แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. ลูกวัด

    ลูกวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,071
    ค่าพลัง:
    +5,194
    อนุโมทนากับพี่หนุ่มครับ งานนี้พี่หนุ่มยอมเหนื่อยเพื่อพวกเราจริงๆ :cool:
     
  2. thana911

    thana911 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +291
    ขออนุโมทนากับพี่หนุ่มที่ทุ่มเทให้กับน้องๆ และขอขอบพระคุณสำหรับรางวัลด้วยนะครับ
     
  3. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ศาลเพียงตา จะตั้งกลางแจ้ง เสมอแค่ระดับสายตา และตั้งชั่วคราว ต้องรื้อออกเมื่อเสร็จพิธี ใช้ทำพิธีที่เป็นมงคลและให้เกิดการเคารพต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ทำพิธีไม่ยากอะไร มีผ้าขาว บายศรี ไข่ เครื่องเซ่นไหว้คาว หวาน
     
  4. chainerror

    chainerror เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +7,902

    ครับคุณโต้งกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้วครับ
    เหนื่อยนิดหน่อยครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้ามาใหม่ครับ
    ราตรีสวัสครับพี่หนุ่มและเพื่อนสมาชิกทุกๆท่าน
     
  5. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    หลับฝันดีและ เดินทางปลอดภัยนะครับ
     
  6. เฉียวฟง

    เฉียวฟง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +4,913
    ราตรีสวัสดิ์...ขอตัวพักผ่อนครับทุกท่าน
     
  7. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ตราสังหรือการมัดศพ

    "...เมื่อแต่งตัวศพตามพิธีเสร็จแล้ว ถึงตอนมัดศพเรียกว่าตราสัง ก่อนตราสัง ลางศพมีถุงผ้าขาวสวมศีรษะและสวมมือสวมเท้าทั้งสองข้างแล้วให้ถือกรวยดอกไม้ธูปเทียน เครื่องตราสังใช้ ด้ายดิบมาจับให้เป็นเส้นขนาด ๓ หุน เพื่อให้เหนียวดึงไม่ขาด ยาวต่อกันตั้ง ๓-๔ เข็ด ทำเป็นห่วงคล้องคอก่อน เดินคาถาว่า ปฺตโต คีวํ (คีเว ก็มี) หมายความว่า ห่วงลูกผูกคอ รัดรึงตรึงหัวใจเราอยู่เสมอ รัดคอเป็นห่วงที่หนึ่ง ลางแห่งว่ามัดหัวแม่เท้าก่อน ไม่เข้ากับคาถาที่ขึ้นต้นว่า ปฺตโต คีวํ เวลามัดว่าคาถารัดประคตอก แล้วเอาเชือกโยงมากลางตัว ทำห่วงตะกรุดเบ็ดผูกหัวแม่มือแล้วรวบรัดผูกมัดมือทั้งสองให้พนมไว้ที่หน้าอก เดินคาถาว่า ธนํ หัตเถ ความหมายว่า ห่วงทรัพย์ผูกมือ แปลว่าทรัพย์กุศลและอกุศลเป็นเงาตามตัวของผู้นั้น เพื่อพิจารณาเป็นกรรมฐานใจส่วนเรา แล้วว่าคาถารัดประคตเอว นับว่าเป็นห่วงที่สอง แล้วโยงเชือกมาที่เท้าทำเป็นบ่วงผูกแม่เท้าทั้งสอง แล้วรวบรัดผูกข้อเท้าทั้งสองให้ติดกัน เดินคาถาว่า ภริยา ปาเท หมายความว่า ห่วงภรรยาผูกตีน นับว่าเป็นห่วงที่สาม (ถ้าเป็นศพผู้หญิงสำหรับห่วงที่สาม คงใช้คาถาว่า ภริยา ปาเท เหมือนกัน)

    คาถาตราสังนี้ควรสังเกตว่า ห่วงบุตรเอาไว้ต้น ห่วงทรัพย์เอาไว้กลาง และห่วงเมียเอาไว้ปลาย เป็นเรื่องแสดงความคิดของบุคคลสมัยหนึ่ง แต่จะเป็นด้วยเหตุนี้กระมัน ลางทีจึงย้ายที่ของคาถาเป็น ปุตฺโต คีวํ ธนํ ปาเท ภริยา หตฺเถ ดังในโคลงโลกนิติว่า
    มีบุตรห่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ
    ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้
    ภรรยายิ่งบ่วงปอ รึงรัด มือนา
    สามบ่วงใครพ้นได้ จึ่งพ้นสงสาร



    ที่มัดมือว่าห่วงภรรยา ลางตำราอธิบายว่า เมียเปรียบเหมือนเชือกอันผุจะสลัดซัดเสียเมื่อใดก็ได้ไม่สู้ยากนัก อธิบายนี้ ไม่สู้เข้าทีหน่อย ถ้าจะอธิบายว่าเมียเป็นเหมือนบาทบริจาริกาผู้บำเรอเท้า ดูเหมือนจะดีกว่าเพราะเข้าเรื่องกันได้

    อธิบายเหตุตราสังชนิดปริศนาธรรมว่า ห่วงทั้งสามนี้ ย่อมผูกมัดสัตว์โลกให้จมอยู่ในห้วงทุกข์แห่งสังสารวัฎไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ต่อเมื่อได้ตัดบ่วงนี้ขาดจึงจะพ้นทุกข์ได้..."

