปัญญาที่ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นเบื้องต้น
    วิริยะ คือ ความเพียรนการประกอบกิจการงาน ความเพียรพยายามในการบำเพ็ญกุศล เพียรในการต่อสู้อุปสรรค วิบากกรรม แรงเสียดทานที่เกิดขึ้น ความเพียรพยายาม ในการละ กิเลส ลดความข้องแวะของจิตตามเหตุปัจจัยและสภาวะธรรม
    ขันติ คือ ความอดทน อดกลั้นต่อโลกธรรมหรือกิเลส ที่เกิดขึ้นในจิตใจอดทนไม่ให้มาข้องแวะ ขัดข้องในจิตใจอดทนต่ออุปสรรคความยากลำบากต่างๆนานาที่เกิดขึ้นกับร่างกายหรือจิตใจอดทนต่อวิบากกรรรม อดทนในการบำเพ็ญเพียรเพื่อละกิเลส อดทนต่อความทุกข์ที่เกิดขึ้น
    สัจจะ คือ ความจริงใจที่จะบำเพ็ญเพียรทางจิตเพื่อละกิเลสเพื่อรู้เท่าทันเหตุปัจจัยของจิตเพื่อความหลุดพ้นตัดความข้องแวะ ขัดข้อง เพื่อจิตที่มีความอิสระ
    อธิษฐาน คือ ความตั้งใจมั่นคงแน่วแน่ต่อการดำรงจิตให้ละต่ออกุศลและบาปธรรมทั้งปวงที่เป็นเครื่องข้องแวะของจิต
    เมตตา คือ ความสงสารต่อสรรพสัตว์ทั้งปวงที่ทนทุกข์ในวัฏฏสงสารเท่ากันหมดโดยไม่เลือกชั้นวรรณะไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดสภาวะใดมีความปรารถนาดีเท่ากันหมด
    อุเบกขา คือ ความวางเฉยต่อโลกธรรมที่เกิดขึ้นกับจิตใจหรืวางเฉยต่ออุปสรรค ความยากลำบากหรือวิบากกรรมที่เกิดขึ้น

