มีเรื่องจะถามถึงการไปนิพพานครับฦ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย tunotun, 27 กันยายน 2010.

  1. tunotun

    tunotun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +79
    ถ้าสมมุติว่าเราไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ นั้งสมาธิ ไม่เคยบำเพ็ญภาวนา
    แต่ไม่เคยลุ่มหลงในกาม ไม่ติดในกาม ไม่โกรธ ไม่โลภ วางทุกอย่าง



    จะไปนิพพานได้ไหมครับ?
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646

    ถ้าไม่เคยสวดมนต์ บริจาคทาน รักษาศีล ปฏิบัติภาวนา.....

    อย่าหวังได้กับการไม่ลุ่มหลงในกาม ไม่โกรธ ไม่โลภ จนวางทุกอย่าง....

    เพราะทุกสิ่งย่อมมีเหตุ ผลมันจึงเกิด......ไม่มีเหตุผลมันจะเกิดแต่ใหน....เมล็ดข้าวไม่มี ไปปลูกข้าว มันจะมีต้นข้าวได้ที่ใหน....
     
  3. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    การตรัสรู้โดยฉับพลันมีได้หรือไม่

    ปัญหา มีพระพุทธศาสนาบางนิกายถือว่า การบรรลุมรรคผล อาจเกิดขึ้นได้โดยฉับพลัน เช่นเดียวกับแสงสว่างวาบขึ้นทันทีทันใด ขับไล่ความมืดให้หมดสิ้นไป การบรรลุมรรคผลโดยฉับพลันดังกล่าวจะมีได้หรือไม่ ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปโดยลำดับไม่โกรกชันเหนือเหวฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง...ฯ”

    มหาปราทสูตร อ. อํ. (๑๐๙)
    ตบ. ๒๓ : ๒๐๓ ตท. ๒๓ : ๑๗๗
    ตอ. G.S. IV : ๑๓๘
     
  4. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,162
    แล้วอย่างคนสมัยพระพุทธเจ้า ที่ฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระอรหันต์ นั่นจะว่า สวดมนต์ไหว้ พระ หรือบำเพ็ญภาวนามาก่อนในทางพุทธศาสนามาจากไหน ก็ในเมื่อเพิ่งจะเจอพระพุทธเจ้าครั้งแรก ฟังแล้วบรรลุ จะให้คิดว่าไปนิพพานไม่ได้ ด้วยเหตุอันใดดี

    เพราะถ้าเกิดเขาละความชั่ว ยอมรับความจริง จะว่าไม่มีสิทธิ์ไปนิพพาน มันถูกต้องตามจริงอย่างนั้นรึครับ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เรื่องที่เหล่าท่านอริยชนทั้งหลายในพุทธกาลนั้น....จะกล่าวว่าเป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติมาก่อนแล้วบรรลุเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบเดียวนั้น....ย่อมเป็นไปได้ยาก.....

    ข้อนี้อย่างไรต้องยกให้เป็นพระคุณของพระพุทธเจ้า....ผู้มีพระปัญญาเป็นเลิศ...ในการแสดงพระธรรมเทศนาได้เป็นอัศจรรย์....ได้ถูกกับบุคคล....ทั้งนี้จะได้กล่าวในส่วนนั้นต่อไป.....

    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เชื่อในเรื่องเหตุผล....อย่างหนึ่งก็เชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม....และการกลับชาติมาเกิด....สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นแดนเกิด...ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว..ทุกอย่างเราเป็นผู้กำหนด..ไม่ได้มีใครมาสรรสร้าง...พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอก.....ต้องกล่าวว่าในสมัยนั้น....ผู้ที่่มีบุญได้เกิดมาในยุคของพระพุทธเจ้า...และได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วบรรลุเลย.....ท่านต่างได้สร้างของท่าน...และติดตามข้ามภพข้ามชาติมานับไม่ถ้วนแล้วหละครับ......จริงๆแล้วในสมัยนั้นบุคคลที่ฟังธรรมแล้วไม่บรรลุเลยก็ไม่นะ.....แม้ความดีขั้นสมาธิเล็กน้อยไม่ได้เลยก็มี....ไม่ใช่ใครไปฟังแล้วจะได้หมด......ฉะนั้น พระองค์ท่านคงไม่ทรงตรัษในเรื่องบัว ๔ เหล่า....นะครับ.....