    หนังสือประเพณีเกี่ยวกับชีวิตการตาย ของ เสฐียรโกเศศ
    "...เรื่องตราสังผูกมัดศพ อธิบายกันอย่างไม่ใช่ปริศนาธรรมก็ว่าเมื่อศพขึ้นพองจะดันโลงแตก จึงต้องมัดศพเสีย ให้แน่น ข้อนี้ก็อาจเป็นจริงได้บ้าง เพราะเวลาเอาศพเข้าโลงก็ยังวางตะแคงข้าง ทั้งเทียบได้จากศพที่จะเอาไปฝังเขาไม่มัด เป็นแค่เอาผ้าขาวห่อเท่านั้น ในการเอาเชือกมัดออกมานอกโลง ก็เพื่อผูกผ้าโยงให้พระบังสุกุล จะได้แล่นเข้าไปถึงตัว แต่โลงไม่ใช่มีขนาดครือๆกับศพ ย่อมมีที่ว่างพอต้านทานการดันของศพที่ขึ้นเน่าได้ นอกจากเป็นศพอ้วนเกินปกติ แต่การตราสังรู้สึกว่าเป็นของเก่าแก่สืบมาแต่โบราณ มีอ้างในเรื่องลิลิตพระลอแห่งหนึ่งว่า ธ ให้สามกษัตริย์ จัดสรรภูษา ตราสังทั้งสามองค์ ผจงโลงทองหนึ่งใหญ่ ใส่สามกษัตริย์แล้วไส้ ดังนี้ แม้แต่คำพูดว่าตราสังและ สังดอย ก็เป็นคำที่ไม่ได้ใช้เป็นภาษาพูดโดยปกติ จะเป็นภาษาไทยโบราณภาษาถิ่นหรือภาษาไร และแปลว่าอะไรอะไรก็ไม่สู้ชัดนัก หรือจะเลือนมาจากตราสางคือมัดซากศพ ถ้าเป็นของสืบมาแต่โบราณ ก็ยังมองไม่เห็นว่า จะต้องวิตกเรื่องศพจะเบ่งให้โลงแตกได้อย่างไร เพราะโลงสมัยโบราณใช้ขุดไม้ทั้งต้น ย่อมหนาพอจะต้านทานความดันของศพได้ดี สอบประเพณีในชนบทลางถิ่นและทางภาคอีสาน ก็ว่าเวลายกศพเข้าโลงเขาไม่ได้มัด แต่จะไปมัดกันก็เมื่อเผา ถ้าเป็นศพตายร้ายถึงจะเผาก็ไม่ได้มัด ยิ่งคิดดูยิ่งยุ่งเต็มที ไปมัดกันทำไมเวลาเผา ศพถูกไฟเชือกที่มัดก็ขาดหลุดทันที ดูไม่ได้ประโยชน์อะไรนัก อย่างไรก็ดี การผูกมัดศพนั้นชาติอื่นเขาก็ทำเหมือนกัน เช่นชาวอินเดียไม่เฉพาะแต่พวกฮินดูก็ใช้เชือกมัดหัวแม่มือในท่าพนมและมันหัว แม่เท้าศพให้แน่น แล้วเอาผ้าห่อมัดให้กระชับอีกที จะตัดเชือกออกแต่เมื่อจะฝังหรือเผา ชาวทมิฬในกรุงเทพฯก็ทำเช่นนั้น ตามลัทธิของญวนใช้ผ้าขายฉีกเป็นแถบผ้า ๓ ผืนวางไว้ในโลงเป็นระยะๆพอดีกับศพ เมื่อเอาศพลงโลง ศพจะนอนทับผ้าแถบเหล่านั้น แล้วพระสงฆ์ญวนซึ่งยืนอยู่รอบโลงจะหยิบปลายริ้วผ้าทั้งสองข้างขึ้นมัดศพเป็นเปลาะๆ ทำอย่างนี้คงไม่ได้มุ่งหมายจะกันศพเมื่อขึ้นจะเบ่งให้โลงแตก