    นั่นคือ "ปรมัตถบารมีคือการบำเพ็ญเพียรทางจิต จิตล้วนๆ" การบำเพ็ญบารมีทั้ง๑๐จะไปด้วยกันจะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะเด่นในตัวไหนเช่นถ้าจะบำเพ็ญทานจะขาดเมตตาก็ไม่ได้ ขาดศีลก็ไม่ได้ เนกขัมมะถ้าไม่ให้ทานก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ให้ทาน ถ้าไม่มีความเพียรก็ไม่ได้ ไม่มีสัจจะความจริงใจก็ให้ไม่ได้ ไม่มีความตัง้ใจหรืออธิษฐานก็ให้ไม่ได้ ไม่มีอุเบกขาความอดทนต่อโลกธรรมก็ให้ไม่ได้เหล่านี้เป็นต้นตัวอื่นๆก็เหมือนกัน โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญบารมี พุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ หรือสาวกภูมิ ถ้ารู้ว่าด้อยตัวไหนก็ต้องทำตัวนั้นหรือถ้าไม่รู้ก็จำเป็นต้องมีครูหรือพี่เลี้ยงคอยแนะนำก็จะไม่หลงทาง เดินได้ตรงทางไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้าค้นหาด้วยตนเองลองผิดลองถูก ครูหรือพี่เลี้ยงที่จะให้คำแนะนำได้ดีที่สุดคือ พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมบรมครูพระพุทธสิขี หรือพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ หรือพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มเปี่ยมล้นมากๆๆๆหรือพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีสูงกว่าขึ้นอยู่กับว่าพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีมีความเกี่ยวเนื่องกับพระองค์ใดก็จะได้รับคำแนะนำจากครูบาอาจารย์ท่านนั้นพระองค์นั้นขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของพระโพธิสัตว์ท่านนั้น การบำเพ็ญบารมีต้องระมัดระวังอย่าประมาทในธรรม เพราะการบำเพ็ญบารมีมีเลื่อนขึ้นถอยลง
    หมั่นชำระตรวจสอบจิตใจ สังโยชน์ ๑๐, บารมี ๑๐ ,ทุกอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    สังโยชน์ ๑๐
    สักกายทิฏฐิ คือการถือว่ามีเรามีต้วตนให้พิจารณาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติหมด รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น
    วิจิกิจฉา คือลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติลังเลสงสัยในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ตัดความสงสัยออกไปก่อนทำให้ถึงแล้วจะรู้เอง
    สีลพตปรามาส คือ การไม่จริงจังในการรักษาศีล หรือที่เคยได้ยินกันก็คือลูบคลำศีล
    ราคะ คือความกำหนัดยินดีในกาม ทางเพศ วัตถุ สิ่งของ ต้องหมั่นชะระจิตใจ
    รูปฌาณ คือติดในอารมณ์ฌาณ ต้องตัด เป็นเพียงเครื่องมือในการตัดกิเลสเท่านั้น
    อรูปฌาณ คือติดในอารมณ์ในอรูปฌาณ ก็เหมือนกัน ถ้ายึดติดก็อยู่ในวังวนเหล่านั้นไม่ไปไหน
    มานะ คือการยึดมั่น ถือมั่นในตัวตน ถือยส ถือถือศักดิ์ ยึดติดในโลกธรรม ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น ต้องละต้องวางต้องตัด
    อุทธัจจะ คือความคิดฟุ้งซ่าน ไร้สาระ เรื่อยเปื่อย ต้องตัด ต้องละ ต้องวาง
    อวิชชา คือตัวไม่รู้ ไม่รู้เท่าทันกิเลส อะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้กุศล อกุศล ไม่รู้กาลเทศะ อะไรควรอะไรไม่ควร ไม่รู้เหตุรู้ปัจจัย เป็นวังวนที่ก่อภพก่อชาติ ต้องค่อยๆตัด ค่อยๆละ ให้ออกจากใจ
    ในทางปฏิบัติต้องหมั่นชำระจิต ด้วย สังโยชน์ ๑๐ ,บารมี ๑๐ คือมีสติระลึกได้ก็ทำไปตามความพอใจอย่าไปฝืนได้แค่ไหนก็แค่นั้นถ้าเครียดก็ผ่อนหรือหยุดเพราะในการทำมี สองอย่างคือ อารมณ์คิดพิจารณา กับอารมณ์ตั้งมั่น เวลาไหนอยากทำแบบไหนก็ทำแบบนั้นอยู่ที่ความพอใจของจิตเพราะสิ่งที่ทำคือการฝึกจิตให้รู้เท่าทันกิเลสทำไปทีละเล็กทีละน้อยทำไปเรื่อยๆสังเกตตนเองถ้าทำถูกจะเบา เย็น โล่ง โปร่ง ไม่เครียด ถ้าทำแล้วเครียดก็ต้องผ่อนหรือหยุด ไปทำอะไรอย่างอื่นแทน เพราะเราฝึกจิตเราไม่ได้ฝึกกาย จิตส่วนจิตกายส่วนกาย กายทำงานตามภาระทางโลก จิตก็ทำงานของจิตไปด้วย ทำไปเรื่อยๆทุกอิริยาบถ นั่ง เดิน ยืน นอน ตัวสติ ระลึกรู้ สัมประชัญญะ จะดีขึ้นเรื่อยๆ ทำตัวปกติดูหนัง ฟังเพลงตามเรื่องตามราว ดูอย่างคนมีปัญญาดู แล้วสังเกตอารมณ์หรือจิตตนเองเป็นอย่างไร พอมีอะไรมากระทบแล้วเป็นอย่างไร เป๋มั้ย หวั่นไหวมั้ย หรือไม่เป็นอะไรเลย อาจจะหวั่นไหวบ้างกระเพื่อมบ้างตามธรรมชาติแต่ก็ฟื้นได้เร็วไม่ยึดติด ปล่อยวาง (เหมือนวิ่งหนีเข้าบ้าน(วิหารธรรม))ยิ่งถ้าได้ทิพยจักขุญาณ เจโตปริยญาณหรือ มโนมยิทธิ ยิ่งสบายใหญ่ดูง่าย ถ้ายังไม่ได้ก็ให้สังเกตอารมณ์ตนเองว่าแตกต่างกันอย่างไรญาณส่วนญาณจิตส่วนจิต ญาณเป็นเครื่องมือในการตัดกิเลส ดูจิตเรา จิตคนอื่น จิตผู้ละกิเลส จิตผู้ข้องแวะ จิตผู้ยึดติด จิตพระอริยเจ้า จิตผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ อัครสาวก สาวกภูมิ จิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดูแล้วศึกษาว่าแตกต่างกันอย่างไร "ดูจิตใครก็ไม่เหมือนกับเราดูจิตตนเอง " , "รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น" , "ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" สำหรับพุทธภูมิถ้าบำเพ็ญบารมีมาได้ระดับหนึ่งจะรู้ว่าใครเป็นใคร
    "ผู้วิเศษไม่ใช่ผู้มีญาณที่ดูได้รู้ได้ ผู้วิเศษคือ ผู้ที่จิตไม่ข้องแวะ ไม่ขัดข้อง เป็นอิสระ เป็นจิตที่มีเมตตา"
    "พึงปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม"
    "การบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิมีเลื่อนขึ้นมีถอยลงฉะนั้น อย่าประมาทในธรรม อย่าประมาทในชีวิต อย่าประมาทในความตาย ความตายไม่มีนิมิต"

