แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. sutketb

    sutketb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    480
    ค่าพลัง:
    +1,592
    แสดงว่าผมเข้าใจถูกต้อง ยังไงพี่หนุ่มก็ช่วยน้องๆตลอดอยู่แล้ว :cool:
     
  2. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    บทความไม่จำกัดความยาว แต่ห้ามน้อยกว่า 1 หน้า ตามหัวข้อที่กำหนด
    เอาเนื้อแท้ของขีดความสามารถในตัวตนออกมาให้ดีที่สุด
    ของ ลพ.สำเนียง มีดีหลายอย่าง แต่คนลืมท่านกันเสียหมดแล้ว
     
  3. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    [FONT=&quot]ควายธนู[FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT] [FONT=&quot]ควายธนู[FONT=&quot] เป็นวิชาสำเร็จด้วยอิทธิฤทธิ์ของอาคม เป็นศาสตร์ทางไสยเวทอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณกาล ผู้จะเรียนวิชานี้จนสามารถใช้ประโยชน์ได้ ต้องมีพลังจิตแก่กล้าสูงยิ่ง นับเป็นวิชาไสยศาสตร์อีกวิชาหนึ่ง ที่เรียนสำเร็จยากมาก เป็นการอธิษฐานฤทธิ์นิรมิตรูปกายจากสิ่งหนึ่ง ให้เป็นอีกรูปกายหนึ่ง จากการใช้ตอกไม้ไผ่สานให้มีรูปร่างคล้ายตัวควายตัวเล็ก ๆ แล้วปลุกเสกด้วยคาถาอาคม จนกลายเป็นตัวควายขนาดใหญ่ มีจิตวิญญาณและเคลื่อนไหวได้ มีความดุร้ายกราดเกรี้ยว และทรงพลังอำนาจดุร้าย ลองคิดดูเถิด จะต้องใช้พลังจิตสูงสักปานใด

    ผู้ที่เรียนวิชาควายธนู ไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นภิกษุ หรือ ฆราวาส ผู้ใดก็เรียนได้ แต่จะใช้จนสำเร็จประโยชน์หรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการฝึกปรือ เคี่ยวกรำอำนาจจิตของตนเป็นสำคัญ วิชาควายธนูนี้มีพื้นฐาน เพื่อใช้ประโยชน์เป็นไปในทางป้องกันตัวเอง แต่ก็มีหมอไสยศาสตร์บางคน ที่มีมิจฉาสมาธิ นำวิชานี้ไปใช้ในการเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อนอันตราย บุคคลประเภทนี้มักจะเป็นคนนอกศาสนาพุทธ เป็นพวกเคารพนับถือผีเป็นสรณะ และหวังได้รับผลประโยชน์ทางอามิสสินจ้าง คนพวกนี้แม้จะสำเร็จประโยชน์ด้วยคาถาอาคมได้ แต่ไม่ช้าไม่นานวิชามักจะเสื่อมไปในที่สุด

    ณ ที่นี้ จะนำเรื่อง อิทธิฤทธิ์ของควายธนู มาเล่า ให้รับรู้กันอีกเรื่อง ควายธนูที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เกี่ยวข้องกับ หลวงพ่อชุ่ม จันทโชติ วัดท่ามะเดื่อ (วัดอุทุมพรทาราม) อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
    วัดท่ามะเดื่อ หรือ วัดอุทุมพรทาราม ในปัจจุบัน สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๑๗ มีหลวงพ่อชุ่ม จันทโชติ เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ประวัติของหลวงพ่อชุ่ม ไม่ปรากฏชัดเจนเท่าที่ควร ทราบแต่เพียงว่า ถิ่นฐานบ้านเกิดของท่าน อยู่ที่ดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม แต่บางกระแสก็บอกว่า ท่านเป็นชาวตำบลโพธิ์หัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี แต่ที่แน่ชัดยิ่งกว่าอื่นใดก็คือ ท่านเป็นพระปฏิบัติ สายวิปัสสนาธุระ มีความเชี่ยวชาญทางไสยเวทพุทธาคม เป็นที่เลื่องลือ กล่าวได้ว่า เป็นพระอภิญญาแห่งลุ่มน้ำแม่กลองรูปหนึ่ง

    ในทุก ๆ ปี หลวงพ่อชุ่มจะลงไปสรงน้ำ ในแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งไหลผ่านหน้าวัดหนึ่งครั้ง ถึงเวลาท่านลงไปสรงน้ำในแม่น้ำแม่กลอง จะมีชาวบ้านทั้งตำบล พากันมาดูท่านสรงน้ำเต็มตลิ่ง เนื่องจากขณะหลวงพ่อชุ่มสรงน้ำ จะมีจระเข้ใหญ่ตัวหนึ่ง โผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ ท่าน ว่ายวนเวียนดำผุดดำว่ายไปรอบ ๆ ตัวท่าน บางครั้งจะฟาดหางตีน้ำแตกกระจายดังตูมตาม บางครั้งจะว่ายเข้ามา เอาลำตัวเสียดสีกับตัวท่าน คล้ายกับแสดงความจงรักภักดีด้วยความเคารพ สำหรับหลวงพ่อชุ่มนั้น ท่านก็คงสรงน้ำไปตามปกติ ไม่ได้แสดงความหวาดหวั่น จระเข้ร้ายตัวนั้นแต่อย่างไร หลังจากท่านสรงน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกลับขึ้นไปบนฝั่ง จระเข้ดังกล่าวก็จะจมน้ำหายไป

