พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ๒๑. พระปุสสพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้ประธานธรรมอันประเสริฐ
    ความสูง : ๕๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าชนเสน
    พุทธมารดา: พระนางสิริมา
    พระนคร : กาสิกะ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑,๐๐๐ ปี
    มเหสี กิสาโคตรมี
    บุตร วานันทะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงช้างออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๖ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นอามลกะ (ต้นมะขามป้อม)
    อายุขัย :๙๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนเสนาราม

    ๒๒. พระวิปัสสีพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้หาที่เปรียบมิได้
    ความสูง : ๘๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปไกล ๗ โยชน์
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าพันธุมันตะ
    พุทธมารดา: พระนางพันธูมดี
    พระนคร : พันธุมดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    มเหสี สุมนา
    บุตร อนูปมะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงรถเทียมม้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๘ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นปาตลี (ต้นแคฝอย)
    อายุขัย :๘๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนสุมิตตาราม

    ๒๓. พระวสิขีพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
    ความสูง : ๘๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปไกล ๓ โยชน์
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าอรุณวันต
    พุทธมารดา: พระนางปภาวดี
    พระนคร : อรุณวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๗,๐๐๐ ปี
    มเหสี สรรพกามา
    บุตร อตละ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงช้างออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๘ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นปุณฑริกะ(ต้นมะม่วงป่า)
    อายุขัย :๗๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนทุสสาราม

    ๒๔. พระวเวสสภูพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้ประทานความสุข
    ความสูง : ๖๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าปุปผวติกะ
    พุทธมารดา: พระนางยสวดี
    พระนคร : อโนมนคร
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    มเหสี สุจิตรา
    บุตร สุปปพุทธ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ประทับวอทองออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๖ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นมหาสละ (ต้นรังใหญ๋)
    อายุขัย :๖๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนเขมาราม


    ๒๕. พระกกุสันธพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้นำสัตว์ออกจากที่กันดาร คือ กิเลส
    ความสูง : ๔๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปไกล ๑๐ โยชน์
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : พราหมณ์
    พุทธบิดา: อัคคิทัตพราหมณ์
    พุทธมารดา: นางพราหมณีวิสาขา
    พระนคร : เขมาวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๔,๐๐๐ ปี
    มเหสี ไม่ปรากฏชื่อ
    บุตร อุตระ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : นั้งรถเทียมม้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๘ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นสรีสะ (ต้นไม้ซึก)
    อายุขัย :๔๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนเขมาราม

    ๒๖. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้หักเสียซึ่งข้าศึกคือ กิเลส
    ความสูง : ๓๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปหาประมาณมิได้
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : พราหมณ์
    พุทธบิดา: ยัญญทัตพราหมณ์
    พุทธมารดา: นางพราหมณีอุตตรา
    พระนคร : พโสภวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๓,๐๐๐ ปี
    มเหสี รุจิคคตา
    บุตร สัตตวาหะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงม้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๖ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นอุทุมพร (ต้นมะเดื่อ)
    อายุขัย :๓๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนปัพพตาราม


    ๒๗. พระกัสสปพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้สมบรูณ์ด้วยสิริ
    ความสูง : ๒๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปหาประมาณมิได้
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : พราหมณ์
    พุทธบิดา: พรหมทัตพราหมณ์
    พุทธมารดา: นางพราหมณีธนวดี
    พระนคร : พาราณสี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๒,๐๐๐ ปี
    มเหสี สุนันทา
    บุตร วิชิตเสน
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงเดินเท้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๗วัน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นนิโครธ (ต้นไทร)
    อายุขัย :๓๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่เสตัพยอุทยาน แค้วนกาสี
     
  2. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    คาถาพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์

    นะโม ๓ จบ

    ตัณ เม สะ ทิ โก มัง สุ เร โส
    อะ มะ นา ปะ สุ สุ ปิ
    อะ ทะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว
    กุ โก กะ โค นะ มา มิ หัง

    เป็นคาถาอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๘ พระองค์
    ให้เกิดสิริมงคล ความสวัสดีมีชัย คุ้มครองป้องกัน ภัย อันตราย ต่างๆ
    ......ปฏิปทาพิเศษของพระโพธิญาณที่บำเพ็ญบารมีเฉพาะกิจ นอกเหนือจาก ปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ วิริยะธิกะ ตัวอย่างเป็นบารมีเฉพาะกิจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้า ๒๘ พระองค์
    .......ความเสียสละของพระโพธิญาณที่ทำบารมีเกิน จึงถือว่าท่านหาความประเสริฐสุดให้แก่เหล่าพุทธบริษัทแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ บำเพ็ญบารมีเกินปกติ
    ........ใคร่ให้พวกเราทั้งหลายมีความนอบน้อมในพระพุทธเจ้า แล้วระลึกถึงคุณท่านด้วยความจริงใจด้วยการปฏิบัติบูชา




    นมัสการพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์

    นะโม เม สัพพะพุทธานัง
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง
    อุปปันนานัง มะเหสินัง
    ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ซึ่งได้อุบัติแล้ว คือ

    ๑. ตัณหังกะโร มะหาวีโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระตัณหังกรผู้กล้าหาญ

    .๒. เมธังกะโร มะหายะโส
    ปฏิปทาพิเศษของพระเมธังกรผู้มียศใหญ่

    ๓. สะระณังกะโร โลกะหิโต
    ปฏิปทาพิเศษของพระสรณังกรผู้เกื้อกูลต่อชาวโลก

    ๔. ทีปังกะโร ชุตินธะโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระทีปังกรผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง

    ๕. โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
    ปฏิปทาพิเศษของพระโกณฑัญญะผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน

    ๖. มังคะโล ปุสิสาสะโก
    ปฏิปทาพิเศษของพระมังคละผู้เป็นบุรุษประเสริฐ

    ๗. สุมะโน สุมะโน ธีโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระสุมนะผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหฤทัยงาม

    ๘. เรวะโต ระติวัฑฒะโน
    ปฏิปทาพิเศษของพระเรวะตะผู้เพิ่มพูนความยินดี

    ๙. โสภิโต คุณสัมปันโน
    ปฏิปทาพิเศษของพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ

    ๑๐. อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
    ปฏิปทาพิเศษของพระอโนมทัสสีผู้สูงสุดอยู่ในหมู่ชน

    ๑๑. ปะทุโม โลกะปัชโชโต
    ปฏิปทาพิเศษของพระปทุมะผู้ทำให้โลกสว่าง

    ๑๒. นาระโท วาระสาระถี
    ปฏิปทาพิเศษของพระนารทะผู้เป็นสารถีประเสริฐ

    ๑๓. ปะทุมุตโต สัตตะสาโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระปทุมุตตระผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์

    ๑๔. สุเมโธ อัปปะฏิบุคคะโล
    ปฏิปทาพิเศษของพระสุเมธะผู้หาบุคคลเปรียบมิได้

    ๑๕. สุชาโต สัพพะโลกัคโค
    ปฏิปทาพิเศษของพระสุชาตะผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง

