แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้ผมสมหวัง ดั่งพร ที่คุณ ให้ ครับ

 

อนุโมทนาในน้ำใจพี่ศิษย์หลวงพ่อกวยด้วยครับ

 

คุณลูกน้ำเค็ม วันนี้ ผมพึ่งไปรับพัสดุมา เดี๋ยวจะรีบจัดส่งให้นะครับ ผมจะมอบ ผ้ายันต์ แดง และสติ๊กเกอร์ ติดรถไปให้ด้วย ในฐานะที่ผม ส่งให้ช้าครับ

 

สวัสดีตอนเย็นครับ และยินดีกับทุกท่านที่หลวงพ่อกวยท่านเมตตามาโปรดด้วยนะครับ
อนุโมทนากับทั้งผู้ให้และผู้รับครับ

 

เรื่องเล่าจากวัดอัมพวัน (ต่อ)

[FONT=&quot]ขณะนั้น เขารู้สึกเหมือนตัวเขาไปอยู่ที่อีกแห่งหนึ่งที่ไม่ใช่วัดอัมพวัน รอบตัวเขามีแต่ความมืด ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ในความรู้สึกนั้น ตัวเขากำลังมองมาจากที่สูง ภาพข้างหน้าไกลๆคือทุ่งหญ้าที่มืดมิด มีสายลมเบาๆ แต่บรรยากาศเงียบงันและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก และแล้วภาพที่เห็นก็ค่อยๆชัดขึ้น กลายเป็นจุดดำๆ กระจายเต็มทั่วทุ่งหญ้า สักครู่จุดดำๆแต่ละจุดนั้นก็ขยายใหญ่ชัดเจนขึ้น เขาเห็นจุดดำนั้นมีเขาสัตว์ เป็นลักษณะของส่วนหัววัวหัวควายเต็มไปหมด หัวสัตว์เหล่านั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาจ้องมาที่เขา เขาตกใจไม่อยากมองแต่เหมือนกับมีอะไรมาล็อคเขาไว้ให้ต้องมองภาพนั้น เพราะณ วินาทีนั้นเขารู้แล้วว่าใครคือเจ้ากรรมนายเวรของเขา แต่แปลกที่หัววัวหัวควายเหล่านั้นไม่ได้มีแววตาอาฆาต มันมองมาและผงกหัวน้อยๆแสดงการยอมรับ ความรู้สึกในใจบอกว่าพวกมันคงรับรู้ความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ สักครู่ภาพเหล่านั้นค่อยๆเลือนหายไป เขารู้สึกตัวอีกทีได้ยินสียงนาฬิกาดังบอกว่าหมดเวลา เมื่อจบรอบนั้น เขาลุกขึ้นมาโดยไม่มีอาการปวดขาเลย[/FONT][FONT=&quot]<o>

</o>[/FONT] [FONT=&quot]พี่ย.เล่าเพิ่มเติมว่า หนึ่งในธุรกิจของเขานั้นคือ โรงฆ่าสัตว์ในอำเภอนั้น แม้ว่าเขาเองไม่เคยลงไปทำด้วยตนเอง แต่ก็เป็นเจ้าของและสั่งงาน เขาคิดว่าสัตว์เหล่านี้เป็นอาหารของคน เขาก็เพียงทำหน้าที่ผลิตอาหารป้อนให้กับคนเท่านั้น ไม่เคยคิดเรื่องกรรมเวรใดๆ ที่ต้องพรากพ่อแม่ พรากลูก นำมันมาทำเป็นอาหาร เขาทำกิจการนี้มาหลายปี เมื่อการเงินมีปัญหาเขาก็ได้ขายต่อไป แต่ไม่นึกว่ากรรมที่ก่อไว้กับวัวควายจำนวนมากนั้นจะติดตามเขาถึงเพียงนี้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