    พระพุทธเจ้าในพุทธกิจประจำวันของพระองค์จะทรงตรวจอุปนิสัยสัตว์...ว่าใครจะมีบุญที่จะบรรลุธรรมในวันนี้.....และจะบรรลุธรรมด้วยธรรมอะไร....พระองค์ได้เสด็จไปโปรดตามนั้น.....ท่านไม่ได้เทศนาโดยทั่วไป....โดยไม่ได้ตรวจการไว้.....ฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่บุคคลที่ท่านจะไปโปรด....จะสำเร็จได้ในพระธรรมเทศนาเพียงแค่จบเดียว....(เพราะเป็นเรื่องของการสร้างมาเอนกอนัตชาติมาแล้วตามที่กล่าว...ประจวบกับถึงกาละเวลาแล้ว)

    ถ้าท่านสงสัยนั้นว่าบุคคลที่สำเร็จธรรมได้โดยง่ายโดยไม่ทำอะไรแค่ฟังธรรมแล้วก็สำเร็จ.....แล้วท่านได้ศึกษาในส่วนของบุพกรรมของท่านทั้งหลายในอดีตมาหรือไม....แล้วเมื่อท่านได้บรรลุแล้วกิจของท่านเหล่านั้นคืออะไร.....อันนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษานะครับ.....มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกนะ......ไม่ว่าจะเรื่องชาดกต่างๆเป็นต้น.....ศึกษาได้ครับ.....

    แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว.....มันก็ไม่ได้สำคัญไปมากกว่าที่เราจะไปคิดว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นสำเรฺ็จได้อย่างไร.....แค่ง่ายๆก็บรรลุ....แล้วเราจะคลายความเพียร....ไม่ปฏิบัตินั้น....หรือต้องการจะรอจนท่านมาโปรดเพื่อบรรลุในคราวนั้น.....ผมว่าก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน....เพราะนิสัยแห่งการคลายความเพียร...หรือความขี้เกียจ หรือประมาท ย่อมข้ามภพข้ามชาติเช่นกัน.....อย่าได้เสียโอกาศที่ได้เกิดมาเป็นคนและได้พบพระพุทธศาสนานะครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    หากไม่บำเพ็ญ ไม่มีทางที่จะไม่ลุ่มหลง ไม่เพลิน ไม่โลภ ไม่กำหนัด

    เพราะมันไม่เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของจิตใจ หากไม่ขัดเขลา ให้เห็นทุกข์ ก็ไม่มีทางดับทุกข์ไปได้เลย ธรรมชาติของจิต มันลงที่ต่ำเสมอ ธรรมชาติของจิต มันย่อมหลงเสมอ มันมีแรงหมุน แรงดึงดูด ให้ติดในโกรธ ในโลภ ในอยาก ในไม่อยากเสมอ

    อริยสัจจ์ทั้งสี่ คือ ความจริงสูงสุดอันประเสริฐ ถ้าถึงธรรม มันแหกไม่ได้ครับ ธรรมที่พระองค์ค้นพบ ทรงประกาศ จึงเป็นอกาลิโก
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ท่านเหล่านั้นบำเพ็ญมาอย่างน้อย ๆ ก็หลายหมื่น หลายแสนชาติแล้วครับ ถึงพร้อมแล้วทุกอย่าง พระศาสนาทรงชี้นิดหน่อย แค่คำพูดไม่กี่คำ ปัญญาจึงถึงพร้อม
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ใครบ้างเกิดมาแล้วครั้งเดียว ถ้าทำถึงหรือสติปัญญาถึง จะรู้จะเข้าใจ
     