    ทั้งหมดนี้คือใจความที่ประมวลได้จากคำสอนของสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าบรมครูรังสีมุนีนาถ ที่ให้โอวาทกับศิษย์ของท่านถึงแนวทางการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิและการดำเนินจิตให้ถึงสภาวะธรรมดังนั้น ในการอ่านพึงใช้ปัญญา ไตร่ตรอง อย่าพึ่งยอมรับหรือปฏิเสธ พิสูจน์ให้ประจักษ์ ทุกอย่างต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องพิสูจน์
    "อะไรก็ตามถ้าเข้าใจแล้วไม่ยาก"
    เอาไว้ถ้ามีอะไรที่เป็นประโยชน์จะทยอยนำมาให้อ่านกันครับผม

    "ขอทุกท่านจงเจริญในธรรม สมปรารถนาในสิ่งที่มุ่งหมายด้วยเทอญ"

    "อิจฉิตัง อิจฉิตัง อิจฉิตัง"

    "ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลด้วยเทอญ ตราบใดที่ยังไม่นิพพานขอคำว่าไม่มีและไม่รู้จงอย่าได้บังเกิดกับข้าพเจ้า"
     
  2. สมภาพธรรม

    สมภาพธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +845
    การบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์เพื่อสำเร็จประโยชน์ในพระโพธิญาณ ปัจเจกะโพธิญาณและสาวกญาณนั้นจะต้องทำทุกๆบารมีให้เสมอกันเท่าเทียมกัน สมดุลย์กัน และรวมกันเป็นหนึ่งเพราะบารมีทั้ง 30 ทัศน์เกื้อกูล เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ และจะเด่นกว่าอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

    ถ้าศรัทธามากไปก็จะเป็นงมงายไร้สาระ หาหลักหาตอไม่ได้ ถ้าความเพียร วิริยะมากไป ก็จะฟุ้งซ่าน ถ้าปัญญามากไปก็จะถือตัวถือตนเป็นมิจฉาทิฏฐิไป ทุกๆอย่างต้องเดินทางสายกลาง

    ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ ถ้าปฏิบัติจนได้ญาณหยั่งรู้ความเป็นทิพย์ในภพภูมิต่างๆ ในอดีตอนาคต ในกรรมของสรรพสัตว์ ก็จะพากันหลงติดว่าสำเร็จแล้วซึงการสร้างบารมี แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นในการสร้างบารมี ท่านให้เอาความสามารถอันนั้นมาฝึดหัดตน ดูกิเลสตน ละกิเลสตนให้หมดไปสิ้นไป ด้วยญาณที่เกิดขึ้น

    สรรพสัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม ถ้าเราไปแก้กรรมเท่ากับว่า ส่งเสริมให้คนไม่เห็นคุณค่าของหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เห็นคุณกฏแห่งกรรมว่า ทำดีได ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ยอมรับสิ่งที่ตนเองทำลงไปว่ามีผลอะไรติดตามมมา ทำให้คนไม่คิดแก้ไขตนเองไปในทางที่ถูกตามหลักธรรมที่ควรเป็นไป
     
  3. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    อนุโมทนาสาธุครับ

    [​IMG]

    " บุญกุศลใดที่พึงจะได้รับ ก็ขอให้ทุกท่านได้รับเช่นเดียวกันถ้วนหน้าสถาพร ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ที่สุดถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกันเทอญฯ สาธุ"<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2009
  4. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    มีข่าวมาให้อนุโมทนาบุญกันครับ ที่ห่างหายไป ได้ไปบวชพระมาครับเป็นเวลาประมาณ ๑ เดือน ที่สำนักสงฆ์บ้านหนองโน ต.น้ำคำ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