    เหตุการณ์เป็นที่อัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกปี ไม่มีผู้ใดทราบว่า เพราะเหตุใดจึงมีจระเข้ใหญ่โผล่ขึ้นมาทุกครั้ง ที่หลวงพ่อชุ่มลงไปสรงน้ำ ในแม่น้ำแม่กลอง มีผู้อยากรู้ความนัยเรื่องนี้เคยถามท่าน แต่ท่านไม่ตอบ หลวงพ่อชุ่มองค์นี้ เป็นญาติสนิทกับโยมบิดามารดาของ หลวงพ่อเงิน จันทสุวัณโณ วัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม หลวงพ่อเงินมีศักดิ์เป็นหลาน จึงเรียกหลวงพ่อชุ่มว่า “หลวงน้า” ตอนหลวงพ่อเงินเป็นเด็ก ได้มาเป็นศิษย์หลวงพ่อชุ่มที่วัดท่ามะเดื่อ และได้บวชเณรที่วัดนี้ เล่าเรียนเขียนอ่านอักขระอักษรไทยจนแตกฉาน เมื่ออายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดท่ามะเดื่อ แห่งนี้เช่นกัน

    เรื่องควายธนู ที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อชุ่ม มีเหตุมาจากท่าน ไปดูแลบ้านน้องสาวของท่านที่ดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเกี่ยวข้าว สามีน้องสาวของหลวงพ่อชุ่มไปช่วยเกี่ยวข้าวที่บ้านแพ้ว การทำนาสมัยก่อน ถ้าเป็นงานที่ต้องใช้คนมาก เพื่อให้งานนั้นเสร็จสิ้นในเวลาอันจำกัด เช่น ดำนา เกี่ยวข้าว เพื่อนบ้านญาติพี่น้อง ซึ่งเป็นวงศาคณาญาติ จะไปช่วยกันทั้งหมด เรียกว่า “ลงแขก” เป็นการเอาแรงงานไปช่วยกัน โดยไม่ต้องเสียค่าจ้าง การลงแขกแบบนี้ จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป

    เมื่อสามีน้องสาวหลวงพ่อชุ่ม ไปช่วยลงแขกที่บ้านแพ้ว จึงต้องทิ้งเมียเฝ้าบ้านคนเดียว อันที่จริง การอยู่บ้านคนเดียวไม่มีอันตรายใด ๆ เพราะมีเพื่อนบ้าน และ ญาติพี่น้อง ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ ๆ กันคอยดูแล แต่คราวนี้ไม่ทราบว่า หลวงพ่อชุ่มรู้ได้อย่างไรว่า น้องสาวอยู่บ้านคนเดียว และจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ท่านจึงได้เดินทางจากวัดท่ามะเดื่อ อำเภอบ้านโป่ง ไปยังดอนยายหอม โดยพาหลวงพ่อเงิน ซึ่งขณะนั้นเป็นสามเณรไปด้วย

    ไปถึงบ้านน้องสาวเป็นเวลาเย็นมากแล้ว น้องสาวคิดไม่ถึงว่า หลวงพ่อชุ่มจะมาเยี่ยม จึงรีบนิมนต์หลวงพี่ให้ขึ้นไปบนบ้าน จัดที่อันเหมาะสมให้ท่านนั่งพักผ่อน หลวงพ่อชุ่มบอกน้องสาวว่า คืนนี้ จะพักที่บ้านสักคืนหนึ่ง น้องสาวจึงได้จัดห้องให้ท่านพัก พร้อมสามเณรเงิน เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ หลวงพ่อชุ่มได้ล้วงเอาสิ่งหนึ่งออกมาจากย่าม เป็นรูปควายตัวเล็ก ๆ สานจากตอกไม้ไผ่หยาบ ๆ ท่านบอกกับสามเณรเงินว่า นี่คือ “ควายธนู” และสั่งให้นำไปวางที่โคนต้นมะม่วง ใกล้ ๆ กับ คอกควาย แล้วเรียกน้องสาวมาหา สั่งกำชับว่า หลังจากตะวันตกดินไปแล้ว ห้ามไม่ให้ตัวน้องสาว กับพวกลูก ๆ ลงจากเรือนอย่างเด็ดขาด และหากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นข้างนอกบ้าน อย่าเปิดประตูบ้านลงไปดู ท่านบอกเพียงแค่นั้น ก็ไม่พูดอะไรอีก