  9. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ต้องทำถึงได้ ไม่ทำจะได้ได้อย่างไร

    อยากให้จิตสะอาดต้องหมั่นขัดเกลากิเลส

    แ้ม้บ้านจะสะอาดถ้าไม่ทำการถูเช็ดวันนึงก็จะสกปรก ต้องหมั่นขัดถูจึงจะสะอาดเป็นนิจ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ดูจากคำถามที่คุณ จขกท เคยตั้งไว้ เหมือนๆว่า จะเป็นการถามๆ เผื่อๆไว้

    เป็นการ คิดหาคำตอบแทนให้ผู้อื่น ผู้ที่คุณคอยห่วงใย คุณเป็นกังวลก็เพราะ
    อยากให้ผู้อื่นได้ประสบสิ่งดีๆ

    หรือไม่เช่นนั้น ก็หมายจะหาคำตอบดีๆ เวลาเจอคำตอบยากๆ เหล่านี้

    เมื่อเป็นการถามแบบนี้...ก็เหนื่อยหน่อยนะ อาจจะได้คำตอบที่ไม่ค่อยโดนใจ
    แต่อาจจะแทงใจเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ จขกท ก็ยังไม่ลดละการถามแบบนี้
    เนาะ

    ลองมาดูกัน....ขอลองตอบคำถามหน่อยเนาะ....(ยากส์นะนี่)

    ขออรัมภบทจากคำถามแรกเรื่องภพภูมิก่อน

    ภพมนุษย์ไม่ใช่ภพเดียวที่บำเพ็ญบุญบารมีได้ สูงๆอย่าง ภพพรหมก็บำเพ็ญ
    บารมีได้ แต่เฉพาะบางชั้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น สมัยที่พระพุทธเจ้าในสมัย
    ปัจจุบันนี่แหละ ท่านเกิดเป็นพรหมแล้วบำเพ็ญอุเบกขาบารมี ส่องแว่นแก้วมา
    เห็นสหายธรรมท่านหนึ่งกำลังมีเศษๆมิจฉาทิฏฐิเข้าครอบงำจิต หากปล่อยไว้ก็
    จะทำผิดไปเรื่อยๆจนเทียบเป็นอนันตริยะกรรมอย่างหนึ่ง ท่านจึงจำแลงกายลง
    เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์เพื่อมาตักเตือน แต่สหายท่านนั้นก็ยากที่จะรับฟัง
    คำตักเตือนจนพระโพธิสัตว์ต้องวางอุเบกขาตรัสเตือนอย่างรุนแรง แล้วจึงชี้ทาง
    ที่ถูกให้ทีหลัง อันนี้จะเห็นว่า ภพอื่นก็สะสมบารมีได้

    แต่ทำไม จึงเคยได้ยินคนกล่าวว่า ภพมนุษย์บำเพ็ญบารมีได้จนกระทั่งพวกพรหม
    พวกเทวดา เปรตและอสุรกายบางจำพวกต้องมาอาศัย พวกมนุษย์เป็นร่างทรงเพื่อ
    ให้ช่วยเก็บบารมีให้ อันนี้ มันเป็นเรื่องความเห็นผิดของ มนุษย์คนนั้นๆ และรวม
    ทั้งพรหม เทวดา เปรต แลอสุรกายเหล่านั้น ที่คิดว่า บุญทำแทนกันได้ แท้จริง
    แล้วต่างคนต่างทำ(จากตัวอย่างพระโพธิสัตว์ที่เล่าให้ฟังก่อนหน้า) ทั้งหมดเหล่านั้น
    มีความโลภอยากได้บุญ(มิจฉาทิฏฐิ) แต่ดูถูกตัวเอง และความเห็นผิดนั้นพาไปคิดว่า
    ต้องอาศัยชื่อเสียง มือเท้าของคนอื่น พวกมีความคิดเดียวกันก็พากันให้มาเจอกัน
    แล้วก็มั่วกันไปตามเรื่องนั่นเอง