    จุดประสงค์ในการบวช เพื่อ
    ๑ ทดแทนคุณบิดามารดา บุพพการีทุกท่านและวงศาคณาญาติให้ได้มีโอกาสเข้ามาใกล้ชิดในพระพุทธศาสนาให้มากยิ่งขึ้น

    ๒ เพื่อจรรโลงสืบทอดพระพุทธศาสนาเรียนพระกัมมัฏฐานตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาตามสมัยพุทธกาลและศึกษาการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิหรือพระโพธิสัตว์

    พระอุปัชฌาย์ พระญาณวิเศษ (หลวงปู่ห้วย) เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(ธรรมยุติ)
    พระคู่สวด พระมหาสัณฐ์ (เจ้าคณะอำเภอจังหวัดศรีสะเกษ)
    ครูอาจารย์ที่บอกพระกรรมฐาน

    อ.กร พงษ์พานภักดี
    พระอาจารย์มหาสัณฐ์ เจ้าคณะอำเภอจ.ศรีสะเกษ
    พระอาจารย์ เล็ก สำนักสงฆ์บ้านหนองโน อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

    วันที่บวช วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ - วันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒
    ณ โบสถ์ วัดหลวง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ สถานที่ปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน สำนักสงฆ์บ้านหนองโน อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
    ตอนนี้กำลังประมวลข้อมูลอยู่ครับเอาไว้มีโอกาสจะนำมาเผยแพร่เป็นสาธารณะนะครับ
    มีข่าวดีมาบอกครับ ในวันพุธที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่จะถึงนี้ อ.กร พงษ์พานภักดี
    (พระมหาโพธิสัตว์เจ้ารังสีมุนีนาถ)จะมาสอนแนวทางการปฏิบัติพระกัมัฏฐานที่ วัดเขาจีนแล ต.พัฒนานิคม อ.เมือง จ.ลพบุรี พุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ หรือท่านที่สนใจถึงแนวทางในการบำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์ที่ถูกต้องและตรงทางที่สุดหรือแนวทางแห่งมรรคผลขอเชิญมาได้นะครับ (0814298481)
     
  5. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    แนวทางการบำเพ็ญบารมีสำหรับพุทธภูมิสำหรับตนเองและเกร็ดความรู้ที่สามารถนำมาเผยแพร่ได้โดยสังเขป คำเตือนพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาและเหตุผลขอให้ใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูล(เป็นข้อมูลเฉพาะบุคคลหรือเป็นปัจจัตตัง)

    ๑ เหตุที่ต้องไปบวชที่สำนักสงฆ์บ้านหนองโน
    ๒ ประวัติสำนักสงฆ์บ้านหนองโน อ.เมือง จ.ศรีสะเกษในอดีตตามประสบการณ์ที่ได้รับรู้
    ๓ แนวทางการบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิสำหรับตนเองที่ได้ศึกษาจาก อ.กร และท่านอื่นๆและประสบการณ์ที่ได้พบมากับตนเอง
    ๔ เกร็ดความรู้ที่ได้รับรู้มาในรูปแบบต่างๆที่ไม่เคยคาดคิดมาว่าจะเป็นจริงและเป็นไปได้
    ๕ ประวัติสถานที่ ตัวบุคคล วัตถุมงคล หรือพระพุทธรูป บางแห่งบางที่ที่ได้รับรู้มาซึ่งขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับที่รับรู้มา
    ๖ ถ่ายทอดคำสอนของ อ.กร ตามที่ ได้รับมาและแนวทางของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องตรงตามพุทธประสงค์ที่แจริงในแนวแห่งพุทธะ
    ก็จะทยอยนำมาเผยแพร่เป็นระยะๆนะครับตอนนี้บอกหัวข้อไปก่อน

    "ขอทุกท่านเจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
     
  6. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    เหตุที่ต้องไปบวชที่สำนักสงฆ์บ้านหนองโนเพราะ

    ๑ เพื่อไปพิสูจน์ให้ประจักษ์กับตัวเองว่าทั้งสถานที่และตัวบุคคล ครูบาอาจารย์ที่ได้พบเป็นของจริง
    ๒ เพื่อไปศึกษาแนวทางการบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิที่ถูกต้องและตรงทางมากที่สุดจากพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว (บารมีสูงกว่ามากๆ )
    ผลที่ได้ก็คือ ของจริงทั้งหมด อันนี้พิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้วก็ขอเชิญทุกท่านเข้ามาพิสูจน์อย่าเพิ่งปฏิเสธหรือว่ายอมรับเสียทีเดียว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาและเหตุผล วิ๊ธีการพิสูจน์ ๑ พิสูจน์ด้วยความรู้ ความสามารถของตนเองโดยอาศัย คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอให้ท่านเปิดให้รู้เห็นตามความเป็นจริง
    ๒ อาศัยครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริงถามท่านทั้งสถานที่และตัวบุคคล

    การอธิษฐานถาม

    " พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอทราบ .............

