พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิดินถวายวัดบ่อเงินบ่อทองบัญชีของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บัญชีออมทรัพย์ 203-0-06304-5 ชื่อบัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาพนมสารคาม

    ยังมีพระพิมพ์ให้บูชาอยู่นะครับ

    2. พระพิมพ์สมเด็จวังหน้า เนื้อพระธาตุ อายุประมาณ 130 กว่าปี ขนาดประมาณ 2.4 x 3.7 ซม มวลสารผสมกับเครื่องหอมอย่างดี ทำให้ยังมีกลิ่นหอม
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
    พระสมเด็จเนื้อพระธาตุนั้น นอกจากมีพระธาตุพระสาวก(ซึ่งมีฤทธิ์พอๆกับพระโมคลานะในพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ในพระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 ของกัปล์นี้

    ซึ่งพระพุทธเจ้าในกัล์ปปัจจุบันมี 5 พระองค์คือ
    1. พระกกุสันธะ
    2. โกนาคมนะ
    3. กัสสปะ
    4. โคตมะ(องค์ปัจจุบัน)
    5. อาริยเมตไตรยะ(องค์ต่อไป)


    ยังมีพระธาตุของสาวกองค์อื่นๆด้วยแต่ไม่ทราบว่าพระสาวกท่านชื่ออะไร เพราะท่านไม่บอกชื่อครับ

    ข้อควรระวัง
    1.ให้ระวังพระธาตุหลุดจากองค์พระแล้วหล่นลงพื้น ผู้ที่ทำหล่นแล้วไม่ทราบว่าทำหล่น เกิดมีผู้ไปเหยียบ ผู้ที่ทำหล่นและผู้เหยียบ จะเป็นกรรมหนักนะครับ
    2.ห้ามเข้าสถานที่อโคจรโดยเด็ดขาด

    ในพระสมเด็จเนื้อพระธาตุนั้น หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) ท่านมาเสกให้ด้วยครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    เหลือจำนวน 17 องค์ องค์ละ 2,500 บาท
    (บริจาคโดย คุณ sithiphong จำนวน 20 องค์)



    3. พระพิมพ์สมเด็จวังหน้าเนื้อผงยาวาสนา อายุประมาณ 130 กว่าปี ขนาดประมาณ 2.4 x 3.7 ซม มวลสารเป็นผงยาวาสนาทั้งองค์ คราบสีขาวเกิดจากตัวยาในเนื้อพระคลายตัวออกมา

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์
    ถีงคุณสิทธิพงษ์ และพี่น้องบ่อเงินบ่อทอง
    ช่วยเก็บพระเนื้อผงยาสีน้ำตาลที่คุณสิทธิพงษ์นำออกมาให้บูชา ไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลานด้วย นำพระของ อ.ประถมให้ฌาณลาภีบุคคลท่านนึงตรวจเรียงความแรงได้ดังนี้ (กระแสความแรงจากน้อยไปมาก)
    1.พระเนื้อกระเบื้องสีน้ำตาลที่มอบให้วัดบ่อเงินบ่อทอง
    2.พระวัดระฆัง เพดานโบสถ์วัดพระแก้ว
    3.พระเนื้อผงยา

    โดยผู้ตรวจ เมื่อตรวจพระองค์ที่ 3 ถึงกับสะดุ้ง อุทานว่า พระอะไรแรงยังงี้ วางที่ฝ่ามือ กระแสวิ่งปรู๊ด ถึงหน้าผากทันที เมื่อตรวจ กระแส พบว่าเป็นสี ม่วง คราม น้ำเงิน แดง ทอง ครบ แต่องค์ที่ 1 สีแดงอย่างเดียวแต่มีแรงกระแสต่อเนื่องมาเหมือนเข็มทิ่มมือตลอด (สงสัยต้องไปเอาที่ท่าน อ.แผนเพิ่มสำหรับแจกหลานๆ อีกหลายองค์) องค์ที่ 2 ก็ยังแปลกใจว่าทำไมรังสีเป็นสีทอง ทำไมไม่เป็นสีแดง เพราะองค์ผู้เสกคือเจ้าประคุณสมเด็จฯ องค์เดียว สงสัยถ้าเจอ อ.ประถมคราวนี้ ต้องถามว่าพระสกุลบุนนาคชุดนี้ หลวงปู่องค์ที่ 1 ได้ร่วมเสกหรือเปล่า เพระเป็นรังสีสีทอง กลบสีแดงหมด ส่วนเนื้อผงยา ต้องถามคุณสิทธิพงษ์ว่า น่าจะเสกครบทั้ง 5 องค์มั๊ง เพราะคนตรวจยืนยันว่า รังสีครบ (ตอนตรวจ ผมนั่งเฉย ขอฟังอย่างเดียว กับตรวจรังสีได้ตรงกับรังสีประจำตัวของหลวงปู่ และเจ้าประคุณสมเด็จฯ จริงแฮะ หรือคุณสิทธิพงษ์ ว่าไงครับ)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
    พระสมเด็จเนื้อยงยาวาสนานั้น ชุดที่ผมนำมาให้ร่วมทำบุญนั้น หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้ง 5 องค์ (1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4.หลวงปู่พระณาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน) ร่วมกันเสกครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [​IMG]
    เหลือจำนวน 17 องค์ องค์ละ 2,000 บาท
    (บริจาคโดย คุณ sithiphong 5 องค์, คุณ guawn 15 องค์, นักเดินทาง 10 องค์)


    <เพิ่มเติม 30 ส.ค. 49>

    4. พระพิมพ์สมเด็จวังหน้าเนื้อผงยาวาสนาคะแนนร้อยแบบธรรมดา คำว่าคะแนนร้อยหมายความว่าองค์ที่ 100 คือเมื่อช่างกดพิมพ์ถึงองค์ที่ 100 จะใช้พิมพ์ที่ด้านบนมน เพื่อใช้ในการนับจำนวนพระ นั่นก็คือพระคะแนนจะมีน้อยกว่าแบบธรรมดา 1:99 อย่างอื่นเหมือนพิมพ์ธรรมดาทุกประการ
    [​IMG]
    เหลือจำนวน 5 องค์ องค์ละ 2,200 บาท

    5. พระพิมพ์สมเด็จวังหน้าเนื้อผงยาวาสนาคะแนนร้อยแบบขอบชิดซุ้ม คำว่าคะแนนร้อยหมายความว่าองค์ที่ 100 คือเมื่อช่างกดพิมพ์ถึงองค์ที่ 100 จะใช้พิมพ์ที่ด้านบนมน เพื่อใช้ในการนับจำนวนพระ นั่นก็คือพระคะแนนจะมีน้อยกว่าแบบธรรมดา 1:99 อย่างอื่นเหมือนพิมพ์ธรรมดาทุกประการ
    [​IMG]
    เหลือจำนวน 5 องค์ องค์ละ 2,200 บาท


    การบริจาค
    บริจาคโดยโอนเงินเข้าบัญชีต่อไปนี้

    หมายเลขบัญชีเพื่อรับบริจาค
    พระมหาแผน ฐิติธัมโม 01-9408541
    สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง
    ประเภทบัญชี : ออมทรัพย์
    หมายเลขบัญชี : 203-0-06304-5
    ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม
    ชื่อบัญชี : ร.ร.ปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ส่วนกระทู้ เรื่องราววัดภูเหล่าเงินฮาง จ.อุบล กับการสร้างองค์ปฐม สมปราถนาได้ทันใจ&กฐิน14-15 ตค.49 ชื่อบัญชี พระอ่อนสา ฐิติคุโณ ธนาคาร กรุงเทพฯ จำกัด สาขา กิโลศูนย์ เลขบัญชี 340-4-11629-9