    ๑๖. ปิยะทัสสี นะราสะโภ
    ปฏิปทาพิเศษของพระปิยทัสสีผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน

    ๑๗. อัตถะทัสสี การุณิโก
    ปฏิปทาพิเศษของพระอัตถทัสสีผู้มีพระกรุณา

    ๑๘. ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
    ปฏิปทาพิเศษของพระธรรมทัสสีผู้บรรเทาความมืด

    ๑๙. สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
    ปฏิปทาพิเศษของพระสิทธัตถะผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก

    ๒๐. ติสโส จะ วะทะตัง วาโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระติสสะผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย

    ๒๑. ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
    ปฏิปทาพิเศษของพระปุสสะผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ

    ๒๒. วิปัสสี จะ อะนูปะโม
    ปฏิปทาพิเศษของพระวิปัสสสีผู้ที่หาเปรียบมิได้

    ๒๓. สิขี สัพพะหิโต สัตถา
    ปฏิปทาพิเศษของพระสิขีผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์

    ๒๔. เวสสะภู สุขะทายะโก
    ปฏิปทาพิเศษของพระเวสสภูผู้ประทานความสุข

    ๒๕. กะกุสันโธ สัตถะวาโท
    ปฏิปทาพิเศษของพระกกุสันโธผู้นำสัตว์ออกจากสันดารตัวกิเลส

    ๒๖. โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
    ปฏิปทาพิเศษของพระโกนาคมนะผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส

    ๒๗. กัสสะโป สิริสัมปันโน
    ปฏิปทาพิเศษของพระกัสสปะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ

    ๒๘. โคตะโม สักยะปุงคะโว
    ปฏิปทาพิเศษของพระโคตมะผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช

    เตสาหัง สิระทา ปาเท วันทามิ ปุริสัตตะเม วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต
    ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระบาทของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า และขอกราบไหว้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้เป็นบุรุษอันสูงสุด ผู้เป็นตถาคตด้วยวาจาและใจทีเดียว

    สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา
    ทั้งในที่นอนในที่นั่ง ในที่ยืน และแม้ในที่เดินด้วย ในกาลทุกเมื่อฯ

    ตัณ เม สะ ที โก มัง สุ เร โส อะ ปะ นา ปะ สุ สุ
    ปิ อะ ธะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว กุ โก กะ โค นะมามิหัง

    พระนามพระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์แรกถึงองค์ปัจจุบัน โบราณจารย์ท่านถือว่าเป็นพระคาถาแก้วสารพัดนึก
     
  3. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พระพุทธเจ้าในอดีต ๒๗ พระองค์
    ( นับแต่กัปซึ่งพระโพธิสัตว์เจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ )

    โดยในแต่ละกัลป์(กัป) จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ดังนี้
    - สารมัณฑกัลป์ มี ๔ พระองค์ คือ ตัณหังกร, เมธังกร, สรณังกร, ทีปังกร
    - สารกัลป์ มี ๑ พระองค์ คือ โกณทัญญญะ
    - สารมัณฑกัลป์ มี ๔ พระองค์ คือ มังคละ, สุมนะ, เรวัตะ, โสภิตะ
    - วรกัลป์ มี ๓ พระองค์ คือ อโนมทัสสสี, ปทุม, นารทะ
    - สารกัลป์ มี ๑ พระองค์ คือ ปทุมุตระ
    - มัณฑกัลป์ มี ๒ พระองค์ คือ สุเมมธะ, สุชาตะ
    - วรกัลป์ มี ๓ พระองค์ คือ ปิยะทัสสสี, อรรถทัสสี, ธรรมทัสสี
    - สารกัลป์ มี ๑ พระองค์ คือ สิตธัตตถะ
    - มัณฑกัลป์ มี ๒ พระองค์ คือ ติสสะะ, ปุสสะ
    - สารกัลป์ มี ๑ พระองค์คือ วิปัสสี
    - มัณฑกัลป์ มี ๒ พระองค์คือ สิขี, เวสสภู
    - ภัทรกัลป์ (กัลป์ปัจจุบัน) มี ๕ พระองค์คือ กกุสนธะ, โกนาคมน์, กัสสปะ, โคดม(ปัจจุบัน)


    พระนามพระพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์ในอดีต ถึงปัจจุบัน
    ๑ พระพุทธตัณหังกร
    ๒ พระพุทธเมธังกร
    ๓ พระพุทธสรณังกร
    ๔ พระพุทธทีปังกร
    ๕ พระพุทธโกณทัญญะ
    ๖ พระพุทธมังคละ
    ๗ พระพุทธสุมนะ
    ๘ พระพุทธเรวัตะ
    ๙ พระพุทธโสภิตะ
    ๑๐ พระพุทธอโนมทัสสี
    ๑๑ พระพุทธปทุม
    ๑๒ พระพุทธนารทะ
    ๑๓ พระพุทธปทุมุตระ
    ๑๔ พระพุทธสุเมธะ
    ๑๕ พระพุทธสุชาตะ
    ๑๖ พระพุทธปิยะทัสสี
    ๑๗ พระพุทธอรรถทัสสี
    ๑๘ พระพุทธธรรมทัสสี
    ๑๙ พระพุทธสิทธัตถะ
    ๒๐ พระพุทธติสสะ
    ๒๑ พระพุทธปุสสะ
    ๒๒ พระพุทธวิปัสสี
    ๒๓ พระพุทธสิขี
    ๒๔ พระพุทธเวสสภู
    ๒๕ พระพุทธกกุสนธะ
    ๒๖ พระพุทธโกนาคมน์
    ๒๗ พระพุทธกัสสปะ
    ปัจจุบัน พระพุทธโคดม

    นะโม เม สัพพะพุทธานัง ทะวัตติงสาวะระลักขะโณ ตัณหังกะโร มะหาวีโร เมธังกะโร มะหายะโส สะระณังกะโร โลกะหิโต ทีปังกะโร ชุตินธะโร โกญฑัญโญ ชะนะปาโมกโข มังคะโล ปุริสาสะโภ สุมะโน สุมะโน ธีโร เรวะโต ระติวัฑฒะโน โสภิโต คุณะสัมปันโน อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม ปะทุโม โลกะปัชโชโต นาระโท วะระสาระถิ ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร สุเมโธ อัคคะปุคคะโล สุชาโต สัพพะโลกัคโค ปิยะทัสสี นะราสะโภ อัตถะทัสสี การุณิโก ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท สิทธัตโถ อะสะโม โลเก ติสโส จะ วะทะตัง วะโร ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ วิปัสสี จะ อะนูปะโม สิขี สัพพะหิโต สัตถา เวสสะภู สุขะทายะโก กะกุสันโธ สัตถาวาโห โกนาคะมะโน ระณัญชะโห กัสสะโป สิริสัมปันโน โคตะโม สักะยะปุงคะโว ฯ อัฏฐะวีสะติ สังขาตา อิเม พุทธา มะหิทธิกา กะรุณา คุณะสัมปันนา สัพพะโลกาภิปูชิตา เอเต ทะสะ พะลา พุทธา อุตตะมา อัคคะปุคคะลา เตปิ สังฆะคุณา อาสุง ปีติเย อะมะตัง ปะทัง เอเต พุทธา อะตีตา จะ มังคะลา โหนติ สัพพะทา อัฏฐะวีสะติ เม พุทเธ อะหัง วันทามิ สัพพะทา เตสัง ญาเณนะ สีเลนะ ขันตีเมตตาพะเลนะ จะ เตปิ โน อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ อัฏฐะวีสะติ เม พุทเธ โย นะโร สะระณัง คะโต กัปปานิ สะตะสะหัสสานิ ทุคคะติง โส นะ คิจฉะติ อัฏฐะวีสะติ พุทธะปะริตตัง<!-- google_ad_section_end --> __________________
     