    แท้จริงๆแล้ว ภพมนุษย์ เป็นเพียงภพที่มีการเปลี่ยนแปลงทาง บุญ และ บาป ได้
    อย่างรวดเร็ว อย่างเช่นเราทำบุญมาเมื่อวาน ปิติน้ำตาล้น แต่พอรุ่งเช้าก็อาจจะลืม
    ไปหมดแล้ว พอช่วงสายๆ ก็เผลอไปทำมดตาย ตบยุงตาย พอมาอีกวันถูกหวยราง
    วัลที่หนึ่งแต่พอผ่านไปไม่ถึงสามเดือนก็หมดตัว ความที่ บุญและบาปให้ผลเร็ว แต่เลือก
    ไม่ได้ว่าจะเป็นไปในทางใด มันจึงง่ายต่อการเห็น "กฏแห่งกรรมที่อยู่นอกเหนือ
    การบังคับบัญชาจากเรา" และจุดนี้แหละ คือ หัวใจที่ภพมนุษย์เป็นภพที่เหมาะแก่
    การบำเพ็ญบารมี เพราะจะทำให้ไม่ติดในกองบุญ ไม่ลำเลิกบุญ ไม่ทวงบุญ ทำให้
    สามารถเข้าใจ กริยาจิตที่เป็นเรื่อง "จาคะ การสลัดคืนสรรพสิ่งให้กับโลก
    โดยไม่หวังเอาคืนแม้แต่น้อยหนึ่งเดียว"

    * * * * * *

    "กฏแห่งกรรมที่อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาจากเรา" คุณ จขกท ลองเอา
    ความข้อนี้ตั้งไว้เป็น เหตุใคร่ครวญในคำถามของคุณทั้งหมดดู จะพบว่า


    คำถามที่ว่า ทำไมมันไม่ส่งผลในชาตินั้นให้รู้แล้วรู้รอดไป ก็จะเห็นว่า สิ่งที่ตั้งเอา
    ไว้ข้างต้นทำให้คุณตอบโจทย์ได้ไหม ว่าทำไม

    คำถามที่ว่า อะไรคือสิ่งที่สร้างจิตให้เราแปรเปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ค่อยจะได้ และ
    ไม่อาจจะหาจุดสิ้นสุดได้ สิ่งที่ตั้งเอาไว้ข้างต้นทำให้คุณตอบโจทย์นี้ได้อีกไหม ว่าทำไม

    ส่วนคำถามที่ว่า "นิพพานมีเบื่อหรือเปล่า" ก็ถ้าคุณยังไม่เห็นชัด รู้ชัดว่า ตนสามารถ
    อยู่เหนือ "กฏแห่งกรรม" ได้ละก้อ คนที่สำคัญตัวว่ามีนิพพาน แต่ไม่อาจทราบชัดตนอยู่
    เหนือกฏแห่งกรรมได้ ความเบื่อย่อมครอบงำคนที่สำคัญตนว่านิพพานได้ในเวลาใดเวลา
    หนึ่งก็อาจเป็นได้ ทั้งนี้ เพราะกฏแห่งกรรมนั้นเขาไม่บอกหรอกว่า จะให้ผลตอนไหน

    สมมติว่า คนๆนั้นสำคัญตัวว่านิพพานแล้ว แต่พอวาระสุดท้ายของชีวิตอินทรีย์มาถึง เกิด
    กฏแห่งกรรมกำเริบออกมาให้ผล ส่งความเบื่อให้เกิดขึ้น แทนที่จะนิพพานก็อาจตกนรก
    ไปเลยก็ได้ เพราะเบื่อนั้นเป็นอาการของคนที่มีอเวจีมหานรกเป็นเหตุปัจจัยพาไป

