พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กฎหมายคุมค่าเบี้ย
    ที่มา ไทยรัฐออนไลน์

    คำว่าเบี้ย คือหอยชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้แทนเงินตราในสมัยโบราณ ส.พลายน้อย เล่าไว้ในหนังสือเกร็ดโบราณคดี ประเพณีไทย ว่า เบี้ยมีอยู่หลายชนิด เดิมนั้นเอามาจากแม่น้ำโขง ภายหลังพวกพ่อค้านำมาจากทะเล แถวเกาะมัลดิเวส (มัลดีฟ) เกาะฟิลิปปินส์ เมืองสุรัด เมืองมะละกา

    เท่าที่ค้นพบ เบี้ยมีอยู่ 8 ชนิด เบี้ยโพล้ง เบี้ยแก้ เบี้ยจั่น เบี้ยนาง เบี้ยหมู เบี้ยพองลม เบี้ยบัว และเบี้ยตุ่ม เบี้ยทั้ง 8 ชนิดนี้มีค่าเท่ากันหมด เพียงแต่ราคาเบี้ย ต่างกันตามยุคสมัย

    เลอเมย์ค้นคว้าเรื่องเงินตราของไทยมานาน กล่าวถึงเรื่องเบี้ยไว้ว่า ปี พ.ศ.1078 เบี้ยมีค่าในอัตรา 200 ต่อเฟื้อง

    ตั้งแต่ สร้างกรุงศรีอยุธยามาจนเสียกรุง (พ.ศ. 1893-2310) ค่าของเบี้ยตามกฎหมายเป็น 800 ต่อเฟื้อง ค่าในท้องตลาด ขึ้นลงอยู่ระหว่าง 200 ถึง 1,000 และ 1,600 ตลอดเวลา 1,327 ปี ใช้เบี้ยในการแลกเปลี่ยนเล็กน้อย มาเลิกใช้เอาราวปี พ.ศ.2345

    ในกฎหมายรัชกาลที่ 1 กำหนดอัตราราคาเบี้ยไว้ ส.พลายน้อย ขอคัดให้อ่านกัน โดยรักษาตัวสะกดการันต์ตามแบบเดิม...ดังต่อไปนี้

    "แต่ ก่อนอนาประชาราษฎรลูกค้าวานิช ซื้อขายเบี้ยแก่กัน 300 ต่อเฟื้อง ครั้นปีรกาเอกศก แขกลูกค้าเมืองสุรัดบันทุกหอยเบี้ยเข้ามาจำหน่าย ณ กรุงเทพมหานคร หนักสองร้อยหาบ แล้วลูกค้าซึ่งออกไปค้าขาย ณ เมืองใยกะตรา เมืองมลากา บันทุกหอยเบี้ยเข้ามาจำหน่าย คราวละยี่สิบหาบ สามสิบหาบเนืองๆ

    เห็น ว่าเบี้ยในพระนคร แลแขวงจังหวัดหัวเมือง จะค่อยมากภอกันใช้ฟูขึ้นอยู่แล้ว จึงให้มีกฏปรกาษ ป่าวร้องแก่อนาประชาราษฎร ลูกค้าวานิชทั้งปวง ให้ซื้อขายเบี้ยแก่กัน 400 ต่อเฟื้อง

    ถ้าผู้ใดมิได้ซื้อขายเบี้ยแก่ กันสี่ร้อยต่อเฟื้อง เก็บเบี้ยกักขังไว้ซื้อขายแก่กัน 300 ต่อเฟื้อง จับได้ก็จะให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน แล้วปรับไหม เอาตัวเป็นโทษ

    แลอนา ประชาราษฎรลูกค้าวานิชทั้งปวง ก็หากลัวเกรงพระราชอาญาไม่ ยังซื้อขายเบี้ยแก่กัน 300 ต่อเฟื้อง เหมือนอย่างแต่ก่อนอีกเล่า มิหนำซ้ำกักขังเบี้ยไว้ขายเมื่อตรุดเมื่อสงกรานต์ 200 ต่อเฟื้องก็มีบ้าง.....ราษฎรได้เดือดร้อนนัก....

    ทำดังนี้เห็นว่าผู้ นั้นเป็นศัตรูแผ่นดิน แกล้งจะกะทำให้บ้านเมืองกันดาร มิให้อยู่เย็นเป็นศุข จับได้พิจารณาเป็นสัจ ก็ให้ริบราช-บาทเอาเบี้ย แล้วให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน เอาเบี้ยผูกคอทะเวนรอบเมือง จะเอาตัวเป็นโทษไปตะพุ่นญ่าช้าง และกำนันตลาดนั้น ก็จะเอาตัวเป็นโทษด้วย.....

    กฎให้ไว้ ณ วัน 5 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10 จุลศักราช 1154 ปีชวด จัตวาศก

    ส.พลาย น้อย ตั้งข้อสังเกตว่า จากกฎหมายฉบับนี้ทำให้ได้รู้ว่า เบี้ยแต่ก่อนนี้เอาเข้ามาขายกันเป็นหาบๆ และมีการค้ากำไรเกินควรกันมาแต่โบราณ บางครั้งก็แพงขึ้นเป็นเท่าตัว

    มาร์ โคโปโลบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ.1815 ว่าได้มาที่เมืองยาจี ซึ่งว่ากันว่าคือเมืองตาลีฟู เมืองนี้ใช้เบี้ยต่างเงินตรา ถ้าไทยเราอยู่ตาลีฟูมาก่อน ก็แสดงว่า ไทยเราใช้เบี้ยมานาน

    สมัย สุโขทัยนั้นมีเรื่องราชาธิราช มะกะโท เอาเบี้ยไปซื้อพันธุ์ผักกาด จารึกตัวอักษรแบบสุโขทัย พบที่วัดเชียงแสน ก็ปรากฏว่าเมื่อจุลศักราช 853 กษัตริย์เชียงใหม่ได้พระราชทานนามีค่า 540,000 เบี้ย รายการสร้างต่างๆ ก็คิดราคาเป็นเบี้ย

    ในกรุงศรีอยุธยามีหลักฐานการใช้เบี้ยอยู่ที่ใกล้ พระราชวังโบราณ เรียกกันว่า ท่าสิบเบี้ย ที่เรียกกัน เพราะแต่ก่อนเป็นท่าเรือจ้าง ค่าโดยสารเรือเขาคิดกันคนละ 10 เบี้ย

    คน ไทยใช้เบี้ยมานาน มีสำนวนภาษาที่เกี่ยวกับเบี้ย เช่น สิบเบี้ยใกล้มือ ขายหน้าวันห้าเบี้ย พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ฯลฯ ในบทเด็กเล่นก็มี "รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เลือกท้องใบลาน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน พานเอาคนข้างหลังไว้"

    ภาษาราชการยังมีคำว่าเบี้ยอยู่หลายคำ เช่นเบี้ยหวัด เป็นเงินที่ให้บำเหน็จแก่ข้าราชการเป็นปี ซึ่งมักเรียกติดกันว่า เบี้ยหวัดเงินปี เบี้ยเลี้ยง คือเงินเพิ่มให้เป็นค่าอาหาร เบี้ยปรับคือเงินที่ศาลเรียกจากผู้แพ้คดี เบี้ยบำนาญ คือเงินที่ให้เป็นบำเหน็จความชอบ

