รวบรวมข้อมูลเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 28 กันยายน 2006.

  1. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    เห็นว่าพบ ระเบิดเคลโม แถวสะพานไทยเบลเยี่ยม

    ต้องให้พี่คลิก อธิบาย ระเบิดเคลโม ด้วยครับ ว่ามีอำนาจการทำลายล้างแค่ไหน ในรัศมีเท่าไหร่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_5535.jpg
      IMG_5535.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.1 KB
      เปิดดู:
      653
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2010
  2. ขิก

    ขิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,338
    ค่าพลัง:
    +18,756
    :cool: ระเบิดเคลโม เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ภายในบรรจุดินคอมโปซิขั่น ๔ หรือที่ได้ยินบ่อย ๆ ว่า ซีโฟ ( C 4 ) และมีกระสุนลูกปรายเม็ดเล็ก ๆ ขนาด :'( เจ้าตัวร้องให้ เจ็ดร้อยกว่าเม็ด ตัวระเบิดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวสักประมาณหนึ่งคืบ กว้างประมาณหนึ่งฝามือ ตัวดินระเบิดวางแปะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวกระสุนลูกปรายวางเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบเต็มกว้างด้านหน้าเจ็ดร้อยกว่าเม็ด จุดระเบิดด้วยเื้ชื้อประทุไฟฟ้ามีสายไฟสีน้ำตาลยาวประมาณ ๓๐ ฟุต ถ้าจำไม่ผิดนะ ครับ มีเครื่องจุดระเบิดด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้า หรื่อใ้ชถ่านไฟฉายก็ได้ ตัวทุ่นระเบิดมีขาตั้งเสียบกับพื้นดินเพื่อให้มีความมั่นคง

    :mad: ทุ่นระเบิดชนิดนี้ใช้เพื่อการป้องกานฐานที่มั่น หรือฐานลอยในระหว่างออกลาดตระเวนเพื่อป้องกันข้าศึกลอบคลานเข้ามาลอบยิงหรือข้าศึกวิ่งเข้าจะตลุมบอนบนฐาน ตัวทุ่นระเบิดจะมีลักษณะโค้งออกทางด้านหน้า ถ้าระเบิดแล้วมีอันตรายทางด้านหลังบ้างแต่ทางด้านหน้า อันตรายสูงสุดจะกระจายออกเป็นรูปพัดกระจายเป็นความกว้างในระยะ ๑๕ ฟุต รับรองได้ ๑๐ คนก็ต้องล้มทั้ง ๑๐ คน ไม่มีใครช่วยหามใคร ต้องพยายามคลานออกไปตายระหว่างทาง

    :boo:ทุ่นระเบิดพวกนี้เมื่อวางระยะเวลานาน ๆ ต้องหมั่นตรวจดู ไม่งั้นพวกไม่หวังดีจะกลับด้านหน้าเข้าหาตัวเราเอง หรือไม่ก็พวกแกะเอาดินระเบิดออกเอาไประเบิดปลาตามลำห้วย ดินระเบิด C 4 เป็นดินระเบิดแรงสูง มีเนื้อดินระเบิดอ่อนปั้นได้เหมือนดินน้ำมัน ทางทหารใช้ดินระเบิดนิดนี้ในการระเบิดตัดเหล็ก เพราะสามารถแปะดินระเบิดแล้วปั้นโอบรอบวัตถุได้เลย :cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2010
  3. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    เหตุการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย ปล้นสะดม

    หากมีภัยพิบัติรุนแรงจริงๆ คงมีคนกลุ่มนี้เยอะ

    น่าพกปืนอีกสักกระบอกติดตัว ป้องกันตัวไว้นะครับ
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ตอนนี้ทุกคนคงตั้งใจเตรียมข้าวของเครื่องใช้และอาหาร เป้ฉุกเฉินกันแล้วแน่นอน

    มาชวนคนในบ้านให้มาอ่านเพื่อความไม่ประมาทกันครับ

    แผน 1 - 2 - 3 ตามสถานการณ์ต่างๆก็เตรียมเอาไว้ครับ

    อยู่หรือไป ตั้งรับหรือถอย ไปยังที่ปลอดภัย
     
  5. ทิดสุข

    ทิดสุข สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอบคุณ คุณคลิกมาก ใด้ความรู้อีมากเลยครับ
     
  6. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    เมื่อวันก่อนมีคนถามผมมาว่า

    "เวลาเกิดภัยจริงๆ คุณเลือกช่วยเฉพาะคนที่คุณชอบอย่างนั้นซินะ? นี้ล่ะ ธาตุเเท้ของคุณ"

    แล้วผมก็ตอบกลับไปว่า

    "เวลาไม่มีภัยผมช่วยทุกคนที่เข้ามาอ่าน จะเตรียมตัวหรือไม่เตรียมตัว อยู่ที่ดุลยพินิจ ของคนอ่านเอง

    เวลามีภัย ผมก็ช่วยเท่าที่ทำได้ แต่ผมก็ต้องเลือกคนใกล้ตัวก่อน นี่ล่ะคือ ธาตุแท้ของผม

    ถ้าจะให้บอกอีก ว่า ผมช่วยคนในนี้ได้ไหม ผมบอกว่า "ทุกคนก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง"

    เพราะผมคนเดียวไม่สามารถทำได้ เพราะตัวเองก็ต้องรอด ถ้าไม่รอด ก็ช่วยคนอื่นไม่ได้ จะคิดไปทำไมกัน

    แล้วคุณล่ะ คุณสามารถช่วยเหลือ ได้ทุกคนไหม

    ผู้ก่อการร้ายคุณช่วยไหมครับ หรือ คนที่จะเข้ามาแย่งอาหารคุณ คุณก็จะช่วย ?"

    แล้วผมก็สรุปกลับไปอีกว่า

    "ผมพูดตามหลักความเป็นจริง ไม่ได้เพ้อฝัน ถ้าทุกคนเจอภัยพิบัติ แม้กระทั่งตัวผมเอง

    ถึงเวลานั้น "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ก็ต้องถูกนำมาใช้

    ผมไม่ได้ยกย่องตัวเอง เป็นคนเลิศประเสริฐศรี ที่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ ทุกสถานการณ์

    แต่ผมทำเท่าที่ทำได้ ในสภาวะที่ตัวเองมีแค่นี้ มีเท่านี้ มีข้อจำกัด

    ทุกวันนี้ ภัยที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา หากเราไม่ได้โดน ผมก็ช่วยคนอื่นเสมอ บริจาคโลหิต บริจาคทรัพย์ แต่ก่อนที่จะช่วยคนอื่นได้ ต้องคิดว่าเราพร้อมหรือไม่ ถ้าไม่พร้อม ก็ไม่ให้ เพราะเอาตัวเองไม่รอด

    ผมไม่เคยแบ่งแยก การบริจาคโลหิต เราไม่รู้ว่า เลือดเราจะให้ใคร คนรับอาจเป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง

    ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้ ประเด็นคือการได้ช่วยเหลือมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีเลือดเนื้อ เหมือนกับเราทุกอย่าง

    เมื่อก่อน นี้ ที่สึนามิเข้าตอนปี 2547 ทำให้คนไทยและชาวต่างชาติ ได้เสียชีวิตจำนวนมาก และยังมีคนที่สูญหายเป็นจำนวนเยอะ ในตอนนั้น ผมอยู่กลุ่มดำน้ำลึก แต่ไม่ใช่กู้ภัย ยังรวมตัว หลายร้อยคน ทั้ง Instructor และ Divemaster เพื่อจะไปดำน้ำเก็บศพกัน

    แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เนื่องจากว่า ไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ และถูกห้ามจากรัฐสมัยนั้น เพราะต้องมาเสี่ยงด้านเชื้อโรคด้วย
    ความพยายามในการช่วยเหลือมี แต่ต้องมองว่า ขอบเขตของตัวเอง มีแค่ไหน

    ทุกวันนี้ ทำได้แค่ประสานงาน บางครั้ง เป็นแม่ข่าย ประสานงานวิทยุสื่อสาร กู้ชีพกู้ภัยเป็นบางครั้ง เพราะทำได้แค่นี้จริงๆ ยังไม่สามารถไปเก็บศพ เหมือนคนอื่นได้"
     
  7. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    แล้วเมื่อวันก่อนอีก ในตึกที่ผมพักที่เดียวกัน

    มีคนรู้จัก สนิทกับแฟนผม ใต้ชายคาเดียวกัน ได้รับข่าวเรื่อง 2012 หรือเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆ อยู่บ่อยๆ

    แฟนผมก็บอกว่า "ก้องเตรียมอุปกรณ์รับมือภัยพิบัติเต็มเลย"

    คนนั้นก็ตอบว่า "เหรอๆ เตรียมอะไรบ้าง" ลักษณะดูเหมือนสนใจมาก

    วันหนึ่ง ไปกินข้าวด้วยกัน เขาก็พูดเรื่องภัยพิบัติ และก็ถามผมหลายเรื่องในการเตรียมของรับมือ

    เขาก็เสนอความเห็นว่า จะเตรียมแต่ "ของมีค่า" ไว้ ผมก็เสนอแนะแนวทางทุกอย่าง ว่า เก็บของมีค่าไป ช่วงภัยพิบัติ จะได้ใช้เหรอ

    แล้วเขาก็เสนออีกว่า จะเก็บทุกอย่างไว้ใน "รถ" ทั้งหมด ผมก็มองเป็นสิ่งดี เพราะมีที่เก็บ แต่มองก็มองว่า ถ้าแผ่นดินไหว ตึกถล่ม ทำอย่างไร

    เขาก็เสนอว่า ถ้าแผ่นดินไหว จะหนีลงมา ขับรถออกไปข้างนอก ที่โล่งแจ้ง

    ผมก็ถามว่า ช่วงเวลานั้น จะคิดลงมาขับได้เหรอ ในใจคิดว่า สติต้องแข็งกร้าวมาก ถึงจะทำแบบนั้นได้ และคิดว่า คนจะไม่มากรูเต็มไปหมดเหรอ ใจคอจะขับรถชนคนได้หรือ ?