  4. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    24 พุทธพยากรณ์ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ๑.ยุค พระปัจฉิมทีปังกรพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นดาบส ชื่อ สุเมธ ได้สละทรัพย์ที่มีอยู่หลายโกฏิเป็นทาน แล้วออกบวชเป็นฤาษี วันหนึ่งขณะชาวบ้านกำลังทำถนน สุเมธดาบสได้ลงมาช่วยพร้อมทั้งนอนคว่ำลงบนดินโคลนเพื่อเป็นสะพาน ให้ พระทีปังกรพุทธเจ้าได้เดินเหยียยบข้ามไปและ ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงพระนามว่า โคดม

    ๒.ยุค พระโกณฑัญญพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า วิชิตาวี ได้ถวายทานพระภิกษุสงฆ์แสนโกฏิองค์ โดยมีพระโกณฑัญญพุทธเจ้าเป็นประทาน ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม

    ๓.ยุคพระ มงคลพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ สุรุจิ ได้ถวายทานทานพระภิกษุสงฆ์แสนโกฏิองค์ โดยมีพระมงคลพุทธเจ้าเป็นประทาน ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๔.ยุค พระสุมนพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญานาค ชื่อ อตุละ ได้กระทำการสักการะใหญ่แก่พระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระสุมนพุทธเจ้า เป็นประทาน ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๕.ยุค พระเรวตพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ อติเทวะ ได้สรรเสริญพระคุณของ พระเรวตพุทธเจ้า แล้วถวายจีวรห่ม ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าองค์ทรงพระนามว่า โคดม

    ๖.ยุค พระโสภิตพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ สุชาต ได้ถวายมหาทานแก่พระสงฆ์ โดยมีพระโสภิตพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๗.ยุค พระอโนมทัสสีตพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็น ยักษ์ ได้เนรมิตมณฑป ถวายพร้อมกับมหาทานแก่พระสงฆ์โดยมีพระอโนมทัสสีตพุทธเจ้า เป็นประมุขทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๘.ยุค พระปทุมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็น พญาเนื้อ คือ ราชสีห์ ได้เห็นพระปทุมพุทธเจ้า เข้านิโรธสมาบัติอยู่ ๗ วัน จึงทำประทักษิณแล้วบันลือเสียงขึ้น ๓ ครั้ง นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๙.ยุค พระนารทพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์บวชเป็น ฤาษี ได้ถวายทานและ บูชาด้วยดอกไม้จันทร์แดงแด่พระนารทพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๐.ยุค พระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นชฎิล ชื่อว่า รัฏฐิกะ ได้ถวายจีวรพร้อมภัตตาหารแด่พระปทุมุตตรพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๑. ยุคพระสุเมธพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมานพ ชื่อว่า อุตตระ ได้บริจาคทรัพย์ ๘๐ โกฏแก่พระภิกษุสงฆ์โดยมี พระสุเมธพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๒.ยุค พระสุชาตพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ได้ถวายราชสมบัติทั้ง ๔ ทวีป และ รัตนะทั้ง ๗ ประการ ในสำนักของพระสุชาตพุทธเจ้า แล้วก็ออกบวชในสำนักของพระสุชาตพุทธเจ้า ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๓.ยุค พระปิยทัสสีพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพราหมณ์ ชื่อ กัลสป ได้สร้างสังฆารามใช้เงินไปแสนโกฏฺ แล้วมอบถวายแด่พระปิยทัสสีพุทธเจ้า ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๔. ยุคพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นชฎิลชื่อว่า สุสิมะ ได้นำดอกไม้ทิพย์ มาจากสวรรค์มีดอกมณฑารพ ดอก ปทุม และดอกปาริจฉัตตกะ มาบูชาแด่พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๕.ยุค พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็น พระอินทร์ บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระธัมมทัสสีพุทธเจ้าด้วยเครื่องสักการะทิพย์ ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๖.ยุค พระสิทธัตถพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นดาบส นามว่า มงคล ได้นำผลหง้ามาถวายพระสิทธัตถพุทธเจ้าทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๗.ยุค พระติสสพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกษัตริย์พระนามว่า สุชาต ได้ สละราชสมบัติออกบวชเป็น ฤาษี ได้นำดอกไม้ทิพย์มาบูชาแด่พระติสสพุทธเจ้า ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๘.ยุค พระปุสสพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกษัตริย์พระนามว่า วิชิตาวี ได้ สละราชสมบัติออกบรรพชา ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๑๙ ยุคพระวิปัสสีพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพญานาคนามว่า อตุละ ได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดนตรีทิพย์ ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๒๐.ยุค พระสิขีพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกษัตริย์พระนามว่า อรินทมะ ได้ถวายผ้าเนื้อดีจำนวนมากพร้อใท้งพาหนะช้างทรง แก่พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระสิขีพุทธเจ้า เป็นประมุข ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๒๑.ยุค พระเวสสภูพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกษัตริย์พระนามว่า สุทัสสนะ ได้ถวายมหาทานแด่พระเวสสภูพระพุทธเจ้า ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๒๒.ยุค พระกุกกุสันธพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกษัตริย์พระนามว่า เขมะ ได้ถวายมหาทานแด่พระกุกกุสันธพุทธเจ้า ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๒๓.ยุค พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกษัตริย์พระนามว่า ปัพพตะ ได้ถวายผ้าแพร ผ้าสักหลาด เป็นต้น แก่พระสงฆ์ โดยมี พระโกนาคมนพุทธเจ้า เป็นประมุข ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม

    ๒๔.ยุค พระกัสสปพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็น มานพชื่อว่า โชติปาล ได้ออกบวชและสรางคุณงามความดีแก่พระพุทธศาสนามากมาย ทรงได้รับพยาการณ์ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม



    ------------------------------------------

    คัดลอกมาจาก

    http://www.konmeungbua.com/forum/topic1076.html

    http://palungjit.org/threads/พระพุทธเจ้าทั้ง-๒๗-พระองค์-ก่อน-องค์สมเด็จองค์ปัจจุบัน.158134/
     