    ยังมีคำที่ไม่ได้กล่าว ไว้ในพจนานุกรม อีกสองคำเบี้ยกันดาร หมายถึงเงินที่เพิ่มแก่ข้าราชการ นอกเหนือไปจากเงินเดือน เห็นจะเริ่มมีตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ข้าราชการที่ไปปฏิบัติราชการในท้องถิ่นที่มีอาหารการกินแพงอย่าง 1 และท้องที่นั้นมีโรคภัยไข้เจ็บชุกชุมอีกอย่าง 1 ก็จะมีเบี้ยกันดารเพิ่มให้

    เบี้ย ภาษา คำนี้สมเด็จฯกรมพระยาดำรง ราชานุภาพ ทรงคิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ข้าราชการมณฑลปัตตานีได้เบี้ยกันดารเป็นประจำ ต่อมาทรงเห็นว่าบางที่ไม่กันดาร ค่าใช้จ่ายไม่สูง และไม่มีโรคภัย จนถึงสมควรได้รับพระราชทานเบี้ยกันดาร แต่มีเหตุอื่นให้ พิจารณา คือข้าราชการควรพูดภาษามลายูได้ จึงจะรับราชการได้ประโยชน์เต็มที่

    แต่ ข้าราชการบางคนไม่สนใจเรียนภาษามลายู ทำให้ต้องใช้ล่าม จึงทรงวางระเบียบใหม่ ยกเลิกเบี้ยกันดาร และตั้งเบี้ยภาษาขึ้นแทน เบี้ยภาษานี้เข้าใจว่าเริ่มใช้ ตั้งแต่เดือนเมษายน ร.ศ.126

    บาราย​




    .

    กฎหมายคุมค่าเบี้ย - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

    .



    .



    .
     
  2. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    รายละเอียดเพิ่มเติมหาได้จากกระทู้นี้ย้อนหลังลงไปราวๆ 1490 (ณ ตอนนั้นผมเองพึ่งจะตั้งไข่)
    และต้องขยันกว่านี้นะครับ

    แล้วตอนนี้คุณปฐม อาราธนาพระชุดไหนขึ้นคออยู่หล่ะครับ
    พระอาจารย์สบายดีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2010
  3. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับพี่ หารูปเปลี่ยน LOGO ชัดๆ ยากจัง :)
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การกำหนดราคาทองคำของประเทศไทย

    การ กำหนดราคาทองของไทยนั้น ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง โดยมีคณะกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคมคอยดูแลตลอดช่วงเวลาการซื้อขาย โดยยึดถือหลักประชาธิปไตยในการกำหนดราคาทองคำ ถือเสียงส่วนมาก 3 ใน 5 เสียงในการตัดสินใจ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยคณะกรรมการจาก

    1.ห้างทองจินฮั้วเฮง

    2.ห้างทองฮั่วเซ่งเฮง

    3.ห้างทองเลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์

    4.ห้างทองหลูชั้งฮวด

    5.ห้างทองแต้จิบฮุย

    ซึ่ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม สำหรับในการกำหนดราคาทองของสมาคม จะอ้างอิงจากราคา Gold Spot บวกหรือลบค่า premium จาก ผู้ค้าทองในต่างประเทศ ( ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเป็นสภาวะการนำเข้า หรือการส่งออก ) แล้วจึงนำมาคำนวณกับค่าเงินบาท จากนั้น จะทำการแปลงหน่วยน้ำหนักจากหน่วย ounze ให้เป็นหน่วยน้ำหนักของไทย คือ บาท โดยการตัดสินใจประกาศราคาทองในประเทศแต่ละครั้งนั้น ทางสมาคมจะต้องพิจาราณาองค์ประกอบของ Demand และ Supply ทองคำภายในประเทศเป็นสำคัญด้วย

    สำหรับตัวแปรที่สำคัญในการกำหนดราคาทองของไทย สามารถสรุปได้ 4 ประการดังนี้

    1. ราคาทองต่างประเทศ (Gold spot)

    2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ )

    3. ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

    4. Demand และ Supply ของทองคำภายในประเทศ

    1. ราคาทองคำต่างประเทศ (Gold spot)

    เป็น ราคาอ้างอิงทางอิเลกทรอนิกส์ ซึ่งยังไม่ได้มีการบวก หรือลบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในการส่งมอบทองคำ เป็นการซื้อขายทองคำที่ไม่มีการส่งมอบ ซึ่งหากท่านพิจารณาดูราคา Gold spot จะเห็นว่ามีทั้งฝั่ง Bid และ Ask ซึ่งก็คือราคารับซื้อ และราคาขายออกนั้นเอง ในการซื้อทองคำจากต่างประเทศนั้น ผู้ขายจะใช้ราคา Ask ในการคำนวณ ส่วนเมื่อเราขายกลับไปยังผู้ค้าทองคำต่างประเทศ จะใช้ราคา Bid ใน การคำนวณ ดังนั้นทางสมาคมเองก็เช่นกัน ในการกำหนดราคาทองภายในประเทศก็ต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย ว่าสภาวะตลาดทองคำภายในประเทศเป็นเช่นไร เช่นมีความต้องการซื้อทองคำอย่างมากก็ต้องนำเข้าทองคำ หรือหากมีความต้องการขายทองคำจำนวนมากก็ต้องส่งออกเป็นต้น

    2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ )

    เมื่อ มีความต้องการซื้อทองคำจำนวนมากจากผู้สนใจลงทุนในทองคำ และปริมาณทองคำภายในประเทศมีไม่เพียงพอ ร้านค้าทองจึงจำเป็นต้องอาศัยการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ ซึ่งก็คือการซื้อจากผู้นำเข้า ซึ่งผู้นำเข้าก็ต้องซื้อต่ออีกทอดหนึ่งจากผู้ค้าในต่างประเทศ โดยจะมีการคิดค่า Premium

    ค่า Premium ก็ คือค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อที่นำเข้า หรือส่งออกทองคำ รวมถึงค่าขนส่ง ค่าความเสี่ยง ดอกเบี้ยธนาคาร ค่าประกันภัยต่างๆ ซึ่งถูกกำหนดมาโดยผู้ค้าทองในต่างประเทศ ซึ่งเรียกง่ายๆว่าเป็นต้นทุนในการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเข้ามาขายผู้ บริโภคในไทยนั้นเอง โดยในการคำนวนจะนำราคา Spot บวกค่า Premium ดัง กล่าวนี้เข้าไปด้วย ซึ่งในทางกลับกัน เมื่อมีประชาชนมาขายทองคำแท่ง คืนให้กับร้านทองจำนวนมากๆ ร้านทองจำเป็นต้องทำการขายกลับคืนมาให้กับบริษัทผู้นำเข้า และผู้นำเข้าก็จะทำการขายคืนกลับไปให้กับผู้ค้าทองในต่างประเทศอีกทอดนึง ซึ่งในจุดนี้ต่างประเทศจะใช้ราคา Spot ฝั่ง BID และหักลบค่าใช้จ่าย Premium ซึ่งในฝั่งขายออกนี้จะเรียกว่า Discount สำหรับสภาวะปกติค่า premium หรือ discount จะอยู่ที่ +1 ถึง 2 เหรียญ ต่อออนซ์ แต่ในสภาวะวิกฤตดังเช่นปัจจุบัน จากการที่ราคาทองคำในต่างประเทศลดลงอย่างมาก และรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำจากทุกประเทศในโลกพร้อมๆกัน ทำให้มี Demand ในโลกมาก เกิดการแย่งซื้อ ส่งผลให้มีการปรับขึ้นลงค่า premium และ discount จากผู้ค้าในต่างประเทศอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากเช่นกัน โดยอยู่ที่ช่วง +10 ถึง 20 เหรียญต่อออนซ์ และในบางครั้งสูงถึง +25 เหรียญต่อออนซ์ด้วย อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน

    3. ค่าเงินบาทต่อดอลล่าสหรัฐ

    ค่า เงินบาทในการคำนวณราคาทองในประเทศ จะใช้อัตราการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมีการเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกัน gold spot และมีการใช้ราคาในฝั่ง Bid และ Ask เช่นเดียวกัน สำหรับในสภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินเช่นปัจจุบัน แต่ละธนาคารก็จะบวกค่าความเสี่ยงเข้าไปด้วยเช่นกัน

    4. Demand และ Supply ภายในประเทศ

    คณะ กรรมการควบคุมราคาทองของสมาคม นอกจากจะพิจารณาราคา Gold Spot / ค่า Premium และค่าเงินบาท ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัย Demand / Supply ภายในประเทศด้วยเป็นหลัก เพื่อที่จะตัดสินใจประกาศราคาทองคำภายในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้นๆ โดยคณะกรรมการกำหนดราคาทั้ง 5 ท่าน จะพิจารณาจากปริมาณ และราคาจากการซื้อขายระหว่าง

    4.1 ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกทองคำ

    4.2 ร้านค้าทองเยาวราช

    4.3 ร้านค้าส่งทองคำ

    4.4 ร้านค้าปลีกทองคำ

    4.5 ผู้ลงทุนทองคำรายใหญ่

    4.6 ผู้ลงทุนทองคำรายย่อย

    กล่าว คือ มิใช่ว่าร้านทองจะซื้อขายกับประชาชนผู้สนใจลงทุนในทองคำเพียงฝ่ายเดียว ตามที่ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจ เป็นความเข้าใจที่ผิด ทุกภาคส่วนล้วนมีการซื้อและขายทองคำด้วยกันเองตลอดเวลาด้วย และการซื้อขายของร้านค้าทองด้วยกันเองนั้นจะมีปริมาณที่มากกว่าการซื้อขาย กับผู้ลงทุนทั่วไปหลายสิบเท่า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสมาคมประกาศราคาทองคำสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงจาก ตลาดต่างประเทศมากไป ร้านทองด้วยกันเองจะมีการวิ่งเข้าหาซื้อ หรือเทขายกันเอง ส่งผลให้สมาคมต้องปรับราคาให้เหมาะสมในที่สุด เพื่อสะท้อนถึงความต้องการทองคำของตลาดตามความเป็นจริง ตามกฎของ Demand / Supply กลไก ของตลาดดำเนินการไปด้วยตัวของมันเอง เช่น หากราคาทองของสมาคมประกาศต่ำกว่าตลาดโลกมาก ก็จะมีกลุ่มผู้ตระเวนซื้อทองรูปพรรณเก่าตามร้านทองทั่วประเทศ และขายทองให้ผู้ส่งออกต่างประเทศได้ส่วนต่างผลกำไรโดยตรง โดยไม่ผ่านร้านทองทำให้ร้านทองเสียรายได้ส่วนนี้ไปอย่างเห็นได้ชัด หรือหากมีการกำหนดราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลกมาก ก็จะมีผู้นำเข้าทองนำทองมาขายให้ร้านทองโดยทันทีเช่นกัน เนื่องจากได้กำไรจากส่วนต่างที่มากนั้นจูงใจ

    ดังนั้น การที่ผู้สนใจลงทุนในทองคำดูราคา Gold spot จาก Website ต่าง ประเทศ แล้วนำมาคำนวณตามสูตรตรงๆ ก็จะได้ราคาที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงในการซื้อขายที่มีการส่งมอบทองจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอย่างเช่นในปัจจุบัน (ทองคำ แท่งขาดตลาดทั่วโลก) ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น จะเห็นว่าตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดอย่างแท้จริง

    Gold Traders Association : ��Ҥ��ҷͧ��
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นิทานสอนใจ : ถ้าจะรัก ก็จงรักอย่างเปิดเผย <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">22 สิงหาคม 2553 11:29 น.</td></tr></tbody></table>
    เรื่อง "If love, love openly" ถ้าจะรัก ก็จงรักอย่างเปิดเผย เป็นเรื่องเล่ามาจากวัดนิกายเซ็น ซึ่งมีพระภิกษุอยู่หลายสิบรูปและมีนักบวชผู้หญิงที่เรียกว่า nun หรือ "แม่ชี" อยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า "เอฉุ่น" รวมอยู่ด้วย

    เอฉุ่นเป็นหญิ่งสาวที่สวยมาก แม้จะเอาผมออกเสียหมดแล้ว แม้จะใช้เครื่องนุ่งห่มของนักบวชที่ดูไม่หรูหราก้ยังดูสวยอยู่นั่นเอง และทำความวุ่ยวายให้แก่ภิกษุทั้งหมดในวัดเป็นอย่างมาก พูดได้ว่าแทบจะไม่มีจิตใจที่สงบได้

    ซึ่งมีพระภิกษุองค์หนึ่งอยู่ไม่ได้ จนต้องเขียนจดหมายส่งไปถึงเอฉุ่น ขอร้องเพื่อให้เธอมาพบกันแบบส่วนตัว เอฉุ่นก็ไม่ได้ตอบจดหมายฉบับนั้นแต่อย่างใด

    พอวันรุ่งขึ้นในขณะที่มีการประชุมกันอยู่ ซึ่งมีชาวบ้านมาร่วมด้วยจำนวนมาก เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลง เอฉุ่นก็ยืนขึ้นแล้วกล่าวถึงภิกษุองค์ที่ส่งจดหมายมาให้ว่า ภิกษุองค์ใดส่งจดหมายมาถึงฉันขอให้ก้าวออกมาข้างหน้าเถิด ถ้ารักฉันมากจริงๆ ก็จงมากอดฉันที่ตรงนี้

    นิทานเรื่องนี้สอนว่า การอบรมที่ตรงไปตรงมาตามแบบของนิกายเซ็นนั้น เมื่อ มีความกล้ามากก็ทำให้คนเรามีความกล้าหาญมากขึ้น และไม่มีความลับใดที่จะต้องปิดบัง ถึงใครจะว่าอย่างไรก็จะไม่ปกปิด คือสามารถที่จะเปิดเผยตนเองได้