    โดยทางปฏิบัติแล้ว บุคคลผู้เห็นแจ้งในนิพพาน เขาจะเห็นแจ้งในกฏแห่งกรรมด้วย คือ
    ทราบชัดว่า อะไรจะให้ผลอีก อะไรจะไม่ให้ผลอีก อะไรที่รอการให้ผลแต่ไม่อาจส่งผล
    มาให้ได้อีก เหล่านี้จะทราบชัดหมด และไม่รอ หรือเสียดายบรรดากองบุญที่ยังไม่ให้
    ผลด้วย เพราะสิ้นตัณหา และอุปทาน มานะอัตตาแล้ว


    * * * * *

    จะเห็นว่า มีสภาวะธรรมที่เป็นอาการ "สิ้นตัณหา และอุปทาน มานะอัตตาแล้ว"
    ตรงนี้จะพบว่าตรงกับคำถามปัจจุบันที่คุณถามในกระทู้นี้

    หากบุคคลๆคนหนึ่ง สิ้นตัณหา อุปทาน มานะและอัตตา คุณคิดว่า คนๆนั้น
    เขาจะเกี่ยงไหมที่จะ สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ วิปัสสนา เจริญสติ แลอธิษฐาน
    ไหม

    เขาจะอาศัยความสำคัญตนว่า ไม่มีโลภะ โทษะ โมหะ เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัย
    ในการปฏิเสธที่จะไม่ สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ภาวนาวิปัสสนา เจริญสติ
    แลอธิษฐานไหม

    เขาจะประมาทในกฏแห่งกรรมที่ไม่อาจควบคุมได้ หรือเปล่า

    เขาจะเลิกการสดับธรรมะเพื่อน้อมมาปฏิบัติให้แจ้งแก่ใจ หรือเปล่า

    เขาจะเลิกใคร่ครวญอย่างแยบคายในธรรมะที่ยังอาจหลงเหลือเป็นอุปทาน หรือเปล่า

    อันนี้ก็ต้องว่ากันไป...เนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  11. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ถ้าวางได้จริงก็จบ ก็อ่านมากว่าความยึดมั่นเป็นทุกข์ วางตัวตนเสียได้ ก็วางไปหมดทุกสิ่งนอกตัวไปหมด

    วันนี้สุขสบาย ล่วงกระเป๋าไปก็มีเงินทุกข์ไม่ชัด เราบอกจิ๊บๆ ทุกข์หนักมา โลภมา โกรธมา หลงมา ไหลไปไหม หรือยังวางได้ไหม หลงโลกไหม ถ้ายังหลงก็ยังไม่วาง
    นี่แหละจึงต้องมาปฎิบัติธรรม

    ทีนี้ปฎิบัติธรรม ก็มีอุบายการขัดเกลาจิตเป็นอุบายระดับต่างๆตามลำดับ
    ให้บริสุทธิ์ ที่เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ อริยมรรค มีองค์8 เป็นหลัก
    จะเห็นว่ามีธรรมะอื่นซัพพอร์ตตลอดทาง
    แม้ในระดับฆราวาสก็ยังมีธรรมะสำหรับผู้ครองเรือนเลย

    ถ้าไม่สงบให้สวดมนต์ ทำบุญ สังเกตุก็ได้ว่าทำบุญแล้วจะนั่งสมาธิสงบง่าย
     
  12. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ดูก่อน
    ท่านผู้บรรลุธรรมแล้วความเบื่อ ปฎิฆะ ความไม่พึงใจ กิเลสละเอียด
    ยังอาศัยกับบุรุษผู้ทิฎฐิไม่อาศัยแล้วได้หรือ
    ก็บุรุษผู้นั้น เห็นสักว่าเห็น อ่านสักว่าอ่าน ทิฎฐิไม่อาศัยอุปมาประหนึ่ง รื้อรังหนูเสีย เผาเสีย แม้แมลงสาปหรือปลวกย่อมไม่อาศัย 5 5