    คืนนั้นเป็นคืนข้างขึ้น เดือนหงายส่องสว่างไปทั่ว หลวงพ่อชุ่ม และ สามเณรเงิน เข้าห้องจำวัด ส่วนน้องสาก็พาลูก ๆ เข้านอนอีกห้องหนึ่ง เวลาผ่านไปจนล่วงเข้ายามดึก ทุกคนในตำบลดอนยายหอม ต่างพากันหลับสนิทนิทรา ที่กอไผ่ด้าน หลังเขตบ้านน้องสาวหลวงพ่อชุ่ม มีชายฉกรรจ์สามคน เข้ามาแอบซุ่มอยู่อย่างเงียบ ๆ สามคนนี้ คือ มิจฉาชีพ เป็นโจรลักขโมยควาย พวกมันสืบรู้ว่า น้องสาวหลวงพ่อชุ่มเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว กับลูกเล็ก ๆ จึงฉวยโอกาสจะลอบเข้ามาขโมยควาย เมื่อเห็นว่าคนในบ้านหลับสนิทดีแล้ว จึงย่องเข้าไปที่คอกควาย ตั้งใจจะเปิดคอกจูงเอาควายไปให้หมดทุกตัว
    แต่พอเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง พวกมันก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อเห็นควายตัวใหญ่มหึมา ยืนจังก้าขวางทาง นัยน์ตาแดงโชน เหมือนลุกเป็นไฟ ไม่ทันพวกหัวขโมยจะทันตั้งสติ ควายตัวนั้นก็ทะยานเข้ามาหา สามวายร้ายเผ่นกระเจิงวิ่งหนีไม่คิดชีวิต โดยมีควายธนูตามขวิดไปติด ๆ แต่ละคนลืมหมดว่า ที่ตัวเองบุกรุกเข้ามาในบ้านผู้อื่นด้วยเจตนาทุจริต แหกปากร้องให้คนช่วยเสียงลั่น พร้อมกับซอยเท้าวิ่งหนีไม่คิดชีวิต

    ขณะที่พวกลักขโมย ตะโกนโวย ๆ และวิ่งไปรอบบ้าน สามเณรเงินได้ลุกขึ้นมามองที่หน้าต่าง เห็นควายตัวมหึมา วิ่งไล่สามวายร้าย ชนิดหวิด ๆ จะทันถึงตัว พร้อมกันนั้น บ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งอยู่ติด ๆ กัน ได้ยินเสียงพวกขโมยตะโกนโหวกเหวกดังลั่น จึงจุดตะเกียง เพื่อออกมาดูว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
    พวกขโมยเห็นชาวบ้านตื่นกันหมดแทบทั้งหมู่บ้าน ก็กลัวทั้งควาย และ ชาวบ้าน จึงพากันวิ่งเตลิดเปิดเปิงออกทุ่งไป เมื่อไอ้พวกวายร้ายออกพ้นเขตบ้าน ควายธนูก็หายวับไป

    เช้าวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อชุ่ม บอกให้สามเณรเงิน ลงไปเก็บควายธนูของท่านกลับมา สามเณรเงินไปเจอควายธนูวางอยู่ข้างกอไผ่หลังบ้าน แสดงว่า สิ่งที่ตนเห็นเมื่อตอนดึกที่ผ่านมา คือ ควายตัวใหญ่ วิ่งไล่พวกขโมยเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่ใช่ตาฝาดไปอย่างแน่นอน และทำให้เกิดความเคารพนับถือหลวงน้า หรือ หลวงพ่อชุ่ม เป็นทวีคูณ

    หลังจากฉันเช้าแล้ว หลวงพ่อชุ่มก็พาสามเณรเงินกลับวัดท่ามะเดื่อ ก่อนจะกลับ ท่านได้มอบควายธนูให้กับน้องสาว และสั่งว่า เมื่อถึงตอนกลางคืน ให้นำควายธนูไปไว้ใกล้ ๆ คอกควาย และห้ามลงจากบ้านเป็นอันขาด เพราะควายธนูจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคนร้าย อาจทำอันตรายได้ เมื่อสามีกลับมา ก็ให้ปฏิบัติตามที่ท่านสั่งไว้ด้วย แต่ท่านเชื่อว่า พวกหัวขโมย คงไม่กล้าเข้ามาลักขโมยควายอีกแล้ว เพราะเท่าที่มันเจอควายธนูครั้งเดียว ก็คงจะเข็ดหลาบไปจนตายแน่

    นี่คือเรื่องควายธนู ของหลวงพ่อชุ่ม จันทโชติ วัดท่ามะเดื่อ (วัดอุทุมพรทาราม) อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี หลวงพ่อชุ่ม ละสังขารไปในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ และ หลวงพ่อเงิน ได้ออกจากวัดท่ามะเดื่อ ในปีนั้นเช่นกัน[/FONT]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  4. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    [FONT=&quot]หวย<o>

    </o>
    [/FONT] [FONT=&quot]เป็นมนุษย์สุดดีที่ลมปาก[FONT=&quot] จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา คำภาษิตนี้บ่งบอกความหมายไว้ชัดเจนแล้วว่า มนุษย์เรานั้นต้องพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นไปด้วยความเจริญฝ่ายเดียว หากพูดเพ้อเจ้อ หรือส่อเสียดแล้ว กรรมที่เห็นทันตาก็คือ ถูกทำร้ายเพราะคนที่เขาถูกด่า ถูกใส่ความ เกิดโทสะ แล้วลงมือลงไม้เอาเข้าให้ หรือไม่ก็ถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท ติดคุกติดตะราง ต้องขอขมาลาโทษทางหน้าหนังสือพิมพ์ได้เห็นได้รู้กันอยู่เป็นประจำ