    ยังมีพระพิมพ์ให้บูชาอีกนะครับ

    จากกระทู้เรื่องราววัดภูเหล่าเงินฮาง จ.อุบล กับการสร้างองค์ปฐม สมปราถนาได้ทันใจ

    มีพระของหลวงปู่เทพโลกอุดรให้บูชาด้วยครับ

    พระสมเด็จเนื้อผงยาจินดามณีคะแนนร้อย แบบขอบชิดซุ้ม (สีดำ) 17 องค์ๆละ 2,200 บาท (เฉพาะพระพิมพ์นี้ คุณนักเดินทางจะเป็นผู้จัดส่ง โดยแจ้งความประสงค์ผ่านทางกระทู้ได้)
    [​IMG]

    พระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนา 8 องค์ๆละ 2,000 บาท
    [​IMG]



    พระพิมพ์ไกเซอร์เล็ก 2 องค์ๆละ 500 บาท
    [​IMG]

    มีแจกพระบรมสารีริกธาตุให้กับผู้ทำบุญกับวัดภูเหล่าเงินฮางทุกท่าน ท่านละ 15 องค์
    [​IMG]


    ขออนุโมทนาบุญทุกท่านด้วยครับ

    .<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post335376 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="FONT-WEIGHT: normal">วันนี้, 04:19 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>NoOTa<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_335376", true); </SCRIPT>
    Super Moderator (หนูตา)
    สมาชิกยอดนิยม

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 07:08 AM
    วันที่สมัคร: Jun 2005
    สถานที่: ไกลปืนเที่ยง
    ข้อความ: 9,466 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 6,129
    Thanked 10,894 Times in 3,459 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2226[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_335376><!-- icon and title -->อาถรรพณ์ฮวงจุ้ย'วังหน้า'
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->

    อาถรรพณ์ฮวงจุ้ย "วังหน้า"
    โดย สายทิพย์

    "อาถรรพณ์" จากความมหัศจรรย์ของสถานที่หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งในสิ่งลี้ลับที่ผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย ในเรื่องของอาถรรพณ์อันเกี่ยวกับฮวงจุ้ย มีสถานที่หนึ่งของเมืองไทยที่ผู้เขียนได้ไปค้นหาและนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังที่นั่นคือ ศาลเจ้าพ่อสิงโตทอง ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เป็นศาลคอนกรีตขนาดกลาง ภายในเป็นที่ตั้งของสิงโตหิน ศิลปะแบบจีน เหมือนตุ๊กตาหินจีนที่ตั้งอยู่ตามวัดพระเชตุพนฯ หรือวัดอรุณราชวรารามเพียงต่างกันที่สิงโตหินตัวนี้ได้ผ่านพิธีการทางไสยศาสตร์ปลุกเสกลงยันต์เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ บันดาลอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
    มีเรื่องเล่าเมื่อหลายสิบปีก่อนถึงความศักดิ์สิทธิ์ของ เจ้าพ่อสิงโตทอง ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนี้ว่ามีอภินิหารนัก ทุกปีจะต้องมีเด็กจมน้ำตายสังเวยเจ้าพ่อไม่ต่ำกว่า 1 คน ชาวบ้านแถวริมน้ำเจ้าพระยาเชื่อกันว่า ท่านต้องการเอาตัวไปเป็นบริวาร ความเป็นมาของ สิงโตหินนี้เป็นอย่างไรมาตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าแก่โบร่ำโบราณ ที่ปัจจุบันไม่ใคร่จะมีใครรู้ประวัติ หรือจำรายละเอียดในที่มาของสิงโตหินตัวนี้ได้
    คนเก่าแก่ละแวกริมแม่น้ำเจ้าพระยา เล่าว่าความจริงแล้วสิงโตหินที่เห็นนี้เป็นหนึ่งในสามของสิงโตหินที่จมอยู่ใต้แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางกอกน้อย แต่ได้ถูกนำขึ้นมาสักการะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 ตัว โดยสิงโตหินที่อยู่ใต้น้ำอีก 2 ตัวนั้น ตัวหนึ่งมีขนาดเท่ากับสิงโตหินในธรรมศาสตร์ แต่อีกตัวมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นแม่สิงโตกับลูกสิงโต 2 ตัว จึงมีเรื่องเล่าลือกันว่าเคยมีคนได้ยินเสียงร้องของสิงโตตัวลูกในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร้องหาแม่สิงโตและสิงโตตัวเล็กอีกตัวที่อยู่ใต้น้ำ ความที่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้คนเห็นอยู่บ่อยๆ จึงต้องทำการสร้างศาลให้โดยเรียกศาลนี้ว่า ศาลเจ้าพ่อสิงโตทอง เพื่อให้ชาวธรรมศาสตร์และประชาชนที่สัญจรไปมาทางน้ำหรือผู้ประกอบอาชีพในแม่น้ำเจ้าพระยาได้มาสักการะขอความคุ้มครองให้ปลอดภัยหรือบนบานขอในเรื่องอื่น
    ว่ากันว่าสิงโตหินทั้ง 3 ตัวนี้ ใช้แก้อาถรรพณ์ฮวงจุ้ยของ วังหน้า ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งวังหน้าในสมัยรัตนโกสินทร์นั้นมี
    1. กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชาในรัชกาลที่ 1
    2. กรมพระราชวังบวรมหาเสนารักษ์ พระอนุชาในรัชกาลที่ 2
    3. กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพ พระปิตุลาในรัชกาลที่ 3
    4. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอนุชาในรัชกาลที่ 4
    5. กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ตำแหน่ง วังหน้า มีความสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ด้วยความที่มีอำนาจราชศักดิ์รองลงมาจากพระมหากษัตริย์ ที่ตั้งของ วังหน้า จะอยู่ไม่ไกลจาก วังหลัง ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินนักซึ่งในอดีตวังหลวงนั้นอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับวัดพระแก้ว วังหน้าหรือตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ถูกยกเลิกลงในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ.2430 และเมื่อพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าไม่ได้ใช้ประโยชน์ รัชกาลที่ 5 จึงโปรดฯพระราชทานให้เป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมาจนถึงปัจจุบัน
    สำหรับ วังหน้า ที่เกี่ยวข้องกับสิงโตหินจีนทั้ง 3 ตัว นี้ก็คือ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ ซึ่งเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่าในสมัยที่ กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพ ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้มีผู้กราบบังคมทูลว่า พระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรสถานมงคลนั้นอยู่ตรงกับปากคลองบางกอกน้อยและเป็นปากทาง 3 แพร่ง ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยในตำราจีนถือว่าไม่ดีจะมีแต่เรื่องวุ่นวาย ต้องแก้เคล็ดโดยทำรูปสิงโตคาบกั้นหยั่นไปติดไว้ที่ริมน้ำหันหน้าไปสู่ปากคลองเพื่อต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามาในพระราชวัง
    ซึ่งเครื่องรางรูปสิงโตคาบกั้นหยั่นของจีนนี้ นับแต่ครั้งโบราณถึงปัจจุบันก็เป็นที่นิยมใช้สำหรับแก้อาถรรพณ์ฮวงจุ้ยของสถานที่อยู่อาศัย หรือที่ทำงาน โดยคนจีนถือว่าเป็นเครื่องรางของขลังสำหรับปราบมาร หรือสิ่งไม่ดี ให้ออกไปและบันดาลโชคลาภมาให้ จึงนิยมหามาติดไว้โดยเฉพาะหน้าบ้านหรือที่ทำงานที่อยู่ใกล้ทาง 3 แพร่ง หรือมีบ้านที่หน้าจั่วบ้านอื่นหันมาตรงกับบ้านเรา บ้านที่มีเสาไฟฟ้าตรงกับหน้าบ้านและบ้านที่มีเจ้าที่เจ้าทางแรง เป็นต้น
    ส่วนอาถรรพณ์ภายในวังหน้าเมื่อมีผู้กราบบังคมทูล เช่นนั้น กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพ ทรงเห็นว่าหากนำป้ายรูปสิงโตคาบกั้นหยั่นไปติดไว้จะไม่เหมาะสม พระองค์จึงได้สั่งให้นำสิงโตหินมาจากเมืองจีน 3 ตัว เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์มีการปลุกเสกและลงยันต์ ทำพิธีตามธรรมเนียมจีน เสร็จแล้วจึงนำลงไปไว้ในแม่น้ำเจ้าพระยาหันหน้าตรงปากคลองบางกอกน้อย (บางข้อมูลก็ว่านำไปตั้งไว้ริมน้ำเจ้าพระยา แต่ต่อมาถูกกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งลงไปเรื่อยๆ สิงโตทั้งสามจึงร่วงหล่นไปอยู่ใต้น้ำ) กระทั่งต่อมาได้มีผู้นำสิงโตตัวเล็ก 1 ใน 2 ตัว ขึ้นมาตั้งไว้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสร้างศาลให้เป็นที่สักการะบูชา ส่วนสิงโตตัวใหญ่และตัวเล็กอีก 1 ตัว นั้นได้มีนักประดาน้ำดำลงไปดูยังเห็นว่าคงอยู่ในตำแหน่งเดิม เพียงแต่มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่หนาเตอะ
    นี่ก็เป็นที่มาของการแก้อาถรรพณ์ในรั้ววัง ซึ่งทำให้รู้ว่าในสมัยโบราณผู้คนและเจ้านายในยุคนั้นก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย หลักฐานนั้นก็ยังมีให้เห็นอยู่ทุกวันนี้[​IMG]