    ชาติที่ใช้ฝังและไม่ได้เก็บศพไว้นาน ก็ใช้มัดศพเหมือน กันเช่นพวกข่าระแด เอาด้ายมัดมือมัดเท้าศพ แล้วเอาเสื่อห่อมัดด้วยเส้นหวายนำไปฝัง พวกข่าพนาร์ มัดโยงคางศพล่ามขึ้นไปผูกไว้บนศีรษะและมัดหัวแม่เท้า เสร็จแล้วจึงเอาเสื่อห่อนำไปฝัง ชาวอาหรับมัดคางและมัดตีนศพให้แน่น เอามือศพวางประสานที่หน้าอก ชาวบ้านในประเทศอังกฤษลางแห่งก็ใช้มัดศพก่อน เอาเข้าโลงไปฝัง แต่เขาอธิบายว่า ถ้าไม่มัดตีนให้แน่นผีจะกลับมาหลอกหลอนทำให้คนที่อยู่เดือดร้อน หรือลางทีอาจถึงตาย ในยุโรปลางแห่งใช้วิธีมัดศพเหมือนกัน ชาวแอฟริกาตอนใต้ เช่นชาวบาซุโตและพวกเบกุอานา ไม่ใช้มัดแต่ข้อเท้าศพ เพราะยังไม่ไว้วางใจ กลัวผีจะกลับมาได้เท่านั้น ยังต้องตัดเอ็นน่องของศพเสียด้วยจึงจะวางใจได้ ลางพวกทารุณแก่ศพยิ่งกว่านี้ มีเอากระบองทุบตีให้กระดูกหักแหลกเหลวเสียก่อน ลางที่ก็คว้านพุงเอาหินยัด เป็นเรื่องถ้าว่าตามความเห็นของเราก็อุจาดทุเรศเต็มที มีตัวอย่างนำมาเล่าได้อีกมาก แต่จะยกไว้ ที่ทำแก่ศพถึงปานนี้ ก็ตกอยู่ในเรื่องกลัวผีรังควาน เมื่อนำมาเทียบกับเรื่องตราสัง ก็ชวนจะให้คิดว่าเป็นเรื่องมีความมุ่งหมายในทำนองเดียวกันคือไม่ต้องให้ผีเดินมาได้..."
     
  8. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    ขอไปพักผ่อนเอาแรงไว้ลุยต่อพรุ่งนี้ก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    เรื่องของ น้ำมันพราย และ วิธีการทำ....

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1">
    ในบรรดาอาถรรพ์ด้านทำเสน่ห์ด้วยไสยศาสตร์ "น้ำมันพราย" ถือว่าเป็นสุดยอดของมนต์ดำสายล่างที่เข้มขลังและน่ากลัวที่สุด

    น้ำมันพราย คือ น้ำมันที่ได้มาด้วยการใช้เทียนรนจากศพของหญิงตายทั้งกลม คือ หญิงตั้งครรภ์แล้วเสียชีวิตขณะลูกยังอยู่ในท้อง ผู้ที่สามารถรนน้ำมันพรายมาได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์แก่กล้า มีกำลังใจเข้มแข็งสูงมาก เพราะจะต้องเผชิญกับความน่าเกลียดน่ากลัวและน่าสยดสยองอย่างถึงที่สุด หรืออาจเผชิญกับอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณผีตายทั้งกลมได้ทุกเมื่อ

    หากไม่มีวิชาอาคมเข้มขลังและมีจิตใจที่มั่นคงอย่างแท้จริง มีสิทธิ์ที่จะเสียสติ เพราะความตื่นตะหนกสุดขีด กลายเป็นคนวิกลจริตฟั่นเฟือง หรืออาจถึงกับตายได้ง่ายๆ

    น้ำมันพรายมีฤทธิ์ในทางชั่วร้าย และมีอาถรรพ์อันเข้มขลังอย่างยิ่ง หากเอาน้ำมันพรายไปแตะต้องสัมผัสถูกเนื้อของหญิงใด จะทำให้หญิงนั้นเกิดความปฏิพัทธ์ลุ่มหลงรักใคร่ในชายผู้เป็นเจ้าของน้ำมัน พรายอย่างไ
    ร้สติ มีอาการเพ้อครั่งประหนึ่งคนบ้า ต้องซมซานไปหาเจ้าของน้ำมันพรายเพื่อให้เขาเชยชม ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน

    และเป็นที่เศร้าเสียอย่างยิ่งที่หญิงเคราะห์ร้ายคนนั้นจะกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนป้ำๆ
    เป๋อๆ คุ้มดีคุ้มร้ายไปชั่วชีวิต และการถอนฤทธิ์น้ำมันพรายให้ออกไปจากตัวนั้น กระทำได้ยากยิ่ง หรืออาจไม่ได้เลย หากผู้ถอนไม่มีจิตตานุภาพแก่กล้าจริงๆ

    จุดประสงค์ในการใช้น้ำมันพรายมักเกิดจากชายที่หมายปองหญิง ซึ่งเขาไม่มีน้ำใจไมตรีตอบสนอง หรือตัวเองเป็นชายต่ำต้อยด้วยคุณสมบัติและทรัพย์สมบัติ แต่หวังอยากจะร่วมภิรมย์สมสู่กับหญิงสูงศักดิ์ เข้าทำนองดอกฟ้ากับหมาวัด ซึ่งไม่มีทางบรรจบพบกันได้ เพราะชาติตระกูลแตกต่างกันดุจฟ้ากับดิน