    ในทางปฎิบัติหากพบมีเบื่อก็ มีสติตั้งมั่นดูความเบื่อมีในฐานเวทนา ในจิตก็รู้ว่ามี
    เห็นเบื่อดับไปก็ย่อมเห็นดังนี้
     
  13. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ทำได้ครับ เรื่องของนิพพานเป็นเรื่องจิตที่ปล่อยวางทุกสิ่ง
    ไม่เอาแล้วซึ่งความชั่วหรือแม้กระทั้งความดี
    เรียกการปฏิบัติ ศีลภาวนาเป็นขั้นตอนของผู้ไม่ประมาทครับ
    เขาทำเผื่อชาตินี้ ยังไม่ได้นิพพานจะได้ไม่ตกไปในอบายภูมิครับ

    ตัวอย่างผู้ที่ทำได้ก็คือ องคุลีมาลไงครับ
     
  14. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    คนที่จะไปนิพพานได้ก็คือคนที่รู้อย่างถ่องแท้จนหมดข้อสงสัยว่าทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมนามธรรมล้วนตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์

    เมื่อรู้แล้ว เข้าใจแล้ว จึงหมดความหมายที่จะเข้าไปถือครอง จัดแจง รูปธรรมนามธรรมใด ๆ อีกต่อไป จนปล่อยวางออกไปจนหมด

    จากคำถามถึงเราจะเหมือนกับไม่ได้ทำเวรกรรมใด ๆ แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะนิพพานครับ เพราะถ้าเรายังไม่รู้แจ้งรู้ชัด เราจะไม่สามารถหมดความยึดถือในสิ่งทั้งปวงได้
    แล้วเราจะถูกผลักดันด้วยความไม่รู้นี้ให้สร้างตัวตนเพื่อสนองความต้องการจนไม่รู้จบ

    การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ การบำเพ็ญภาวนา เป็นหนทางที่สำคัญอันนำไปสู่ความรู้แจ้ง รู้ชัด ดังนั้นควรเจริญให้มากครับ
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จะต้องไปทำถามหานิพพานทำไมอีกหละคุณ ในเมื่อคนที่ทำได้ขนาดนั้น ก็มีจิตเป็นนิพพานแล้ว แต่ว่า มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครที่เป็นแบบนั้น นอกจาก พระอริยชั้นสูง

    ไม่ติด ไม่โลภ ไม่โกรธ มันไม่มีจริง สำหรับ ผู้ที่อยู่นอกพระวินัย

    เคยเห็น บางคนอาจจะถามว่า แล้วคนบ้า คนหลับ คนปัญญาอ่อน ไม่เห็นเขาติด โลภ โกรธ หลงเลย

    ถ้าใครถามแบบนี้ ต้องตอบว่า เอ็งเคยเป็นคนบ้า คนปัญญาอ่อนหรือ ถึงได้รู้ว่า เขาไม่โกรธไม่โลภ

    ส่วน คนหลับ ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะอวิชชาพักตัวลงไป แต่ เมื่ออวิชชาตื่นขึ้น จิตก็ย่อมวิ่งไปใน ทางแห่ง สังโยชน์ แน่นอน

    และ คนที่ไม่สวดภาวนา ไม่ทำอะไรเลย ก็เท่ากับว่า ไม่ได้พัฒนา วิชชา และไม่ได้ทวนกระแสแห่ง ความโง่เขลาเลย

    จึงเรียกได้ว่า เป็นผู้ถอยหลังโดยแท้ เปรียบได้กับ วัชพืช รอเวลาลุกลามเท่านั้นเอง
     
  16. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ถ้าหมายถึง ผู้ที่ไม่เคยบำเพ็ญมาเลยในชาติก่อนๆจะมาทำในชาติเดียวนั้น .....ไม่ได้แน่นอนครับ