    ขอให้ได้รับคำตอบถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงด้วยเทอญ"

    ต่อคราวหน้านะครับ ขอทุกท่านเจริญในธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  7. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    ก็จะขอเล่าประสบการณ์ที่ได้ไปพบมาต่อนะครับจะพูดรวมๆไปเลยจะได้เพื่อง่ายต่อการเล่าและลำดับความแต่เนื้อหาจะครอบคลุมตามหัวข้อข้างต้นบางทีก็จะเป็นประโยคคำพูดที่อ.กร ท่านสอน เตือน หรือแนะนำก็ใช้ปัญญาพิจารณาเอานะครับ
    สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่อธิษฐานบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน อ.กรท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านได้อธิษฐานไว้ว่า
    ๑ ผู้ที่จะมาที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็น พระโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ ปัจเจกภูมิ พุทธวงศ์ อัครสาวก มหาสาวก และผู้ที่ใกล้จะเข้าระดับพระอริยะบุคคล
    ๒ ในอดีตเคยมีความเกี่ยวข้องกับสถานที่นี้

    สำหรับแนวทางการปฏิบัติจะทยอยนำมาลงนะครับ
     
  8. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    สำหรับตนเองแล้วพอจะประมวลได้ว่าในการศึกษาพระกรรมฐานในทางพระพุทธศาสนา(สำหรับพระโพธิสัตว์หรือพุทธภูมิ,ปัจเจกภูมิ,อัครสาวก,อสีติสาวกหรือสาวก) มี ๒ แบบ
    ๑ กัมมัฏฐานมัชชิมา (กรรมฐานแบบลำดับ เจโตวิมุติ)อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรหาศึกษาได้ที่ วัดราชสิทธา (วัดพลับ) ซ.อิสรภาพ ๒๓ บางกอกใหญ๋ คณะ ๕ หรือ หาใน Web ดูก็ได้
    ๒ แบบทางลัดตัดตรง สามารถศึกษาได้กับ อ . กร พงษ์พานภักดี โทร. 0810693935
    โดยส่วนตัวแล้วสุดยอดทั้ง ๒ แบบ ก็ขอเชิญทุกท่านเข้ามาพิสูจน์ให้ประจักษ์โดยเฉพาะพุทธภูมิต้องพิสูจน์ให้หมดเพราะต้องเรียนรู้ให้ครบทุกแง่ทุกมุมแล้วเป็นอย่างไรก็มาเผยแพร่ให้เป็นธรรมทานกันบ้างนะครับ ผู้ที่มีญาณหยั่งรู้นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษเหนือบุคคลธรรมดาทั่วไปดังนั้นถ้าใช้ญาณหยั่งรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสรรพสัตว์จะถือว่าใช้ให้เกิดประโยชน์เกื้อกูลต่อโลก แต่ถ้านำไปใช้แค่ เห็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็น่าเสียดายเพราะญาณใช้สำหรับตรวจสอบกิเลสในจิตใจตัวเองเป็นหลัก "ผู้ที่วิเศษแล้วไม่ใช่ผู้ที่มีญาณหยั่งรู้ แสดงอิทธิฤทธิ์ได้ แต่ผู้ที่วิเศษที่แท้จริงคือผู้ที่สามารถปล่อยวางหรือละกิเลสที่มีอยู่ในใจตนเองได้นั่นแหละคือผู้ที่วิเศษที่แท้จริง"

    มีคำถามให้ท่านลองหาคำตอบ
    พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร?
    "ขอทุกท่านเจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    *** สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้า คือผู้ที่ปราถนาพุทธภูมิที่มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้วที่พร้อมจะตรัสรู้
    พระมหาโพธิสัตว์ คือ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    พระโพธิสัตว์ คือผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่รอการรับพุทธพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เมื่อถึงระยะเวลาที่เหมาะสม
     
  9. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    ถ้าท่านใดอยากได้แนวทางการบำเพ็ญบารมีที่ถูกต้องและตรงทางมีข้อมูลเป็นปัจจุบันที่สุดแล้วก็อ่านของคุณสมภาพธรรมก็ได้ครับ อาจารย์คนเดียวกัน ละเอียดดีครับ
     