    ที่มา: นิตยสารหญิงไทย
    ฉบับที่ 744 ปีที่ 31 ปักษ์แรก เดือนตุลาคม พ.ศ. 2549

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    คุณปลัดพินิจ ศิริยุทธ แจ้งว่าต้องการห้องสุขาเคลื่อนที่สำหรับวันงาน"บุญคุณแผ่นดิน" ใครสามารถจัดหาได้รบกวนด้วยครับ



    .
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมขอกราบขอบพระคุณหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร และกราบขอบคุณท่านผู้ร่วมบริจาคบูชาพระพิมพ์จากผมไปทุกๆท่าน,ทีมงานเว็บไซด์พลังจิต เนื่องจากว่าถ้าไม่มีบารมีหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรและทุกๆท่านผู้ร่วมบริจาคเงินบูชาพระพิมพ์จากผมไป,ทีมงานเว็บไซด์พลังจิต ผมเองคงไม่มีโอกาศได้สร้างบารมีทาน ,บารมีการชักชวนผู้อื่นให้มาร่วมกันทำบุญครับ ขอขอบพระคุณจากใจของผม ขออนุโมทนาบุญอีกครั้งครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  6. พรหมประกาศิต

    พรหมประกาศิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +13,541
    เยี่ยมมากเลยครับพี่เม้า เคยคิดที่จะให้ อ.ตาที่สาม ตรวจดูพระเครื่องก็ไม่สบโอกาสสักที เคยไปวนเวียนหาที่สวนจตุจักร บูธที่ 53 ก็หาไม่เจอ แถมยังจำไม่ได้ว่า เม็มเบอร์ของท่านไว้ก็เลยไม่ได้โทรถาม เป็นอันว่ายังไม่เคยพบกับท่าน
    นี่เป็นโอกาสอันดียิ่ง เอ่อ...แล้วผมจะทราบจะทราบได้อย่างไรครับ ว่าพี่เม้ามี
    ลักษณะรูปร่าง หน้าตา อย่างไร จะได้ไม่ทักผิด ขอเบอร์โทร และสถานที่นัดที่แน่นอนด้วยครับ สำหรับคุณนักเดินทางพอจะเดาได้เพราะโพสรูปอันหล่อเหลา เก๋ไก๋
    เอาไว้ด้วยบนเว็ปบอร์ด..555..
    (verygood)
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เว็บบล็อคของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
    http://access.britishcouncil.or.th/


    วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10432​

    ต่างชาติยกย่อง"เว็บบล็อก"พระเทพฯ




    สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ระบุว่า ในประเทศที่ราชวงศ์ไม่ค่อยติดต่อสื่อสารกับสาธารณชนโดยตรงอย่างไทย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อาจได้รับการยกย่องพระองค์ในฐานะผู้บุกเบิกในเรื่องดังกล่าว โดยสมเด็จพระเทพฯพระชนมายุ 51 พรรษา ได้ทรงเปิดตัว "เว็บบล็อก" หรือ "บล็อกแห่งแรกของราชวงศ์ไทย" ขึ้นในเว็บไซต์ของบริติช เคาน์ซิล พระองค์ตรัสว่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสนใจในภาษาอังกฤษมากขึ้น <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=1><TBODY><TR bgColor=#ffe9ff><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    "เราได้เห็นแล้วว่าในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาระดับโลกภาษาหนึ่ง โดยปราศจากความเข้าใจกันมากนักถึงกระบวนการนั้น เราไม่อาจกล่าวได้ว่าเรารู้ขอบเขตของอิทธิพลและสถานะของภาษาอังกฤษได้จริงแท้ในฐานะของภาษาระดับโลก แต่เราสามารถแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าสามารถใช้ภาษาอังกฤษในฐานะกุญแจเพื่อความเข้าใจกันยิ่งขึ้น" เอพียกข้อความในบล็อกที่พระองค์ทรงพระอักษรเป็นภาษาอังกฤษ

    เอพีระบุว่า บล็อกของพระองค์เป็นความสืบเนื่องหนึ่งของความพยายามของบริติช เคาน์ซิลในการปรับปรุงการสอนภาษาอังกฤษในไทย โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาพระองค์ได้ทรงเป็นองค์ประธานในการประชุมเป็นระยะเวลา 2 วัน ในหัวข้อ นโยบายสำหรับการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเป็นการจัดประชุมร่วมกันของบริติช เคาน์ซิล และกระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสมเด็จพระเทพฯทรงปรับข้อมูลภายในบล็อกของพระองค์ให้ทันสมัยขึ้นด้วยพระองค์เองหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็บ่งชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นผู้มีความรู้และความสนใจในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

    [FONT=Tahoma,]หน้า 5[/FONT]
    ที่มา http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0126021049&day=2006/10/02