    การว่าร้ายด่าทอสมณะผู้ทรงศีล การจาบจ้วงด้วยวาจา หรือการกระทำด้วยกำลังกายเข้าประทุษร้าย ท่านว่ามีผลทั้งโลกนี้และโลกหน้า ในโลกนี้ก็คือ จะเป็นผู้มีความวิบัติในลาภยศและทรัพย์สมบัติทั้งหลาย มีความพลัดพรากจากของที่รัก และถูกติฉินนินทาจากผู้คนที่มีใจเป็นธรรม ครั้นตายไปแล้วก็ต้องไปเสวยทุกข์ในนรก ให้นายนิรยบาลลากลิ้นออกมาตัด จับแหกปากแล้วเอาเหล็กหลอมละลายเหลว ๆ เทกรอกลงไป เสวยทุกขเวทนาเป็นเวลานานชั่วกัปป์ ชั่วกัลป์

    เรื่องจริงของผู้ล่วงเกินนี้เกิดขึ้นที่ แม่กลอง หรือเมืองสมุทรสงคราม อันเป็นเมืองที่หลวงพ่อวัดบ้านแหลมท่านประดิษฐานอยู่นั่นเอง วัดช่องลม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ต. บ้านปรก อ.เมือง สมุทรสงคราม สมัยเมื่อ หลวงพ่อบ่าย ธรรมโชโต ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั้น ท่านได้จัดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเสนาสนะให้มีความมั่นคงถาวร และเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนท้องถิ่นว่า ไม่อับอายขายหน้าแขกต่างถิ่น ที่มักจะมาเยือนเพื่อนมัสการหลวงพ่อบ่าย ซึ่งเป็นพระเถระที่อาคมกล้าอีกรูปหนึ่งใน จ. สมุทรสงคราม เวลานั้น

    ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อบ่าย ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดช่องลม ท่านได้อนุเคราะห์ชาวบ้านให้มีความเจริญผาสุข ด้วยการเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา คู่ไปกับการสร้างเครื่องรางของขลังแจกเพื่อให้ไปป้องกันตัว เพราะอาชีพหลักของคนแถบนั้นก็คือ การประมง ต้องเสี่ยงภัยกับฉลามและสัตว์ร้ายอื่น ๆ เล่ากันมาว่า ปีหนึ่ง หลวงพ่อสรงน้ำครั้งหนึ่ง อันถือเป็นประเพณีของท่านว่า ปีหนึ่งท่านจะสรงน้ำเพียงครั้งเดียว และใครที่มาสรงน้ำ ท่านจะแจกสตางค์แดง มีรูตรงกลางให้คนละหนึ่งอัน

    สตางค์แดงนั้นแหละเอาไปร้อยเชือกผูกติดเอว ป้องกันอันตราย บางคนบอกว่า ฉลามบุกเข้ามาจะงับ แต่อ้าปากไม่ขึ้น เอาเท้าถีบเล่นได้เลย เพราะมันแพ้ในอำนาจแห่งพระพุทธคุณที่หลวงพ่อบ่าย ท่านปลุกเสกสตางค์แดงเอาไว้ เมตตาธรรมของหลวงพ่อนั้นแผ่กว้างไพศาล ไม่เคยดุด่าว่าใครแรง ๆ เพราะท่านวาจาสิทธิ์นัก ผู้คนที่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านนั้น ต่างก็ได้รับความเมตตากลับไปทุกราย ท่านสงเคราะห์เท่าที่ท่านจะสงเคราะห์ได้ ไม่รังเกียจเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชายจีนแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาเดินท่อม ๆ ในวัด ถามหาหลวงพ่อบ่าย ท่านลงไปกวาดลานวัดอยู่พอดีจึงได้แนะนำตัว

    “ท่านค้าบอาหลงพ่อบ่าย อีหยู่ที่หนาย อั๊วะจะมาขอหวยอีสักหน่อย ค้าขายขากทุงป่งปี้ ขอหวยไปทำทุง”

    “ฉันนี่แหละหลวงพ่อบ่าย ที่อาเจ็กถามหาอยู่ หวยฉันไม่เคยให้ มันเป็นของที่ไม่น่าจะให้เลยนี่นาอาเจ็ก”

    “กาบเท้าล่ะคร้าบ ผงจงจิง ๆ อาหลงพ่อ ไม่งั้งไม่บากหน้ามาหา”

    “ไม่เอาน่า ทำมาหากินอย่างอื่นเถอะ มันเป็นอบายมุข ไม่สมควรจะไปยึดติด มันไม่เจริญรุ่งเรืองหรอกน่า ทำมาหากินดีกว่า”

    กล่าวจบท่านก็เดินหนีไป อาเจ๊กผู้นั้นก็กลับด้วยใบหน้าเศร้าหมอง รุ่งขึ้นก็มาตื๊อหลวงพ่ออีก แต่ก็ต้องกลับไปมือเปล่าตามเคย วันที่เจ็ด อาเจ๊กคนนั้นก็มาอีก คราวนี้หลวงพ่อขัดใจ จึงบอกว่า