  5. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    <center> [​IMG]
    พระคาถานี้ถือว่าเป็นยอดทางเมตตาหาที่สุดมิได้ด้วยเป็นพุทธคุณบทเมตตาในพระคาถาอิติปิโสรัตนมาลา เหล่าพระคณาจารย์ทั้งหลายหากจะหวังผลในทางเมตตามหานิยมต้องใช้กำกับเสมอ พระคาถานี้มีชื่อว่า “ดอกไม้สวรรค์” อุปเท่ห์นอกจากใช้เสกเครื่องหอมเสื้อผ้า ดอกไม้เพื่อผลทางเมตตามหานิยมแล้วยังสามารถใช้ในการเปลี่ยนที่ร้ายๆที่ว่ามี อาถรรพ์แรงเจ้าที่เจ้าทางไม่ถูกกับเราทำให้เจ็บออดๆแอดๆหาความสงบสุขมิได้ โบราณท่านให้ใช้วิธีแบบสันติอาศัยคุณพระคาถานี้โดยให้จัดบายศรีปากชามหนึ่ง คู่ เครื่องสังเวยต่างๆมีหัวหมู กุ้งพล่าปลายำ เป็ดไก่ฯ แป้งกระเเจะผ้าแดง-ขาว น้ำมันหอม เหล้าหนึ่งขวดเงินกำนลครู ๖ บาท ที่สำคัญต้องมีขนมปลากริมไข่เต่าแดง-ขาวด้วย ขันใส่ทรายข้าวตอกดอกไม้และเศษเงิน

    พิธีกรรมก็ไม่มีอะไรมากเมื่อจะตั้งเครื่องบูชาให้ใช้มนต์นี้เสกเครื่องเซ่นเสียก่อน ๙ จบ จากนั้นเสกกระเเจะเจิมอีก ๙ จบ เจิมตามเครื่องเซ่นต่างๆ ก่อนยกมาตั้งกลางแจ้งจุดธูปเทียนอัญเชิญเทวดาผีสางนางไม้ทั้งหลายมารับ เครื่องสังเวยเมื่อเขากินเครื่องเซ่นแล้วรักเราจะช่วยเหลือเราทุกอย่างไม่ทำ อันตรายเลย หากเราหมั่นทำบุญตรวจน้ำให้เขาๆ จะยิ่งกลับอุดหนุนช่วยเหลือเรามากขึ้น เมื่อธูปบูชาหมดดอกให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอบารมีให้ร่มเย็นเป็นสุขแล้ว สวดคาถาดอกไม้สวรรค์นี้ดังๆ แล้วหว่านทรายดอกไม้เงินรอบบริเวณเป็นเสร็จพิธี

    ในสมัยโบราณท่านไม่นิยมแก้ปัญหาด้วยการขับไล่ซึ่งจะต้องเป็นวิธี ที่เลือกหลังสุดเท่านั้น ผู้รู้คาถานี้หากนำไปใช้ก็จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับที่ร้ายๆ อย่างได้ผลดี พระคาถาบทนี้อย่ามองข้ามนะครับเป็นของโบราณแท้สืบทอดมาแต่ยุคอยุธยาเป็น อย่างน้อย อาจารย์ทดลองแล้วคาถาเมตตาบทอื่นๆ ที่ว่าดีขนาดไหนก็ตามบทนี้บทเดียวสู้เขาได้สบายมากหากท่องบ่อยๆ จะเกิดลาภผลหลั่งไหลมาด้วยอำนาจโอปปาติกะที่ได้สดับมนต์นี้อำนวยผลให้ จัดเป็นคาถาขลังบทหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเรียนก็ไม่ยากจัดขันธ์ห้า(ตามฉบับที่๒๗) เงินกำนลครู ๖ บาทยกรับเอา หากไม่สะดวกก็จุดธูปเทียนขอกับพระพุทธรูปที่ท่านศรัทธา ถ้าใจถือมั่นแล้วขลังนักลองได้เลย หากจะมุ่งเน้นเป็นเมตตาท่อนบาทสุดท้ายให้เปลี่ยนเป็น ปิยินทรียังนิมิตจิตตังสวาโหมติด
    </center>
     
  6. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พระพุทธเจ้ากับพระพุทธมารดา
    ว.วชิรเมธี

    "ภิกษุทั้งหลาย ในอารยวินัยนี้ เรากล่าวว่า น้ำนมของมารดา กลั่นออกมาจากสายโลหิต"
    [ พระพุทธพจน์ ]

    " แม่ " หรือ " มารดา " คำคำนี้เป็นคำสูง เป็นมงคลแห่งคำอันควรเทิดไว้เหนือบรรดาคำทั้งปวงในภาษาศาสตร์

    คำ ว่า " แม่ " จะฟังดูยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนไหน อาจตอบได้ว่า ในตอนที่ลูกนอนป่วยแบ็บ อยู่คนเดียวที่ไหนสักแห่งหนึ่งในโลกซึ่งไร้ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด กับในตอนที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเมืองไปตกระกำลำบากอยู่ในบ้านอื่นเมืองไกล ซึ่งมองไปทางไหนก็ไม่มีใครที่เคยรู้จักมักคุ้นสักคน และอีกตอนหนึ่งซึ่งจะชัดเจนเห็นพระคุณแม่มากที่สุด ก็คือตอนที่กุลสตรีทั้งหลายกลายสถานภาพมาเป็น " แม่คน " ด้วยตนเองดูบ้าง หลังจากที่เป็นคน " มีแม่ " มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อเป็น " แม่คน " จึงเข้าใจ " แม่ตน " นั่นเอง

    พระ พุทธองค์ทรงยกย่องพระพุทธมารดามาก ทั้งในทางคำสอนและในทางพระจริยวัตรที่ประทับไว้เป็นรอยแห่งความดีให้อนุชน เจริญรอยตาม ในแง่จริยวัตรนั้นปรากฏว่า ในพรรษาหนึ่งซึ่งเป็นช่วงต้นพุทธกาล พระองค์ถึงกับเสด็จขึ้นไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มาแล้ว เคยมีนักศึกษาคนหนึ่งถามผู้เขียนว่า เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่น่าจะมีจริง ผู้เขียนถามกลับไปว่า เธอเอาอะไรมาวัดว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่มีอยู่จริง นิสิตคนนั้นอึ้งไป ความจริงเรื่องที่เราควรสนใจกันมากกว่าเรื่องความมีอยู่ของสวรรค์ก็คือ การมองให้ทะลุถึงแก่นของคติที่ว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่างหาก