  10. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    อ.กร สอนเสมอๆว่า "รู้แล้วก็วางๆ"

    "จิตที่ปล่อยวางคือจิตที่อิสระ ตัวรู้อยู่ที่จิต จิตรู้ทุกอย่าง แต่กิเลสมาบดบังไม่ให้รู้แจ้งตามเป็นจริงดังนั้นเมื่อ ปล่อยวางได้ระดับหนึ่งหรือที่สุดก็จะรู้ตามความเป็นจริง ปล่อยวางโดยเลิกยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีสติ รู้เท่าทัน คิดดีก็รู้ คิดชั่วก็รู้ รู้เท่าทันกิเลส อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด อดีตผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงไม่ควรกังวลเกินเหตุ พุทธภูมิรู้เท่าทันกิเลสไม่ตัดกิเลส สาวกภูมิตัดกิเลส ใช้จิตดูจิต ใช้ญาณที่มีให้เป็นประโยชน์"
    จากคำสอนอ.กรที่ได้รับฟังและปฏิบัติตาม

    "พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร?"

     
  11. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    สวัสดีครับที่ห่างหายไปเนื่องจากต้องเร่งบำเพ็ญจิตตภาวนาเดี๋ยวหลุดโผแต่ก็จะพยายามถ่ายทอดคำสอนของท่าน อ.กรมาให้รับทราบกันครับ

    การน้อมจิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งที่ควรจะนำมาปฏิบัติ
    โอกาสที่จะได้พบมหาโพธิสัตว์ที่มีบารมีพร้อมตรัสรู้อย่างเต็มเปี่ยมแล้วหาได้ยากอย่างยิ่ง ขอให้ทุกท่านใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด ก็บอกได้แค่นี้ เหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา จริงทุกอย่าง ถูกทุกอย่าง หลายสิ่งหลายอย่าง อาจเหนือความคาดหมาย กับสิ่งที่ได้รับรู้กันมา ก็ฝากได้แค่นี้ครับ แล้วจะทยอยนำคำสอนที่ได้รับมาให้ทราบกันครับ จิตตภาวนาเท่านั้น

    นะโม พุทธัง สรณังคัจฉามิ
    นะโม ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    นะโม สังฆัง สรณังคัจฉามิ
     
  12. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่าน

    "ทำให้ถึงแล้วจะเข้าใจเอง ถ้ายังไม่ถึงก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินหรือวิจารณ์จะเป็นกรรมหนักโดยที่ไม่รู้ตัว(ถ้าเป็นพุทธภูมิก็หลุดไปเลย)อย่างเช่นคนไม่เคยไปเชียงใหม่จะบอกได้อย่างไรว่าเชียงใหม่เป็นอย่างไรมีอะไรบ้าง มีผู้บอกทางแล้วก็ควรน้อมนำมาให้ได้มากที่สุด ด้วยความปรารถนาดี"
     
  13. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    -------------------------------------------------------------------

    วงศ์พระร่วง
     
  14. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    สวัสดีครับก็จะเอาคำสอนของท่าน อ.กร มาเผยแพร่ต่อนะครับ

    จำได้ว่าในตอนก่อนเคยถามท่านว่าทำไมแนวทางวิธีการสอนกัมมัฏฐานของอ.กรถึงต่างจากสำนักอื่นสายอื่นท่านก็บอกว่า ธรรมดาคนเราทุกข์ที่จิตใจเราก็ต้องแก้ที่จิต ธรรมทั้งหลายทั้งปวงหยั่งลงที่จิตใจเท่านั้น ถ้าใช้ขันธ์หรือร่างกายเมื่อไรก็ไม่ใช่ของแท้ เป็นของเทียมเมื่อใช้ของเทียมสิ่งที่ได้ก็เทียมด้วย
    จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน จิตเป็นหนึ่งเดียว
    ร่างกายมีปัญหาก็ต้องแก้ที่ร่างกาย จิตเป็นทุกข์ก็ต้องแก้ที่จิต
    ก็มีคำเตือนมาฝาก
    อย่าแบ่งพระพุทธเจ้าโดยเด็ดขาด ว่าเป็นประเภทนั้นบำเพ็ญบารมีแบบนั้น จะเป็นกรรมหนัก
    ตำรับตำราที่มีอยู่นั้นแน่ใจได้อย่างไรว่าถูก ๑๐๐ % และสิ่งที่รู้มาแน่ใจหรือยังว่าถูก ๑๐๐% ถ้ายังไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินหรือวิจารณ์จะเป็นกรรมหนัก
    ร่างกายอาการ ๓๒ เป็นเหมือนบุคคลธรรมดาแต่สภาวะทางธรรมอยู่ในระดับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีบารมีสั่งสมอยู่ในขั้นสมเด็จองค์ปฐมต้นพุทธวงศ์ ทำอะไรก็ขอให้ระมัดระวังเพื่อตัวของท่านเองถามว่ารู้ได้อย่างไร ก็พิสูจน์เอาสิหรืออาจจะไปถามครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริง
    มีสิ่งมาให้ค้นหาครับ
    -โลกธาตุตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
    -แนวทางการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ถูกต้องต้องทำอย่างไรต้องไปเรียนกับใคร?
    -ใครเป็นประธานพระโพธิสัตว์?
    -อนาคตวงศ์เปลี่ยนไหม? อย่างไร?
     