    ถ้าหมายถึง ผู้ที่เคยบำเพ็ญบารมีในพุทธศาสนามาแล้วจะเต็มหรือไม่ ไม่ทราบ จากคำถามก็...ยังไม่สามารถไปนิพพานได้ครับ แต่ถ้าเติมไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์๕ก็ได้ครับ

    ถ้าหมายถึง ผู้ที่เคยบำเพ็ญบารมีมาเต็มแล้วและชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แค่ฟังหัวข้อธรรมก็......บรรลุมรรคผลนิพพานแล้วครับ (อุคฆฏิตัญญู)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ส่วนอันนี้ ไม่รู้ว่าโพสมาเพื่อเป็นคำถาม หรือว่า โพสมาเพื่อชักชวนให้
    จขกท ไตร่ตรอง

    แต่มีหลายคน เห็นว่า คุณรุุ่นใหม่ โพสมาเพื่อเป็นคำถาม ก็ขอตอบ
    แบบเพื่อคำถามดูเนาะ

    คนที่มาฟังธรรมแล้วบรรุฉับพลัน แล้วถึงอรหันต์ด้วยในคราวเดียว อันนี้จาก
    การสังเกตุ และหากเพิ่มการค้นคว้า ก็จะพบว่า ผู้ที่บรรลุเร็วหลายท่านจะไป
    เล่าความ หรือ แสดงเหตุปัจจัยที่ได้บรรลุเร็วด้วยเหตุผลประการใดเอาตอน
    ที่ รายงานตัวว่าเป็นปฏิสัมภิทามาด้วยอาการอย่างไรตอนที่จะทำสังคยานา
    พระธรรม จะพบว่า ท่านที่บรรลุเร็วเหล่านั้น ล้วนแต่มีเหตุได้กระทำกรรมโดย
    ตรงเฉพาะพระพักต์กับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลก่อน 1 กับพระปัจเจก
    พุทธเจ้าในกาลก่อน 1 กับพระเจ้าจกัรพรรดิ์ในกาลก่อนหลายพระองค์ 1
    กรรมที่ทำเฉพาะพระพักต์นั้นไม่จำกัดว่าจะเป็นส่วนบุญอย่างเดียว บางคนก็
    อาจจะทำบาปมาแทน ..... และเพราะ กรรมที่กระทำมานั้นกำลังให้ผล ณ
    เวลาปัจจุบัน หมายเอาถึง เวลาที่พระพุทธองค์ตรวจญาณไปพบว่ากรรมกำลัง
    ตามมาให้ผล พระพุทธองค์จึงใช้จุดที่กรรมที่มีอานิสงค์ใหญ่กำลังให้ผลเป็น
    จุดที่ใช้ยกขึ้นสู่ภูมิการบรรุลธรรม ..... ก็จะเห็นว่า การที่เขาบรรลุธรรมอย่าง
    เยี่ยมยอดฉับพลัน เกิดจาก กรรมหรือการกระทำของคนๆนั้น ไม่ใช่เป็น
    เพราะพระพุทธองค์ไปดลบันดาลให้เกิด

    ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับ การที่ใครคนใดคนหนึ่ง พึ่งจะลุกขึ้นมา สวดมนต์
    ไหว้พระนั่งสมาธิเอาแต่กาลไหนๆ ก็เปล่า

    เช่น อุบาสกคนแรกของพระพุทธศาสนา เป็น บุคคลคนแรกเลยที่เดินไป
    พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าระหว่างทาง ถวายกองฟางให้เป็นอาสนะ ฟัง
    ธรรมะเป็นคนแรก แต่ทว่าไม่ได้บรรลุอะไร ได้แต่ความสุขใจเล็กๆน้อยๆ
    แล้วก็ถวายตัวเป็น อุบาสก ....ครั้นถวายตัวแล้วก็จบไป ไม่มีการกล่าว
    ถึงอีกว่า ได้บรรลุอะไรหรือไม่....แบบนี้ก็คงต้อง ติต่างว่า ต่อให้ลุกขึ้น
    มากราบพระพุทธเจ้าแบบต่อหน้าต่อตา ถวายตัวเป็นอุบาสกก็แล้ว ทำทาน
    ก็เฉพาะพระพักต์ก็แล้ว ฟังธรรมก็แล้ว จะได้บรรลุธรรมฉับพลันอันเกิดจาก
    บุญกุศลใหญ่นั้นทันทีก็หาไม่