    ชายผู้มีใจโฉดชั่วจึงได้หาทางใช้น้ำมันพรายกับหญิงนั้นให้สมประสงค์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงว่าจะส่งผลร้ายแก่ผู้หญิงคนนั้นอย่างไรบ้าง

    เรื่อง "น้ำมันพราย" เป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงอย่างแพร่หลายและมีมานานตั้งแต่ครั้งโบราณ ถือกันว่าน้ำมันพรายเป็นคุณไสยอย่างหนึ่งของวิชาไสยศาสตร์สายล่าง มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชเข้าขั้นสูงสุด เนื่องจากผูกพันกับจิตวิญญาณของภูตผีปีศาจ ผู้ที่จะทำน้ำมันพรายได้ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์ระดับสูงเท่า นั้น จึงจะได้น้ำมันพรายมาครอบครอง

    มีผู้เรืองอาคมทางศาสตร์แห่งไสยะ ซึ่งรู้แจ้งเห็นจริงในการทำน้ำมันพรายท่านหนึ่ง "อาจารย์สมศักดิ์ ตำหนิงาม" ท่านยินดีที่จะเปิดเผยเรื่องราวของน้ำมันพราย

    อาจารย์สมศักดิ์ มีความสนใจใฝ่รู้ในเรื่องคาถาอาคมมาตั้งแต่เด็กๆ และมีโอกาสเล่าเรียนไสยศาสตร์จากครูบาอาจารย์หลายท่านหลายสำนัก

    อาจารย์สมศักดิ์ได้เล่าถึงประสบการณ์การไปรนน้ำมันพรายโดยมีรายละเอียดว่า

    ขั้นแรก จะต้องคอยสดับตรับฟังข่าวคราวว่ามีศพผู้หญิงตายทั้งกลมอยู่ที่ใดก่อน สำหรับหญิงตายทั้งกลมที่หมอผีผู้เรืองวิชาต้องการรนเอาน้ำมันพราย หากถึงแก่ความตายด้วยอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ถือว่ายังไม่ขลัง แต่ถ้าตายด้วยการฆ่าตัวตาย ถูกฆ่าตาย เป็นอุบัติเหตุตาย ว่าง่ายๆ คือตายโหง ถือว่าน้ำมันพรายจะเข้มขลังอย่างยิ่ง เพราะวิญญาณผู้ตายทั้งกลมจะมีอิทธิฤทธิ์แรงกล้าเปนพิเศษ

    แต่ศพที่ตายจากการฆ่าตัวตายนั้นถือว่าฤทธิ์แรงมาก ทำให้หญิงที่ตั้งครรภ์ตายด้วยการฆ่าตัวตายนั้นเป็นที่ต้องการของหมอผี เนื่องจากเป็นวิญญาณดุร้ายเต็มเยม ด้วยอำนาจของโทสะ น้ำมันพรายที่ได้จากศพเช่นนี้ จะมีพลังความขลังสูงมากเป็นพิเศษ

    อาจารย์สมศักดิ์เล่าว่าการไปรนน้ำมันพรายครั้งแรก เนื่องจากได้รับข่าวว่ามีศพของหญิงตายทั้งกลมรายหนึ่งถูกฝังที่ป่าช้าบ้าน ชัฏใหญ่ ตำบลสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี รายนี้ถึงแก่ความตาย เนื่องจากเธอฆ่าตัวตาย เพราะท้องไม่มีพ่อ ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบในสิ่งที่กระทำ แถมยังหายหน้าหายตาไปจากหมู่บ้านอีก เธอจึงตัดสินใจกรอกยาฆ่าแมลงใส่ปากจนตายอย่างน่าสังเวชขณะตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน

    ตามขนบธรรมเนียมความเชื่อของชาวไทยตามชนบท จะไม่นำศพที่ตายโหงไปเผา จะนำไปฝังที่ป่าช้าแทน

    เมื่อหมอผีรู้รายละอียดดีแล้ว จึงเตรียมสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบพิธีไปเอาน้ำมันพรายครบ ครัน รอจนถึงคืนที่ 3 หลังจากฝังศพ ก็เดินทางไปยังป่าช้าแห่งนั้นอย่างเงียบๆ ในตอนดึกสงัด