  15. tan64

    tan64 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +107
    อนุโมทนาครับ ไปเจอปฏิบัติกับท่านอาจารย์มาแล้วครับ ช่างนี้ท่านอาจารย์บอกว่าร่อนทอง ไครมีโอกาสอยากแนะนำให้ไปลองปฏิบัติกับท่านอาจารย์ดูครับ ของจริงไม่หวั่นไหว
     
  16. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    มีคำแนะนำจากท่าน อ.กรมาบอกครับ สำหรับท่านใดที่ต้องการคำแนะนำจากท่านอ.กรหรือถามปัญหาขอให้เกี่ยวกับผลการปฏิบัติหรือแนวทางปฏิบัติให้เข้าถึงมรรค ๔ถึงผล๔หรือนิพพาน ๑ เพราะท่านอ.กรบอกว่ามีบางท่านมาถามถึงเรื่องกรรมและการแก้กรรมกับท่านซึ่งเรื่องนี้ท่านเคยอธิบายให้ฟังมาแล้วว่าสำหรับเรื่องนี้มันมีเหตุและปัจจัยของมันอยู่และสิ่งที่ได้รับก็คือผลที่มีเหตุของมันมาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านให้เชื่อเรื่องของกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บุญมี บาปมี นรกมี สวรรค์มี ถ้าแก้กรรมกันได้ ก็แสดงว่าไม่เคารพในกฎแห่งกรรม ไม่เคารพพระพุทธเจ้าที่ทรงค้นพบและเหมือนกับคัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า ผลเป็นอย่างไรก็พิจารณากันเอง และการถามถึงเรื่องอดีตชาติของท่าน อ.กร ,ของตนเอง หรือคนอื่นๆ ท่าน อ.กร จะไม่ตอบ เพราะตอบไปแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรหรือถ้าไม่ตรงกับที่เคยรู้มาได้ยินมาหรือมีครูบาอาจารย์บอกมาแล้วเกิดความสงสัยว่าใช่หรือ?จริงหรือ?ถูกหรือ?สิ่งเหล่านี้จะย้อนกลับมาหาเขาเหล่านั้น เพราะไม่ใช่ทางดับทุกข์หรือพ้นทุกข์ ถ้าถามถึงผลการปฏิบัติหรือแนวทางการบำเพ็ญบารมีหรือการทำให้เข้าถึง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แล้วท่าน อ.กร ยินดีแนะนำครับ เหตุที่ท่าน อ.กรต้องเข้มงวดเพราะท่านต้องการแนะนำให้เข้าถึง มรรค ถึงผลกันจริงๆเพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว สำหรับผู้ที่บำเพ็ญตนปรารถนาพระโพธิญาณท่านเคยแนะนำว่าต้องสอนสรรพสัตว์ไม่ว่าบารมีจะอยู่ในระดับใดขั้นไหนก็ตามจะสอนมากสอนน้อยก็อีกเรื่องปฎิบัติได้แค่ไหนก็สอนแค่นั้นต้องไม่หวั่นไหวกับอุปสรรคเพราะเนื่องจากต้องมีพระกรุณาธิคุณที่มีในการปรารถนาสั่งสอนสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ (พรหมวิหาร ๔ เป็น อัปปมัญญา) ไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องกลัวอุปสรรค
    เคยได้รับคำแนะนำจากท่าน อ.กรว่า คำว่าอุปสรรค คำว่าวิบากกรรม คำว่าปัญหา คำว่าย่อท้อ ต้องไม่มีสำหรับผู้บำเพ็ญตนเพื่อพระโพธิญาณ สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากกิเลสที่อยู่ในใจ คือความโลภ ความโกรธ และความหลง ถ้ามีก็อย่าหวังว่าจะเข้าถึง พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    ท่านแนะนำให้ปฏิบัติให้รู้แจ้งด้วยตนเอง ไม่ได้จากการฟังมา ได้ยินมา หรือมีครูบาอาจารย์บอกมา..
     