    ***********************************************

    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 30px">สมเด็จพระเทพฯพระราชทานเว็บบล็อก ให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็น
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]นอกจากพระอัจฉริยภาพในด้านภาษาและดนตรี ซึ่งปรากฏเป็นที่โดดเด่นแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงมีพระปรีชาสามารถในเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอย่างมาก โดยทรงเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรกของไทย ที่พระราชทานพระราชดำรัสเป็น “เว็บ บล็อก” ลงในเว็บไซต์ของสถาบันบริติช เคาน์ซิล เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถโพสต์แสดงความคิดเห็นได้โดยตรง!!
    ในเว็บไซต์ “http://access.britishcouncil.or.th/” สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสำคัญของภาษาอังกฤษในโลกยุคปัจจุบันเป็น “เว็บ บล็อก” นำร่องว่า “ในศตวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นว่าภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาสากลของโลก โดยที่ยังไม่เข้าใจถึงกระบวนการพัฒนาดังกล่าว และก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า เรารู้ซึ้งจริงๆถึงขอบเขตของอิทธิพลและสถานภาพของภาษาอังกฤษ ในฐานะที่เป็นภาษาสากลของโลก แต่สิ่งที่เราแน่ใจได้อย่างหนึ่งก็คือ ภาษาอังกฤษสามารถจะเป็นกุญแจนำไปสู่ความเข้าใจที่ดีขึ้น และเมื่อภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ถูกใช้และเป็นที่เข้าใจได้ทั่วโลก เราก็ควรจะสามารถสื่อสาร เรียนรู้ และเข้าใจซึ่งกันและกันได้ดีขึ้น ด้วยการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ เพื่อจะสามารถทำให้โลกนี้เป็นโลกที่มีความรู้ และความเข้าใจต่อกันได้มากขึ้น”
    [​IMG]สำหรับพระราชวงศ์พระองค์อื่นๆในเอเชีย มีเพียง “สมเด็จพระนโรดม สีหนุ” อดีตองค์พระประมุขแห่งกัมพูชาเท่านั้น ที่ทรงมี “เว็บ บล็อก” ในลักษณะเดียวกันนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถโพสต์แสดงความคิดเห็นในหัวข้อต่างๆ ที่พระราชทานไว้ได้อย่างเสรี โดยที่ผ่านมาปรากฏว่า ได้มีนักท่องเว็บเป็นพันๆคนเข้ามาโพสต์ความคิดเห็นไว้มากมายหลากหลายด้าน ตั้งแต่ เรื่องเบาๆอย่างดาราฮอลลีวูด ไปจนถึงเรื่องหนักๆเกี่ยวกับอนาคตการเมืองของประเทศกัมพูชา, ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จะพระราชทานพระราชดำรัสแก่เว็บไซต์ดังกล่าวเป็นระยะๆ เพื่อทรงสนับสนุนความพยายามของสถาบันบริติช เคาน์ซิล ในการปรับปรุงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย เนื่องจากทรงตระหนักถึงความจำเป็นในการติดอาวุธทางปัญญา และเพิ่มศักยภาพการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ โดยได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงเรื่องนี้ไว้เช่นกัน ในระหว่างการเปิดประชุมเชิงนโยบายเพื่อร่างยุทธศาสตร์การศึกษาภาษาอังกฤษของไทย ที่ รร.อินเตอร์คอนติเนนทัล เมื่อเร็วๆนี้ว่า “ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล และเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความรู้ในสาขาต่างๆ นอกจากนั้น ภาษาอังกฤษยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกัน เนื่องจากเป็นภาษาที่ใช้ และเข้าใจกันทั่วโลก เราจึงควรมีความสามารถที่จะสื่อสารเรียนรู้จากกันได้ดีขึ้น โดยผ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง และสามารถส่งผ่านความรู้ถึงกันได้ทั่วโลก”.

    ที่มา http://www.thairath.co.th/news.php?section=society&content=21801
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กิเลสอ้วน นีแหละคำที่ท่านอาจารย์ประถม ท่านชอบว่าผม และหลายๆคน ท่านเคยบอกให้ผมหยุดสะสมพระวังหน้า แต่ไปหาท่านทีไร ก็นำของใหม่ไปให้ท่านดูทุกที

    ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) ท่านเคยไปหาหลานสาวของท่านอาจารย์ประถม ซึ่งหลานสาวท่านในขณะนั้น อายุประมาณ 10 ขวบ ท่านไปหาหลานสาวท่านอาจารย์ประถม ท่านไปบอกว่า ให้ปู่เจ้าไปเก็บพระให้หมด หลานสาวท่านก็วิ่งออกมาหาท่านอาจารย์ประถม แล้วบอกว่ามีพระมาบอกว่าให้ไปเก็บพระให้หมด ท่านอาจารย์ประถม ท่านก็ถามว่าใครมาหา ถามไปถามมา หลานสาวท่านก็ชี้ไปที่รูปท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) แต่ท่านอาจารย์ประถม ท่านก็บอกกับผมว่า ท่านเองก็ไม่มีปัญญาเก็บพระท่านเจ้าได้หมด เนื่องจากพระของวังหน้านั้น มีเป็นจำนวนมาก บางคนมีพระวังหน้า แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นพระอะไร ท่านอาจารย์ประถมท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า ช่างสิบหมู่ 1 คนสามารถกดพระพิมพ์ได้วันละ 500 องค์ ช่างสิบหมู่มีจำนวนคนเป็นร้อยคน ระยะเวลาที่สร้างพระวังหน้าเริ่มตั้งแต่ปี 2400 ถึง 2428 ลองคิดดูนะครับว่าจะนวนพระจะมีมากขนาดไหน เท่าที่ผมทราบมา มีผู้ที่มีพระวังหน้าและวังหลวงเป็นจำนวนมากๆ มีอยู่หลายท่าน แต่ละท่านก็เก็บกันคนละเป็นแสนๆองค์ก็มี ผมเองก็เก็บไว้แต่มีน้อยครับ แค่ไม่กี่พันองค์เท่านั้น ในตอนนี้ ผมเองก็จะเลือกเก็บเป็นพิมพ์ๆไป ไม่เก็บหมดเหมือนแต่ก่อน ต้องคัดแล้วว่าดีมากจริงๆจึงเก็บครับ หรือที่ผมชอบห้อยพระพิมพ์ที่ละ 9 องค์หรือ 18 องค์ ก็อีกเรื่อง ท่านอาจารย์ประถม ท่านบอกว่าให้ห้อยองค์เดียว แต่มันก็ยังอดไม่ได้อยู่ดี รักพี่เสียดายน้อง ท่านอาจารย์ประถมท่านจึงว่าผมเรื่อยๆว่า กิเลสผมอ้วน

    .<!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead colSpan=2>สมาชิก 50 คน ที่ได้รับการอนุโมทนาบุญสูงสุดจากสมาชิก</TD></TR></TBODY><TBODY id=collapseobj_forumhome_haggis><TR><TD class=alt2>[​IMG]</TD><TD class=alt1 width="100%">sithiphong (16089), มหาหิน (16028), NoOTa (10951), WebSnow (10065), toe (7186), khomeraya (7083), MOUNTAIN (6557), rinnn (5824), paang (5371),

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ขึ้นอันดับ 1 แล้วนะคุณหนุ่ม
    แหมนั่งลุ้นมาตั้งนาน อิอิ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ขอบคุณครับพี่เม้า

    .
     