    ผมตอบแบบคิดให้รอบด้าน เท่านั้นเอง

    แต่ผมถูกตอกกลับมาว่า เป็น "กระต่ายตื่นตูม"

    ผมงง และหงุดหงิดมาก เรื่องว่า เป็นกระต่าย ไม่เท่าไหร่ เพราะได้ยินจนชินแล้ว

    แต่สิ่งที่คิดว่า "แล้วคุณจะมาถามผมทำไม คุณขอร้อง คุณอยากให้ผมช่วย แต่คุณกลับมาด่าผม เพราะอะไร"

    สรุปว่า วงแตก ผมรีบกลับไปห้องผมเลย

    -------------------------------------------

    เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด รวมถึงความเห็นข้างบนว่า ผมคิดอย่างไร ช่วยได้เท่าที่ช่วย ผมก็ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมดในทุกสถานการณ์

    ณ เวลานั้น มันอาจจะช่วยคนอื่นได้หลายคน แต่มันขึ้นอยู่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ผมไม่เชื่อหรอกว่า ทุกคนจะไม่เห็นแก่ตัว ณ เวลามีภัยพิบัติ

    ผมยอมรับว่า ความเห็นแก่ตัว ผมมีแน่นอน ณ ยามมีภัยพิบัติ

    ในยามที่ไม่มีภัยพิบัติ ผมก็ช่วยเต็มที่ ในแง่ของข้อมูลรับมือ และอุปกรณ์รับมือภัยพิบัติเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นอยู่ที่ผู้อ่าน จะเตรียมหรือไม่ ก็แล้วแต่ตัวผู้อ่านเองครับ

    แต่ใจจริง อยากให้เตรียมกันทุกคน เรื่องแบบนี้ไม่แน่นอนครับ
     
  8. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    เมื่อภัยพิบัติมาถึงจริง สิ่งที่หายไปอันดับแรกเลยคือ "สติ"
    ใครจะรั้ง "สติ" กลับมาได้ก่อน นั่นถือว่าเป็นโอกาสดีที่สุด
    ดีหน่อยอาจจะหายไปเพียงไม่กี่วินาที ไม่กี่นาที นั่นถือว่าสุดยอดแล้ว
    จะบอกว่าแม้ภัยพิบัติมาจะไม่สะดุ้งสะเทือนเลยคงเป็นไปไม่ได้
    เรายังไม่ใช่ผู้ที่ตัดได้ทั้งหมด

    เมื่อวันที่19 ที่ผ่านมา ขนาดภัยพิบัติทางธรรมชาติยังไม่เกิด
    การติดต่อสื่อสารติดขัดเป็นบางช่วง
    ยังเห็นสภาวะจิตที่พยายามแย่งกันหาทางออก หาทางสื่อสาร
    และหากภัยพิบัติเกิดขึ้น การติดต่อสื่อสารขาด การคมนาคมใช้การไม่ได้
    ไฟฟ้าไม่มีใช้ ทุกคนดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
    สภาวะที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนขาดสติ ท่ามกลางภัยพิบัติที่มันโหมกระหน่ำเข้ามา
    มันจะเป็นเช่นไร...
    คงเหลือแต่ "ตัว" ตั้งโด่อยู่กลางพายุ
    แขนขาโดนตัดขาด มีหัวก็ทำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก

    คุณKongp ณ คิดว่า ที่เรามาทำกันตรงนี้ก็เพื่อเตรียมพร้อม
    ถ้าไม่เกิดก็ดีไป แต่ถ้าหากเกิดล่ะ ใครจะช่วยเราได้
    พระพุทธองค์ท่านสอนเสมอ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
    การเตรียมมันก็เหมือนเป็นการฝึกเราไปในตัว
    ฝึกความคิด การจัดลำดับความสำคัญ การมองหาช่องทางออก
    เทียบกับคนที่ไม่ฝึกเลย ไม่ลองเลย ใครจะมีความสามารถเอาตัวรอดได้มากกว่ากัน

    แต่ก็ต้องยอมรับว่า ความคิดของคนมันหลากหลาย
    จะให้มาคิดเหมือนเราคงเป็นไปไม่ได้
    ต้องยอมรับว่าทุกคนต้องคิดถึงตัวเองมาก่อนอันดับหนึ่ง
    "รอด" แล้วค่อยคิดถึงอันดับสอง และอันดับต่อๆ ไป
    หาก "ไม่รอด" แล้วคุณจะไปช่วยใครเขาได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่สุด

    ส่วนคนที่เขาคิด เขามองคนละมุมคนละด้าน ก็ปล่อยเขาไปเถอะ
    อย่ามาเก็บเป็นอารมณ์ เหนื่อยใจเปล่าๆ ช่างหัวมัน
     
  9. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    ตอนนี้ก็ช่างมัน ช่างมันมาตั้งนานแล้วครับ

    เผอิญเคสข้างบน เขาขอความช่วยเหลือมาเอง แต่กลับมาด่าเราซะงั้น ก็มีอารมณ์โกรธเป็นธรรมดา

    ก็ช่างหัวมัน อย่างที่คุณ ณ. ว่า ครับ
     
  10. jamrus

    jamrus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +1,141
    [​IMG] [​IMG][​IMG]คตินี้ใช้บ่อยไม่เครียดดี
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อุเบกขา ครับ

    เราช่วยเท่าที่ช่วยได้ ช่วยโดยไม่ทุกข์ ช่วยตามกำลัง

    คนตกน้ำสิบคน เรามีแรงช่วยได้ กี่คนก็เท่าไร เท่านั้น

    บุญกรรมนำไปให้เราช่วยเหลือคนที่เรามีวาระเกี่ยวเนื่องกับเขาเองครับ
     
  12. ยาล้างตา

    ยาล้างตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2007
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +3,539
    555.....5D
     
  13. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    สามารถใช้ตาข่าย แห อวนที่ดักปลา เอามาขึงรอบที่ทำงาน/สถานที่สำคัญ ใช้ป้องกัน M 79 ได้ เพราะตอนผมไปสมทบทหารพรานที่ตราด เขาใช้ตาข่ายขึงหน้าแนวตั้งรับ ป้องกันได้ทั้ง M79 และลูกระเบิดขว้าง เพราะ M79 เมื่อยิงออกไปได้ระยะ 15 เมตรกระทบฝนที่ตกหนัก หรือกิ่งไม้ก็ระเบิด มาเจอตาข่ายก็ระเบิดเหมือนกัน แต่ขนาดความกว้างของตาต้องไม่เกินความกว้างเส้นผ่าศูนย์กลางของลูกระเบิด M79 ส่วนระเบิดเคย์โมก็ตามที่พี่คลิกบอกและยังทำเป็นกับระเบิดได้ ผมชอบเอาถุงเป้ของระเบิดเคย์โม มาใช้ใส่ของส่วนตัว 55 แต่ผมเคยดัดแปลงทำระเบิดเคย์โมเอง โดยใช้ระเบิด ซีโฟร์และเหล็กเส้น(ส่วนเทคนิควิธีไม่ขอบอกนะครับ) ตอนไปดักซุ่มโจมตี ขจก.ที่ภาคใต้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2010
  14. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    แล้วถ้าเป็น นิวเคลียร์ล่ะครับ ใช้ตาข่าย กันได้หรือเปล่าครับ (deejai)
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อานุภาพผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม
    <o>:p</o>
    : ยึดเทือกเขาภูพานคืน

    [​IMG]

    ธงมหาพิชัย สงคราม

    <o>:p</o>
    ใน สมัยนั้นผกค.มีอิทธิพลสูง ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต. ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นปัจจุบันมียศพล.ท.) ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ดังนี้

    <o>:p</o>[​IMG]

    ๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร<o>:p</o>
    ๒. แจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)<o>:p</o>
    ๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา<o>:p</o>
    ผม จำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น.ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อเท่านั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร เมื่อบรรยายจบปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถามได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวกผกค.เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือพร้อม ๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางคนไม่ฉลาดถามก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่น ๆ ผมฟังไป ๆ คงจะตื่นเต้นมาก เลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัวขอเวลานอกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา และผมคงจะพิจารณาทุกข์ ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือ เห็นอริยสัจ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่าให้ปฏิบัติตลอดเวลาทุก เวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือ เป็นอกาลิโก ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้ว ก็ออกมารีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะหายไป ไม่พบใครสักคนเลย หันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่งท่านจำผมได้ เห็นผมจึงถามว่าคุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ ทหารผู้นั้นก็บอกว่าหลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่างง) แต่เคราะห์ยังดีที่ นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็ก พร้อมคนขับให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่านรีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุก ๆ คนที่ได้หัวเราะกันจนฉี่จะออก
    <o>:p
    หลัง จากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่าง ๆ แล้วก็กลับไปกทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่หนึ่งกองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของผกค.เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าดีมากเกินคาดหมาย แต่มีรายงานจากวิทยุว่ามี ทหารเสียชีวิต ๑ นาย ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่า ทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่าไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว ท่านรู้สึกผิดหวังมากที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงแดงไปด้วยทั้ง ๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์สีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากห่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ</o>​

    [​IMG]
    <o>:p</o>
    วัน ที่ สอง ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็นสองกองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุจากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่นความลับไม่มีในโลกทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าว รู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์ สีแดง จะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้นเพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ ครบทุกคน<o>:p</o>
    วัน ที่ ๓ ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม ๑๐๐% ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมดชนิดที่ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี้ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อ ๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็นผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้าคงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพเสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา<o>:p</o>
    หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อ ๆ ได้ดังนี้<o>:p</o>
    ๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค.ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว<o>:p</o>
    ๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้าย ๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น<o>:p</o>
    ๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่าว่าขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิ่งปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่าทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนี่ยวนัก เลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่<o>:p</o>
    ๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึกที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่าคงเป็นอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ “ นะจังงัง ” ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริง ๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง<o>:p</o>
    ๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้มีทั้งร.พ.และเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพละศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่าต้องใส่รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี<o>:p</o>
    ๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็นผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก<o>:p</o>
    ๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นตันมา ผกค.ก็หายซ่าไปเลย<o>:p</o>
    เรื่อง ของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมาก ยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วนกลับไม่ได้ผลหรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิด หากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไป ก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน “ปฐมเทศนา” ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป,ขี้เกียจมากไป) จะไม่มี

    [​IMG]
    <o>:p</o>
    ผล ให้เดินสายกลาง ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบ ขอสรุปเรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงครามไว้ เพื่อเตือนความจำ ดังนี้<o>:p</o>
    ๑. ความศักดิ์สิทธิ์ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น<o>:p</o>
    ๒. ผู้นำไปใช้หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจรปล้น-ฆ่าเขา-ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิงลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุออกท้ายทอยทุกราย
    <o>:p๓. ธงมหาพิชัยสงครามไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)<o>:p</o>
    ๔. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงครามกับผ้ายันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกันทุกประการ ใช้แทนกันได้<o>:p</o>
    ๕. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน, พายุใหญ่ หรือวาตภัย มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่ที่ความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย</o>​



    [​IMG]


    <o>:p</o>แต่ก่อนจะจบขอสรุป เรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงคราม ไว้เพื่อเตือนความจำไว้ดังนี้
    ๑. ความศักดิ์สิทธิ์ ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
    ๒.ผู้ นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจร-ปล้น-ฆ่าเขา-โขโมยเขา ธงนี้ไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุท้ายทอยทุกราย<o>:p</o>
    ๓. ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
    ๔. เวลาทำ พิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงคราม กับ ผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และ รูปยันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกัน ทุกประการ ใช้แทนกันได้
    ๕. เรื่องป้องกัน หรือบรรเทาอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้าน พายุใหญ่ หรือวาตภัย
    มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย...สาธุ<o>:p</o>

    :เหตุการณ์ระหว่างปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐ เล่าโดยพล.ต.ท.นพ.<st1:personname 0="" alt=" border="></st1:personname>สมศักดิ์ สืบสงวนคัดบางตอนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก

    แถมให้ ครับ ได้ไม่ต้อง ตั้งกระทู้ใหม่<o>:p<!-- google_ad_section_end --> และจะลงเพิ่ม ให้ภายหลัง นะครับ</o>

    ประสบการณ์ พระคำข้าว


    [​IMG]

    พระคำข้าว รุ่น ๒ (ทันหลวงพ่อ)

    มี เรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศิลปาชีพท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พศ.2547 เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติได้มอบพระให้พกติดตัว 1 องค์ เพราะความเป็นห่วง ที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ปรากฎว่าก่อนเดินทางมาบวชที่วัดท่าซุง 3 วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนมอเตอร์ไซล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตัวเองคงต้องตายแน่ เพราะผู้ร้ายได้ตามมายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและได้นึกด่าผู้ร้าย ปรากฎภายหลังจากการนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีกหนึ่งนัด ลูกปืนทะลุเข้าไปฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ภายหลังแพทย์ ได้ลงความเห็นว่าสามารถเดินทางมาบวชได้เพราะไม่เป็นอันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาอุปสมบทที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ตนห่อกระดาษทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู จึงทราบว่าเป็นพระคำข้าวของหลวงพ่อพระราชพรมยาน วัดท่าซุงนี่เอง
    หลวง พ่อท่านเคยเล่าเหตุการต่างๆในระหว่างพิธีพุทธาพิเษกให้ลูกหลานฟัง เช่นครั้งหนึ่งในระหว่างทำพิธี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเป็นประธาน พระอรหันต์ พรหม เทวดามาร่วมในพิธีมากมาย ทำให้รุกขเทวดาในวัดต้องไปอยู่ไกลถึงขอบจักวาล เพราะเทวดาที่มีบารมีมากกว่ามาห้อมล้อมบริเวณพิธีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้วัตถุมงคลของท่านทุกชิ้น นอกจากมีพุทธานุภาพแล้ว ยังมีเทวดารักษาอยู่อีก 1 องค์<o>:p</o>

    จากหนังสือ ประวัติวัดท่าซุงและหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    เกร็ดความรู้บางอย่างที่หลวงพ่อพูดถึงเกี่ยวกับพระคำข้าว

    อันดับ แรกที่เราจะทำอะไรทั้งหมด ตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงด้วยความเคารพ เพื่อหวังพระนิพพานก็ตาม นึกถึงเพื่อขอลาภสักการะก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้าเหมือนกัน อันดับแรกนะ อย่างมี พระคำข้าว- พระคำข้าวน่ะ หนักไปในทางลาภสักการะ อย่างอื่นก็มีหมด แต่ลาภน่ะหนักมาก และก็หยิบขึ้นมาพนมมือ สาธุ ว่า นะโม ตัสสะ ใช่ไหม ว่านะโมตัสสะ ด้วยความเคารพ และอธิฐานว่า วันนี้ต้องการ...(ลาภอย่างไร) <o>:p</o>
    เป็น อันว่า เราอยากจะให้ค้าขายดี ทำราชการดี เมตตาปราณี อะไรก็ตามเถอะ ก็อย่าลืมว่าเวลานั้นเรานึกถึงพระพุทธเจ้า เราขอบารมีจากท่าน อย่างนี้ถือว่าเป็น ฌาน ในพุทธานุสติกรรมฐาน ถ้านึกถึงทุกวันน่ะ ถ้าถึงเวลาแล้วต้องทำอย่างนั้นทุกวัน ถ้าไม่ทำแล้วไม่สบายใจ นั่นเป็นฌานในพุทธานุสติ เป็นของง่าย ๆ เพราะวันนี้ท่านบอกให้พูดง่าย ๆ ใช้วิธีง่าย ๆ นะ ก็ว่าตามท่าน <o>:p</o>
    ...ที นี้เมื่อเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัท นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว อย่าลืมพระที่ คอ นี่คือพระพุทธเจ้า อย่าง พระคำข้าว เป็นพระพุทธชินราช อย่าลืมน่ะ คือก็เหมือนกับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งนั่นแหละ เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าท่าน และเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็มาทำ อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ พูดให้ฟัง คือเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าทุกองค์เสด็จมาหมด องค์ปฐมเป็นประธาน อยู่ข้างบนใช่ไหม และ องค์ปัจจุบันคุมฉัน ท่านปล่อยกระแสจิตพุ่งสว่างเป็นลำพุ่งมาที่ใจฉัน แล้วบอกเธอนั่งนิ่งๆ อย่าคิดถึงเรื่องอะไรทั้งหมด ห้ามดูอะไรทั้งหมด ให้ทรงอารมณ์เฉยๆ ๑๐ นาที ก็ทำตามท่าน แล้วท่านก็สั่งว่า ให้ว่าอิติปิโสฯ หลัง ๑๐ นาทีแล้ว ท่านบอกดูได้พุ่งใจไปที่ของได้ พอพุ่งใจไปที่ของ ที่เห็นเป็นลำ ไม่เห็นของที่ปลุกเลย แสงพระพุทธเจ้ากลบหมด หนามาก พระคำข้าว เด่นทางมหาลาภ มีรูปพระพุทธชินราช (พระพุทธกัสสป) ด้านหน้า และด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อ <o>:p</o>
    หลวง พ่อเคยบอกว่า สมเด็จเด็จองค์ปฐม ได้ให้พระพุทธกัสสป-พระพุทธทีปังกร คุมเรื่องลาภ (คัดลอกจากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๔๕ หน้า ๖๓) <o>:p</o>
    ..."องค์ ปฐมก็มา และพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา...องค์ปฐมท่านบอกว่า เรื่องลาภนะ สมเด็จพระพุทธกัสสป หนักที่สุด และรองลงมาคล้ายคลึงกันคือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร ก็เลยถามท่านว่า "พระพุทธเจ้ามีบารมีเต็มเหมือนกัน ทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ" ท่านบอกว่า "สุดแล้วแต่การเริ่มต้น คู่อันไหนแรงกว่ากัน"...ท่านบอก "ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะลาภมาก" องค์ปฐมบอกว่า..."ลีลาต่างกันนิดหนึ่ง...<o>:p</o>
    ...สมเด็จพระพุทธทีปังกร : มีกำลังแข็งมากสู้แรงมาก
    <o>:p</o>...พระพุทธกัสสป : ท่านนิ่มนวลในทางลาภมหาศาล <o>:p</o>
    ...แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ : ท่านก็เลยบอกว่าเป็นหน้าที่ของทั้ง ๒ องค์ <o>:p</o>