    ดังนั้น จะทำบุญมาแล้วก็ดี ทำทานมาแล้วก็ดี ไหว้พระมาแล้วก็ดี ใช่
    ว่าจะทำให้บรรลุอะไร......เป็นเพราะเหตุใดหละ...แต่ที่แน่ๆ ทำดีแล้ว
    ไม่บรรลุอะไรเลยใช่ว่าจะไม่มี มีเยอะเสียด้วย ก็คนที่บรรลุฉับพลันเอา
    ตอนที่พระพุทธองค์แสดงธรรมในกาลนี้ทั้งหลายนั้นแหละ ล้วนแต่พลาด
    มาในกาลก่อนทั้งสิ้น

    มีสิทธิที่จะบรรลุไหม....หากถามถึง "สิทธิ" ก็คงมีนั้นแหละ

    แต่ถามว่า สิทธินั้น ทำให้บังเกิดผลไหม อันนี้แหละ มันต้องมาดูว่า ทำ
    ไมถึงมีสิทธิแต่ไม่ได้รับสิทธินั้น ทำไมมีสิทธิแต่รักษาสิทธิไม่ได้ จะถามหา
    แต่สิทธิมันจะเกิดประโยชน์อะไร เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหรือเปล่า

    เป็นคนดี ถามหาสิทธิหนะได้ แต่ถ้าทวงถามเมื่อไหร่คือจบหมดสิทธิทันที

    เพราะสุดท้ายผมว่า มันจะเป็นการฝุ้งไปเปล่าๆในการถามหาสิทธิ แต่ฐานะ
    ของผู้บรรลุนั้นย่อมเกิดจาก กรรมหรือการกระทำให้ผล ไม่เป็นอื่น

    อะไรคือ ฐานะ อะไรคือ อฐานะ ต้องใคร่ครวญให้ดีๆ เนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถือครอง จัดแจง ลึกซึ้งยิ่งนัก อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    แล้วแบบอย่างเด็กที่พรึ่งเกิดใหม่แล้วดันตายไปแบบนี้ เขาจะไปไหนหรอครับ
     
  20. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ถ้าสมมุติว่า ได้ทำบุญมากับพระพุทธเจ้าในกาลก่อนมาแล้ว แล้วมาชาตินี้ได้ศึกษาพระธรรม(ก็เหมือนกับที่ท่านกล่าวว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา)และสามารถมีปัญญาในการวิปัสนา หรือ ได้อาจารย์ดีๆ ช่วยแนะนำ(เหมือนที่บอกว่าได้อาจารย์ ป.เอก)เป็นคนสอน เราก็ย่อมได้ปริญาเอกเป็นธรรมดา ทั้งหลายทั้งปวงมันต้องวิปัสนาเพื่อตัดกิเลส ตัดความยึดมั่นถือมั่น ตัดความเป็นเรา ไม่ใ่ช่นั่งอยู่ๆแล้วตัด อารมณ์มันจะเสมือนการปล่อยวางมากกว่า อุเบกขาใน โลกธรรมแปด อุเบกขาในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงใจของเรา แล้วก็จะอุเบกขาทุกอารมณ์..
    <br>ทั้งนั้นทั้งนี้ ถ้าทำได้จริงก็จะเสมือนกับท่านเป็นบัวที่พ้นน้ำแล้วอยู่ยอดสุดของบัวสี่เหล่าคือผู้ที่มีปัญญามาก..
     

แชร์หน้านี้

Loading...