  11. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมค่ำเดือนสิบเอ็ด ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง

    คำว่ากฐิน แปลว่ากรอบไม้หรือสะดึง สำหรับใช้ขึงผ้าเย็บจีวรของพระภิกษุ การทอดกฐินคือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำห้ารูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น

    การที่มีประเพณีทอดกฐินมีเรื่องว่า ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุชาวปาไถยรัฐ (ปาวา) ผู้ทรงธุดงค์ จำนวน ๓๐ รูป เดินทางไกลไปไม่ทันเข้าพรรษา เหลือทางอีกหกโยชน์จะถึงนครสาวัตถี จึงตกลงพักจำพรรษาที่เมืองสาเกตตลอดไตรมาส เมื่อออกพรรษาจึงเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา ณ เชตวันมหาวิหารนครสาวัตถี ภิกษุเหล่านั้นมีจีวรเก่า เปื้อนโคลน และเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ได้รับความลำบากตรากตรำมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงถือเป็นมูลเหตุ ทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุที่จำพรรษาครบสามเดือนกรานกฐินได้ และให้ได้รับอานิสงส์ ห้าประการคือ

    ๑) เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา
    ๒) ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบ
    ๓) ฉันคณะโภชน์ได้
    ๔) ทรงอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
    ๕) จีวรอันเกิดขึ้นนั้นจะได้แก่พวกเธอ และได้ขยายเขตอานิสงส์ห้าอีกสี่เดือน นับแต่กรานกฐินแล้วจนถึงวันกฐินเดาะเรียกว่า มาติกาแปด คือการกำหนดวันสิ้นสุดที่จะได้จีวร คือ
    กำหนดด้วยหลีกไป กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ กำหนดด้วยตกลงใจ กำหนดด้วยผ้าเสียหาย กำหนดด้วยได้ยินข่าว กำหนดด้วยสิ้นหวัง กำหนดด้วยล่วงเขต กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน

    ฉะนั้น เมื่อครบวันกำหนดกฐินเดาะแล้ว ภิกษุก็หมดสิทธิ์ต้องรักษาวินัยต่อไป พระสงฆ์จึงรับผ้ากฐินหลังออกพรรษาไปแล้ว หนึ่งเดือนได้ จึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้

    การทอดกฐินในปัจจุบัน ถือว่าเป็นทานพิเศษ กำหนดเวลาปีหนึ่งทอดถวายได้เพียงครั้งเดียว ตามอรรถกถาฎีกาต่าง ๆ พอกำหนดได้ว่าชนิดของกฐินมีสองลักษณะ คือ

    จุลกฐิน การทำจีวร พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้เสร็จภายในกำหนดหนึ่งวัน ทำฝ้าย ปั่น กรอ ตัด เย็บ ย้อม ทำให้เป็นขันธ์ได้ขนาดตามพระวินัย แล้วทอดถวายให้เสร็จในวันนั้น

    มหากฐิน คืออาศัยปัจจัยไทยทานบริวารเครื่องกฐินจำนวนมากไม่รีบด่วน เพื่อจะได้มีส่วนหนึ่งเป็นทุนบำรุงวัด คือทำนวกรรมบ้าง ซ่อมแซมบูรณของเก่าบ้าง ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า กฐินสามัคคี

    การทอดกฐินในเมืองไทย แบ่งออกตามประเภทของวัดที่จะไปทอด คือพระอารามหลวง ผ้าพระกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง หรือโปรดเกล้า ฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ไปพระราชทาน

    เครื่องกฐินทานนี้จัดด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง เรียกว่า กฐินหลวง

    บางทีก็เสด็จไปพระราชทานยังวัดราษฎร์ด้วย นิยมเรียกว่า กฐินต้น

    ผ้ากฐินทานนอกจากที่ได้รับกฐินของหลวงโดยตรงแล้ว พระอารามหลวงอื่น ๆ จะได้รับ กฐินพระราชทาน ซึ่งโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้ากฐินทาน และเครื่องกฐินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ หรือเอกชนให้ไปทอด โดยรัฐบาลโดยกรมศาสนาจัดผ้าพระกฐินทาน และเครื่องกฐินถวายไป ผู้ได้รับพระราชทานอาจจะถวายจตุปัจจัย หรือเงินทำบุญที่วัดนั้นโดยเสด็จในกฐินพระราชทานได้

    ส่วนวัดราษฎร์ทั่วไป คณะบุคคลจะไปทอดโดยการจองล่วงหน้าไว้ก่อนตั้งแต่ในพรรษา ก่อนจะเข้าเทศกาลกฐินถ้าวัดใดไม่มีผู้จอง เมื่อใกล้เทศกาลกฐิน ประชาชนทายกทายิกาของวัดนั้น ก็จะรวบรวมกันจัดการทอดกฐิน ณ วัดนั้นในเทศกาลกฐิน

    การจองกฐิน วัดราษฎร์ทั่วไป นิยมทำเป็นหนังสือจองกฐินไปติดต่อประกาศไว้ยังวัดที่จะทอดถวาย เป็นการเผดียงสงฆ์ให้ทราบวันเวลาที่จะไปทอด หรือจะไปนมัสการเจ้าอาวาสให้ทราบไว้ก็ได้ สำหรับการขอพระราชทานผ้าพระกฐินไปทอด ณ พระอารามหลวงให้แจ้งกรมการศาสนา เพื่อขึ้นบัญชีไว้กราบบังคมทูลและแจ้งให้วัดทราบ ในทางปฏิบัติผู้ขอพระราชทานจะไปติดต่อกับทางวัดในรายละเอียดต่าง ๆ จนก่อนถึงวันกำหนดวันทอด จึงมารับผ้าพระกฐิน และเครื่องกฐินพระราชทานจากกรมศาสนา

    การนำกฐินไปทอด ทำได้สองอย่าง อย่างหนึ่งคือนำผ้ากฐินทานกับเครื่องบริวารที่จะถวายไปตั้งไว้ ณ วัดที่จะทอดก่อน พอถึงวันกำหนดเจ้าภาพผู้เป็นเจ้าของกฐิน หรือรับพระราชทานผ้ากฐินทานมาจึงพากันไปยังวัดเพื่อทำพิธีถวาย

    อีกอย่างหนึ่ง ตามคติที่ถือว่าการทอดกฐินเป็นการถวายทานพิเศษแก่พระสงฆ์ที่ได้จำพรรษาครบไตรมาส นับว่าได้กุศลแรง จึงได้มีการฉลองกฐินก่อนนำไปวัดเป็นงานใหญ่ มีการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านของผู้เป็นเจ้าของกฐิน และเลี้ยงผู้คน มีมหรสพสมโภช และบางงานอาจมีการรวบรวมปัจจัยไปวัดถวายพระอีกด้วยเช่น ในกรณีกฐินสามัคคี พอถึงกำหนดวันทอดก็จะมีการแห่แหนเป็นกระบวนไปยังวัดที่จะทอด มีเครื่องบรรเลงมีการฟ้อนรำนำขบวนตามประเพณีนิยม

    การถวายกฐิน นิยมถวายในโบสถ์ โดยเฉพาะกฐินพระราชทาน ก่อนจะถึงกำหนดเวลาจะเอาเครื่องบริวารกฐินไปจัดตั้งไว้ในโบสถ์ก่อน ส่วนผ้ากฐินพระราชทานจะยังไม่นำเข้าไป พอถึงกำหนดเวลาพระสงฆ์ที่จะรับกฐิน จะลงโบสถ์พร้อมกัน นั่งบนอาสนที่จัดไว้ เจ้าภาพของกฐิน พร้อมด้วยผู้ร่วมงานจะพากันไปยังโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์เจ้าหน้าที่จะนำผ้าพระกฐินไปรอส่งให้ประธาน ประธานรับผ้าพระกฐินวางบนมือถือประคอง นำคณะเดินเข้าสู่โบสถ์ แล้วนำผ้าพระกฐินไปวางบนพานที่จัดไว้หน้าพระสงฆ์ และหน้าพระประธานในโบสถ์ คณะที่ตามมาเข้านั่งที่ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วกราบพระพุทธรูปประธานในโบสถ์แบบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แล้วลุกมายกผ้าพระกฐินในพานขึ้น ดึงผ้าห่มพระประธานมอบให้เจ้าหน้าที่ รับไปห่มพระประธานทีหลัง แล้วประนมมือวางผ้าพระกฐินบนมือทั้งสอง หันหน้าตรงพระสงฆ์แล้วกล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน จบแล้วพระสงฆ์รับ สาธุการ ประธานวางผ้าพระกฐินลงบนพานเช่นเดิม แล้วกลับเข้านั่งที่ ต่อจากนี้ไปเป็นพิธีกรานกฐินของพระสงฆ์