    (คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๙ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    <o>:p</o>

    หลวง พ่อเคยบอกเกี่ยวกับราคาพระคำข้าวในอนาคต (ท่านพูดไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ในหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๒๓ ประจำเดือนพฤษภาคม หน้า ๑๕)<o>:p</o>
    อีก ๓๐ ปี พระคำข้าวจะมีค่าบูชาหลายหมื่น นี่ก็ผ่านมาแล้ว ๑๖ ปีครับ ก็ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ครับ...ท่านพูดไว้ดังนี้ครับ
    <o>:p</o>-หลวง พ่อ: ...."ก็ก่อนจะทำ (ทำพระคำข้าว) พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วให้ทำ บอกให้มันรวยทั้งวัดทั้งบ้าน คือว่าเอาไปขึ้นราคานิดหน่อยใชไหม ๑๐๐, ๒๐๐ ไม่หนักนัก อีก ๓๐ ปีหลายหมื่น <o>:p</o>
    - ผู้ถาม: เฉพาะพระคำข้าวนี่หรือครับ? <o>:p</o>- หลวงพ่อ: ใช่ขอยืนยัน<o>:p</o>
    อานุภาพ พระคำข้าวมหาลาภ (คัดลอกบางตอนจาก หนังสือ ประวัติวัดท่าซุง และหลวงพ่อพระราชหรหมยาน หน้า ๔๗ โดย พระบุญมา ปภาธโร เจ้าหน้าที่ธัมวิโมกข์ พิมพ์ สิงหาคม ๒๕๔๙) <o>:p</o>
    ..ฯลฯ... ผลในเรื่องความสะอาดของจิตนี้ มีเรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศิปาชีพท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติให้พระมาพกติดตัว ๑ องค์ เพราะความเป็นห่วงที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ปรากฏว่าก่อนเดินทางมาบวชประมาณ ๓ วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนรถมอเตอร์ไซด์ล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตนเองคงต้องตายแน่ เพราะผู้ร้ายได้มายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและนึกด่าผู้ร้าย ปรากฏว่าหลังจากนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีก ๑ นัด ลูกปืนทะลุเข้าฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ภายหลังแพทย์ได้ลงความเห็นว่าสามมารถเดินทางมาบวชก่อนได้เพราะไม่เป็น อันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาบวชที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ห่อกระดาศทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู จึงทราบว่าพระที่พกอยู่นั้นเป็นพระคำข้าวของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงนี้เอง<o>:p</o>