    เมื่อเข้าเขตป่าช้า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ขออนุญาตนายป่าช้าก่อน นายป่าช้านี้เรียกว่า "ยายกะลาตากะลี" การขอนุญาตนายป่าช้าจะมีเครื่องเซ่นใส่กระทงสามเหลี่ยมทำด้วยกาบกล้วย เครื่องเซ่นมี
    ข้าวสวย 3 ปั้น ไข่ต้ม 3 ลูก ปลา 3 หัว
    หางปลา 3 หาง บุหรี่ 3 มวน เหล้าขาว 1 ขวด
    จากนั้นก็จุดธูป 1 ดอก บริกรรมเรียกวิญญาณนายป่าช้ามารับเครื่องเซ่นสังเวย แล้วขอนุญาตนายป่าช้าว่าจะมารนเอาน้ำมันพรายจากศพหญิงตายทั้งกลมชื่อนั้น ชื่อนี้(ระบ
    ุให้ชัดเจน) หากนายป่าช้าอนุญาตก้อขอให้ธูปดับทันที ถ้าไม่อนุญาตก้อขอให้ธูปลามต่อไปจนหมดดอก
    หลังจากอธิษฐานบอกกล่าวแล้วหมอผีก้อจะสังเกตดูว่าธูปที่จุดไว้เป็นอย่างไร หากธูปที่ส่องแสงเรืองๆนั้น ได้ดับสนิทลงในเวลาไม่ถึงอึดใจ แสดงว่านายป่าช้าไม่ขัดข้อง เมื่อเป็นเช่นนั้นการรนน้ำมันพรานก้อถือว่าด่านแรกได้ผ่านไปด้วยดี แต่ถ้านายป่าช้าไม่อนุญาต หมอผีจำเป็นต้องล้มเลิกการรนเอาน้ำมันพรายแต่เพียงเท่านี้

    ขืนยังดื้อดึงจะรนเอาน้ำมันพรายให้ได้ นายป่าช้าจะคุมผีทั้งป่าช้ามาทำร้ายจนถึงขั้นตาย แม้จะมีวิชาอาคมขลังแค่ไหน ก็ยากที่จะต้านทานวิญญาณอันแก่กล้าจำนวนมากมายเป็นกองทัพได้

    เมื่อผ่านขั้นแรกแล้ว คณะหมอผีก้อพากันไปที่หลุมศพหญิงตายทั้งกลมคนนั้น ซึ่งจะสังเกตได้ง่าย เพราะเหนือมูลดินหลุมศพ มีหนามพุทราวางเกลี่ยไว้ตลอดหลุม หนามเหล่านี้มีไว้มิใช่ป้องกันสุนัขหรือสัตว์อื่นมาคุ้ยหลุมศพ แต่เป็นการกระทำของสัปเหร่อที่มีอาคม วางหนามพุทราสะกดเพื่อไม่ให้วิญญาณผีตายทั้งกลมออกมาอาละวาด

    หมอผีจะสั่งรื้อเอาหนามพุทราออกให้หมดระหว่างที่รื้อหนามออก จะต้องบริกรรมคาถาถอน หรือคลายมนต์สะกดไปด้วย

    เมื่อหนามพุทราถูกกวาดออกไปหมดเกลี้ยง หมอผีจะต้องหาหินสะกด 3 ก้อน ซึ่งวางเรียงไว้ด้านศีรษะผีตายทั้งหลม ถ้าได้หิน 3 ก้อนแล้ว หมอผีจะต้องใช้อาคมตรวจดูว่าหินก้อนใดที่สัปเหร่อลงอาคมสะกดไว้ จากนั้นก็ต้องถอนคาถาสะกดออก

    การป้องกันไม่ให้วิญญาณผีตายทั้งกลมอาละวาดเป็นวิชาไสยศาสตร์แขนงหนึ่งที่สัปเหร่อจะ
    ต้องเรียนรู้คาถาสะกดหรือตรึงวิญญาณให้อยู่แต่ในหลุมศพ หลังจากถอนมนต์สะกดจากหินออกไปแล้ว หมอผีจะใช้มีดหมอปักดินแล้วงัดเปิดขึ้นมารอบๆหลุมศพทั้ง 8 ทิศ
    เป็นการเบิกธรณีก่อนที่จะให้ผู้ติดตามขุดเอาดินปากหลุมออกจนถึงฝาโลง เมื่องัดฝาโลงให้ตะปูถอนเขยื้อนขึ้นมาหมดทุกตัว แต่ยังไม่เปิดฝาโลงออก หมอผีจะให้ผู้ที่ติดตามถอยอยู่ห่างๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ

    ผู้เปิดฝาโลงก็คือหมอผี ทันทีที่ฝาโลงถูกเปิดออกกลิ่นเน่าเหม็นของศากอศุภะ ซึ่งกำลังขึ้นอืด เพราะไม่ได้ฉีดยารักษาศพ จะกระจายตลบไปทั่วอาณาบริเวณ และในเสี้ยวเวลาที่ฝาโลงถูกพลิกเปิดถือกันว่าเป็นห้วงเวลาอันตรายสำหรับหมอ ผี

    เพราะผีตายทั้งกลมที่วิญญาณจริงๆจะแผลงฤทธิ์ในจังหวะนี้ เนื่องจากมนต์ที่สะกดถูกถอนออกจนหมด