    กฐินของประชาชน หรือ กฐินสามัคคี หรือในวัดบางวัดนิยมถวายกันที่ศาลาการเปรียญ หรือวิหารสำหรับทำบุญ แล้วเจ้าหน้าที่จึงนำผ้ากฐินที่ถวายแล้วไปถวายพระสงฆ์ ทำพิธีกรานกฐินในโบสถ์เฉพาะพระสงฆ์อีกทีหนึ่ง

    การทำพิธีกฐินัตการกิจของพระสงฆ์ เริ่มจากการกล่าวคำขอความเห็นที่เรียกว่า อปโลกน์ และการสวดญัตติทุติยกรรม คือการยินยอมยกให้ ต่อจากนั้นพระสงฆ์รูปที่ได้รับความยินยอม นำผ้าไตรไปครองเสร็จแล้วขึ้นนั่งยังอาสนเดิม ประชาชนผู้ถวายพระกฐินทาน ทายกทายิกา และผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ณ ที่นั้น เข้าประเคนสิ่งของอันเป็นบริวารขององค์กฐินตามลำดับจนเสร็จแล้ว พระสงฆ์ทั้งนั้นจับพัด ประธานสงฆ์เริ่มสวดนำด้วยคาถาอนุโมทนา ประธานหรือเจ้าภาพ กรวดน้ำ และรับพรจนจบ เป็นอันเสร็จพิธี

    คำถวายกฐิน มีอยู่สองแบบด้วยกันคือ แบบเก่า และแบบใหม่ ดังนี้ คำถวายแบบเก่า อิมํ สปริวารํ กฐินจีวรทสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม (กล่าวสามหน)
    ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน พร้อมกับของบริวารนี้แก่พระสงฆ์ (กล่าวสามหน)

    คำกล่าวแบบใหม่ อิมํ มยํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินจีวรทสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ อิมํ
    ปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ ปฏิคฺคณฺหาตุ ปฏิคฺคเหตฺวา จ อิมินา ทุสฺเสน กฐินํ อตฺถรตุ อมฺหากํ ฑีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย
    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน กับของบริวารนี้แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐิน พร้อมกับของบริวารของข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้งรับแล้วจงกราลกฐินด้วยผ้าผืนนี้ เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนาน เทอญ ฯ

    คัดจากคำตอบของคุณอุบาสกใน http://www.stou.ac.th/Webboard/Bachelor/GeneralBoard/question.asp?GID=1167
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    คือว่าหน้าตาผม คงเอามาลงต่อหน้าสาธารณชนคนมีบุญ ไม่ได้ครับ
    เพราะเค้าหน้าคล้ายกับรูปแทนตัวของคุณนักเดินทางปัจจุบันมั่กๆ
    เดี๋ยวหลายคนจะรับไม่ได้อีก อ่ะ
    เด๋ว ใกล้วันงานผมจะ ส่งเทียบเชิญถึงตัวอีกครั้งนะครับ
    แล้วค่อยนัดแนะกัน
    ช่วงนี้ขอไปทำศัลยกรรมใบหน้าก่อน อิอิ(f)
     
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สาธุ สาธุ
    กิเลสอ้วน ยังพอทน
    แต่สังขารอ้วน นี่สิ
    จะทำให้ท่านแม่ทัพถึงกับค้อนเอาได้นาคับ

    เอหรือจะมีชื่อใหม่ให้ท่านเจ้าคุณ........
    เจ้าคุณกิเลสอ้วน ???? เข้าท่าดีมั้ยครับ อิอิ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไม่เป็นไรครับปู่ฤาษีเม้า แค่นี้ก็ประจานตัวเองแย่แล้ว

    .
     
  15. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    บัญชี "บุญคุณแผ่นดิน" สาขา ตลาดเจ้าพรหม
    บัญชีเลขที่ 059 -1- 88984 - 9

    ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา
    สาขา อยุธยา
    ประเภทบัญชี ออมทรัพย์

    รายละเอียดสามารถดูได้ที่http://boonkunpandin.com



    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง ตอนที่ 4<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    6. มีผู้แขวนพระร่วงหลังรางปืนสนิมแดง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคโลกองค์ชนะการประกวดถูกยิงนัดเดียวตายคาที่พระองค์นั้นไม่ต้องบอกก็นั่งทางในตอบได้ว่าเลี่ยมอัดอย่างแข็งแรง<O:p</O:p
    7. วัยรุ่นที่จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับพระสมเด็จวัดระฆังขนานแท้ และดั้งเดิมจากบรรพบุรุษ ซึ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้วมากครั้ง ครั้งแรกถูกยิงด้วยปืนลูกซองพกไม่ระคายผิวหนัง ต่อมานำไปเลี่ยมอัดพลาสติกเพียงถูกสุนัขกัดเบาะ ๆ ต้องเย็บถึง 8 เข็ม<O:p</O:p
    8. นักเลงพระชั้นเซียนผู้หนึ่งได้พระท่าเสาเมืองกาญจน์มาหนึ่งองค์ ทดลองความเหนียวคงโดยนำพระยัดใส่ปากปลาช่อนแล้วฟันด้วยมีดอย่างแรงหลายที่ ปรากฏว่าฟันไม่เข้าจึงนำไปเลี่ยมอัดพลาสติกตามคตินิยม วันหนึ่งจะอวดของดีกับเพื่อนฝูง จึงไปซื้อปลาช่อนมาจากตลาดลองฟันดูใหม่ปรากฏว่าฟันเข้าหมดลองดูถึง 10 ตัวไม่ได้ผล จึงลองแกะพลาสติกแล้ว ไปหาปลามาทดลองฟันใหม่ปรากฏว่าฟันไม่เข้า การทดลองเช่นนี้ทำให้เพื่อนฝูงเกิดลาภปาก รับประทานปลาแป๊ะซะกันจนอิ่มหนำสำราญ วันนั้นเองเซียนพระผู้นั้นนำพระเครื่องชนิดต่าง ๆ มาแกะพลาสติกออกได้พลาสติกประมาณครึ่งกระบุง<O:p</O:p

    9. นักเลงพระชื่อวันชัย อยู่จังหวัดอยุธยามีพระสมเด็จวัดระฆังราคาแสนแขวนสร้อยห้อยคอ ถูกยิงเข้าทุกนัด นักปราชญ์ท่านยังเชียร์ว่าพระสมเด็จไม่ตายโหง เช่นนี้ถ้าถูกเอ็ม 16 ที่หน้า หน้าอาจจะไม่เละกระมังเพราะท่านไม่ตายโหง แต่ที่ตายโหงมาแล้วเหลือคณานับ นักปราชญ์ท่านแก้ว่าได้ตรวจทางในแล้ว ถึงสมเด็จฯ ปลุกเสกพระของท่าน ถึงวันละสามเวลาไม่ขาดเกิน ก็ไม่ปรากฏนิมิตว่าเหนียวคง ตรวจหลายองค์แล้ว อนิจจา หลงเล่นพระปลอมอยู่ได้<O:p</O:p