  17. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    สวัสดีครับ ต่อนะครับเท่าที่จำได้

    ท่านอ.กร เคยสอนว่า "พรหมวิหาร ๔ ครอบคลุมทั้งหมด ต้องเป็น อัปปมัญญา ทั้ง ๑๐ ทิศ ทิศเบื้องหน้า ทิศด้านข้าง ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง และ ทิศ น้อยอีก ๔ ทิศ จะมีสภาวะธรรมอยู่ คำสอนของท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากครูบาอาจารย์ของท่าน ถ้าจิตไม่มีพรหมวิหาร ๔ ไม่บริบูรณ์ คำสอนจะไม่ออก ต้องมี เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต อุเบกขาจิต บริบูรณ์ "

    "สักแต่ว่า........",
    "มันเป็นเช่นนั้นเอง"
    "เป็นธรรมดาของโลก ถึงความธรรมดา ธรรมดาของธรรมชาติ ธรรมดาของกิเลส โลภ โกรธ หลง ธรรมดาของจิต รู้แล้วก็วาง รู้เท่าทัน มันมีมากระทบไม่ใช่ไม่กระทบ มี แต่ไม่ยึด ไม่ติด ดับให้หมดไฟทั้งหลายจากความโลภ โกรธ หลง ความยึดมั่นถือมั่น ในตัวในตน มานะทิฎฐิ มีเกิดมีดับทุกขณะจิตเกิดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา"
     
  18. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    หลักสูตรพุทธภูมิที่หาอ่านได้ในปัจจุบัน
    หลักสูตรปัจเจกภูมิที่หาอ่านได้ในปัจจุบัน
    หลักสูตรสาวกภูมิที่หาอ่านได้ในปัจจุบัน
    หลักสูตรพระอริยะที่หาอ่านได้ในปัจจุบัน
    ..........................................................
    ก็พระไตรปิฏกไงครับ
    อ่านละเอียดๆแล้วเจอครบทั้งหมดครับ
    จะไปหาในตำราไหนอีก
     
  19. คือคนบาป

    คือคนบาป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +130
    ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบเจอครูบาอาจารย์ท่านทั้งหลาย ได้รับการสั่งสอนอบรมชี้แนะแนวทางการปฏิบัติ แต่จนแล้วจนรอดจนบัดนี้ก็ได้แต่ศึกษาจากตำราจากคำสอนในแนวทางอื่นๆซึ่งไม่ใช่จากการเรียนรู้จากครูบาอาจารย์โดยตรง ก็ได้แต่หวังว่าจะได้พบท่านทั้งหลายเหล่านั้นในสักวันหนึ่งขอเรียนรู้จากหลายๆสำนักหลายๆอาจารย์เพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติต่อไป
     
  20. j46

    j46 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +238
    มีข่าวดีมาบอกครับ ท่านใดมีความสนใจคำสอน ของท่าน อ.กร พงษ์พานภักดี เป็น CD ติดต่อได้ที่ คุณประพัฒน์ ขัติวงษ์ โทร 0852914234 หรือ pra-phat@hotmail.com ส่งที่อยู่ที่สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้จัดส่งให้ฟรีครับไม่มีค่าใช่จ่าย

    ให้ภาวนาด้วยศรัทธาอันบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหา

    "นะโม อนันตะ สุริยะ วชิระ รังสีมุนีนัง อนาคะตัง ปะฐะมะ อนุตะรัง อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ โส ภควาติ "

    เป็นแก่น เป็นหัวใจ เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นแม่บท จะแจ้งในธรรมทั้งปวง และพลังทั้งปวงในอนันตจักรวาล
    อานิสงส์ ที่ภาวนาด้วยจิตศรัทธาบริสุทธิ์ ปรารถนา โพธิญาณ ปัจเจกภูมิ มรรค ผล จะสำเร็จทุกอย่าง ปิดอบายภูมิ ๒๐ พุทธันดร ภาวนา ๑๐๘ จบจะเป็นใหญ่ใน ๓ โลก มีอำนาจเสมอพระจักรพรรดิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...