    เนื่องจากเป้นคนที่มีสัจจะ มีความจริงอยู่ในตัว โดยไม่ถือว่าความลับที่มีอยู่ในโลกนี้ เราจะต้องเป็นผู้ที่ปฏิญญาตัวอย่างว่าอย่างไร จะต้องทำอย่างนั้น โดยที่ไม่มีความลับปกปิดไว้ให้เป็นเครื่องเตือนใจ แม้ในการจะเรียนตัวเองว่า "ครู" อย่างนี้เป็นต้น

    บางคนกระดากหรือร้อนๆ หนาวๆ ที่ว่าจะถูกเรียกว่าครู หรือจะถูกขอร้องให้ปฏิญญาความเป็นครู ซึ่งเหตุนี้แสดงว่าไม่เปิดเผยอย่างเพียงพอ ยังไม่กล้าหาญพอ การที่จะกล้าปฏิญญาว่าเป็นครูไปตลอดชีวิตหรือไม่ ยิ่งจะไม่กล้าไปกันใหญ่

    ทั้งนี้ ใครที่กำลังจะลงเรือน้อยข้ามฟากไปฟากอื่นซึ่งไม่ใช่เมืองของครูบ้าง ก็ดูเหมือนไม่กล้าเปิดเผย เพราะคนเราไม่ชอบความกล้าหาญ และการเปิดเผยกันอย่างมาก แฉกเช่นเดียวกับพระภิกษุจากนิทานเรื่องนี้ก็เหมือนกัน


    Life & Family - Manager Online - �Էҹ�͹� : ��Ҩ��ѡ �稧�ѡ���ҧ�Դ��




    .



    .



    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไข้เลือดออกระบาดหนักโคราชตายแล้ว5

    ระบาดหนัก! โคราชพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกตั้งแต่ต้นปีแล้ว 2,267 ราย พบผู้เสียชีวิต 5 ราย สั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องลงพื้นที่เฝ้าระวังโรคอย่างต่อเนื่อง ...

    เมื่อ วันที่ 22 ส.ค. นายแพทย์วิชัย ขัตติยวิทยากุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ 32 อำเภอของจังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม - สิงหาคม 2553 พบว่า จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกรวมแล้วทั้งสิ้น 2,267 ราย คิดเป็นอัตราการป่วย 88.17 และ มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย ในพื้นที่อำเภอสีคิ้ว 1 ราย อำเภอครบุรี 2 ราย และ อำเภอเมือง 2 ราย ทั้งนี้จากรายงานยังพบว่า จังหวัดนครราชสีมา มีจำนวนยอดผู้ป่วยสะสมในปีนี้สูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และ ยังคงมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกในช่วงฤดูฝน เพราะสภาพอากาศในช่วงนี้ เป็นช่วงที่เหมาะแก่การแพร่ขยายพันธุ์ของยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกมาสู่คน

    นายแพทย์วิชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ สาธารณสุขอำเภอ เจ้าหน้าที่สถานีอนามัย รวมถึงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทุกชุมชน ลงพื้นที่ออกตรวจร่างกายให้กับชาวบ้าน และเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงที่เกิดการระบาดซ้ำซาก พื้นที่ที่มีจำนวนยอดผู้ป่วยสูง และพื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก นอกจากนี้ ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมายังได้ขอความร่วมมือกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง เทศบาล และ อบต.ให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปฉีดพ่นควันกำจัดยุงลายให้กับชาวบ้านในทุกชุมชน โดยด่วนแล้ว.


    ไข้เลือดออกระบาดหนักโคราชตายแล้ว5 - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หุ..หุ...หุ...คุณน้องนู๋ เห็นป่าว ไม่ทันข้ามเดือนดีเลย เวลานี้เริ่มจะออกมาละ...
     
  8. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, jirautes, nongnooo+, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อารายเหรอพี่...? :)
     
  9. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ psombat [​IMG]

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    สวัสดีครับพี่ หารูปเปลี่ยน LOGO ชัดๆ ยากจัง :)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หุ..หุ...หุ...คุณน้องนู๋ เห็นป่าว ไม่ทันข้ามเดือนดีเลย เวลานี้เริ่มจะออกมาละ...<!-- google_ad_section_end -->


    เยี่ยมเลยครับ ไม่ทราบว่าองค์นี้เปลี่ยนสีได้ปล่าวครับ หุ หุ
     
  10. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ไม่แน่ใจนะครับคุณพี่ รู้แต่ว่าเป็นแก้ว....ไม่ใช่หิน
    ตอนนี้กำลังเข้ากรอบทองอยู่ครับผม
     
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ้าวเข้ากรอบทองแล้วยังไม่ชัวร์อ่ะครับ หุ หุ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, somlatri </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมได้รับ Email แล้ว จะทยอยดูให้ครับ

    ที่ทำงานผมเข้าไม่ได้ ต้องไปดูที่บ้านครับ

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นายเฉลิมพล [​IMG]
    วันนี้ที่5 สิงหาคม เวลา 15.04น. ได้โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี1890131288 จากบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาพิมาย ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสรงฆ์ผาผึ้ง เป็นจำนวณเงิน 10000บาท ผ่านทาตู้ เอทีเอ็ม เรียบร้อยแล้วครับ ขอให้จัดส่งของตามรายการข้างต้น ไปที่ นายเฉลิมพล อินทพัฒน์ 562/8 ม.14 ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา 30110 โทร 0819660351
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ยินดีครับ

    ในส่วนนี้ ยังไม่มีผู้ที่จองครับ

    สามารถแจ้งความประสงค์ในการจองและร่วมทำบุญในกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ หรือ กระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    โมทนาสาธุครับ

    .



    .



    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นายเฉลิมพล [​IMG]
    ครับ ไม่ทราบว่าเห็นข้อความเรื่องโอนเงินไปแล้วหรือยังครับ พอดีผมเข้ามาแล้วหาไม่เจอในส่วนนั้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นายเฉลิมพล [​IMG]
    ผมโอนเงินไปรายละเอียดดังนี้ครับ
    วันที่ 5 สิงหาคม 2553 เวลา 15.04 น. ได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยเลขที่ 1890131288 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา เป็นจำนวณเงิน 10000 บาท ทางตู้เอทีเอ็ม ของธนาคารกรุงทพ เรียบร้อยแล้วครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นายเฉลิมพล [​IMG]
    ผมได้รับหนังสือ วิเคราะห์พระสมเด็จ และสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าฯ ,พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า พระพิมพ์ปิดตา และเบี้ยแก้บุเงิน ของวังหน้า เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ รู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งมากเลยครับ ขอขอบพระคุณคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sithiphong<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3664224", true); </SCRIPT> มากๆเลยนะครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    หนังสือ ทั้ง 3 เล่ม( หนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จ และสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า , หนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และหนังสือปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์) อ่านหรือยังครับ

    ถ้าอ่านแล้ว เป็นอย่างไร มาเล่าความรู้สึก และ ความคิดเห็นให้ฟังบ้างครับ

    .<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีคำถามมาถามผมหลายท่านแล้วเรื่องของหนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จ และ สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ที่ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เขียนขึ้น

    ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ได้หมดลงไปนานแล้วครับ

    ผมเองยังพอมีอีกประมาณ 2 เล่ม ซึ่งผมได้ซื้อมาในราคาเล่มละ 500 บาท

    เนื่องจากงานการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ยังไม่แล้วเสร็จ ยังต้องการงบประมาณในการสร้างอีกประมาณ 2.5 ล้านบาท
    ประกอบกับคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ ที่เป็นตำราที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน สำหรับเรื่องของการวิเคราะห์พระสมเด็จในแง่มุมต่างๆเป็นอย่างดีเยี่ยม

    ผมจะมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เพียง 1 เล่ม อีกทั้งผมจะมอบหนังสือ ประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 1 เล่ม และจะมีพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่ามอบให้อีก 10 องค์ สำหรับท่านที่ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง จำนวน 10,000 บาท

    แต่หากต้องการ พระกริ่งปวเรศ เนื้อสเตอร์ริง ซิลเวอร์ ที่สร้างขึ้นที่ทวีปยุโรป นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปีพุทธศักราช 2434 วาระที่หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผมขอให้ร่วมทำบุญเพิ่ม อีก 20,000 บาท รวมเป็นเงินที่ต้องทำบุญทั้งหนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จ และพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า และพระกริ่งปวเรศ ทั้งสิ้น 30,000 บาท

    เริ่มต้นให้ร่วมทำบุญตั้งแต่วันนี้ (วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2553)
    สิ้นสุดการโอนเงินร่วมทำบุญ วันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2553 เวลา 17.00 น.

    หากเมื่อถึงวันสิ้นสุดการโอนเงินแล้ว ไม่มีท่านใดร่วมทำบุญ ผมขอเก็บกลับคืนครับ

    หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระกริ่งปวเรศลงในเว็บพลังจิตครับ

    หมายเหตุ พระกริ่งปวเรศที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระกริ่งปวเรศที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วงการซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระกริ่งปวเรศ(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป

    แต่พระกริ่งปวเรศที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระกริ่งปวเรศ ที่สร้างขึ้นที่ทวีปยุโรปโดยคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ให้สร้างขึ้น โดยช่างชาวยุโรป ใช้มวลสารหลักก็คือ สเตอร์ริง ซิลเวอร์( เนื้อเงิน ของยุโรป) และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดศรีรัตนศาสดาราม ในปีพ.ศ.2434 โดยหลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ท่านอธิษฐานจิตเดี่ยว

    แต่หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ,กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เป็นอย่างไร ต้องไปหาอ่านในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง) ได้ครับ

    ซึ่งเรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

    โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ


    .


    --------------------


    สำหรับหนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ที่ผมยังเหลืออีก 1 เล่ม ซึ่งเป็นเล่มที่มีหน้าปกสีน้ำเงิน ผมจะนำมามอบให้ผู้ร่วมทำบุญตามกติกาเดิม คือ ร่วมทำบุญ 10,000 บาท ในการร่วมทำบุญ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ ครับ

    .



    .



    .



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2010
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <H1>ธรรมานุสสติแบบพิจารณา

    </H1> คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    จาก หนังสือ กรรมฐาน ๔๐


    การอธิบายเรื่องการปฏิบัติพระกรรมฐานในวันนี้ ขออธิบายเรื่องธรรมานุสสติกรรมฐาน อนุสสติทั้ง ๑๐ ประการ มีพุทธานุสสติ เป็นต้น และมีอานาปานสติเป็นปริโยสาน ตามแบบฉบับท่านบอกว่า ทรงได้แค่เฉพาะอุปจารสมาธิ ไม่สามารถจะเข้าถึงฌานได้ แต่ทว่าถ้าเรามีความฉลาด เราก็สามารถจะทำอนุสสติทั้งหมดเข้าถึงสมาบัติ ๘ ก็ได้ แล้วก็เป็นบาทของวิปัสสนาญาณ เข้าถึงวิปัสสนาญาณเบื้องสุด ถึงอรหัตผลก็ได้ นี่เป็นเรื่องของความฉลาด หรือความโง่ของนักปฏิบัติ

    สำหรับธรรมานุสสติกรรมฐาน ท่านแปลว่า นึกถึงความดีของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปกติ อนุสสติแปลว่าตามนึกถึง ธรรมา คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

    ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีทั้งหมดด้วยกัน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราจะไปนำเอาธรรมะทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มานั่งใคร่ครวญในเวลาเดียวกันย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาจำกัด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องถือเอาหัวใจของพระศาสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเป็นปัจฉิมวาจา คือว่าเป็นการประกาศให้บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ไปประกาศพระศาสนาถือเป็นแบบฉบับ เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ว่า

    สัพพปาปัสสะ อกรณัง ท่านทั้งหลายจงแนะนำให้ชาวบ้านทั้งหลาย จงละความชั่วเสียทั้งหมด

    กุสลัสสูปสัมปทา จงประพฤติปฏิบัติแต่ความดี

    สจิตตปริโยทปนัง จงทำอารมณ์จิตของตนให้ผ่องใส

    เอตัง พุทธาน สาสนัง ท่านทรงรับรองว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

    เวลาที่เราจะพิจารณาพระธรรมตามแบบของอนุสสติที่เรียกว่าเป็นอุปจารสมาธิเป็นอันดับสูงสุด ก็มาพิจารณากันใน ๓ ข้อนี้ เรานึกไว้เสมอว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหมดเราจะไม่ทำ แล้วความชั่วอันดับหยาบที่เราจะมองเห็นกันได้ง่าย ก็คือ การละเมิดศีล ๕ ประการ เราจะไม่ยอมละเมิดเด็ดขาด หากว่าเราไม่ละเมิดศีล ๕ ประการได้ ก็ชื่อว่าเราไม่ทำความชั่ว ถ้าเรายังละเมิดศีล ๕ ประการอยู่ ก็ชื่อว่า เรายังทำความชั่วอยู่ ใช้ไม่ได้นี้เราก็มานั่งใคร่ครวญจิตของเราว่า จิตของเราน่ะยอมรับนับถือความดีในศีล ๕ ประการแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามหาทางริดรอนความชั่วเสีย ถือว่าการละเมิดศีล ๕ ประการ ข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม ไม่มีความจำเป็นสำหรับชีวิตที่จะต้องละเมิด

    การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาเลี้ยงชีพไม่มีความจำเป็น อยากจะกินเนื้อสัตว์ ชาวบ้านเขาฆ่าขายถมไป เราไปซื้อมากินได้ หรือว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์เลย เขากินเจกันอิ่มหมีพีมันอ้วนพีกันด้วยประการทั้งปวง ช้างก็ดีควายก็ดีม้าก็ดี กินหญ้ามีกำลังดีกว่าคนตั้งเยอะแยะ นี่ขึ้นชื่อว่าอาหารไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อสัตว์เป็นมาตรฐาน แต่ว่าถ้ามีโดยเราไม่จำเป็นจะต้องฆ่าเราก็กินได้ ถ้าเราจำเป็นจะต้องฆ่าสัตว์ให้ตาย เป็นการทำลายชีวิต เป็นการสร้างความชั่ว เราไม่เอา นี่ถือว่าข้อนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องละเมิด