    10. ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายตำรวจตระเวนชายแดนชายแดนคนหนึ่งชื่อ สำราญ นามสกุลจำไม่ได้ นำพระสมเด็จฯ มาให้ดู ปรากฏว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังไม่มีการเลี่ยมใช้พกกระเป๋าเฉย ๆ เล่าให้ฟังว่า ใช้พระองค์เดียวถูกยิงด้วยกระสุนเจาะเกราะอย่างจังที่ขา ระยะเผาขน พอเป็นผื่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ใครว่าพระสมเด็จไม่เหนียว นอกจากของเก๊ ไม่รับรอง<O:p</O:p

    11. ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครวรรค์ มีการจ้างนักเลงทำร้ายบุคคลผู้หนึ่งผู้ดักทำร้ายล้วนเคยเป็นเสือปล้นและมีประวัติโชกโชนมาแล้วทั้งนั้น แบ่งเป็นมือปืน มือมีด มือขวาน แยกย้ายกันเป็นขั้นตอน ชั้นแรกมือปืนใช้ปืนพกขนาด 11 ม.ม. ยิงถูกท้ายทอยเต็มรัก แรงผลักดันของลูกปืนทำให้ผู้ถูกทำร้ายถึงกับกระเด็นตีลังกาจากรถเครื่อง น่าสงสารตัวเล็กนิดเดียวมองไปข้างหน้าเห็นกลุ่มดาบและกลุ่มมือขวานดักรออยู่อีก ได้สติจึงหลบมุดลงท่อน้ำข้างถนนรอดไปได้ การที่กลุ่มประหารวางแผนอย่างเข็มแข็งเช่นนี้ เพราะทราบว่าผู้ถูกทำร้ายมีพระดีเคยถูกยิงไม่ออก ความจริงคือพระสมเด็จองค์เก่า ๆ ของปู่องค์เดียวเท่านั้นใช้เลี่ยมทองเปิดหน้าเปิดหลังมาเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่เป็นพระสมเด็จวัดไชโยวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง<O:p</O:p

    12. ที่จังหวัดภาคใต้ มีนายตำรวจชั้นรองผู้กำกับการภูธรกับคณะเดินทางไปราชการท้องที่โดยรถจิ๊บแลนโรเวอร์ เกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำมีคนเจ็บและตาย ตัวท่านรองเองขาหัก ขณะที่แล่นรถเข้าตัวเมือง มีการประทับทรงเสด็จปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ริมถนน ร่างทรงได้เรียกให้รถหยุดแล้วเข้าไปต่อว่าท่านรองฯ ว่าไปขังท่านไว้ออกมาช่วยไม่ได้ เพียงขาหักก็ดีแล้ว ปรากฏว่าคอของท่านรองฯ แขวนรูปหลวงปู่ทวดอยู่หนึ่งองค์หนึ่งจริง ๆ ต้องรีบนำไปแกะออกด่วน<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองได้Fwd Mail จากเพื่อน เห็นว่าดีมาก เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันครับ


    ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าไปกินมันเลย..น่า...สงสารคุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าที่กินเจ
    หากใช่คุณนับว่าได้พบกับช่วงเวลาที่ดี
    ในการบังคับใจและฝึกฝนตนเอง อย่างน้อยก็ช่วงระยะหนึ่ง
    แต่ถ้าท่านต้องการให้ได้รับผลจากการกินจริงๆ แล้ว
    มีอีกวิธีหนึ่งที่มีผลต่อการกินอย่างคุ้มค่าและเหมาะสมอย่างยิ่ง
    ที่มนุษย์ ผู้เลือกอาหารการกินได้หลากหลาย พึงกระทำ
    เพื่อความพอดีและพอเหมาะพอควร
    นั่นคือการกินเพื่ออนุรักษ์

    ท่านเคยกินอาหารเหล่านี้หรือเปล่า หูฉลาม รังนก
    กุ้งมังกร อาหารป่า (ทำมาจากสัตว์ป่า) ยาต่างๆ
    จากชิ้นส่วนสัตว์ ฯลฯ ถ้าท่านเคย
    สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านควรรู้ก่อนที่จะตักชิ้นส่วนของพวกเขาเหล่านั้นใส่ปากอีกครั้ง

    ====================1. หูฉลาม เป็นส่วนของครีบปลาฉลาม
    ชิ้นส่วนนี้จะมีกระดูกเป็นแกนกลาง
    กระดูกปลาฉลามจะไม่แข็งเหมือนกระดูกสัตว์อื่นๆ
    เมื่อนำมาตุ๋น จะมีลักษณะเช่นเดียวกับเอ็นหมู
    การจะได้มาซึ่งหูฉลาม
    นักล่าจะต้องเข้าไปในแหล่งที่อยู่อาศัยของปลา
    จากนั้นจะโยนอาหารที่มีคาวเลือดล่อปลาเข้ามาแล้วใช้ปืนฉมวกยิงและนำขึ้นเรือมาตัดส่วนของครีบออก
    ตัวปลาจะถูกโยนทิ้งทะเล
    เพราะไม่มีราคาคุ้มค่ากับการบรรทุกน้ำหนัก
    ปลาที่ถูกโยนทะเลจะว่ายน้ำไม่ได้ ร่างของพวกเขาจะค่อยๆ
    จมลงสู่ก้นทะเล บางตัวอาจโชคร้าย
    กลายเป็นอาหารของพวกเดียวกัน คิดจากน้ำหนักแล้ว ไม่ถึง
    1/25 ที่ถูกคนนำมาบริโภค

    ====================2. รังนก
    เป็นส่วนที่ได้จากรังของนกนางแอ่นซึ่งนกจะสร้างจากน้ำลาย
    ในหนึ่งปีนกจะมีความสามารถในการสร้างรัง 3 ครั้ง
    ครั้งแรกจะใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด (ประมาณ) 45
    วันซึ่งขณะนี้แม่นกจะเริ่มมีไข่อยู่ในท้องแล้ว
    หากรังแรกถูกทำลายนกจะสร้างรังครั้งที่สองจะใช้เวลาสร้าง
    (ประมาณ) 21 วัน รังจะมีสีเหลือง
    ไข่ในท้องแม่นกจะแก่พร้อมที่จะไข่แล้ว
    ถ้าหากรังที่สองถูกทำลาย นกจะสร้างรังที่ 3 อีกครั้ง
    ใช้เวลาสร้าง (ประมาณ) 7 วัน รังที่สามนี้จะมีสีออกแดง
    ทั้งนี้เป็นเพราะนกต้องเร่งผลิตเพื่อให้ทันการไข่ของแม่นก
    น้ำลายจึงมีเลือดปนออกมาด้วย
    (จะเรียกว่ากระอักเลือดสร้างก็ไม่เกินจริงนัก)
    และถ้าหากรังที่สามนี้ถูกทำลายนกจะไม่สร้างรังอีก
    ไม่ใช่เพราะไม่มีน้ำลายจะสร้างแต่เป็นเพราะไม่มีนกจะไข่
    แม่นกไม่สามารถรอได้และจะไม่ออกไข่ได้ถ้าไม่มีรัง
    ผลก็คือแม่นกจะตายพร้อมลูกในท้อง การสำปะทานรังนกนั้น
    อนุญาติให้เก็บได้เฉพาะรังที่ 1 เท่านั้น
    แต่ความเชื่อที่ว่ารังนกที่มีสีแดงจะมีคุณค่าบำรุงร่างกายสูง
    ซึ่งมีผลโดยตรงต่อราคา
    ทำให้มีการลักรอบนำรังที่นกกระอักเลือดสร้างมาขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