    ในรายที่ผีมันจะหวีดร้องเสียงยะเยือกแล้วร่างจะทะลึ่งพรวดเหยียดยาวสูงลิบลิ่ว
    เป็นการหลอกหลอนซึ่งๆ หน้า ถ้าหมอผีไม่ได้เคี่ยวกำกับวิญญาณร้ายมาอย่างโชกโชน มีหวังพิธีแตกเอาง่ายๆ

    แต่หมอผีที่สมาธิแก่กล้าก้อจะยริกรรมคาถาไปเรื่อยๆ จนกำราบวิญญาณร้ายให้อ่อนกำลังลงจนกว่าร่างที่ยืดยาวจะหดตัวต่ำลงมากระทั่ง มานั่งประจัญหน้ากัน คราวนี้หมอผีจะทำการตัดด้ายตราสังที่มัดข้อมือออก แล้วบอกกล่าวให้ผีรู้ว่าจะมาขอเอาน้ำมันพราย จะให้หรือไม่? ถ้าให้จะให้ตรงไหน? ถ้าผียินยอม ผีก้อจะบอกไปว่าบริเวณใดที่จะให้ใช้ไฟรนได้

    เทียนที่จะใช้รนเอาน้ำมันพรายต้องทำจากขี้ผึ้งแท้ ยาวเท่า 1 ศอกของหมอผี ไส้เทียนใช้ด้าย 80 เส้นมาฝั้น ระหว่างฝั้นก็ต้องบริกรรมคาถาสะกดวิญญาณไปด้วย และจะต้องบริกรรมไม่ให้ขาดตอน จนกว่าการทำเทียนจะสิ้นสุด

    เมื่อใช้เทียนรนจนน้ำเหลืองหรือน้ำมันละลายหยด ให้ใช้ชามโคม หรือถ้วยกระเบื้องไปรองรับ ซึ่งจะได้น้ำมันจากศพอย่างมากก็ไม่เกิน 10 หยด เมื่อได้น้ำมันมาแล้วก็เทรวมกับน้ำมันซึ่งเตรียมใส่ขวดปากกว้าง น้ำมันที่เตรียมมานี้ไมาใช่น้ำมันธรรมดา

    เป็นน้ำมันที่ได้มาโดยการผสมผสานระหว่างน้ำมันมะพร้าวซึ่งเคี่ยวจากมะพร้าวล้างหน้าศ
    พ 7 ศพ และขี้ผึ้งปิดากผีอีก 7 ศพ

    มะพร้าวล้างหน้าศพก็คือมะพร้าวที่สัปเหร่อผ่าเอาน้ำมาล้างหน้าศพก่อนเผา หลังจากผ่ามะพร้าวแล้วจะต้องไม่ให้มะพร้าวถูกพื้นดินให้เก็บไว้ในที่สูง แล้วขูดเอาเนื้อมะพร้าวทั้ง 7 ลูก ไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน แล้วเอาขี้ผึ้งที่ใช้ปาก จมูก ตา หู ศพ 7 ศพ นำไปเคี่ยวรวมกับน้ำมันมะพร้าวจนเข้ากันดี แล้วจึงเทใส่ขวดรวมไว้

    หลังจากรนเอาน้ำมันพรายเสร็จแล้ว ก้อให้มัดด้ายตราสังที่ข้อมือของศพไว้ดังเดิม

    การได้น้ำมันพรายจากผีตายทั้งกลมขั้นแรกมาแล้ว ยังใช่ไม่ได้ทันที จะต้องนำมาทำพิธีหุงต่อไปอีกจึงจะใช้ได้ การหุงหรือเคี่ยวน้ำมันพรายในขั้นตอนต่อไปให้เอาถ่านเผาผีที่หัวกองฟอนมา 7 แห่ง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเคี่ยวน้ำมันพราย

    สถานที่เคี่ยวน้ำมันพรายให้ผสมผสานกลมกลืนกับน้ำมันมะพร้าวและขี้ผึ้งปิดปากผีคือทาง
    สามแพร่ง ซึ่งเป็นที่เปลี่ยวส่วนไม้พายที่ใช้คนต้องใช้กิ่งพุทราตายพรายชี้ไทางทิศตะวันออกมาเ
    หลาทำเป็นไม้พายเท่านั้น ระหว่างที่เคี่ยวหมอผีต้องบริกรรมคาถากำกับตลอดเวลา

    เมื่อหุงหรือเคี่ยวน้ำมันพรายได้ดีแล้วต้องเอาไปเสกต่อในโบสถ์อีก ตำแหน่งที่วางขวดใส่น้ำมันพรายบนโบสถ์จะต้องดูว่าสายตาของพระประธานซึ่งทอด พระเนตรลง
    มาตกกระทบพื้น ณ ที่ใด ให้เอาขวดน้ำมันพรายวางตรงตำแหน่งนั้น แล้วบริกรรมเสกคาถาลงไป โดยเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงเวลาที่แสงพระอาทิตย์สาดเข้ามาในโบสถ์ ได้ระดับกับพระเนตรของพระประธาน