    “หวยเหยอะไรกันไม่มีหรอก มีแต่หญ้าข้างโบสถ์นั่นแหละ รกจนท่วมหัว ไปถางเอาซี่ นั่นแหละ แน่ที่สุด”
    วันรุ่งขึ้น อาเจ๊กก็เกณฑ์ลูกเมียและคนในบ้าน เอามีดพร้าจอบเสียม มาช่วยกันตัดหญ้าจนเตียนโล่ง เห็นทันตา หลวงพ่อบ่ายมาเห็นเข้า ก็พึมพำกับศิษย์ว่า

    “อ้ายเจ๊กนั่นมันโง่จริง ๆ เลย ดูซิบอกให้มันไปถางหญ้าแทนหวย มันก็ถางเสียเตียนเลย เอาล่ะวะ จะให้มันสักตัวสองตัว”

    ว่าแล้วท่านก็เรียกอาเจ๊กเข้ามาหา แล้วบอกหวยให้ โดยขอร้องให้เล่น เพียงเพื่อหาทุนมาทำมาค้าขายต่อไปเท่านั้น อย่าได้เล่นเป็นอาชีพ จะฉิบหายขายตัว อาเจ๊กรับคำ ท่านก็ให้หวยไปตัวหนึ่ง หวยสมัยนั้น มีหวย ก.ข. และหวยจับยี่กี หวย ก.ข. ออกเช้า ออกบ่าย แต่จับยี่กีออกทั้งวัน อาเจ๊กไปแทงหวย ก.ข. และจับยี่กี ก็ถูก ได้สตางค์มากโข พอเอาไปทำทุนค้าขาย ต่อมาได้นำเงินมาถวายหลวงพ่อบ่าย ช่วยหล่อรูปหล่อให้ท่าน ด้วยความศรัทธา

    ขุนบาลหวย แค้นเคืองหลวงพ่อบ่ายมาก ถึงกับด่าทอและฝากคนมาด่าหลวงพ่อถึงที่วัด “หลวงพ่อครับ อ้ายขุนบาลหวยมันพูดใส่หน้าผมที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมาว่า ไปบอกหลวงพ่อของเอ็งด้วยว่า มีปัญญาใบ้ก็ใบ้มา กูไม่กลัว ใครเชื่อท่านวัดช่องลม ก็ให้มาแทงหวยกับกู รับรองฉิบหายทุกราย ใครจะมาเก่งกว่ากูที่เป็นคนออกหวย”

    มันเป็นการล่วงเกินอย่างไม่น่าให้อภัย แต่หลวงพ่อบ่ายท่านก็ยิ้ม แล้วสั่งศิษย์ไปว่า “อ้ายขุนบาลมันด่ากระทั่งกูผู้ทรงศีล ที่กูให้หวยอ้ายเจ๊กนั่นไปทำมาหากิน มันกลับหาว่ากูทำให้คนฉิบหาย กูจะดูซิว่า กูหรือมัน จะฉิบหายกันแน่ กรรมของมันมาถึงแล้ว ไปบอกกันให้ทั่วว่า หวยวันนี้ท่านวัดช่องลมบอกว่าออก สองคน”

    ข่าวแพร่สะพัดออกไป บรรดานักเล่นหวยก็แห่กันไปแทง “สองคน” แบบจับยี่กีกันเป็นโกลาหล ปรากฎว่า หวยออก “สองคน” ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ทั้ง ๆ ที่ขุนบาลก็ได้เปลี่ยนตัวออกทุกครั้ง แต่ก็ปรากฎว่า พอออกก็เป็นสองคนทุกครั้ง เหมือนมีใครมาจับมือให้ออกสองคน ขุนบาลกับหุ้นส่วน และคนที่มาเป็นพยาน ทะเลาะทุ่มถียงกันจนโรงหวยแทบแตก เพราะใครล้วงตัวอื่นมาใส่ในถุงแขวน ก็มองเห็นตัวสองคนเป็นตัวอื่น เอายัดลงไป ออกสองคนทุกครั้ง เปลี่ยนคนมาออก ก็ยังเป็นสองคน วันนั้น วันเดียว ขุนบาลกับหุ้นส่วนหมดตัว ต้องขายบ้าน ขายช่อง กลายเป็นคนหาบของขายไปในไม่ช้า

    เหตุเพราะกรรมที่แช่งหลวงพ่อบ่ายให้ฉิบหาย แล้วกรรมนั้นก็เข้าสนองตัวเองอย่างจัง ทันตาเห็น
    เห็นจะเป็นด้วยเรื่องหวยนี้แหละ ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง เคยบวชเรียนอยู่กับท่าน จนเกือบจะได้รับการส่งไปเป็นเจ้าอาวาสวัดในปกครองของท่านในสมุทรสงคราม แต่ก็ชิงสึกเสียก่อน เพราะสีกาทำให้ร้อนผ้าเหลือง เมื่อสึกออกไปแล้ว ก็ไม่ประกอบอาชีพอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ได้แต่กินเหล้าสำมะเลเทเมาไปวัน ๆ วันหนึ่ง ได้พกปืนกำเข้ามาในวัด แล้วก็ร้องเอะอะด่าทอไปจนถึงกุฏิหลวงพ่อบ่าย หลวงพ่อท่านโผล่ออกมาดู พอเห็นก็เลยบอกกับอดีตศิษย์ทางธรรมว่า