    ข้อที่ ๒ การลักการขโมยทรัพย์สินของบุคคลอื่น การยื้อแย่งคดโกงเขา ก็ไม่มีความจำเป็น เราจะยื้อแย่งคดโกงเขามาได้มากสักเท่าไรก็ตาม เราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกันหมด มีมากก็แก่ก็เจ็บก็ตาย มีน้อยก็แก่ก็เจ็บก็ตายเหมือนกัน ซึ่งมันไม่มีความสำคัญในการที่มีชีวิตมีทรัพย์มากทรัพย์น้อย

    ข้อที่ ๓ การละเมิดศีลข้อที่สาม คือข้อกาเมสุมิจฉาจาร การร่วมรักในสตรีระหว่างเพศ อยู่ในเขตแห่งการหวงแหน ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ไม่ได้สร้างตนให้เป็นคนดี ไม่ได้สร้างตนให้เป็นคนหนุ่ม ไม่ได้สร้างคนให้เป็นมหาเศรษฐีอนุเศรษฐีขึ้นมาได้ มีเมียมาก มีเมียน้อย มีผัวมาก มีผัวน้อย มันก็แก่ มันก็เจ็บ มันก็ตายเหมือนกัน

    การทรงชีวิตอยู่ เราทรงอยู่ด้วยความสุจริต เราไม่มีการทุจริต แล้วก็ทรงชีวิตอยู่ได้ แต่การกล่าววาจาทุจริตหมายถึงว่าการโกหกมดเท็จเพื่อยังชีพความเป็นอยู่ เราปรารถนาความสุข มันก็หาความสุขจริงๆ ไม่ได้ มันก็แก่ก็เจ็บก็ตายเหมือนกัน เราจะไปโกหกเขาทำไม

    การดื่มสุราเมรัยเป็นการบั่นทอนชีวิต บั่นทอนปัญญา สร้างโรคภัยไข้เจ็บให้เกิดแก่ร่างกาย ทำลายประสาทให้มัวหมอง เป็นคนไร้สติสัมปชัญญะ มีสติฟั่นเฟือน มันก็ไม่เกิดประโยชน์ คนที่เขาไม่กินเหล้าเมายา เขาก็ทรงชีวิตอยู่ได้ ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องละเมิด

    นี่เราก็ใคร่ครวญดูว่าพระธรรมคำสั่งสอนข้อแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำได้ไหม นี่เราถือธรรมมานุสสติกรรมฐานไม่ใช่ไปนั่งภาวนาว่าพุทโธเฉยๆ ภาวนาพุทโธเฉยๆ นั่นเป็นการทรงอารมณ์จิตเป็นฌาน แต่ทว่าเราต้องควบคุมอารมณ์อย่างนี้ไว้ด้วยว่าเราจะไม่ละเมิดข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามในด้านศีล แล้วในส่วนธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าไม่สมควรปฏิบัติ อย่างอคติ ๔ เป็นต้น และตัวอิจฉาริษยาก็ตาม อย่างนี้เราก็ต้องไม่มีในใจของเรา เป็นอันว่าถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จิตใจของเราไม่คบมันได้ ไม่สนใจกับมัน คอยระมัดระวังไว้ไม่ให้เกิดขึ้นกับใจของเรา ก็ชื่อว่าเราไม่ทำความชั่วตามที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้แล้วในข้อต้น อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นธรรมานุสสติกรรมฐานได้หนึ่งในสาม

    ธรรมานุสสติในข้อที่สอง พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำแต่ความดี ก็คือให้เราทรงศีลห้าประการให้บริสุทธิ์ ทรงพรหมวิหารสี่ให้ปกติ พรหมวิหารสี่ก็คือเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา วางเฉย กฎธรรมดาเข้ามาถึงตัว ความป่วยไข้ไม่สบาย การกระทบกระทั่งแห่งจิต ที่มันเป็นกฎธรรมดาของชีวิตของบุคคลที่เกิดมา ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตใจของเราไม่หวั่นไหว อย่างนี้ชื่อว่า เราทำความดีแล้ว รักษาความดีนี้ไว้ให้เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม ถ้าจิตใจของเราทรงไว้ได้อย่างนี้ แสดงว่าเราได้สองในสามของความดีที่จัดว่าเป็นธรรมานุสสติกรรมฐาน

    สจิตตปริโยทปนัง พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เราทำจิตให้ผ่องใส อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแนะนำให้เรานึกถึงกฎธรรมดาไว้เป็นปกติ ว่าสภาพของชีวิต สิ่งที่มีชีวิตก็ตาม ไม่มีชีวิตก็ตาม ในโลกทั้งหมดมันเป็นอนิจจัง หาอะไรเที่ยงไม่ได้ มันเป็นทุกขัง ในเมื่อมันไม่เที่ยงมันก็มีความทุกข์ อนัตตาในที่สุดมันก็สลายตัว ไม่มีอะไรยืนตัว เราจะไปเกาะโลกธรรมหมายถึงว่าเกาะชีวิต ร่างกายของเรานี้ว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ก็ชื่อว่าเราโง่เต็มที ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เข้ามาประกอบเป็นเรือนร่างชั่วคราว เป็นเหมือนกับบ้านพักบ้านอาศัยชั่วคราวหรือว่าบ้านเช่า ถ้ามันเป็นบ้านเช่ามันก็เก็บค่าเช่าแพงเกินไป เจ้าของบ้านคือกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรมที่ดันให้เรามาเกิดมาอาศัยอยู่ในกาย มันเก็บค่าเช่า มันมีความโหดร้ายมาก เรามาอาศัยบ้านหลังนี้อยู่ บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ต้องซ่อมทุกวัน วันหนึ่งๆ ซ่อมหลายครั้ง ซ่อมด้วยอะไรบ้างล่ะ ซ่อมด้วยอาหารการบริโภค ถ้าไม่ซ่อมมันก็รวนเรโยเย สร้างความทุกข์ให้เกิดกับเรา ให้อาหารการบริโภคตลอดเวลาแล้วมันก็ยังไม่พอ บางครั้งมันก็โซซัดโซเซ หมายความว่าความป่วยไข้ไม่สบายปรากฎ ความสุขความสบายกายความสบายใจมันก็ไม่มีต้องสิ้นเปลือง ต้องทุกข์ทรมานกายทรมานใจ ทรัพย์สินมีเท่าไรก็ต้องจับจ่ายใช้สอยเอามารักษาตัวจนหมดจนสิ้น เราหามาด้วยความลำบาก นี่แสดงว่าเจ้าของบ้านนี่มันใจร้ายมาก แล้วยิ่งไปกว่านั้น เราจะทะนุบำรุงมันเท่าไรก็ตาม เจ้าของบ้านมันก็พยายามทำให้ร่างกายคือบ้านที่เราอาศัยอยู่นี่ทรุดโทรมตลอดเวลา เราจะเห็นว่าร่างกายของเราแก่ลงไป ทรุดโทรมลงไปตลอดกาลตลอดสมัย นี่เห็นความใจร้ายของเจ้าของบ้านว่ามันร้ายขนาดไหน แล้วในที่สุดมันก็ทำลายบ้านเสีย นี่เรียกว่าเราอาศัยบ้านหรือเช่าบ้านเสียค่าเช่าแพงแล้วยังไม่พอ ในที่สุดเจ้าของบ้านมันก็ทำลายบ้านนี้ให้เราแสวงหาบ้านอยู่ต่อไปใหม่