    แล้วจึงหยุดบริกรรมคาถา ให้กระทำแบบนี้ในโบสถ์ทั้งหมด 7 โบสถ์ จึงถือว่าสิ้นสุดพิธีกรรม น้ำพรายที่ได้ถือว่านำไปใช้งานได้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2010
  10. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    <table border="0" width="100%"><tbody><tr><td valign="middle"> แนะนำวิธีการทำน้ำมันพราย


    </td> <td style="font-size: smaller;" align="right" valign="bottom" height="20">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> ช่วงนี้ลองสำรวจดูวัด หรือโรงพยาบาลใกล้ๆบ้าน ว่ามีผีตายท้องกลมบ้างหรือเปล่า ท้องแฟบๆ อย่าไปสนใจ เมื่อได้เป้าหมายที่ต้องการแล้ว เตรียมอุปกรณ์

    1. เทียนไข 1 เล่ม ถ้าโลภมากก็อนุญาตเพิ่มเป็น 2 เล่ม
    2. ไฟแช็ค 1 อัน ไม่ควรใช้ไม้ขีดไฟ เพราะเวลาผีมา ลมมักจะแรง แล้วมือเราก็อาจจะสั่นด้วย
    3. ถ้วยสำหรับใส่น้ำมัน กี่ใบแล้วแต่จำนวนเทียน
    4. ชวนเพื่อนไปด้วย 1 คน เผื่อผีไม่ยอมจะได้ช่วยกันขู่ เพื่อนสายตาสั้นไม่ต้องชวนไป เดี๋ยวมาลนผิดที่ มาลนไฟที่คางเรา จะหมางใจกันเปล่าๆ เพื่อนที่วิ่งช้าๆ เป็นคนที่เราควรจะชวนไปด้วยเป็นอย่างยิ่ง
    อย่าลืมแขวนพระ ไม้กางเขน กระเทียม กระบี่ และอื่นๆ ที่ผีไทย และผีนานาชาติกลัวไปด้วย เนื่องจากเราไม่รู้ว่าผีนับถือศาสนาใด
    ก่อนลงมือ ดูฤกษ์ดูยามให้ดี ผีจะได้ไม่หลอก เช็คดูกับกรมอุตุฯด้วยว่าต้องไม่มีฝน ถ้ามีฝนโดยเฉพาะฝนตกหนัก ควรไปยืนตากฝนร้องเพลงเศร้าๆหน้าบ้านคนที่เรารักมากกว่า อาจจะได้คะแนนเห็นใจ

    เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว อย่าลืมตรวจสอบว่า มีการสวดศพกี่วัน ไม่ใช่พระกำลังกุสลาธรรมาอยู่ แล้วเราไปงัดโลงเหยงๆ เราอาจจะเป็นศพไปด้วย

    ก่อนจะออกจากบ้าน ทดสอบลมหายใจก่อน โดยวิธีอุดจมูก แล้วหายใจทีละข้าง ข้างไหนหายใจสะดวก ให้ก้าวท้าวข้างนั้นก่อน ถ้าสะดวกทั้งสองข้าง ก็ก้าวเท้าทั้งสองข้างพร้อมกัน แต่ถ้าไม่สะดวกทั้งสองข้าง ควรไปหาหมอได้แล้ว

    ระหว่างที่ก้าวเท้า ถ้ามีเสียงจิ้งจกทัก ให้หยุดทันที... มองหาจิ้งจก ทักทายตอบตามมารยาท แล้วค่อยก้าวต่อไป

    พอมาถึงวัด ตรงไปที่ป่าช้าทันที ไม่ควรแวะหาเจ้าอาวาส หรือหลวงพี่องค์ใด เพราะงานนี้ไม่จำเป็นต้องครบพระรัตนตรัย มีเพียงพระพุทธที่คล้องคออยู่ ก็พอแล้ว ถึงบริเวณป่าช้า หาเป้าหมายที่ต้องการ โดยตรวจชื่อดูตามโกดังเก็บศพ ถ้าเป้าหมายชื่อ “นาค” ควรกลับไปตั้งหลักที่บ้าน แล้วหาเป้าหมายใหม่ดีกว่า ไม่น่าเสี่ยง แม้จะไม่ได้อยู่พระโขนงก็ตาม

    เมื่อเจอเป้าหมายที่ต้องการแล้ว เอาโลงออกจากช่องเก็บศพ เอาศพออกจากโลง ตามแต่วิธีของแต่ละคน อันนี้แล้วแต่ความกล้า ว่าจะอยู่ในระดับใด ถึงตอนนี้ หมาจะเริ่มหอน ลมจะพัดแรง มือซ้ายถือเทียนไขที่เตรียมมา มือขวาจับเพื่อนไว้แน่นๆ กันเพื่อนหนี (ถ้าถนัดซ้าย ก็ใช้มือขวาถือเทียนไข มือซ้ายจับเพื่อน จะมั่นคงกว่า) ให้เพื่อนจุดไฟแช็ค พร้อมเอามือป้องลมกันไฟดับ (สังเกตว่า มือเพื่อนจะไม่ว่างทั้งสองข้าง เผื่อกรณีฉุกเฉิน เราจะเผ่นได้โดยสะดวก)