[FONT=&quot]พี่ย.บอกว่าเมื่อได้รับรู้แล้ว ก็ตั้งใจจะปฏิบัติธรรมให้ดีตลอดไปเพื่ออุทิศผลบุญกุศลให้กับสัตว์เหล่านั้น ขออโหสิกรรมเพื่อจะได้ชดใช้กับสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว การที่เขาเล่าให้ผมฟังนี่เพื่อให้รู้ว่าเวรกรรมนั้นมีจริง ตัวเขาเองนั้นปฏิบัติได้เล็กน้อย แต่เมื่อมีความตั้งใจ<o></o>ก็ได้ผลอย่างที่เล่ามา และได้รู้ว่าธรรมะนั้นเป็นของจริง และเขาได้รู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้เขาได้มาที่วัดอัมพวันแห่งนี้....
[/FONT]

 

คุณขนมครก18 ผมจัดส่ง ให้แล้ว วันนี้ ครับ

 

หวาดดีครับ พี่หนุ่ม

ดีใจที่พี่กลับมาแล้ว

 

สวัสดีตอนเย็นๆครับเพื่อนๆทุกคน
ไปตะเวนดูงานในต่างจังหวัดมาหลายแห่ง เจดฝนตกทุกวันในภาคเหนือและอีสาน
เพิ่งกลับมากรุงเทพวันนี้เจอฝนตกอีกแล้ว ขอบคุณทุกๆคนที่มีน้ำใจต่อกันเสมอมา
แม้บางครั้งบางที อาจมีอะไรหนักนิดเบาหน่อยต่อกันไปบ้าง ก็เป็นแค่มุมมองที่ต่างกันไป
แต่ที่แน่แท้ที่สุดคือเจตนาดีๆที่ยังคงไว้ต่อเพื่อนๆน้องๆทุกคน หากมีอะไรต้องทำให้ขัดเคืองใจไปบ้าง ผมขออภัยแทนทุกๆคนไว้ด้วยตรงนี้

งานเริ่มมีมากขึ้นแล้ว และต้องเตรียมงานอีกหลายอย่าง คงห่างหายไปบ้างแต่จะแวะเวียนเข้ามาบ่อยๆเมื่อมีโอกาสทุกครั้งครับ และขอแสดงความยินดีกับทุกคน ทั้งผู้ให้และผู้รับในน้ำใจและสิ่งดีๆที่แบ่งปันต่อกัน

 

ดีใจมากครับพี่หนุ่มกลับมาแล้ว คงมีเรื่องราวดีๆมาฝากพี่ๆน้องๆมากมาย ยังไงก็รักษาสุขภาพบ้างนะครับ

 

[VDO][/VDO]

***

ผมก็เชื่ออย่างนั้นครับ ว่าหลวงพ่อลงมาทำพระให้ จึงไม่ได้ขวนขวายที่จะหาพระที่ทันหลวงพ่อเลย(เป็นนิสัยส่วนตัวที่เฉื่อยชา) เชื่อว่า สักวันถ้าวาสนาถึง คงมีทางให้ได้พระที่ทันหลวงพ่อมาบูชา

...ผ้ายันต์ค่ายกล ปี 39 ผมมีอยู่ 1 ผืน...ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าเรียกว่ายันต์อะไร....ก็เข้าไปดูในเว็บวัดโฆสิตาราม....ผ้ายันต์สารพัดกัน จะเป็นอีกแบบ เรียกไม่ค่อยถูก ก็พยายามศึกษาครับ....แต่จะให้จดจำตำหนิ ดูเนื้อ ดูพิมพ์ ว่าแท้ไม่แท้....สารภาพครับว่าไม่ไหวครับ ด้วยนิสัยส่วนตัว ไม่ชอบ ไม่ถนัด...

...แต่ก็ดีใจกับทุกๆคนนะครับ ที่มีพระของหลวงพ่อกวยไว้บูชา...

 

พี่หนุ่มกลับมาแล้วครับ สวัสดีครับ...

 

สวัสดีครับพี่หนุ่มเหนื่อยมัยครับเดินทางหลายวัน ดีใจที่พี่มานะครับ วันนี้ในใจนึกว่าพี่หนุ่มต้องเข้ามาตอนดึกแน่นอน แต่กลับมาเร็วกว่าที่คิด

 