    ต่อ ปัญหานี้ผู้เขียนอยากจะถอดรหัสเสียใหม่ว่า พระพุทธจริยาในตอนนี้ท่านคงไม่ต้องการมุ่งแสดงให้เห็นว่า การที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์นั้น มีความสมจริงหรือไม่สมจริงหรอก แต่สิ่งที่ท่านต้องการแสดงให้ชาวโลกเห็นก็คือ พระพุทธองค์ทรงต้องการจะบอกพวกเราว่า ขนาดพระมารดาของพระองค์นั้นแม้จะเสด็จสวรรคตไปอุบัติเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ ชั้นดุสิตแล้วก็ตาม ( เวลาฟังธรรมเสด็จลงมาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ) สถานที่หรือภพที่พุทธมารดาประทับอยู่กับสถานที่หรือภพซึ่งพระพุทธองค์ทรงมี พระชนม์โลดแล่นอยู่ซึ่งคือโลกของเรานั้น แม้จะอยู่กัน " คนละภพ - คนละมิติ " ก็จริงอยู่ แต่ถึงกระนั้น " ความต่างแห่งภพ " ก็หาได้เป็นอุปสรรคแห่งความกตัญญูที่บุตรจะพึงตอบสนองต่อผู้เป็นมารดาของตน แต่อย่างใดไม่

    พูดให้ฟังง่ายกว่านั้นก็คือ
    แม้ แม่ของพระองค์จะตายไปอยู่ไกลกันคนละภพคนละโลกแล้ว แต่พระองค์ก็ยังคงแสวงหาวิธีที่จะทดแทนพระคุณแม่ให้เสร็จสิ้นจนได้ แล้วคนธรรมดาสามัญอย่างเราเล่า อยู่ห่างกับคุณแม่แค่เพียงฝาห้องกั้น อยู่บ้านคนละหลังหรืออยู่ห่างกันแค่ชั่วยกหูโทรศัพท์ถึง ใกล้กันขนาดนี้ ภพเดียวกันขนาดนี้ แต่เราทั้งหลายเคยทำอะไรที่แสดงให้เห็นว่า เราเป็นลูกกตัญญูต่อมารดาบิดา เหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ทรงวางพุทธจริยาเอาไว้ให้เห็นบ้างหรือไม่

    นั่น เป็นพุทธจริยาของพระองค์ต่อพระพุทธมารดาคนแรก ซึ่งถือกันว่าเป็น " แม่บังเกิดเกล้า " แท้ ๆ ของพระองค์ ต่อแม่คนที่สองหรือพระมารดาเลี้ยง ( พระมาตุจฉา ) ที่ชื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีเล่า ในฐานะที่ทรงเป็น " ลูกเลี้ยง " ทรงตอบแทนพระคุณพระมารดาเลี้ยงของพระองค์อย่างไร

    พุทธ ประวัติบันทึกเอาไว้ว่า ราวพรรษาที่ ๕ ขณะเสด็จนิวัติพระนครกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงมีพระประสงค์จะผนวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัย ( พุทธศาสนา ) แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตในทันที ทั้งนี้เพราะทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า การทรงเพศเป็นภิกษุณีเป็นเรื่องฝืนกระแสสังคมในสมัยนั้น และเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อภยันตรายเป็นอันมาก ดังปรากฏในเวลาต่อมาว่า ภิกษุณีรูปหนึ่งซึ่งถึงแม้จะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตามที กระนั้นก็ยังไม่วายถูกคนใจร้ายปลุกปล้ำข่มขืนจนกลายเป็นเรื่องราวอื้อฉาวใน วงการศาสนาขณะนั้น

    แต่ในที่สุด ท่ามกลางความยากลำบากในการฝ่าฝืนกระแสสังคมสมัยนั้น พระพุทธองค์ก็ยังทรงเปิดโอกาสให้พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมี ได้ผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา ซึ่งถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้แก่ " สิทธิสตรี " อย่างแท้จริงในเวทีโลกมาตราบจนบัดนี้ และในเวลาต่อมาก็ทรงอนุเคราะห์ทดใช้ค่าน้ำนมให้แก่พระแม่น้าของพระองค์จนหมด หนี้ศักดิ์ต่อกันด้วยการที่ทรงเป็น " พระบิดา " ในทางธรรมให้แก่พระนางสมดังคำที่ภิกษุณีมหาปชาบดีโคตมีกราบทูลเล่าเอาไว้ ก่อนเสด็จปรินิพพานว่า

    " ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของมหาชนชาวโลก หม่อนฉันได้ชื่อว่าเป็นพระมารดา ( ในทางรูปกาย ) ของพระองค์ แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นพระบิดา ( ในทางธรรม ) ของหม่อมฉันด้วย

    พระองค์ทรงโปรดประทานสุขจากพระสัทธรรม อันทำให้หม่อนฉันได้ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งพระธรรมอีกครั้งหนึ่ง

    หม่อม ฉันเองได้อภิบาล พระรูปกาย ของพระองค์ขึ้นมาจนเติบใหญ่ ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ได้ทรงอภิบาล พระธรรมกาย ( คุณธรรม ) ที่น่ารื่นรมย์ใจของหม่อมฉันให้เจริญวัยไม่น้อยไปกว่ากัน

    หม่อมฉันได้น้อมถวายกษีรธาราให้พระองค์ทรงดื่มพอดับกระหายได้เป็นครั้งคราว

    แต่พระองค์เล่าก็ได้ทรงโปรดประทานกษีรธารา คือพระธรรมให้หม่อมฉันได้ดื่มดับกระหายได้อย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกัน ฉันนั้น ..."


    การ รู้คุณและแทนคุณมารดาบิดาผู้ให้กำเนิดนั้นเป็นพุทธจริยา หรืออารยวัตร ( ข้อปฏิบัติอันประเสริฐ ) ที่แม้แต่พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นอัครบุคคลของโลกก็ไม่ทรงละเลย วิญญูชนทุกหนทุกแห่ง ทุกศาสนา ทุกวัฒนธรรมในโลกก็ยกย่องสรรเสริญว่า มารดาบิดาเป็นอัครบุคคลที่หาได้ยาก เป็นหนึ่งไม่มีสอง เสียแล้วเสียเลย สิ้นแล้วสิ้นเลย นอกจากนี้แล้วปราชญ์ทั้งหลายยังเห็นตรงกันอีกว่ามารดาบิดาเป็นบุพการีชนที่ คนเป็นบุตรธิดา จักต้องตอบแทนพระคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ ปรมาจารย์ทางจิตวิญญาณสายตะวันออกอย่างขงจื๊อก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ยกย่อง เรื่องความกตัญญูต่อมารดาบิดามาก ท่านสอนศิษยานุศิษย์ว่า

    " นอกจากความเจ็บป่วยอันเป็นสามัญของตนเองแล้ว อย่าได้ทำเหตุอื่นใดอันจะส่งผลให้มารดาต้องน้ำตาตกเป็นอันขาด "

    ท่าน พุทธทาสภิกขุก็เคารพนับถือในโยมมารดาของท่านมาก แม้บวชเข้ามาแล้วก็ได้เพียรทดแทนพระโยมแม่ด้วยประการต่าง ๆ เท่าที่สติปัญญาในขณะนั้นจะพึงทำได้ แต่ยังไม่ทันตอบแทนพระคุณของโยมแม่ได้อย่างที่ตั้งใจ โยมแม่ของท่านก็มาจากไปเสียก่อน

    " อาตมามีความเสียใจอยู่อย่างหนึ่ง เสียใจอย่างยิ่งว่า สมัยเมื่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ อาตมาไม่มีความรู้อะไร แม้บวชแล้วก็มีความรู้ธรรมะโง่ๆ เง่าๆ งูๆ ปลา ๆอย่างนั้นแหละ ถ้ามีความรู้อย่างเดี๋ยวนี้จะช่วยแม่ได้มาก ให้พอใจรู้ธรรมะอย่างยิ่ง แต่แม่ชิงตายไปเสียก่อน ก่อนที่อาตมาจะมีความรู้พอจะสอนธรรมะลึกๆให้แม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่นึกแล้วก็ว้าเหว่อยู่ไม่หาย ...