    ๖๙. พระคำข้าวมหาลาภ

    “ข้าว” มีคุณอนันต์กับคนเรามาตั้งแต่ยุคพระเจ้าสร้างโลก ความจริงโลกเราก็คงอยู่ของมันอย่างนี้แหละ แต่หลังจากไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลกแล้ว “อาภัสราพรหม” ที่ท่องเที่ยวผ่านมา ได้กลิ่นหอมของดินเผาไฟ อดใจไว้ไม่ได้ก็แวะมาชิมดู...
    ท่าน ผู้อ่านคงจะพอจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อนมีโฆษณาชิ้นหนึ่ง ขึ้นต้นด้วย “มีทุกข์ในเรือนกาย มีความตายในดวงตา น้ำนมแห่งมารดา ในสายเลือดยังเหือดหาย...” ลงท้ายด้วย “ดินเอ๋ยโอ้ดินนี้ ยังพอมีให้แบ่งปัน...” แล้วมีภาพเด็กกินดินกันอยู่...
    โฆษณา ชุดนี้ฮือฮามาก ถึงขนาดผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยุคนั้น ออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าประชาชนใต้การปกครองของท่าน อยู่ดีกินดีกันทั่วหน้า ไม่มีทางอดอยากขนาดกินดินกันหรอก โถ...ท่านไม่รู้อะไรน่ะ...!
    เด็ก ๆ เหล่านั้นรักษาสายเลือดบรรพบุรุษกันต่างหาก พออาภัสราพรหมกินดินเข้าไป ของหยาบก็ทำให้กายทิพย์หยาบ เหาะกลับพรหมโลกไม่ได้ พอนานไปก็ปรากฏเพศชัด ว่า ใครเป็นหญิงใครเป็นชาย เลยช่วยกันผลิตบรรพบุรุษให้เราไงเล่า...!
    พอ จำนวนมากเข้าดินไม่พอกิน อาศัยบุญเก่าก็เกิดมีต้นข้าวเกิดขึ้น ข้าวสมัยนั้นเป็นข้าวสารเลย ไม่มีเปลือก ใครหิวก็ไปเก็บมาหุงกินกัน นานไปมีคนโลภกักตุนข้าวกันขึ้น ข้าวคงหมั่นไส้ เลยเกิดเปลือกหุ้มเมล็ดอย่างทุกวันนี้...
    เห็น มั้ยล่ะ...ว่าคนเรากินดินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และข้าวก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ดังนั้น...การที่เด็กกินดินก็ไม่ใช่ของแปลก ทุกวันนี้เขาก็ยังกินดินกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ และบรรดาคุณแม่ทั้งหลาย ใครแพ้ท้องอยากกินดินขึ้นมา คนแก่คนเฒ่าเขาว่าเด็กเป็นพรหมมาเกิดเชียวนะจะบอกให้...
    ข้าว เป็นสัญลักษณ์แทนความมั่งคั่งบริบูรณ์ สมัยพุทธกาลเขานับข้าวเป็นทรัพย์ประเภทเดียวกับเงินทองเลยเชียว มาสมัยนี้ ข้าวยังคงใช้เป็นเคล็ดของความสมบูรณ์พูนสุขเช่นเดิม พิธีกรรมต่าง ๆ มักมีข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุก เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ...
    ใน เมื่อถือกันว่าข้าวเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งบริบูรณ์ โบราณท่านจึงมีการนำข้าวมาใช้ในพิธีต่าง ๆ เสมอ ทางพระก็มีการสร้างรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการใช้ข้าวมาเป็นส่วนผสมเช่นกัน...
    รูป แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากข้าวเป็นส่วนผสม ที่โด่งดังที่สุดคือ “สมเด็จวัดระฆัง” นั่นเอง ซึ่ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านใช้ข้าวคำที่รู้สึกว่าอร่อย คายออกมาตากแห้งบดเป็นผงผสมทำพระ จนเกิดสมเด็จวัดระฆังออกมา...
    ใน สมัยต่อมามีหลายท่านที่เจริญรอยตาม ด้วยการทำพระจากส่วนผสมของคำข้าวบ้าง แต่จะหาใครที่โด่งดังเทียมเท่าต้นตำราไม่ได้เลย ของต้นฉบับกลายเป็นที่ต้องการมาก จนเกิดการทำเลียนแบบขึ้น ของปลอมเลยเต็มตลาด...
    “หลวง พ่อ” เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานก็สร้างพระจากคำข้าวเช่นกัน แต่หลวงปู่ทำแค่องค์เดียวเท่านั้น เวลาหลวงปู่ฉันข้าว ถ้ารู้สึกว่าคำไหนอร่อย ก็จะคายเก็บไว้ ตากจนแห้ง ทำอย่างนี้ตลอดสามเดือน แล้วเอาข้าวตากมาตำเป็นผง...
    จ้าง ช่างมาปั้นผงเป็นพระพุทธรูป ได้องค์เล็กหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว จากนั้นหลวงปู่ก็ทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีพระและเทวดาช่วยรักษา แล้วสั่งว่า เวลาท่านไม่อยู่ ถ้าอาหารในโรงครัวไม่พอฉัน ให้จุดธูปขอกับหลวงพ่อคำข้าวนี้ จะได้อย่างใจทุกอย่าง...
    สมัย นั้นหลวงปู่ไปช่วยสร้างวัดสร้างโบสถ์ต่างจังหวัดไกล ๆ ไปทีหลายเดือนกว่าจะกลับ พอหลวงปู่ไม่อยู่ก็เกิดลาภผลน้อย ไม่พอจะเลี้ยงพระในวัด ท่านจึงเมตตาทำหลวงพ่อคำข้าวขึ้นมา หวังจะให้สงเคราะห์เวลาท่านไม่อยู่...
    “หลวง พ่อ” ท่านชอบพิสูจน์ ดังนั้น อาหารยังไม่ทันจะขาด ท่านก็จุดธูปขอซะแล้ว จะเอากับข้าวชนิดไหน จากบ้านเหนือบ้านใต้ ได้อย่างใจทุกครั้ง ขอเพลินจนถูกหลวงปู่ซัดด้วยไม้เท้า ไหนว่าไปนานทำไมแค่สี่วันมาซะแล้ว...!
    หลวง ปู่บอกว่าเทวดาไปฟ้อง ว่าทำตัวไม่สมกับเป็นพระ ติดในรสอาหารจนเกินพอดี แล้วเทศน์กัณฑ์มหาราชซะหูอื้อไปตาม ๆ กัน ขามาจากเขาวงพระจันทร์มาอย่างไรก็ไม่รู้เร็วจัง พอเทศน์เสร็จต้องประคองไปส่งกุฏิ หลวงปู่ขาไม่ค่อยดีเดินไม่ค่อยไหว...!
    พอ ฟังประวัติอาตมาก็อยากได้หลวงพ่อคำข้าวขึ้นมาทันที ถ้าได้มาจะขอยำหัวปลีกับผักบุ้งต้มจิ้มพริกน้ำปลามะนาว อยากฉันมานานแล้ว แต่หลวงพ่อคำข้าวอยู่วัดบางนมโค อาตมาเลยฝันค้างไปคนเดียว...ฮิ...ฮิ...
    ปลาย ปี ๒๕๓๒ อยู่ ๆ “พระ” ท่านก็มาบอกให้หลวงพ่อทำพระคำข้าวขึ้นมาบ้าง เวลาฉันท่านจะมาชึ้เอาคำข้าวคำนี้กับข้าวอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ แล้วเก็บตากแห้งไว้ ให้ช่างออกแบบพระมาให้เลือก ดูว่าจะเอาแบบไหนดี...
    ใน ที่สุดก็ได้แบบพระสี่เหลี่ยมองค์ขนาดหัวแม่มือ ด้านหน้าเป็นพระพุทธชินราช ด้านหลังเป็นภาพหลวงพ่อนั่งอยู่ในกระจังรูปคล้ายพัดยศ จำนวนพระ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ กะว่าจะแจกกันให้หนวดหงอกไปเลย ดูซิว่าเมื่อไรจะหมด...!
    พิธี พุทธาภิเษกทำที่วิหารร้อยเมตรในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. มีพระครูองค์หนึ่งจากจังหวัดนนทบุรี ขออนุญาตนำวัตถุมงคลของวัดท่าน จำนวน ๑ คันรถ มาเข้าพิธีด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็อนุญาตด้วยดี...
    เช่น เดียวกับทุกครั้ง อาตมาจะนำวัตถุมงคลส่วนตัวไปร่วมเข้าพิธีด้วย ในวิหารร้อยเมตรแบ่งวัตถุมงคลเป็นสองที่ คือ ของท่านพระครูและบุคคลภายนอก ๑ ที่ ของวัดอีก ๑ ที่ แต่ก็อยู่ชิดติดกันนั่นเอง...
    อาตมา แบกลังวัตถุมงคลส่วนตัว เข้าทางด้านหลังพระประธาน มองไปเห็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหลืองอร่ามไปหมด ก็ตั้งใจว่า จะวางลังไว้ใกล้ ๆ พระพุทธรูป พอเดินไปถึงอาตมาก็วางลังลง แล้วก็ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นเอง...?!?
    จะ ไม่ให้งงเป็นไก่ตาแตกได้อย่างไร...? ในเมื่อวางลังวัตถุมงคลลงในกองแล้ว อาตมาไม่เห็นมีพระพุทธรูปแม้แต่องค์เดียว...! เหลียวไปดู...อ้าว...มาอยู่ข้างหลังนี่เอง แล้วอาตมาเดินผ่านไปตั้งแต่เมื่อไร...ของตั้ง ๑ คันรถเชียวนะ...!
    ประหลาด ดีแท้...ของก็วางเต็มล็อค ไม่มีทางหลบหลีกไปทางไหน อาตมาเดินมาตรง ๆ กลับฝ่าของกองมหึมาไปโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรเลย ดังนั้น...แทนที่จะวางรวมกับของท่านพระครู ก็กลายเป็นวางกับกองของวัดจนได้ ถูกบังคับนี่นา...!
    พอ พุทธาภิเษกเสร็จ คราวนี้เกิดสงครามย่อย ๆ ขึ้นทันที ต่างคนต่างต้องการพระ เธอถุงฉันถุง ฉันยังไม่ได้นะ ขอฉันสองถุงซิ...แบงค์ห้าร้อยปลิวให้ว่อน อย่างกับเกิดการรบระหว่างอิรักกับคูเวตขึ้นกลางวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ไม่ปาน...!
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมตตาศิษย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ของดีของขลังของท่าน จึงมักตั้งราคาต่ำสุดไว้ก่อน เพื่อจะได้มีกันโดยทั่วถึง คราวนี้ก็เช่นกัน พระคำข้าวชุดนี้ตั้งราคาไว้องค์ละ ๑๐ บาทเหมือนเดิม (มาตรฐานวัดท่าซุง)
    พระ หนึ่งแสนองค์หมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน...! คิดว่าจะได้แจกจ่ายซักหลายปี กลับหมดลงแทบจะทันทีที่ปลุกเสกเสร็จ ราคาแพงขึ้นทันทีอย่างน่ากลัว ทันทีที่หมดก็มีคนให้องค์ละ ๑,๐๐๐ บาท เข้าไปแล้ว...! “หลวงพ่อ”ทราบดังนั้น จึงมีเมตตาเตือนว่า “อย่าไปซื้อเขาแพง ๆ เลยลูก มันหมดเปลืองโดยใช่เหตุ เอาไว้ในพรรษาหลวงพ่อจะทำให้ใหม่ อดใจรอหน่อยนะลูกนะ...” สาธุ...พระเดชพระคุณท่าน ช่างเมตตาเหลือประมาณ...
    อาตมา พอได้พระคำข้าวมา ก็ฝากแม่เบ็ญ(คุณเบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์) ให้ไปทำกรอบทองให้ ผลออกมาคือช่างฝีมือห่วยชะมัดเลย อาตมาแค่บ่นว่า “ไม่สวยเลยแม่...” เท่านั้นเอง พระที่พกไม่ถึงครึ่งวันปาฏิหาริย์อันตรธานไปเมื่อไรก็ไม่รู้...หาเท่าไรก็ ไม่เจอ...!
    ตั้งใจ กราบขอขมา บนหลวงพ่อสี่พระองค์ขอให้ได้พระคืน ก็ได้ดังใจไม่ทันข้ามวัน เพราะน้าเล็กเห็นอาตมานั่งหน้าเหี่ยวแล้วสงสาร เอาของตัวเองถวายอาตมาซะเลย องค์นี้ไม่หายแน่ ๆ เพราะสวยถูกใจ...แฮ่...แฮ่...
    พระ คำข้าวรุ่นนี้ มีอานุภาพคือ “ให้ลาภ ปลอดโรค ศัตรูพินาศ” คือถ้าเราเชื่อถือมั่นคงจริง ๆ หมั่นบูชาด้วยความเคารพ ลาภผลเงินทองจะไหลมาเทมา โดยเฉพาะขอจากงานที่ทำ มีหลายรายต้องขอให้เบาลง เพราะทำไม่ไหว...!
    ส่วน ด้านโรคภัยไข้เจ็บ อาราธนาบารมีท่านคุ้มครองป้องกันได้ หรือถ้าป่วยอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็หาย ศัตรูคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง ของแบบนี้พิสูจน์ซะก่อนแหละเป็นดี จะได้ไม่ว่าอาตมาโฆษณาชวนเชื่อสิ่งเหลวไหล...
    ด้าน ลาภผลเงินทอง อาตมาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะตั้งแต่ได้พระมา รับเงินเกินหมื่นหลายวาระด้วยกัน รายที่หนักที่สุด ช่วยใช้หนี้แทนทีหนึ่งห้าหมื่นบาท ที่ถวายเป็นทองรูปพรรณก็มี รวยไม่รู้เรื่องละคุณเอ๋ย...!
    ยัง ดีที่อาตมาใช้เงินเป็น พอรับมาก็หายวับไปกับตา ไม่ชอบให้คั่งค้าง ตอนนี้ก็กำลังมองงานใหญ่เอาไว้ ปลายปีนี้ได้ลุยแน่ และหลวงพ่อกำลังทำผลพระรุ่นใหม่อยู่ ได้ยินว่าปลายปีคงได้เช่นกัน เอาเถอะ...ญาติโยมรวย พระก็สบายไปด้วย...
    “หลวง พ่อ”บอกว่า “พวกคุณถ้าจะขอเรียนวิชานี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดอย่างไร เพราะตอนเสกคำข้าว “พระ” ท่านจะมาชี้เองว่าเอาข้าวตรงนี้ กับอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ รุ่งขึ้นเปลี่ยนอีกแล้ว บางทีเหมือนกันสิบกว่าวัน อ้าว...เปลี่ยนบทใหม่อีกแล้ว...”
    “ไม่ เป็นไรครับหลวงพ่อ...หลวงพ่อทำพระไว้เยอะ ๆ แล้วกัน ญาติโยมเขาคงกักตุนไว้เผื่อลูกเผื่อหลานของเขาเอง ในเมื่อต่างคนต่างมี ถึงสิ้นหลวงพ่อแล้ว ก็คงไม่เดือดร้อนถึงพวกผมที่จะต้องมาสร้างเองหรอกครับ...”
    “หลวง พ่อ” หัวเราะชอบใจบอกกับพระปลัดวิรัชว่างวดนี้ให้ทยอยทำไปเรื่อย ๆ “เอาซักห้าล้านองค์ดีไหมหว่า...?” หลวงพ่อถามแบบนี้ พระปลัดท่านถือว่าอนุญาตเลย มีหวังร้านรับพิมพ์พระหากินกับวัดท่าซุงวัดเดียวก็พอแล้ว...!
    ความ ปรารถนาของหลวงพ่อ คือ ต้องการให้ญาติโยมีความเป็นอยู่คล่องตัว คนเราพอไม่หนักใจในการดำรงชีวิต เขาก็มีแก่ใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเอง เงื่อนไขการใช้พระก็ต้องหมั่นสวดมนต์ – ไหว้พระ เท่ากับบังคับกันอยู่แล้ว...
    ใคร จะโจมตีว่าเครื่องรางของขลัง การเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากเป็นเดรัจฉานวิชา ก็โปรดดูอุบายแฝงที่ทำให้คนปฏิบัติความดีด้วย ถ้าท่านยังไม่ยอมเข้าใจ ก็เชิญท่านตามสบาย เพราะการหลับหูหลับตากัดเขาท่าเดียว ก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก...! หรือท่านผู้อ่านมีความเห็นว่าอย่างไร...? <o>:p</o>
    ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ<o>:p</o>