ในนี้มีใครถามถึงพระหลวงพ่อผินะหรือเปล่าครับ
ถ้าเป็นแบบอิทธิฤทธิ์ของท่าน ผมคิดว่าก็น่าจะดีเช่นกัน
แต่ของในตลาดจะเก๊ แท้ ยังไงนี่ ผมก็ยังไม่ค่อยประสาเท่าไร
ใครพอมีความรู้ทางนี้บ้างครับ อยากรู้เหลือเกิน
ผมมองหาทางไปวัดตอนนั่งรถมาจากโคราชก็ไม่รู้ว่าวัดเขาไปทางไหน
โดยส่วนตัวก็ชอบวัตถุมงคลของท่านครับ มองดูแล้วถูกชะตาดี
แต่พอดีแขนสั้น เอื้อมไม่ถึง ราคาแรงงงงจัง

ช่วงนี้กำลังหาข้อมูลเรื่องเบี้ยแก้ วัดบางระโหง อยู่ครับ
ถ้าได้ข้อสรุป จะนำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน

 

สยามประเทศ เสีย แผ่นดินให้ ประเทศ มหาอำนาจ

เพราะ ไม่อยากใหคนไทยต้องเสียเลือดเนี้อ อีก ไม่อยากให้ ประชาชน สยาม เป็น เมืองขึ้น ใคร


รักประเทศไทย ครับ

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=cE_lIDIWw9Q"]YouTube - บันทึกความแค้นแห่งสยาม[/ame]


เมื่อกี้ฟังข่าว เจ้าหน้าที่ กัมพูชา ขอคุยกับ เจ้าหน้าที่ไทย ว่า ขอให้ ยอมรับเรื่อง เอกสาร ที่เค้า ยื่นให้ คณะกรรมการ แต่ เจ้าหน้าที่ ไทย ไม่ยอม

 

น้าต้อย ครับ ด้วยความเคารพ ผมทราบมาว่า เสริม ออกมา เยอะ มาก ยิ่ง ปลัดหัวชะมด ช่างแกะ ยังมีชีวิตอยู่ คนขายไปจ้างแกะ ตัวละ 500 - 1000 มาขาย ตัว เป็น หมื่น เลยอ่ะครับ

ผมเคยไปอยู่ 2 ครั้ง ต้องไปกลับรถ ตรงสะพาน....จำชื่อไม่ได้ ใช่แยกพิหารแดง อะไรเนี่ยครับ ผมไม่แน่ใจ พอกลับรถก็ ขับตรงไป ประมาณ 2-3 กิโล ครับ วัดอยู่ ซ้ายมือเลยครับ

 

สวัสดีครับพี่หนุ่ม

 

สวัสดีตอนค่ำครับพี่หนุ่ม

 

วันนี้เราจะมาย้อนรอยเขาพระวิหาร!!!




ความเป็นมาของเขาพระวิหาร
เขาพระวิหาร >>> ที่ตั้งของเขาพระวิหารอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนชายแดน ไทย-กัมพูชา ระหว่างอำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ของกัมพูชา และอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารโครงสร้างส่วนใหญ่ของปราสาทเขาพระวิหารสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 และ สุริยวรมันที่ 2 ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 11 และ 12 ตามลำดับ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2442






ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีนได้ทำสนธิสัญญา พ.ศ. 2447 ในการปักปันเขตแดนกับราชอาณาจักรสยาม โดยระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในแผนดินไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฝ่ายเดียว ส่งมองให้สยาม 50 ชุด และมีแผ่นหนึ่งคือ “แผ่นดงรัก” ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และ “ไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ประสาทเขาพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา”โดยที่รัฐบาลสยามในขณะนั้น ไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าว ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 ประเทศฝรั่งแพ้สงครามต่อประเทศเยอรมัน ทำใแสนยานุภาพ ทางทหารลดลง








จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้เรียกร้องดินแดนไทนที่เสียไปในรัชสมัย ร.5 คืนจากฝรั่งเศส ทำให้เกิดสงครามพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้นในปี พ.ศ. 2484
ซึ่งในขณะนั้นประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นเสนอตัวไกลเกลี่ยและฝรั่งเศสได้ตกลงคืน จ.ไชยบุรี, จ. จำปาศักดิ์, จ. เสียมราฐ, และ จ. พระตะบอง ให้กับไทยตามอนุสัญญาโตเกียวต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ประเทศไทยประกาศเป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น เมื่อสิ้นสงครามประเทศญี่ปุ่นได้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ประเทศไทยต้องคืน ทั้งสี่จังหวัดให้กับฝรั่งเศสและประสาทเขาพระวิหารจึงกลับไปสู่บริเวณชายแดน ไทยกัมพูชา