    อาตมายังคงคาราคา ซัง ไม่ได้ให้ความรู้สูงสุดที่พอใจแก่แม่ เพราะว่าแม่ชิงตายเสียก่อน ... แต่แม่ก็สนใจธรรมะเหลือประมาณ แม้แรกบวชแรกเรียนนักธรรมอย่างโง่ๆ ก็อุตส่าห์เขียนส่งไปให้แม่ หรือพูดให้แม่ฟังอยู่เสมอ แต่เป็นความรู้ธรรมะเด็กๆ ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้รู้ธรรมะชั้นผู้ใหญ่ แต่แม่ตายเสียแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร .."

    .พระ พุทธเจ้า พระพุทธสาวก ปูชนียบุคคลอย่างท่านพุทธทาสภิกขุเป็นอาทิยังสู้อุตส่าห์หาวิธีทดแทนพระคุณ มารดาจนสุดความสามารถถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นท่านก็ยังออกตัวว่าที่ทำมานั้นยังเล็กน้อยเกินไป

    ดู เอาเถิด จริยาวัตรอันสูงล้ำด้วยคุณธรรมที่ยอดคน ยอดครู ของโลกปฏิบัติต่อมารดาบังเกิดเกล้าของตน เราปุถุชนคนสามัญ หากตอบแทนพระคุณของแม่ได้น้อยกว่านี้ ( ทั้งๆ ที่มีโอกาสมากกว่า ) ก็นับว่าน่าอาย ที่ได้แต่เอ่ยอ้างว่าตนเป็นศิษย์มีครู แต่หาเจริญรอยตามปฏิปทาแห่งครูของตนให้สมกับที่ชอบเอ่ยอ้างแต่อย่างใดไม่ .


    มารดาของแผ่นดิน

    เอียงอกเทออกอ้าง อวดองค์ อรชร เปรื่องปราชญ์ปัญญายง หยั่งรู้

    ขี่คอคชสารทรง ขอสับ ศึกพ่อ แม่อีกภริยากู้ เกียรติแก้วแก่สมัย .

    ผู้หญิงเป็นมารดามหาบุรุษ เป็นพระพุทธก็เป็นได้ไม่น้อยหน้า

    เป็นผู้นำยุคสมัยในโลกา เป็นภรรยาสุดแสนดีสามีรัก

    เป็นผู้อวดองค์อรชรชวนชม้าย เป็นสหายแห่งชีวิตสิทธิศักดิ์

    เป็นแม่ทัพนำไทยให้คึกคัก เป็นเสาหลักการเมืองเรืองฤทธี

    เป็นขวัญเรือนรินธรรมชี้นำลูก เป็นผู้ปลูกค่านิยมสมศักดิ์ศรี

    เป็นผู้กล้าที่จะก้าวเข้าต่อตี เป็นผู้มีศักยภาพควรปราบดา

    นี่แหละคือผู้หญิงที่จริงแท้ โลกควรแก้เกณฑ์กดลดโมหา

    เคารพหญิงอย่างที่เป็นเช่นสัจจา เพราะหญิงคือมารดาของแผ่นดิน .


    ที่มา dhammajak.com
     
  7. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    คนเราเกิดมาในโลกนี้ ต้องตกอยู่ในจำพวก ๔ เหล่านี้ทั้งนั้นคือ


    • ตโม ตมปรายโน คนมืดมาแต่เบื้องต้นแล้วก็มืดต่อไปอีก จำพวกนี้ใช้ไม่ได้


    • ตโม โชติปรายโน มืดแล้วสว่างไป ก็ยังดีหน่อย


    • โชติ ตมปรายโน สว่างเบื้องต้นแล้วมืดเบื้องปลายพวกนี้ใช้ไม่ได้เหมือนกัน


    • โชติ โชติปรายโน สว่างมาแล้วก็สว่างไป นั้นดีมาก บางคนเกิดมาไม่รู้เดียงสาอะไรเลย เหมือนกับมดกับปลวก มืดตื้อไปหมด พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว เรื่องศีลเรื่องธรรมแล้วไม่ต้องกล่าว เข้าใจว่าตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่นไม่มีสติปัญญา แล้วก็เลยไม่ทำความดีต่อไป เห็นว่าหมดวิสัยของตัวแล้ว ซ้ำเติมให้โง่ให้ทึบให้ตื้อเข้าไปอีกเรียกว่ามืดมาแต่ต้น แล้วก็มืดต่อไปอีก

    ขอให้คิดดู คน เราเกิดขึ้นมาถ้าไม่มีการศึกษาเล่าเรียนจะเอาความรู้มาแต่ไหน เรียนอย่างน้อยที่สุดก็ได้ความรู้ ถ้าถือว่าตนโง่แล้วก็ไม่ศึกษาเล่าเรียนและไม่ปฏิบัติ มันก็ยิ่งโง่ขึ้นไปกว่าเก่า คนที่เข้าใจผิดเช่นว่านั้น ทำผิดพลาดจากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เลยทีเดียว แทนที่จะคิดว่าความมืด ความโง่ของเรานั้น เราจะต้องแสวงหาเครื่องสว่างเป็นเครื่องส่องทางของเรา ถึงไม่ได้มากสักนิดเดียวก็เอา จึงจะเป็นการดี คนนั้นเรียกว่าค่อยสว่างขึ้นหน่อย อย่าไปถือว่านิสัยบุญวาสนาเราไม่ให้หรือไม่ส่งเสริม ไม่สามารถที่จะเจริญภาวนาทำสมาธิได้ เลยทอดอาลัยเพียงแค่นั้น บุญวาสนานิสัยของเรารู้แล้วหรือ เราเห็นแล้วหรือ ภพก่อนชาติก่อนเราทำอะไรไว้มันจึงโง่เง่าเต่าตุ่น ทำอะไรก็ไม่เป็นเราไม่เห็นไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรอก แต่โดยเหตุที่เราไม่มีปัญญาก็เลยถือเอาเฉย ๆ นี่แหละว่าบุญวาสนาแต่ก่อนเราไม่มี

    เราต้องขวนขวาย ต้องแสวงหา ต้องอบรมเอาเองซี ทำแล้วมันต้องได้ ถ้าไม่ทำมันจะได้อะไร ให้เข้าใจอย่างนั้น ให้ปฏิบัติอย่างนั้น มันจึงจะเจริญต่อไป