    “ทิดเอ๊ย ไปเสียเถิด ที่นี้เขตวัดไม่ใช่ร้านเหล้า ไปตามทางของแกเสีย แกมันไม่น่าจะทำอย่างนี้ เคยบวชเรียนมาก็หลายพรรษา”

    “อย่ามาพูดมากเลยหลวงพ่อ เขาว่าให้หวยแม่นไม่ใช่หรือ ลองให้สักตัวซี่เอ๊า จะเอาไปกินเหล้าให้หมดเลย”

    หลวงพ่อบ่าย ท่านก็ยังใจเย็น กล่าวกับทิดนั้นว่า “อยากได้หรือ มีแต่ส้นตีนนี่ไงล่ะ เอาไปซี่” ว่าแล้วท่านก็ยกฝ่าเท้าให้จัง ๆ
    ทิดผู้นั้นก็หันหลังกลับ แล้วเดินบ่นพึมพำออกจากวัดไปว่า “หน๊อย ขอหวยดี ๆ ดันผ่าให้ส้นตีนได้ หลวงพ่อไม่เอาไหน”

    คนที่เห็นเหตุการณ์รวยไปตาม ๆ กัน เพราะหวยวันนั้นออก “เอี่ยวเกือก” ทั้งเช้าและบ่าย ทิดขี้เมาไม่มีโชค มัวแต่แอ่นไปแอ่นมาเลยไม่ได้แทง แต่ไม่เป็นไร คราวนี้พกปืนมาอีก พอมาถึงหลวงพ่อก็ร้องขอหวย

    “หลวงพ่อครับ คราวก่อนไม่ได้แทงเลยอด คราวนี้ขอใหม่อีกหน จะแทงให้จั๋งหนับ”

    “แกขอทีเดียวก็ให้ไปแล้ว แกจะมาขออีกมันผิดสัจจะ ออกไปอ้ายคนไม่รักดี ไ ปตามทางของแกได้เล้ว”
    ชายคนนั้นแสดงอาการไม่พอใจ ชักปืนออกมาจากเอว แล้วหันปากกระบอกไปหาหลวงพ่อบ่าย แล้วร้องว่า

    “เดี๋ยวพ๊อดยิงซะให้ตายโหงอยู่ตรงนี้เลย ขอหวยนิดเดียว ไล่เหมือนหมูเหมือนหมา”

    หลวงพ่อบ่ายท่านจึงพลั้งปากออกไป ไม่ได้ตั้งใจ กับทิดขี้เหล้านั้นว่า

    “อ้ายทิด แกนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แกนั่นแหละตายโหง ไม่ใช่ฉัน อ้ายผีตายโหง”

    กล่าวจบ ท่านก็เดินหันหลังเข้ากุฏิ ชายคนนั้นก็เดินกลับไป พอรุ่งเช้า ก็มีคนไปพบชายคนนั้น นอนตายอยู่ในห้องนอนของตัวเองบนบ้าน หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก เหมือนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส เจ้าหน้าที่มาชัณสูตรศพพบว่าถึงแก่ความตาย เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ไม่มีร่องรอยการฆาตกรรม แล้วเขาตายด้วยเหตุใด ในที่สุด เมื่อพลิกตัวเขาดูอีกที ก็มองเห็นภาพอันน่าสยดสยอง นั่นก็คือ มดแดงไฟจำนวนเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ตัว ค่อย ๆ ไต่ออกจากหูของคนตาย ปากคาบเอาแก้วหูบ้าง ขี้หูบ้าง ออกมา

    ทิดขี้เมารายนั้น ถูกมดแดงไฟพากันยกโขนงเข้าไปกัดแก้วหู จนถึงแก่ความตาย เป็นการตายโหงอย่างน่าประหลาดที่สุด ทุกวันนี้ยังมีการกล่าวขวัญถึงอย่างไม่รู้จบ เพราะเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เป็นยิ่งนักทีเดียว กรรมที่ด่าว่าพระให้ท่านฉิบหาย ตัวเองก็ฉิบหายไปเอง กรรมที่เอาปืนมาขู่จะฆ่าพระให้ตายโหง ตัวเองก็ตายโหง มันเป็นกรรมที่ให้ผลทันตาเห็น เพราะพระท่านมีศีลบริสุทธิ์ ใครที่บังอาจไปทำร้ายท่าน ก็ย่อมกระท้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง[/FONT]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  5. siwarit

    siwarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +6,173
    ผมไม่ได้สมัครนะครับแต่เอาใจช่วยทุกท่าน

    ไม่ทราบว่าจะผิดกติกาหรือเปล่า ในการจัดทำประวัติเป็นภาษาอังกฤษ ผมพอมีความรู้อยู่บ้างที่จะช่วยพี่ ๆ น้อง ๆ ในนี้ได้ หากไม่ผิดกติกา ผมยินดีนะครับ รบกวนพี่หนุ่มด้วยนะครับ
     