    ก็เป็นอันว่าบ้านเหล่านี้ก็ดี บ้านหลังต่อไปก็ดี ที่จะมีต่อไป เราก็จะพบแต่ความทุกข์มันไม่มีอะไรเป็นสุข ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า สจิตตปริโยทปนัง จงทำจิตใจให้ผ่องใส คิดไว้เสมอว่า บ้านเช่าก็คือร่างกายหลังนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้าเราจะต้องมีบ้านแบบประเภทนี้ต่อไป เราก็จะพบแต่ความทุกข์อีก ให้วางภาระบ้านหลังนี้เสีย หมายความว่า เราไม่สนใจกับบ้านหลังนี้ ในขณะที่เราอาศัยอยู่ เราจะทะนุบำรุงมันตามปกติ เพราะเรายังอาศัยอยู่ ข้าวปลาอาหารหาให้มันกิน มันหนาวหาผ้ามาห่ม มันร้อนหาน้ำให้อาบสร้างความเย็นให้ปรากฎ ถ้ามันป่วยไข้ไม่สบาย รักษาเพื่อเป็นการระงับเวทนา ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ยิ้มได้ ทำใจไว้เสมอว่า ไอ้บ้านจัญไรแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันเป็นเชื้อสายของกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรม หรือจะกล่าวกันว่ามันเป็นเรือนจำที่กิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรมส่งจิตคือเราเข้ามาขังไว้เป็นการทรมานก็เป็นไปได้ ฉะนั้น บ้านหรือเรือนจำประเภทนี้เราจะไม่มีมันต่อไป ชาติก่อนเราโง่แล้ว เวลานี้เรามาพบคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำให้เรารู้แล้วว่าบ้านหลังนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เป็นเรือนร่างแห่งความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก

    วิธีที่จะไม่ต้องการมันเราทำยังไง?

    เราก็ล้วงไปหาพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรสอนไว้เป็นหลัก เป็นการทำลายบ้านหลังนี้ คือไม่ต้องการพบบ้านหลังนี้ต่อไป นั่นก็คือมีการให้ทาน ใคร่ครวญไว้เสมอว่าเราจะต้องให้ทานตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่ง ว่าเราจะไม่มีบ้านอันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเดือนร้อนแบบนี้อีก เราต้องเป็นคนให้ทานเป็น ให้ทานในที่นี้ไม่ใช่ให้ทานเอาหน้า ให้เอาชื่อเสียง เราให้ทานเอาศักดิ์ศรี หมายความว่าให้ทานเพื่อเป็นการตัดกิเลสคือโลภะ ความโลภที่จะอยากมีบ้านนี้ต่อไป เราไม่อยากมีบ้านนี้ต่อไป เราให้ทานเพื่อเป็นการตัดรากตัดเหง้าของการที่จะมีบ้านประเภทนี้ ให้ทานไปด้วยดีเป็นการสงเคราะห์ เป็นการทำจิตให้สบาย

    ประการที่สอง เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ประกอบไปด้วยพรหมวิหารสี่ ถ้าไม่มีพรหมวิหารสี่ ศีลมันไม่บริสุทธิ์ เป็นการกำจัดโทสะความโกรธให้พินาศไป

    ประการที่สาม เราจะเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นทุกข์ นี่ถ้าเรายึด ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ร่างกายของเรานี่มันไม่ใช่เรา เราไม่ยึดถือมันเสีย คิดเสียว่าในเมื่อมันมีความเกิดขึ้นแล้ว ก็รู้ว่ามันจะเจ็บ มันจะแก่ มันจะตาย ก็ถือว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วประเดี๋ยวมันก็แก่ มันแก่ไปทุกวันเรารู้ แก่ก็แก่ไป เราไม่ทุกข์กับภาวะของมัน มันจะเป็นยังงั้นก็ช่างมันปะไร อยากจะแก่ก็เชิญแก่ ถ้ามันป่วยไข้ไม่สบาย เรารักษามันหายก็หาย ไม่หายหรือมันจะตายก็ช่างมัน เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว ในเมื่อความตายมันจะเข้ามาถึงจริงๆ เราก็สร้างความภูมิใจว่า ที่สุดของความทุกข์ของเราเข้ามาถึงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอนไม่ให้เรายึดถือ บ้านประเภทนี้เราไม่ยึดถือมัน มันพังเสียได้ก็ดีแล้ว ขึ้นชื่อว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับเราที่มีร่างกายเลวๆ แบบนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ต่อไปเราจะแสวงหาความสุข กล่าวคือ เป็นผู้ไม่เกิดเป็นคน ไม่เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดเป็นพรหม ส่วนที่เราต้องการจะไปนั่นก็คือ พระนิพพานสายเดียว นี่การพิจารณาแบบนี้ที่พระโบราณาจารย์ท่านเขียนไว้ว่า เป็นได้เข้าถึงอุปจารสมาธิ วันนี้ก็ขอพูดจบไว้แต่เพียงเท่านี้

    อย่างนี้เขาเรียกว่า ธรรมานุสสติกรรมฐานแบบพิจารณา สำหรับธรรมานุสสติกรรมฐานแบบภาวนาให้เป็นฌานสมาบัติ วันพรุ่งนี้มีโอกาสจะพูดต่อไป

    ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ หรือว่าธัมโม หรือสังโฆ ก็ได้ แต่ว่าถ้าภาวนาว่าพุทโธ ก็ให้จิตอยู่แค่พุทโธ อย่าให้มันเลยไปถึง ธัมโม หรือสังโฆ ถ้าภาวนาว่าธัมโมก็ให้จิตอยู่แค่ธัมโมอย่างเดียว อย่าให้มันไปถึงพุทโธหรือสังโฆ ถ้าภาวนาว่า สังโฆ ก็ให้จิตมันอยู่แค่สังโฆอย่างเดียว อย่าให้มันไปถึงพุทโธ ธัมโม จิตมันจะส่าย รักษาอารมณ์อย่างไหนก็รักษาอารมณ์อย่างนั้นไว้เป็นปกติ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท หายใจออกนึกว่าโธ ถ้าเจริญธรรมานุสสติกรรมฐาน เวลาหายใจเข้านึกว่า ธัม เวลาหายใจออกนีกว่า โม ธัมโม ธัมโม หากว่าเจริญสังฆานุสสติกรรมฐาน หายใจเข้านึกว่า สัง หายใจออกนีกว่า โฆ อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ อย่าให้จิตมันสอดส่ายไปสู่อารมณ์อื่น ถ้าเราสามารถจะทรงความดีได้ชั่วขณะหนึ่งในช่วงเวลา ๓๐ นาทีที่จะให้เวลาต่อไปนี้ ถ้าทรงความดีได้อย่างนี้สัก ๓ นาที ก็ชื่อว่าเรามีความดีพอสมควร

    .