ในปี พ.ศ. 2497 ฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อเวียดนามที่เดียนเบียนฟู ต้องถอนทหารออกจากอินโดจีน ประเทศไทยกัมพูชาได้รับเอกราชตามสนธิสัญญาเจนีวา และไทยได้ส่งทหารเข้าไปรักษาการบริเวณปราสาทพระวิหารอีกครั้ง





ภายหลังกัมพูชาได้รับเอกราชเจ้านโรดมสหนุ กษัตริย์กัมพูชาสละราชสมบัติเข้าสู่การเมือง ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร และไทยไม่ยอมรับ เจ้านโรดมจึงประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501







และในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องร้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือ ศาลโลก ให้ไทยคืนปราสาทเขาพระวิหาร ฝ่ายไทยได้ต่อสู้คดีโดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับคณะอีก 13 คน โดยทั้งสองฝ่ายไทยและกัมพุชาให้พิจารณาปัญหาดังกล่าวที่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2502







คดีนี้ศาลโลกได้ตัดสินให้ “ตัวปราสาทเขาพระวิหาร” ตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ท่ามกลางความไม่พอใจของฝ่ายไทย โดยเห็นว่าศาลโลกตัดสินคดีนี้อย่างไม่ยุติธรรมเนื่องจากศาลโลกยึดติดอยู่บนแผนที่ฉบับเดียว โดยที่ศาลโลกไม่ได้มีการตรวจสอบสถานที่อย่างจิงจังตามข้อตกลง ไทย-ฝรั่งเศส ทำให้ตำรวจตระเวนชายแดนทำพิธีเชิญเสาธงบนยอดเขาพระวิหาร พร้อมกับยกธงชาติไทย(พูดง่ายๆว่าขุดเลยดีกว่า) ออกจากบริเวณปราสาทพระวิหารท่ามกลางความเศร้าสลดใจของคนไทยทั้งชาติด้วยความรักชาติ ความมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมลดธงชาติลงจากเสา ตำรวจตระเวนชายแดนขดเสาธง ออกจากเขาพระวิหาร







และ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศแถลงการณ์ว่า " ด้วยเลือดและนําตา สักวันหนึ่งเราจะต้องเอาเขาพระวิหารคืนมาให้จงได้ "








อย่างไรก็ตาม การตัดสินคดีนี้ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องอาณาเขตทับซ้อนระหว่าง ไทย-กัมพูชา ในบริเวณดังกล่าวให้หมดไป และยังส่งผลให้เป็นปัญหาเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน และผลงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้ทำข้อตกลงที่ไทยสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียน “ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก” ของกัมพูชาในเงื่อนไขให้ขึ้นทะเบียน “เฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหาร”






ฝ่ายรัฐบาล โดยนาย นพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ ยืนยันพร้อมแสดงแผนฝังบริเวณปราสาทที่ฝ่ายกัมพูชาจะใช้ยื่นต่อยูเนสโกขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกว่า “กรมแผนที่ทหาตรวจสอบบริเวณดังกล่าวแล้ว ไม่มีส่วนใดล้ำเข้ามาในดินแดนไทยที่อ้างสิทธิ์"(พูดไปได้ --!)














จากเหตุการณ์ที่เกิดมาทั้งหมดนี้ Thailandlism มองว่ารัฐบาลไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างจริงจัง เพราะตั้งแต่สมัย ร.5 ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศไทย แต่ประเทศไทยเสียดินแดนสี่จังหวัดให้กับประเทศกัมพูชา เนี่องด้วยเพราะว่าศาลโลกที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ตัดสินว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพียงแค่แผนที่แผ่นเดียวที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นคนเขียนขึ้น แต่รัฐบาลไทยในสมัยนั้นก็กรักษาเขาพระวิหารมาตลอด โดยขัดค้านก็ขอให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกมาโดยตลอด

แต่! รัฐมนตรี่ว่าการกระทรวงต่างประเทศสมัยรัฐบาลสมัครกลับไปลงนามเห็นด้วยให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยการลงนามในแถลงการณ์ ไทย-กัมพูชา
ซึ่งหมายความว่าไทยเห็นด้วยกับเรื่องที่ว่าเขาปราสาทพระวิหารเป็นขอมกัมพูชา
"ไปโดยปริยาย"
ทำให้ประเทศไทยอาจเสียดินแดนไปถึง 4.6 ตารางกิโลเมตร
เพื่อนๆอาจจะมองว่าแค่ 4.6 ตร.กม.ไม่สำคัญ
แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้สงผลกระทบต่อผู้คนที่อาศัยอยู่บริเขตทับซ้อนไทย-กัมพูชา
พวกเขาอาจจะไม่มีที่พักอาศัย ขาดรายได้จากการท่องเที่ยว
และอื่นๆอีกมากมาย ​

ขอขอบคุณแหล่งที่มา thailandlism.blogspot.com/.<WBR>../blog-post_13.html





เรื่องราวพิพาทระหว่างประเทศที่กลายมาเป็น “ขอตกลง” แต่กลับเป็นข้อพิพาทภายในประเทศ มีลำดับเหตุการณ์ดังนี้


12 พ.ค. 2551 นาย นพดล ปัทมะ รมว. การต่างประเทศแจ้งว่า จะเดินทางไปยังเกาะกง กัมพูชา ในวันที่ 14 พ.ค. เพื่อนร่วมเปิดถนนสายที่ 48 กับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และหารือถึงการทำบัยทึกความเข้าใจ เรื่องการบริหารและจัดการร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร






22 พ.ค. 2551 นาย พพดล กับ นาย สก อาน ได้หารือที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส โดยมีผู้แทน ระดับสูงของยูเนสโกเข้าร่วมด้วย ทั้งสองฝ่ายดังนี้

1.ไทยจะสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกซึ่งเสนอโดยกัมพูชา

2.กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหาร โดยฝ่ายกัมพูชาจะจัดทำแผนที่ฉบับใหม่แสดงขอบเขตปราสาทเขาพระวิหารเพื่อใช้แทนแผนที่ฉบับเดิมที่กัมพูชาใช้ประกอบคำขอขึ้นทะเบียน

3.การขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกจะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนของคณะกรรมาธิ การเขตแดนร่วม

4.ทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมกันจัดทำแผนบริหารจัดการในพื้นที่ที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนโดยสอดคล้องกับมาตรฐานการอนุรักษ์ระดับสากล เพื่อเสนอคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาภายในวันที่ 1 ก.พ.2553
30 พ.ค. 2551กรณีที่ถูกวิจารณ์ว่า แผนที่ที่ทางกัมพูชายื่นให้ฝ่ายไทยรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยประมาณ 200 เมตร นายนพดล ชี้แจงว่า ไทยถือแผนที่คนละฉบับกับกัมพูชา ไทยใช้แผนที่ แอล 7017 มาโดยตลอดตั้งแต่ศาลโลกมีคำวินิจฉัยและทุกหน่วยงานของไทยใช้แผนที่ฉบับดังกล่าวเช่นกัน





นายปองพล อดิเรกสาร ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก กล่าวกรณีปราสาทพระวิหารว่า หลังจากศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ห้ามมิให้นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ดำเนินการใดๆ ที่เป็นการอ้างหรือใช้ประโยชน์จากมติครม.






- 18 มิ.ย. 2551 นายนพดลลงนามในข้อตกลงร่วมกับกัมพูชาเมื่อ 22 พ.ค.2551 จากนั้นเปิดแถลงข่าวแสดงแผนที่ยืนยันว่า ไทยไม่เสียดินแดน และการลงนามในคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร ของ "นายนพดล ปัทมะ" รมว.ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190






-คำแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว ประกอบด้วยการกระทำระหว่างรัฐต่อรัฐ เป็นลายลักษณ์อักษร โดยผู้มีอำนาจทำหนังสือสัญญาของทั้ง 2 ประเทศซึ่งปกติคำแถลงการณ์ร่วมที่ไม่ต้องการให้มีผลทางกฎหมายนั้นไม่มีความจำเป็นต้องลงนาม แต่ในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวกลับมีรมว.การต่างประเทศเป็นผู้ลงนาม ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากเป็นหนังสือสัญญาที่มีความสำคัญ สมควรได้รับการพิจารณาโดยรอบจากครม.ที่เป็นฝ่ายบริหาร และรัฐสภาที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติและเป็นตัวแทนของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
สำหรับแถลงการณ์ร่วมฯ ลงวันที่ 18 มิ.ย. 2551 แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม




แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมฯ ประกอบแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำโดยประเทศกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง จึงต้องรับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง” คำวินิจฉัยกลางระบุ


- 8 ก.ค. 2551 ยูเนสโกประกาศให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ทั้งที่ พื้นที่บางส่วนของปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตราชอาณาจักรของประเทศไทย โดยการดำเนินการของกระทรวงต่างประเทศ ที่มีนายนพดล ปัทมะ เป็นเจ้ากระทรวง ส่งผลให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศรู้สึกเสมือนสูญสิ้นอำนาจอธิปไตยไปให้ต่างชาติ หลังจากที่เราไม่เคยเสียดินแดนไปให้ชาติใดมานานนับ 100 ปี








โดยมีรายชื่อคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ ที่จะเข้าร่วมประชุมพิจารณามรดกโลก ที่เมืองคิวเบก ประเทศแคนาดา ประกอบด้วย ออสเตรเลีย, บาห์เรน, บาบาดอส, บราซิล, แคนาดา, จีน, คิวบา, อียิปต์, อิสรา เอล,จอร์แดน, เคนยา, มาดากัสตาร์, มาริติอุส, โมร๊อคโก, ไนจีเรีย, เปรู, เกาหลีใต้, สเปน, สวีเดน, ตูนีเซีย และสหรัฐอเมริกา
คณะกรรมการมรดกโลกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมปี 2008 มีชื่อ The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear (Cambodia) หรือ ปราสาทพระวิหาร (กัมพูชา)





- 8 ก.ค. 2551 ชาวกัมพูชาโบกธง เต้นรำตามเพลงและจังหวะเสียงกลองที่บริเวณตลาดกลางเมืองหลวงหลังได้ทราบข่าวการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในคืนวันจันทร์ ภาพการเฉลิมฉลองเช่นนี้เห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนรอบๆ กรุงพนมเปญ (T-T)


-8 ก.ค. 2551 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้ให้โอกาสนายนพดลชี้แจงแล้ว(4 ก.ค.) จึงมีมติเอกฉันท์ 9 เสียงว่า แถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว มีลักษณะครบองค์ประกอบของความเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา จึงเป็นหนังสือสัญญาตาม รธน.มาตรา 190 ส่วนหนังสือสัญญาหรือแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 190 หรือไม่นั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 : 1 เสียง










-วันที่ 10 ก.ค. 2551ที่โถงห้องวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงลาออกเป็นทางการ หลังเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ พร้อมทั้งยืนยันว่า “ตนไม่ได้ทำอะไรผิด ตนทำดีที่สุดแล้วและได้ปกป้องไม่ให้ไทยเสียดินแดน”
(ทำอะไรผิด ก็แค่ลาออก แผ่นดินไทยหายไป 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นความผิด ลาออก แค่เนี่ย!)




"เมื่อเราสนับสนุน ให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลก(ฝีมือนพดล) กระทรวงการต่างประเทศได้ประกาศทางออกของเขาพระวิหาร ว่า ประเทศไทยต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกสหประชาชาติ"


"แล้วอีกข้อหนึ่งข้องใจมาก รัฐบาลทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ประกาศว่า รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ร่วม เพราะว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วม
เป็นสนธิสํญญา ซึ่งไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ จึงทำให้ไม่ผลในการบังคับใช้ อย่างน้อยรัฐบาลก็ออกมาประกาศว่าประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับการลงนามแถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชา อย่างเป็นทางการ"

"มัวแต่แก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไงก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนุญ อะไรที่ตนเองทำแล้วขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็แก้รัฐธรรมนูญมันซะ ขอถามหน่อยว่าจะมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศทำไม"



"การทำงานของรัฐบาลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับรัฐธรรมนูญรัฐาลได้แต่พยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับผู้บริหารปกครองประเทศทำให้ประชาชนไม่ได้รับความดูแลเท่าที่ควร(จนถึงถูกทอดทิ้ง) ส่งผลให้การทำงานที่จะพัฒนาประเทศเป็นไปได้อย่างไม่เต็มที่"

"เสียศักดิ์ เสียศรี"
ใช่เสียแค่ปราสาท
แต่เสียชาติและเสียหน้า
รัฐบาลไร้เดียงสา
ไม่รู้สึกไม่รู้สม ​

ลุกลี้ไปรับรอง
แลลุกลนมีลับลม
ซ่อนเล่ห์อันโสมม
ด้วยสามานย์สันดานเดิม ​

รับรองเป็นของเขา
สะเพร่าพลาดสะเพร่าเพิ่ม
โอหัง ยังเหิมเกริม
ไม่รู้หนาว ไม่รู้ร้อน ​

เสียสิทธิ์ ทักท้วงสิทธิ์
เหนือพื้นที่ ที่ทับซ้อน
เสียขวัญ ทวยนาคร
และเสียศรีสะเกษศรี ​

ไม่ใช่เรื่องคลั่งชาติ
และไม่ใช่เรื่องไมตรี
เป็นเรื่องเราเสียที
ก็เพราะคนของเราเอง ​

สงสารประเทศไทย
ที่ปล่อยให้เขาข่มเหง
แต่นี้ จะร้องเพลง
ประเทศไทย...ให้ใครฟัง ​

โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์​

 

ขอให้สงสัยต่อไปอีกหน่อยนะครับ คนระแวงและขี้สงสัยมีสองพื้นฐานหลักคือ ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยหรือเป็นคนละเอียดรอบคอบมาก แต่คนส่วนหนึ่งขาดการสนใจสภาวะของโลก จึงไม่เคยติดตามข่าวคราวรอบโลกในแผนงานต่างๆระดับภูมิภาคของโลก ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นกรรมการในมูลนิธินะครับ แต่ผมช่วยดูแลบริหารโครงการอยู่ แล้วผมกำหนดเฉพาะคนในเวปนี้ที่ผมต้องการเปิดโอกาสเป็นพิเศษ ไม่ได้เปิดให้ทุกท่านหรือคนภายนอกมีโอกาสเท่ากัน หรือพูดง่ายๆว่าผมพอใจเฉพาะคนที่ผมเห็นว่า เป็นคนมีความสามารถและมองเห็นโอกาสดีๆเท่านั้น โดยผมกำหนดไว้แค่ภายในวันที่ 3/8/53 นะครับไม่ใช่ก่อนวันที่ 2/8/53 (ต้องมีความละเอียดให้มากกว่านี้)

ชื่อผมหรือชื่อมูลนิธิ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกในนี้แต่ประการใด เพราะไม่ได้เปิดรับเป็นทางการ ไม่มีการเรียกค่าตอบแทนใดๆและเป็นการเสนอเงื่อนไขเป็นส่วนตัว หากใครยังมีข้อสงสัย ไม่มั่นใจ ก็อย่าได้สนใจก็แค่นั้นเองครับ หากเป็นคนที่อ่านมาตลอดและเก็บเรื่องราวมาได้บ้างไม่ใช่เพิ่งเข้ามาเวลานี้ คงคิดและวิเคราะห์เป็น ก็คงเข้าใจอะไรบ้างแล้วว่าทำไมถึงยังไม่บอกอะไรมากกว่านี้ ขอย้ำว่า นี่ไม่ใช่การรับสมัครงานของบริษัททั่วไป แต่เป็นการเปิดโอกาสเฉพาะเพื่อนๆในวงในเท่านั้น เก่งมาจากใหนก็ไม่สนใจและไม่แคร์ หากไม่ได้คุ้นเคยกันในกระทู้นี้มาก่อน และสำหรับการเปิดรับผู้บริหารจากภายนอกทั่วไปนั้น กำหนดรับปริญญาโทขึ้นไปเท่านั้น

นี่เป็นการเปิดโอกาสเฉพาะเพื่อนๆในกระทู้นี้เท่านั้นครับในโค้วต้าจำกัด คนภายนอกไม่มีสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น จึงเรียนมาเพื่อโปรดเข้าใจในเจตนาอีกครั้ง