    [​IMG]


    ๗๒. พระสมเด็จหางหมาก
    <o>:p</o>
    “จะ ไหวหรือหลวงพี่...?” หัวหน้าชาติชายป่าไม้จอมเฮี้ยบ (ปัจจุบันคือพระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล) ถามขึ้นทั้งที่อ้าปากพะงาบ ๆ อย่างกับปลาติดแห้ง อาตมาเองก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใดนัก...
    “สิบ เอ็ดลูกเขาของบึงลับแลยังไม่เหนื่อยแทบขาดใจเหมือน ๓๐๐ เมตรของที่นี่...” แดง (มงคล จอมผา) ที่นอนแผ่หราทับเป้หลัง พูดพลางตอบพลาง อากาศแทบทุกอณูของที่นี่ แฝงไว้ด้วยแรงกดดันมหาศาล...
    พระ และฆราวาสเดนตายทั้งสาม เดินทางมาเพื่อจะพิสูจน์ว่า แร่ยูเรเนียมที่ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมตตาบอกไว้นั้น มันจะมีมากมายขนาดไหน แล้วก็สมใจนึกบางลำภู แค่ปากประตูก็แทบเอาชีวิตไม่รอดซะแล้ว...!
    ดู จากสภาพทั่วไปก็เป็นป่าธรรมดานี่เอง จะผิดจากที่อื่นก็ตรงแห้งแล้งกรอบเกรียมไปหมดเท่านั้น เนินเขาที่ต้องปีนก็เตี้ยนิดเดียว คะเนด้วยสายตาแล้วสูงไม่เกิน ๔๐๐ เมตร แบบนี้ก็หมูตายชัก...
    ใช่... เกือบจะตายชักจริง ๆ อากาศมันทั้งแน่นทั้งหนัก เดินเข้าไปคล้ายกับเดินสวนน้ำตกก็ไม่ปาน แต่ละคืบแต่ละศอกเหมือนทวนกระแสคลื่น ต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมดถึงตะเกียกตะกายเข้าไปได้ทีละนิด...
    ที่ ร้ายกาจที่สุดคือ เหมือนกับว่าอ๊อกซิเย่นในอากาศไม่มีเหลืออยู่เลย หายใจแทบสุดชีวิตได้อากาศไม่ถึงครึ่งปอด หน้ามืดวูบวาบ ไม่ทราบว่าจะหมดสติลงไปในวินาทีไหน จะหวังพึ่งใครก็ไม่ได้ ปางตายด้วยกันทั้งนั้น...!
    หลัง พิธีพุทธาภิเษกที่วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร “หลวงพ่อ” เมตตาเล่าให้ฟังว่า “สมเด็จองค์ปัจจุบัน เสด็จมาเป็นประธานเอง ระหว่างปลุกเสกมองไปเห็นสมเด็จหางหมากแต่ละองค์ เปล่งแสงสว่างจ้า ยิ่งกว่าดวงไฟ ๑๐๐ แรงเทียนซะอีก...”
    “สมเด็จ ท่านตรัสว่า อานุภาพของสมเด็จหางหมากนั้น รอบรัศมี ๔ เมตร กัมมัตภาพรังสีจะเข้าไม่ได้เลย ถ้าใช้ในการรบเพื่อประเทศชาติ คำว่าตายรับรองว่าไม่มี แต่ถ้าใครนำไปใช้ในทางที่ผิด จะถูกปืนที่แสกหน้าตาย...!”
    นี่ ขนาดกัมมันตภาพรังสีเข้าไม่ได้แล้วนะ ไม่ถึงครึ่งทางยังแทบตายเลย ถ้ามันเข้าได้ จะมีสภาพอย่างไรหนอ...? กัดฟันโซซัดโซเซต่อไป ตายก็ตายซิวะ...มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าถอยหลังก็เสียชื่อลูกหลวงพ่อหมด...!
    “หลวง ปู่...มีพระสมเด็จหางหมากเหลือบ้างมั้ยครับ...?” ผู้กองพงษ์เทพ (พ.ต.พงษ์เทพ พุ่มนิคม) ถามอาตมาที่เพิ่งกลับจากทำวัตรเย็น “โดนปล้นหมดตัวไปตั้งนานแล้ว ใจคอเอ็งจะปล้นซ้ำอีกเรอะ...?”
    “ผม เพิ่งกลับจากฝึกภาคสนาม เลยเอาพระของหลวงพ่อไปลองด้วย...” น่าน...เจริญล่ะเอ็ง... “แล้วผลเป็นอย่างไร...?” “ผมเอาพระผูกปากกระบอกเครื่องยิงลูกระเบิด ทั้ง ค.๖๐ ทั้ง ค.๘๑ ยิงไม่ออกทั้งนั้น...!” “ฮื้อ...ปืน ค.มันด้านออกจะบ่อยไป...”
    “มัน คงไม่ด้านทุกนัดหรอกครับ พอปืนค.ยิงไม่ออก เพื่อนผมใช้ปืนพกยิงเสียงดังเชียะ...ลูกปืนหล่นอยู่แค่ปากกระบอกนั่น แหละ...!” ผลก็คือพระสมเด็จรุ่นนี้ที่มีแค่หนึ่งแสนองค์ หมดเกลี้ยงในพริบตา และขึ้นราคาหูดับไปเลย...!
    “ไอ้ ก้องไปลองมาแล้วหลวงพี่...” แดงมารายงานให้ทราบ “ก้องมันยิงออกครับ แต่ยิงเท่าไรไม่ถูก ห่างองค์พระเป็นศอกทุกที...” อือม์...แบบนี้ค่อยน่าเชื่อถือหน่อย ไอ้เสือก้อง (ศุภฤกษ์ รัชฎาวงศ์) เชื่อมือได้ มันยิงตอกหัวตะปูได้เลย...!
    ใน งานเป่ายันต์เกราะเพชร ครั้งที่ ๑๖ คุณธนาวุธ เลิศศิริจินดา เอาภาพ พระสมเด็จหางหมาก และ สมเด็จคำข้าว ที่ขึ้นพระธาตุทั้งองค์มาโชว์ให้ดู เป็นที่ฮือฮากันมากเพราะไม่ใช่ของที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ...
    เป็นว่า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้เป็นพระธาตุ เพื่อรับรองมรรคผลของหลวงพ่อ ปรากฏครบ ๓ สิ่งแล้ว คือ
    ๑. ชานหมากของหลวงพ่อ
    ๒. เกศาของหลวงพ่อ
    ๓. วัตถุมงคลของหลวงพ่อ

    “สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ สังฆัง นมามิ” <o>:p</o>
    ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ<o>:p</o>

    ภาพ ประกอบ ทั้งหลาย ผมเอามาจาก ในเวปนี้ ซึ่งมี เจ้าของหลายท่านด้วย กัน ขออนุญาติ นะครับ เพื่อ เทอดบารมี ครูบาอาจารย์ และเป็น ธรรมทาน ร่วมกัน ... ขอบคุณครับ
     