  6. ลี้น้อย

    ลี้น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +450
    นี่แหละ ต้นแบบคนดี ในพ.ศ.นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กรกฎาคม 2010
  7. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เฉพาะการทำ resume ช่วยได้เลยครับ แต่ต้องตรงกับข้อมูลในภาษาไทย
    แต่การเขียนบทความแนวคิดแสดงวิสัยทัศน์ คงจะเป็นผลเสียต่อเจ้าของแน่ หากทำแทนกัน แต่แนะแนวกันได้ครับ เพราะต้องสามารถ present หลักการตามแนวคิดเป็นวิธีการ ในตอนสัมภาษณ์ได้ด้วยครับ
     
  8. thana911

    thana911 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +291
    แบบว่าเห็นด้วยอย่างแรงครับ
     
  9. น้าต๋อย เซมเบ้

    น้าต๋อย เซมเบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    7,815
    ค่าพลัง:
    +58,748
    ผมมีเหรียญพระครูเนตรพุทธปาโส
    ที่ระลึกในานครบรอบ 63 ปี
    ปี 22 เม.ย. 04
    หลังยันต์ใบพัด วัดเวฬุวนาราม

    ไม่ทราบว่าท่านเดียวกันกับหลวงพ่อสำเนียงหรือเปล่าครับ
    ได้มาพร้อมกับพระที่ห้อยอยู่ทุกวัน
    แต่หาข้อมูลในอินเตอร์เนตไม่ค่อยได้....
     
  10. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    เข้ามาอ่านทุกวัน ได้ข้อคิดดีๆ ได้น้ำใจ ได้วิชา ได้ความรู้ แถมอาจจะได้งานอีก
    ขอบคุณอาหนุ่ม และมิตรทุกคนครับ
     
  11. ถิรวุษิ

    ถิรวุษิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,685
    ค่าพลัง:
    +7,520
    หลวงพ่อชุ่ม ผมจำไม่ได้แล้วถ้าจะบนบานกับทานต้องแก้บนด้วยแกงส้มหน่อไม้หรืออะไรนี้แหละครับ เคยไปทำสังฆทานที่วัดนี้มีพระพุทธรูปทรงเครื่องอยู่1องค์สวยงามมากครับ
    มีพระภิกษุอยู่1องค์ท่านอายุมากแล้ว อยู่วัดท่ามะเดื่อ ทุกเช้าเวลาผมขึ้นเวรเช้า ต้องออกจากบ้าน6.00น จะมีคนรอใส่บาตรกับท่านเสมอ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นปกติของคนแถวนั้นอยู่แล้วที่ต้องใส่บาตร จนผมได้มีโอกาสได้ทำบุญใส่บาตรกับท่านจึงได้รู้ว่าที่คนแถวนั้นรอใส่บาตรเพราะอะไร เวลาท่านให้พรท่านจะสวดมนต์อะไรสักอย่างนานมากและก็ให้พรนานมากๆครับ
     
  12. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    วัดเวฬุวนาราม มีมากกว่ายี่สิบแห่งในประเทศไทยเรา ใครพอรู้ข้อมูลพระครูเนตรวัดเวฬุวนารามบ้างครับ แต่ไม่น่าใช่องค์เดียวกับ ลพ.สำเนียง ลำพญานะครับ ท่านใช้ชื่อนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน
     
  13. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ พี่หนุ่มเมืองแกลง และ ญาติธรรม ทุกๆท่าน ราตรีสวัสดิ์ครับ
     
  14. นำทาง

    นำทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,181
    ค่าพลัง:
    +7,865
    เข้ามารายงานตัว ตอนดึก ก่อนที่จะไม่ได้เข้ามาอีก 5-6 วัน เพราะพรุ่งนี้เช้าลางาน กลับบ้านเข้าพรรษา ไปหา พ่อ กับ แม่ .....เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่สมัครงาน ขอให้สมหวังทุกคนนะครับ.....ตามอ่านเกือบไม่จบ วันนี้งานเข้าเลยไม่ได้เข้ามาตลอด เจอเพื่อนร่วมงานที่ย้ายมาใหม่ ไม่ถึงเดือน(แก่แล้ว) ชอบแสดง พาวเวอร์ ว่าฉันเก่งแย่งงานเราไปทำอีกแบบหน้าด้านๆๆเลย ถ้ามีความรู้ไม่ว่าเลยอยากทำเอาไปทำเลย แต่นี้ไม่มีความรู้ทางด้านนี้กลับมาเสนอหน้าเอาไปทำหน้าตามเฉย ผมทำงานด้านกฎหมาย แต่คุณเธอ เป็นธุรการ แต่เสนอหน้าอยากร่างกฎหมายซะงั้น อยากได้ผลงาน ออกคำสั่งแต่งตั้ง กรรมการร่างกฎหมาย ตั้งตัวเองเป็น กรรมหรือเลขานุการ แล้วให้ผมเป็นผู้ช่วยเลขานุการ .....เซ็งเลยวันนี้ แล้วเป็นการพูดคุยกัยวันแรกด้วย ทะเลาะกันเลย....ขอโทษนะครับมาระบายความในใจสักนิด คงไม่ว่ากันนะครับ
     
  15. น้าต๋อย เซมเบ้

    น้าต๋อย เซมเบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    7,815
    ค่าพลัง:
    +58,748
    เป็นวัดเวฬุวนารามใน กทม. ครับ น่าจะแถวดอนเมือง
    ไม่ใช่ท่านเดียวกันครับ..
     