     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อสักพักใหญ่ๆนี้ พระอาจารย์รูปหนึ่งที่สำนักปฎิบัติธรรมสวนทิพย์โลกอุดร ท่านได้โทร.มาร่วมโมทนาบุญกับคณะกองทุนหาพระถวายวัด ในการถวายชุดหยก 300 องค์

    ท่านให้พรกับคณะกองทุนหาพระถวายวัด จำนวน 38 ท่าน ตามรายชื่อที่ผมได้ส่งไปพร้อมกับชุดหยก

    โมทนาบุญกับคณะกองทุนหาพระถวายวัดครับ


    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“คุณชายดิศ” นำคณะร่วมสวดถอนวิญญาณ “ปลัด ทส.-คณะ”
    Local - Manager Online - ??س?҂?Ԉ? ?Ӥ?Ѓ臁ʇ??͹ǔ??ҳ ??ő? ?ʮ-??Д

    </TD><TD vAlign=baseline align=right width=102>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>22 สิงหาคม 2553 14:35 น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>น่าน - “คุณชายดิศ” นำคณะทำงานปิดทองหลังพระเมืองน่าน พร้อมตัวตัวแทนภาคประชาสังคม ส่วนราชการ และชาวบ้านตำบลเมืองลี ทำพิธีสวดถอน-ส่งวิญญาณ พร้อมอุทิศส่วนกุศลให้ ปลัด ทส.-คณะ ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ฮ.ตก กลางป่าเมืองน่าน
    วันนี้ (22 ส.ค.) คณะทำงานโครงการปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ จังหวัดน่าน พร้อมด้วยภาคประชาสังคม ร่วมกับจังหวัดน่าน และชาวบ้านตำบลเมืองลี อ.นาหมื่น จ.น่าน ได้จัดทำพิธีสวดถอนวิญญาณ ให้กับคณะปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้ง 5 คน ที่ประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่บริเวณขุนห้วยฮ่าน ตำบลเมืองลี อำเภอนาหมื่น ณ บริเวณศาลาประชาคมหมู่บ้านน้ำแขว่ง โดยมี ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานคณะกรรมการอำนวยการโครงการปิดทองหลังพระฯ และ นายแพทย์ บุญยงค์ วงศ์รักมิตร ประธานคณะทำงานภาคประชาสังคม เป็นประธานในพิธี

    ขณะที่ส่วนภาคราชการมีนายมนัส โสกันธิกา ปลัดจังหวัดน่านเป็นผู้แทน และ นายเกริกพล ตรีเดช อบต.เชียงยืน จ.มหาสารคาม น้องชาย ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช เข้าร่วมในพิธีด้วย

    สำหรับพิธีสวดถอนนี้ เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อของคนเมืองน่าน เมื่อมีผู้ประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิตนอกบริเวณบ้าน หรือในพื้นที่ป่าเขา จะต้องจัดพิธีสวดถอน เพื่อเป็นการนำส่งวิญญาณของผู้ตายให้เดินทางกลับบ้านหรือไปสู่สุคติสัมปรายภพ

    โดยในพิธีกรรมนี้จะมีการปักตุง (ธง) สีแดง ขนาดกว้าง 8-9 นิ้ว ยาวประมาณ 3 เมตร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการให้สติว่า ที่แห่งนี้มีคนตาย และคติความเชื่อว่า ตุง หมายถึงธงหรือสะพาน ที่ช่วยให้ดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สุคติ ไม่หลงทาง

    นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำสะตวง 5 อัน ประกอบด้วย ของคาวหวาน และก่อเจดีย์ทราย จำนวน 5 กอง ตามจำนวนผู้ตายด้วย ซึ่งหลังจากเสร็จพิธีสวด จะได้นำสะตวงและตุงแดง นำไปปักไว้ในบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อนำทางดวงวิญญาณให้กลับบ้าน และได้รับรู้ถึงการทำบุญกุศลเพื่ออุทิศให้แก่ผู้เสียชีวิตด้วย

    จากนั้นได้มีการทำบุญเลี้ยงพระร่วมกับการทำบุญประจำหมู่บ้านที่บริเวณศาลาประจำหมู่บ้านน้ำแขว่ง ตำบลเมืองลี เพื่ออุทิศส่วนกุศลและแสดงความอาลัยแก่คณะของปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มาเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดน่าน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอแสดงความเสียใจกับทั้ง 5 ท่านด้วยครับ

    และขอแสดงความเสียใจกับพี่เมตตา ที่สูญเสียเพื่อนรัก(ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)ด้วยครับ


    .
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    โมทนาบุญกับคุณหนุ่ม และคุณเฉลิมพลด้วยครับ ตำราการดูพระสมเด็จสามารถหาดูได้ทั่วไป ทั้งของอ.ตรียัมปวาย ของอ.อรรถพล ของอ.พน และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งไปตัดต่อ เรียบเรียง รวบรวม ทำกันได้ทั้งนั้นในโลก cyber แห่งนี้ แต่หากต้องการความรู้ในการวิเคราะห์เจาะลึก แบบไม่มีปกปิด ซ่อนเร้น แอบแฝง ผลประโยชน์ใดๆ ก็ต้องเป็นตำราเล่มนี้ วิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯ และพระสมเด็จท่านเจ้าคุณกรมท่า อยากได้ตำราเก่าของอ.ตรีฯก็ลองไปที่บูธหนังสือเก่าในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ หรืองานมหกรรมหนังสือ เล่มหนึ่งก็ 70,000 บาทเป็นขั้นต่ำ แต่ลองได้ศึกษาเล่มนี้แล้วก็ลองนำไปประเมินกันว่า ได้ความครบถ้วนแบบที่ใจอยากได้หรือไม่ เมื่อได้อ่านจบแล้ว หากเกิดมีความศรัทธา และหากมีคุณสมบัติครบถ้วนก็อาจจะได้รับการพิจารณาจากคุณหนุ่มพาไปกราบอ.ปู่ผู้ขียนตำราเล่มนี้ ได้ไปสอบถามกันตรงๆ ได้ความรู้เพิ่มเติมจากสิ่งที่ตำราไม่ได้บันทึกไว้ อย่างที่ผมได้เคย post ไว้ มูลค่าตำราเล่มนี้น่าจะ ๓๐๐,๐๐๐ บาท เพราะปัจจุบันยังไม่เคยได้เห็นตำราเล่มใดที่ทรงคุณค่าแบบเล่มนี้มาก่อน

    พระพิมพ์ก็มีให้ศึกษา ตำราก็มีให้อ่าน แถมยังได้สอบถามพูดคุยกับบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปเก็บซ่อนสงสัยในใจไว้

    ใช้ศรัทธามาก ก่อให้เกิดความหลงเชื่อ และหลอกลวง

    ใช้ปัญญามาก ก่อให้เกิดความสงสัย

    ใช้ศรัทธานำแล้วใช้ปัญญาพิจารณาตาม ท่านก็จะทราบได้เอง สิ่งนั้นเป็นของจริง ของแท้ หรือของเทียม ของต้มตุ๋นกัน
     
  20. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    โมทนาสาธุด้วยครับคุณสมบัติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...