  16. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    อุปกรณ์ฉุกเฉินติดรถยนต์

    เพราะเหตุฉุกเฉินกับรถยนต์อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอขณะที่เราเดินทาง ไม่ว่ารถของคุณจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือจะเป็นรถมือสองก็ตาม เพราะรถมีเรื่องให้เกิดปัญหาได้สารพัด ไล่ตั้งแต่ยาง เครื่องยนต์ กลไก หรือแม้แต่น้ำมันหมดกลางทาง ซึ่งเบาที่สุดก็แค่สร้างความรำคาญให้เท่านั้น แต่ถ้าแย่ที่สุดอาจทำให้ความปลอดภัยน้อยลง รถใช้การไม่ได้ ต้องเสียเงินเสียทองในการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ต่างๆ

    วันนี้จะมานำเสนอแนวทางการเตรียมพร้อมไว้ก่อน ด้วยอุปกรณ์ติดรถยนต์ที่ “ทุกคันต้องมี” ซึ่งต้องมีติดรถไว้ยามฉุกเฉิน โดยรถยนต์ใหม่ๆ ในปัจจุบันก็มักจะมีให้พร้อมอยู่แล้ว ทั้งนั้นทั้งนี้เพื่อความมั่นใจในการขับขี่ปลอดภัย และใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเกี่ยวกับรถยนต์ของคุณเพื่อให้คุณเดินทางต่อไปได้

    แม่แรง ประแจขันล้อ และยางอะไหล่ - รถยนต์ทุกคันจะมีชุดอุปกรณ์ในการเปลี่ยนล้อติดมาให้ทั้งนั้น (หากคุณซื้อรถมือสองมา ก็ให้ตรวจสอบด้วยว่ามีอุปกรณ์ติดรถยนต์นี้ให้มาครบด้วยหรือไม่) ให้ดูจากคู่มือถึงตำแหน่งที่เก็บและวิธีการใช้งานเบื้องต้น ถ้าเป็นรุ่นทีใช้ยางรถยนต์แบบ Run Flat จะไม่มียางอะไหล่ให้ เพราะยาง Run Flat สามารถใช้งานวิ่งต่อได้ (มีข้อแม้ว่าต้องไม่เกินระยะทางที่กำหนด เพื่อทำการเปลี่ยนยางใหม่) แม้จะไม่มีลม เพราะยางรถยนต์ประเภทนี้จะมีโครงสร้างแก้มยางที่แข็งกว่าปกติ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุยางแบนโดยเฉพาะ


    เกจวัดแรงดันลมยาง - ควรมีติดรถยนต์ไว้เสมอ และใช้วัดเดือนละครั้ง หรือทุกครั้งหลังมีการเปลี่ยนอุณหภูมิภายนอกมาก เพราะลมยางจะลดลงประมาณ 2-3 ปอนด์ต่อเดือน อย่าลืมว่าต้องวัดขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ และเติมที่ยางอะไหล่ของรถคุณด้วย


    ฟิวส์สำรอง – ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟในรถยนต์ไม่ว่าส่วนไหนก็ตาม อย่างแรกที่สามารถตรวจสอบได้ทันทีและง่ายก็คือ ตรวจที่กล่องฟิวส์ ดูตำแหน่งฟิวส์ของอุปกรณ์ที่มีปัญหาตามที่ระบุจากตารางในคู่มือรถยนต์ หรือที่หลังกล่องฟิวส์ ถ้าพบว่าฟิวส์ขาด ก็สามารถแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนฟิวส์สำรองทดแทนไปก่อน โดยในกล่องจะมีตำแหน่งบอกฟิวส์สำรอง ด้วย


    สายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ – ควรมีติดรถยนต์ไว้ตลอดการเดินทาง แม้แบตเตอรี่ของรถจะยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ เพราะโอกาสที่แบตเตอรี่รถยนต์จะมีปัญหาระหว่างการเดินทางก็ยังคงมีความเป็น ไปได้ ขณะเดียวกันก็อาจเป็นฝ่ายให้ความช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย


    ชุดปฐมพยาบาล - เลือกใช้แบบทั่วไปเพื่อกรณีอย่าง รอยแผลบาด โดนของร้อน เคล็ดฟกช้ำ และควรมีผ้าพันแผลไว้ด้วย


    กระป๋องดับเพลิง - ไฟอาจเกิดขึ้นได้กับรถด้วยสาเหตุง่ายๆอย่าง สายไฟช็อต หรือ น้ำมันรั่ว ทันทีที่เกิดเปลวไฟขึ้นกับรถยนต์ของคุณ ให้รีบออกจากรถโดยเร็วที่สุด ส่วนการใช้กระป๋องดับเพลิงนั้น จะใช้กับกรณีที่เป็นเปลวไฟเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มก่อตัว กระป๋องดับเพลิงจะช่วยดับและลดความเสียหายได้ แต่ถ้าเกิดเป็นเปลวไฟขนาดใหญ่ กระป๋องดับเพลิงอาจไม่เพียงพอ ควรพาตัวเองออกจากรถให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยกระป๋องดับเพลิง หาซื้อได้ตามแผนกอุปกรณ์รถยนต์ หรือร้านประดับยนต์ตามห้างทั่วไป อย่าลืมทำความเข้าใจวิธีการใช้งานก่อนด้วย


    ไฟเตือนระวัง - เป็นอุปกรณ์ที่ควรมีติดรถไว้ในกรณีที่รถยนต์ของคุณเกิดมีปัญหาต้องจอดข้าง ทาง เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องแสดงให้ผู้ใช้รถยนต์คนอื่นๆเห็นและระวัง โดยเฉพาะเวลากลางคืน นอกจากเปิดไฟฉุกเฉินที่รถแล้ว เราอาจะใช้ไฟเตือนระวังวางไว้บนหลังคา (แต่ต้องใช้แบตเตอรี่) ซึ่งผู้ใช้รถยนต์คันอื่นจะสามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ระยะไกล หรือถ้าไม่มีก็อาจใช้อุปกรณ์สามเหลี่ยมสะท้อนแสงบอกตำแหน่งแทน
    นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะมีการตรวจเช็คอุปกรณ์ติดรถยนต์ต่างๆ ให้แน่ใจ ว่าอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้เช่น ยางอะไหล่รถยนต์ มีลมเพียงพอหรือไม่ , ชุดปฐมพยาบาล ยังมียาและอุปกรณ์ใช้งานได้ไม่หมดอายุหรือเปล่า, แม่แรงและเครื่องมือประจำรถยนต์อื่นๆ อยู่ครบถ้วนหรือไม่ และควรทำความคุ้นเคยในการใช้อุปกรณ์ด้วย


    ถุงมือ ครีมทำความสะอาด และผ้าสะอาด – ต่อให้เป็นงานที่ง่ายที่สุดในการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษารถยนต์ ก็ยังทำให้มือของท่านเปื้อนได้เช่นกัน ด้วยอุปกรณ์เหล่านี้ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้มือที่เลอะของท่านไปโดนเสื้อผ้า เบาะ หรืออุปกรณ์ภายในรถยนต์ ซึ่งยากต่อการทำความสะอาด


    บัตรสมาชิกหรือเอกสาร Roadside Assistance - ที่สมัครเอาไว้ ให้เก็บไว้ในรถยนต์หรือกระเป๋าสตางค์เพื่อความสะดวกในการติดต่อใช้บริการเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทุกครั้ง


    กล้องดิจิตอล หรือกล้องจากโทรศัพท์มือถือ – เมื่อเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์ เราสามารถใช้กล้องบันทึกภาพและเสียงได้เอง เพื่อไว้เป็นหลักฐาน หรือประโยชน์ต่อการเอาประกันภัย


    โฟมปะยาง และเครื่องเติมลมไฟฟ้าแบบพกพา – เป็นอุปกรณ์ที่ควรซื้อติดรถยนต์ไว้ (สำหรับคนที่อาจจะขี้เกียจเปลี่ยนยางอะไหล่) สำหรับรอยรั่วเล็กน้อยบนยาง โฟมที่ว่านี้จะสามารถเข้าไปอุดรูรั่วเพื่อให้สามารถใช้งานยางรถยนต์ต่อไปได้ แต่ใช้งานเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น หลังจากที่หาร้านยางรถยนต์ได้ให้รีบทำการแก้ไข อย่างไรก็ตามร้านยางทั่วไปจะไม่ปะยางที่ได้รับการยิงโฟมอุดรั่วมาเพราะว่า ข้างในยางจะเต็มไปด้วยคราบเหนียวของโฟม อย่าลืมว่าโฟมใช้เพื่อการใช้งานแบบชั่วคราวเท่านั้น นอกจากโฟมอุดรั่ว เราอาจใช้เครื่องเติมลมไฟฟ้าแบบพกพาได้ แต่ก็จะทำได้แค่ประวิงเวลาสำหรับรอยรั่วเล็กๆเท่านั้น


    กระดาษและปากกา – หลายคนมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป แต่จริงๆ เราใช้ประโยชน์จากมันได้หลากหลาย เช่นเขียนโน้ตเหน็บไว้ที่กระจกหน้ารถยนต์ เป็นต้น