    ====================3. อุ้งตีนหมี
    เป็นอาหารที่นักเปิบมหาภัยชอบมากและเป็นเมนูสุดโหด
    เพราะการตัดอุ้งตีนหมีนั้น
    ไม่สามารถตัดขณะที่หมียังมีชีวิตได้
    การฆ่าหมีเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหนังหมีจะหนามาก
    ยากต่อการฆ่า ดังนั้น ผู้ฆ่าจึงจับหมีถ่วงน้ำทั้งเป็น
    รอจนหมีหมดอากาศตาย
    จึงใช้เลื่อยตัดมือและควักเอาดีหมีมาใช้ปรุงอาหาร

    ====================4. ดีเสือ กระดูกเสือ ที่นิยมนำมาดองเหล้า
    รวมทั้งอวัยวะเพศเสือ ที่นิยมทานเพื่อบำรุงร่างกาย
    สมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ นั้น ปัจจุบันจะหาผู้กล้าหาญ
    เข้าป่าเพื่อล่าเสือโดยเฉพาะนั้นหายากมาก
    มีแต่นักล่าตาขาวและมักง่าย จะล่าสัตว์ประเภทกวาง ลิง
    และสัตว์อื่นๆ
    นำมาใส่ยาฆ่าแมลงแล้วนำไปทิ้งในป่าที่มีเสืออยู่
    เมื่อเวลาผ่านไปกลิ่นซากสัตว์จะส่งกลิ่น
    ล่อเสือมากินและตายด้วยยาพิษ
    นักล่าตาขาวจะแวะมาดูแล้วเก็บซากเสือไป
    โดยเสือที่มากินอาจเป็นแม่เสือที่กำลังท้อง ลูกเสือ
    หรืออาจเป็นสัตว์อื่นๆ เช่นแร้ง กา หมาป่า ฯลฯ
    มากินแล้วตาย สัตว์ที่ไม่ต้องการ นักล่าตาขาวจะไม่นำออก
    ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นเสือ
    จะถูกลอกหนังออกแล้วนำส่วนอื่นๆ ขาย
    หนังเสือที่ได้จากวิธีการนี้
    จะไม่มีรอยกระสุนที่จะทำไห้ราคาตก ชิ้นส่วนอื่น
    เช่นกระดูกจะถูกนำมาบดดองเหล้าขาย
    เช่นยาดองเหล้าที่มีรูปเสือติดอยู่ที่ซอง เป็นต้น

    ====================5. นกยูง ตายเพราะความรักและความสวยงาม
    แม้นกยูงจะไม่นิยมนำมาบริโภคในบ้านเรา
    แต่นกยูงมักถูกนำขนมาตกแต่งตามที่ต่างๆ เสมอ
    แม้แต่ร่างกายคนเรา
    ในประเทศจีนชิ้นส่วนของนกยูงนำมาเข้าเครื่องยาเช่น ดี
    เลือด ขน กระดูก เป็นต้น
    การล่านกยูงจะกระทำในช่วงที่นกยูงจะผสมพันธุ์ ฤดูกาลนี้
    นกจะแผ่หางอันสวยงาม อวดตัวเมีย เราเรียกว่ารำแพน
    นักฉวยโอกาส จะใช้จังหวะนี้เข้าด้านหลังนก
    โดยที่นกไม่มีโอกาสเห็น เพราะถูกหางของตัวเองบังไว้
    แม้ว่านกอาจจะรอดมาจากการจับจากด้านหลังได้แล้ว
    นกยูงยังมีนิสัย เอาใจตัวเมีย โดยการทำลานดินโล่ง
    ปราศจากต้นไม้ ต้นหญ้า เพื่อให้ตัวเมียวิ่งเล่น อาบฝุ่น
    การจะทำลานดินดังกล่าวได้
    นกจะใช้คอพันรอบต้นหญ้าแล้วดึงขึ้น
    นักล่าได้ใช้การกระทำดังกล่าว ฆ่านกโดยการใช้ไผ่ลวก
    ปาดเป็นเส้น ลักษณะคล้ายมีดโกนสองคม ไปปักไว้กลางลานดิน
    เมื่อนกยูงเห็นสิ่งแปลกปลอมก็จะตรงไป เอาคอพัน
    คงเดาออกนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นถึงเวลานักล่าก็จะมาเก็บซากนกเคราะห์ร้ายกลับไป
    ทิ้งไว้เพียงลานรักและนกตัวเมีย
    ====================
    นอกจากนี้ยังมีสัตว์เคราะห์ร้าย
    ต้องตายลงเพราะพฤติกรรมการกินของคนอีกมาก เช่น
    แรดถูกฆ่าเอานอ เต่าถูกนำกระดองไปทำยา
    เลียงผาถูกฆ่าเอาน้ำมันไขข้อ ปลิงทะเล ตุ่น งู นก ฯลฯ
    ยังไม่สายเกินไปนัก
    สำหรับสัตว์บางชนิดที่เราจะให้โอกาสเขาดำรงเผ่าพันธุ์
    อยู่ในโลกนี้ เพียงแต่เรามีขอบเขตการกิน
    และใช้ปัญญากำกับความเชื่อ ไม่ให้ความเชื่อผิดๆ
    ทำลายพวกเรา โดยเราไม่รู้ตัว


    .

     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948



    ผมเองเลิกกินสัตว์เหล่านี้มานานแล้ว แม้กระทั่งวัว ,ควาย เรามีของกินตั้งเยอะตั้งแยะ ยังจะไปกินสัตว์เหล่านี้อีก บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เฮ้อ......



    .
     
  19. woottipon

    woottipon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2005
    โพสต์:
    11,767
    ค่าพลัง:
    +83,937
    เรียน คุณสิทธิพงษ์

    กระผมกำลังจะมีโครงการสร้างพระกริ่ง จำนวน 108 องค์ ถวายวัด ถวายพระนามว่า "พระกริ่งมงกุฎพระเจ้า โภคทรัพย์" จะไม่พรรจุกริ่ง จะบรรจุผงพุทธคุณและอยากจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เห็นคุณแจกสำหรับผู้ทำบุญ ไม่ทราบว่ายังเหลือเยอะหรือเปล่าครับ หากผมต้องการมาบรรจุจำนวน 108 องค์ จะต้องทำบุญอย่างไรครับ ตอนนี้กำลังรวบรวมมวลสารอยู่หากคุณมี โลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์ จะมอบร่วมหล่อด้วยก็ยินดีนะครับ ขอบคุณครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมต้องขอโทษด้วย เรื่องพระบรมสารีริกธาตุครับ ผมเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะนำพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในพระกริ่งนะครับ

    ส่วนโลหะธาตุนั้น ผมขอกลับไปดูก่อนนะครับ ว่ามีอะไรที่จะเป็นมวลสารให้ได้บ้าง

    ขออนุโมทนากับคุณวุฒิพงษ์ด้วยครับในการสร้างพระกริ่ง จำนวน 108 องค์ครับ


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...