    พวกที่มืดมาแล้วสว่างไป นั้นดี บุคคลผู้แสวงหาประโยชน์ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์แสวงหาความดี ไม่มีใครเป็นนักปราชญ์มาตั้งแต่เกิดมันต้องอาศัยการศึกษาเล่าเรียน การฝึกฝนอบรมเป็นสิบ ๆ ปี กว่าจะเป็นศาสตราจารย์ อาจารย์เขาได้ นั่นเรียกว่ามืดมาแต่ต้นค่อยสว่างตอนปลาย ถ้าเป็นได้อย่างนั้น บุญวาสนาบารมี มันต้องเป็นพื้นฐานของบุคคลสำหรับให้คนบำเพ็ญต่อไป

    พวกสว่างเบื้องต้นแล้วมืดบั้นปลาย อันนี้ไม่ดีเลยเกิด ขึ้นมาเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม เกิดในตระกูลผู้ดีมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์ทุกประการมีเกียรติยศชื่อเสียง แต่กลับทำตัวเป็นคนเลว ทำชั่วร้ายยิ่งกว่าเก่า สามารถที่จะทำอะไรได้ทุกอย่าง เพราะมีเงินมีทอง มีชื่อเสียง มีอำนาจวาสนา ทำดีก็ได้ แต่ไม่ทำ กลับมาทำชั่วเมื่อทำไปแล้วยากที่จะกลับคืนมาหาความดีได้ คือมันเลวทรามมาแล้วนิสัยชั่วช้าติดสันดานของตนเข้าไปแล้ว จะกลับคืนมาเป็นคนดีก็อับอายขายขี้หน้าเขา นั่นทำให้สังคมเสื่อม ทำให้สังคมเดือดร้อน ทำให้คนอื่นวุ่นวาย เพราะเหตุเราคนเดียวเท่านั้น เรียกว่า สว่างมาแล้วกลับไปมืดอีก ร้ายกาจว่าพวกอื่น ๆ ทุกพวก เรียกว่ารู้แล้วแกล้งทำไม่รู้

    ส่วนพวกสว่างมาแล้วก็สว่างต่อไป นั้นดีมาก เราเกิดมาในตระกูลที่มั่งคั่งสมบูรณ์ มีเกียรติยศชื่อเสียง เงินทองมากมาย มาคิดถึงตัวเราว่าอุดมสมบูรณ์เพราะบุญวาสนาบารมีแต่เก่า อันนั้นเห็นได้ชัด คนที่มีเมตตาปรานีเอ็นดูสงเคราะห์คนอื่น ตัวเองก็อยู่ในศีลในธรรม แล้วก็แนะนำคนอื่นให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม ให้ประพฤติดีประพฤติชอบ ประกอบแต่การกุศล เจริญรุ่งเรืองด้วยตนเองแล้วสอนให้คนอื่นเจริญรุ่งเรืองไปด้วย ตัวของเราก็ยิ่งได้รับความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกกว่าปกติธรรมดา เขาได้รับคุณงามความดี เขาก็นิยมยกย่องสรรเสริญผู้ที่สอนเขา

    ธรรมที่ควรปฏิบัติสำหรับคน ๔ จำพวกนี้ก็คือ

    พวกแรก ตโม ตมปรายโน เราเป็นคนทุกข์ คนจนไม่มีสติปัญญา เลยไม่คิดจะทำสมาธิภาวนา คุณงามความดีอะไรทั้งหมด เลยหมดหนทางที่จะทำคุณงามความดีต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทางที่ถูกคือ ควรจะหัดสมาธิภาวนาทำสมาธิ แล้วไม่มีทางอื่นใด ทีจะช่วยแก้ได้ ขอให้มีความอดทนพยายามอย่างเต็มที่ก็จะสำเร็จตามความประสงค์

    พวก ตโม โชติปรายโน คนเราเกิดมาทุกคนต้องมืดมนด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่สว่างมาแต่เบื้องต้น ใครเกิดมาจะรู้จักดี ชั่ว ฉลาดเฉลียวมาแต่เบื้องต้น ไม่มีหรอก ถึงชาติก่อนจะเรียนรู้มาแล้วก็ตาม กลับมาเกิดใหม่ก็ต้องมาเรียนใหม่ แต่นิสัยเป็นเหตุให้เรียนได้ดีกว่าคนไม่มีนิสัย... แต่คนมืดนั้นพยายามตั้งใจพยายามทำดี ความพยายามทำให้ได้รับผลสำเร็จ ศาสนานี้สอนให้ทำไม่ใช่ให้อยู่เฉย ๆ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทั้งนั้น ต้องพยายามทำจริง จัง จึงจะดีต่อไป จะไปอ้างกาลเวลา อ้างธุรกิจการงานต่าง ๆ นั้นไม่ได้ นั่นมันเป็นเพียงเครื่องประกอบอาชีพของเราเท่านั้น มันไม่ใช่ของเรา ของเราแท้ก็คือ การกระทำคุณงามความดี หัดสมาธิภาวนาตั้งสติกำหนดจิต นี่แหละเป็นของเราแท้ ๆ ทีเดียว คนอื่นมาแย่งเราไม่ได้ การหาเงินหาทองข้าวของสมบัติต่าง ๆ มันเป็นของภายนอก ไม่ใช่ของเรา เราใช้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วไม่เห็นเอาไปได้สักคนเดียว ให้คิดเสียอย่างนั้น ให้ทำสมาธิภาวนาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน

    โชติ ตมปรายโน สว่างแล้วกลับมืด เรื่องพรรค์นี้มีมากทีเดียว เมื่อหัดสมาธิภาวนาก็เกิดความรู้ความฉลาดพูดจาพาทีคล่องแคล่ว เพราะเป็นของเกิดขึ้นมาในใจของตนเอง ต่อมาเกิดความประมาทในกิจวัตรและข้อวัตรต่าง ๆ ในการทำสมาธิ สมาธิภาวนาเลยเสื่อม เสื่อมแล้วคราวนี้ทำไม่ถูก ทำอย่างไร ๆ ก็ทำไม่ได้ เลยเบื่อหน่ายขี้เกียจ ในวัตรเสีย เลยไปหากินตามปกติธรรมดา เลยกลับเสื่อมเสียแทนที่จะเจริญต่อไป อันนี้แหละน่าเสียดายด้วย น่าสงสารด้วย ของดี ๆ ทำมาแล้วกลับทิ้งทอดธุระเสีย มิหนำซ้ำบางคนยังพูดหยาบหยามดูถูกอีกว่า ศาสนานี้ทำเท่าไหร่ก็ทำเถิด ข้าพเจ้าทำมากแล้ว ถึงขนาดนั้นยังไม่เป็นไป ยังเสื่อมเสียได้จึงเป็นที่น่าเสียดายมากที่มาเหยียดหยามดูถูกการบวชการ เรียน การเข้าวัดฟังธรรม และศาสนา

    สรุปรวมใจความแล้วว่า ศาสนานี้สอนให้กระทำ ได้น้อยได้มากก็ทำ ถึงจะได้น้อยก็ยินดีพอใจกับการกระทำของตน เรามีมือน้อยก็รับเอาแต่น้อย ๆ รับเอามากเกินไปก็ไม่ได้ ความยินดีตามมีตามได้ อะไรทั้งหมดก็เหมือนกัน ไม่ว่าธรรม ไม่ว่าของภายนอก มีน้อยแล้วไม่พอใจมักจะเสียหาย



    จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที่ 6 ฉบับ 66 พฤษภาคม 2549
    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
     
  8. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2010
  9. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ท่านใดมีข้อสงสัย ถามได้นะครับเดี่ยวผมจะตอบในกระทู้ให้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2010
  10. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    สวัสดี.. เพลงเพราะดี ยังไม่สงสัยอะไร งั้นขอถามนิ..
    เราเป็นญาติธรรมกันใช่หรือไม่hello2hello2
     
  11. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ใช่ครับ ยินดีต้ิอนับสู้กระทู้แห่งนี้ ครับ พอดีเปิดกระทู้ขึ้นมา เพื่อจุดประสงค์ในการแบ่งปั่น เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และความเชื่อเรื่องโลกทิพย์
     
  12. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    <embed allowScriptAccess="never" allowNetworking="internal" src="http://meter.in.th/player/player.swf?guid=20070707231338&rs=0&v=usrmb" menu="false" quality="high" width="300" height="115" name="index" type="application/x-shockwave-flash" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" wmode="transparent" /></embed>


    หาเพลงเพราะๆมาให้ฟังครับ
     
  13. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    หลักธรรมที่ควรปฏิบัติในเทศกาลเข้าพรรษา
    <table align="center" border="1" bordercolor="#fac963" cellpadding="0" width="725"><tbody><tr><td bgcolor="#ffffff"> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr bgcolor="#ffffcc"><td valign="center">
    </td></tr> <tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top">

    ระหว่างเทศกาลเข้าพรรษานั้น
    พุทธศาสนิกชนนิยมไปวัด ถวายทาน รักษาศีล ฟังธรรมและเจริญจิตภาวนา
    ซึ่งเป็นการเว้นจากการกระทำความชั่ว
    บำเพ็ญความดีและชำระจิตให้สะอาดแจ่มใสเคร่งครัดยิ่งขึ้น

    หลักธรรมสำคัญที่สนับสนุน คุณความดีดังกล่าวก็คือ "วิรัติ"

    คำว่า "วิรัติ" หมายถึงการงดเว้นจากบาป และความชั่วต่าง ๆ
    จัดเป็นมงคลธรรมข้อหนึ่ง
    เป็นเหตุนำบุคคลผู้ปฏิบัติตามไปสู่ความสงบสุขปลอดภัย
    และความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป


    วิรัติ การงดเว้นจากบาปนั้น จำแนกออกได้เป็น ประการ คือ

    ๑. สัมปัตตวิรัติ

    ได้แก่การงดเว้นจากบาป ความชั่วและอบายมุขต่าง ๆ
    ด้วยเกิดความรู้สึกละอาย (หิริ)
    และเกิดความรู้สึกเกรงกลัวบาป(โอตตัปปะ) ขึ้นมาเอง

    เช่น บุคคลที่ได้สมาทานศีลไว้
    เมื่อถูกเพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่มสุรา
    ก็ไม่ย่อมดื่มเพราะละอาย และเกรงกลัวต่อบาป
    ว่าไม่ควรที่ชาวพุทธจะกระทำเช่นนั้นในระหว่างพรรษา

    ๒. สมาทานวิรัติ

    ได้แก่การงดเว้นจากบาป ความชั่วและอบายมุขต่าง ๆ
    ด้วยการสมาทานศีล ๕ หรือศีล ๘ จากพระสงฆ์
    โดยเพียรระมัดระวังไม่ทำให้ศีลขาดหรือด่างพร้อย
    แม้มีสิ่งยั่วยวนภายนอกมาเร้าก็ไม่หวั่นไหวหรือเอนเอียง

    ๓. สมุจเฉทวิรัติ

    ได้แก่การงดเว้นจากบาป ความชั่วและอบายมุขต่าง ๆ
    ได้อย่างเด็ดขาดโดยตรงเป็นคุณธรรมของพระอริยเจ้า

    ถึงกระนั้นสมุจเฉทวิรัติ อาจนำมาประยุกต์ใช้
    กับบุคคลผู้งดเว้นบาปความชั่ว
    และอบายมุขต่าง ๆ ในระหว่างพรรษากาลแล้ว
    แม้ออกพรรษาแล้วก็มิกลับไปกระทำหรือข้องแวะอีก


    เช่น กรณีผู้งดเว้นจากการดื่มสุราและสิ่งเสพติดระหว่างพรรษากาล
    แล้วก็งดเว้นได้ตลอดไป เป็นต้น



    (ที่มา : สำนักพระพุทธศาสนา)
    บทความจากลานธรรมจักร
    นำมาจาก http://variety.teenee.com/saladharm/28441.html
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  14. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    แวะเข้ามาอ่านต่อ เมื่อวานไม่ทราบเป็นอะไรละ ใส่รหัสสมาชิกไม่ถูกต้องสักรหัสเดียว
    เลยได้แต่เข้ามาอ่านข้อความ รูปข้างบนนั้นเป็นงานแห่เทียนพรรษาที่ไหน .. อุบล? เคยไปแต่หนองคาย ไปที่วัดโพธิ์ชัย และไปดูชิ้นส่วนพญานาคด้วย เค้าเอาใส่ตู้โชว์เอาไว้ เห็นว่า จ้าวทางฝั่งเมืองลาว ท่านส่งมาให้เพื่อกระชับความแน่นแฝ่น ช่วงที่มีความสับสนเรื่องปั้งไฟพญานาคนะ คุณเคยไปหรือยัง:d
     
  15. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    อนุโมทนานะ น้องยา เอาธรรมมะมาลงมากมาย ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน เรื่องที่คุยไว้พี่ยังไม่ได้จัดการเลย มีแต่ถามข้อมูลไว้เดี๋ยวพี่ว่างแล้วจะดำเนินการต่อให้นะ
     
  16. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    เข้าใจครับพี่ปราง ไม่เป็นไรครับ
     
  17. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ผมไปหนองคายบ่อยมากเลยครับ โดย เฉพาะไปวัดหลวงพ่อพระใส (วัดโพธิ์ชัย) ไปกราบหลวงพ่อท่าน ในความเลื่อมใส ศรัทธาท่านครับ
     
  18. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    จะพาทุกท่านที่มาเยือน ไปฟังเสียงแคนที่ริมฝังโขง เพราะมากๆ จะได้หลงรักมนต์เสียงแคน

    <embed allowScriptAccess="never" allowNetworking="internal" src="http://meter.in.th/player/player.swf?guid=20070707231304&rs=0&v=usrmb" menu="false" quality="high" width="300" height="115" name="index" type="application/x-shockwave-flash" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" wmode="transparent" /></embed>​
     
  19. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351
    เข้ามาทีไรเจอแต่ธรรมะธรรมโม.......เพลีย!!!
     
  20. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    น้องบอมคงเหลือกันแค่นี้แหละ ที่เข้ามาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...