    GPS (Global Positioning System) – เมื่อต้องเดินทางไปในที่ใหม่ๆ หรือสถานที่ไม่คุ้นเคย การมีเครื่อง GPS ติดรถยนต์ไปด้วยจะช่วยในเรื่องการบอกพิกัดของตำแหน่งที่อยู่ และที่ๆ จะไปได้อย่างชัดเจนและง่ายขึ้น
    และเมื่อต้องเดินทางไกลควรตรวจสอบว่าโทรศัพท์มีแบตเตอรี่เพียงพอต่อการ ใช้งานไป ตลอดการเดินทางๆ รถยนต์หรือไม่ เพื่อการโทรขอความช่วยเหลือยามเกิดเหตุฉุกเฉินโดยเฉพาะเวลาอยู่ในพื้นที่ เปลี่ยว และควรบันทึกเบอร์โทรศัพท์สำคัญเช่นของสถานีตำรวจท้องที่ ตำรวจทางหลวง (1193), 191, และจส.100 (0-2711-9160-2) เอาไว้ด้วย

    [​IMG]
     
  17. Windsong

    Windsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +293
    ขอเสริมเพิ่มเติมครับ ว่า ควรจะมีเสื้อชูชีพ สำหรับน้ำหนัก และ จำนวนคน
    ของบุคคลในครอบครัว ติดไว้กับรถยนต์ตลอด เผื่อกรณีฉุกเฉินที่จะต้อง
    ทิ้งรถในกรณีที่เจอ น้ำหลาก หรือน้ำท่วม พร้อมเชือก กับ นกหวีด
    ไฟฉายเลเซอร์ สำหรับส่องขอความช่วยเหลือ ได้ทั้งเวลากลางวันและ
    กลางคืน

    นอกจากนี้ในรถควรจะเตรียมเสบียงชุดยังชีพ ไม่ว่า น้ำ หรือ อาหารแห้ง
    ไว้สำหรับสมาชิกในครอบครัวให้ได้สัก 7 วัน พร้อมน้ำมันสำรอง
    เผื่อฉุกเฉินที่จะเอาอะไรไปไม่ทัน นอกจากของที่ใส่ไว้ในรถแล้ว
    นอกนั้น ไปปรับแผนลุยเอาข้างหน้า จนกว่าจะถึงที่หมายที่กำหนดไว้

    สำหรับผมก็แยกจัดเป็น 2 ชุด ชุดเคลื่อนที่เร็ว ก็จะคล้ายๆกับที่คุณ KONGp
    ได้แนะนำ กับที่ผมได้เพิ่มเติม ติดรถยนต์ 4 WD ไว้ตลอด

    อีกชุดก็จะเป็นเสบียงชุดใหญ่สำหรับอยู่บ้านได้ประมาณ 3 เดือน สำรองไว้
    ที่บ้านกรณีฉุกเฉิน เช่นที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งจะทำให้เราไม่กระทบ
    มากนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รอดูสถานการณ์ในที่ตั้ง พร้อมด้วย
    ลูกซอง 5 นัด Remington กับ .38 ติดตัวไว้ป้องกันครอบครัว
    กับวิทยุสื่อสารเพื่อติดตามสถานะการณ์อย่างใกล้ชิด ยามเกิดจลาจล
    หรือต้องเดินทางคลื่นที่เร็วด้วยรถยนต์ออกจากบ้านทันที ภายใน 2 ช.ม.
    หากเกิดภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์ใดๆ ที่ไม่พึงประสงค์ ตามเส้นทางที่ได้
    สำรวจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการจราจร และจลาจล ที่ติดขัด
    เพื่อให้เกิดความเสี่ยงต่อครอบครัว น้อยที่สุด จนกว่าจะเดินทางถึง
    บ้านพักสำรอง ที่สร้างไว้ที่ ต่างจังหวัดแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2010
  18. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    ผมก็จะเตรียมคล้ายๆ กันนี่ล่ะครับ พยายามเตรียม หาทางออก ให้เราทุกช่องทาง ทั้งรถยนต์ ทั้งบ้านสำรอง ชุดเล็กๆ สำหรับชีวิตประจำวันที่ต้องไปนั่นไปนี่

    แต่ผมจะเน้นเตรียม "การเดินด้วยเท้า" มากกว่าครับ เพราะว่าผมอาศัยใน กทม. และ แถวที่ผมอยู่รถติดมาก ผมกลัวว่า ทุกคนจะแห่กันหนี เหมือนตามภาพยนต์ และจะไปไหนไม่ได้ รถจะติดมากครับ

    วันก่อน ที่มีเคอร์ฟิว ผมได้รับโทรศัพท์จากพ่อผม บอกว่า "ห้ามออกไปไหน เด็ดขาด โดยเฉพาะ ขับรถไปที่อื่น หากสถานการณ์นั้นรุนแรง (ตอนที่มี คนเผาบ้านเผาเมือง) ห้ามไปเด็ดขาด อาจจะถูกยึดรถได้ เพราะอันธพาล มันเยอะ" ลองนึกถึงเรื่อง "War of the world" ครับ แต่การเดินเท้า ก็คิดว่า ก็อาจจะเจอ ผู้ที่มาทำร้ายเราได้ แต่โอกาสการหนีรอด น่าจะทำได้ดีกว่า ต้องเจอปัญหารถติด ครับ

    ตัวอย่างเหตุการณ์เผาเมือง มันมีอะไรให้นึกออกเยอะครับ อย่างเช่น คนโดยส่วนใหญ่ตื่นตระหนกแค่ไหน แห่กันไปซื้อของ ตามห้างสรรพสินค้า 7-11 หาที่จอดยาก รถก็ติด ขนาด กทม.ชั้นนอก ยังติดเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเตรียมไว้นานแล้วครับ

    แต่ก็ใช่ว่า จะเตรียมไม่ได้ ก็เตรียมอยู่ครับ เผื่อไว้ไม่เสียหายอะไร จริงไหมครับ
     
  19. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    ผมจัดชุดอุปกรณ์เป็นแบบแพ็คในเป้สนาม 2 ใบมีเสื้อผ้า ยารักษาโรค ผ้าไนล่อนกันฝน เชือก มีดเดินป่า หม้อข้าวสนาม เตาสนาม ไฟฉาย เปลไนล่อน ถุงนอน นอกนั้นแพ็คในกระเป๋าใบใหญ่ มีเต็นท์ ตะเกียงรั้ว ขวาน มีดสปาต้า อุปกรณ์ชุดใหญ่ เมื่อมีเวลาเตรียมการก็โยนขึ้นรถพร้อมถังน้ำมันสำรอง 30 ลิตร มีเป้าแรกที่ อยุธยาบ้านญาติ ถ้าเหตุการณ์รุนแรงมากรุกลามไปทางอยุธยา ก็เคลื่อนย้ายไปเป้าหมายต่อไป ก็ จ.พิจิตร และถ้าเหตุการณ์รุกลามไปถึง จ.พิจิตรก็คงต้องไป จ.ชัยภูมิ ถ้ำวัวแดง ขอบารมีพระท่านเป็นที่พึ่ง
    มีนักวิเคราะห์ต่างประเทศ บอกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่จุดจบ แต่มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้น CIVIL WAR
     
  20. Windsong

    Windsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +293
    สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่กำลังจะตามมาหลังจาก
    การเกิดภัยพิบัติไม่ว่ากรณีใดๆ ต่างหากน่ากังวลกว่า จากตัวอย่างเหตุการณ์
    ที่เกิดขึ้นที่เฮติ และอีกหลายๆประเทศ ที่ตามมา ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
    นั้นคือ การจลาจล สภาพของเมืองที่เกิดสูญญากาศ ไร้กฎหมายชั่วคราว
    เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่มีเวลามาดูแล
    ความปลอดภัยของประชาชน ทุกคนก็ต้องป้องกันและพึ่งตนเอง
    จุดนี้จึงทำให้เป็นความเสี่ยงสำหรับผู้ที่เตรียมการไว้ว่าจะต้องฉุกคิดอย่างไร
    เพื่อให้ ครอบครัว หรือ ตนเอง อยู่ได้ในสภาพอาณาธิปไตยในขณะนั้น
    ซึ่งหากสภาพในเมืองลุกลามเกินจะเอาอยู่ ทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ
    ต้องพาครอบครัว และ ตัวเอง ออกจากเมืองให้เร็วที่สุด หลีกเลี่ยงจาก
    ที่สุ่มเสี่ยงในชุมชนเมืองที่จะเป็นเป้าจาก กลุ่มผู้ไม่หวังดี ทั้งการแย่งชิง
    ทรัพยากรในการยังชีพที่มีอยู่อย่างจำกัดในเวลานั้น ไม้เว้นแม้กระทั่ง
    การประทุษร้ายปล้นสะดมภ์ ต่อชีวิต...นี่ละครับ สิ่งที่ไม่น่าคิด แต่ก็ต้อง
    คิดไว้ในใจว่าจะเตรียมรับมืออย่างไร ..


    อยู่ด้วยความไม่ประมาท..ไม่ว่าในทางโลก หรือ ทางธรรม..
     

แชร์หน้านี้

Loading...