  16. ลูกวัด

    ลูกวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,071
    ค่าพลัง:
    +5,194
    ยินดีรับฟังครับท่าน นำทาง คนจำพวกนี้ทำงานด้วยปากมากกว่า เอาใจช่วยครับ สู้ สู้ :cool:
     
  17. Tawatchai1889

    Tawatchai1889 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    6,406
    ค่าพลัง:
    +16,785
    พระครูเนตรพุทธปาโล วัดเวฬุวนาราม กรุงเทพฯ ปี2504

    คงใช่องค์เดียวกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1570379.jpg
      1570379.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.1 KB
      เปิดดู:
      103
  18. มะบอม

    มะบอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,255
    ค่าพลัง:
    +5,352
    เรียนคุณปู่หนุ่ม

    หลายวันที่ผ่านมาPMไปแต่ไม่ได้รับการตอบกลับเข้าใจครับว่าช่วงนี่กำลังวุ่นๆ จะพยายามไม่ไปรบกวนมาก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะไม่PMไปถามอะไรนะครับ สู้ๆครับ ^^
     
  19. siwarit

    siwarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +6,173
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Um9KsrH377A]YouTube - Extraordinary Pantene Commercial[/ame]

    เรื่องราวดี ๆ ลองดูนะครับ
     
  20. มะบอม

    มะบอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,255
    ค่าพลัง:
    +5,352
    ขอเล่าประสบการณ์หน่อยครับ

    ตั้งแต่ผมได้พระกรุวัดสารนารถมาบูชา เห็นชัดๆเลยว่าชีวิตดูดีขึ้น ชัดเจนมากๆ ปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์อะไรเลยเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ไม่ได้มากขั้นเปลี่ยนเป็นคนละคนไม่ใช่อย่างนั้น แค่ช่วงนี้ที่สังเกตุเห็นได้ชัดเลยคือมี 1.จะฝันดีบ่อยขึ้นมากๆเกือบทุกวันคาดว่าคงเป็นเทพนิมิตหรือไม่ก็เพ้อไปเอง 2.เงินเข้างานเข้าเรื่อยๆทั้งๆที่ยังเรียนอยู่และไม่ได้ทำงานอะไรเลย 3.เมตตามหานิยม จะมีคนมาผูกมิตรมากขึ้นส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบมิตรที่ดีมีไมตรีต่อกัน แต่ยังไม่มีเรื่องเสเน่ห์ต่อเพศตรงข้าม 4.ดูมีความสำคัญมากขึ้น มีบทบาทมากขึ้น ทำดีๆต่อไปคงกลายเป็นคนสำคัญในหมู่มิตรได้ไม่ยาก

    เคยเกิดเหตุการคล้ายแบบนี้มาแล้วช่วงหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ดีกันคนละแบบแทบอยากจะเอามารวมกันให้ครบ เลยมานั่งคิดว่าทำไมบางเรื่องที่เคยดีมาแต่ก่อนมันแตกต่างกับตอนนี้เหมือนกับตัวเลข1-10 เมื่อก่อนนี้เรามี 1,3,5,6,7,8,9,10 แต่ตอนนี้เรามี 2,4 ที่ไม่เคยได้มาแล้วไอ้เมื่อก่อนมันหายไปไหนไม่รู้ มานั่งคิดๆดูเลยทราบดีแล้วว่าเมื่อก่อนตอนนั้นเราปฏิบัติธรรมและแผ่เมตตาทุกวันไม่ขาด เดี๋ยวนี้ละหลวมมากสนใจแต่จะหวังพึ่งวัตถุมงคลเพียงอย่างเดียว เลยคิดขึ้นมาได้ว่า
    *มีพระดี+ทฤษฎีแน่น แต่ ไม่ปฏิบัติ = ได้ผลดีชีวิตดีขึ้น 20%
    *ไม่มีพระ+ไม่สนทฤษฎี แต่ ปฏิบัติ = ได้ผลดีชีวิตดีขึ้น 80 ถึง 100%
    คำว่าปฏิบัติในที่นี้หมายถึงการรักษาเบญจศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ และแผ่เมตตา ทุกวัน
    คำว่าไม่ปฏิบัติในที่นี้หมายถึง ไม่ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา ทุกวัน แต่ยังคงตั้งอยู่ในเบญจศีล

    ตอนนี้มีพระดีแล้ว อยากจะหันมาปฏิบัติให้ได้อย่างเคยบ้างจะได้ครบๆหน่อย รบกวนทุกคนช่วยเป็นกำลังใจ และอนุโมทนาเอาใจช่วยผมด้วยนะครับ ^^

    ขอแถมหน่อย แม่ผมสอนว่า ให้ทำบุญและให้ทานด้วย จะดีมากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...