    พอเทียนไขติดไฟดีแล้ว เอาไปลนที่ใต้คางของผี เสียงจะดังฉี่ๆ คล้ายทอดปลา ถ้ารู้สึกหิว ให้ออกไปซื้อของกินได้ที่ร้านเซเว่นฯ หน้าวัด แล้วค่อยกลับมาใหม่ ช่วงนี้ยังไม่ต้องทำอะไร รอจนศพลุกขึ้นนั่ง ให้เพื่อนหยิบภาชนะมารองที่ใต้คางของผี อย่าลืมย้ำให้เพื่อนถือภาชนะด้วยมือทั้งสองข้าง (มือขวาเรายังจับเพื่อนไว้แน่นเช่นเดิม) น้ำมันพรายจะหยดลงภาชนะ ผีจะเฮี้ยนหรือไม่เฮี้ยน ดูได้ตอนนี้ ถ้าผีส่งเสียง โอย..โอย เราควรจับเพื่อนให้แน่นยิ่งขึ้น แต่ถ้าเพื่อนร้อง โอย..โอย แสดงว่าเราจับเพื่อนแน่นเกินไปแล้ว

    ผีบางตนที่เฮี้ยนมากๆ อาจจะมีการหักคอให้หวาดเสียว พอผีเอื้อมมือมาปุ๊บ เราจะรู้ได้ทันทีว่าพระเราศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ถ้าพระดี ผีจะแหกปากร้องร้องลั่น ด้วยความกลัว ถ้าพระเก๊ เราก็จะแหกปากร้องด้วยความเจ็บแทน ตอนนี้เครื่องรางของขลังต่างๆ ที่เตรียมมา ให้ลืมไปก่อน แนะนำให้ใช้เท้าข้างใดข้างหนึ่ง ยันแรงๆ (หรือที่เรียกว่าถีบ) ไปที่ยอดอกของผีหลายๆครั้ง จนกว่าผีจะปล่อยเรา

    พอน้ำมันเต็มภาชนะ เอาเทียนออกจากคางผีช้าๆ อย่าเพิ่งดับไฟ เพราะช่วงนี้ผีอาจตุกติก มีลูกเล่น ให้เรากระดิกเท้าเบาๆเตือน ผีก็จะลงนอนแต่โดยดี เอาผีใส่โลง เอาโลงใส่ช่องเก็บศพ เก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน เป็นอันเสร็จพิธี พอถึงตอนนี้ ลมจะสงบ ไก่จะเริ่มขันพอดีตามสูตร

    ก่อนจะนำไปใช้งาน อย่าลืมสังเกตสีของน้ำมันก่อน ถ้าเป็นสีแดง ออกเทน 91 เหมาะสำหรับชายรุ่นใหม่ (New Generation) ผู้สดใส ร่าเริง มองโลกในแง่ดี ส่วนน้ำมันสีเหลืองอำพัน ออกเทน 95 เหมาะสำหรับผู้ชายรอบจัด เจ้าชู้ แต่ถ้าเป็นสีเหลืองคล้ำๆ ละก็ เหมาะสำหรับชายมาดแมน ผู้ใช้แรงงานเป็นอย่างมาก ใช้ไม่ตรงกับที่ระบุก็ได้ แต่คุณภาพอาจจะลดลง

    วิธีใช้ เมื่อเจอคนที่เราหมายปอง รีบเทน้ำมันพรายใส่นิ้วชี้ ไม่ควรใช้นิ้วกลาง เนื่องจากน่าเกลียดมาก เวลาเราชูนิ้วกลางโร่เข้าไปหาเหยื่อ ปริมาณน้ำมันพราย ก็แล้วแต่เราจะเอาขั้นไหน ถ้าหยดสองหยด ก็ลืมตัว มัวเมาเฝ้าพิศวาส แต่ถ้าจะเอาถึงขั้นหลงรูปจูบกระดาษที่วาดไว้ละก็ ใช้วิธีคุณครับเอาเลยดีกว่า

    น้ำมันพรายจะต้องป้ายให้โดนผิวหนังเหยื่อ ดังนั้น เราจะต้องเล็งให้แม่น ตรงข้อศอก ดีที่สุด เพราะตรงนั้นป้ายง่าย ไม่หวาดเสียว แต่ถ้าเหยื่อใส่เสื้อแขนยาว ก็เปลี่ยนมาเล็งที่หลังมือแทน ถ้าเหยื่อใส่ถุงมือ ก็เปลี่ยนมาที่แก้ม ถ้าเหยื่อยังใส่หน้ากากอีก ก็เลิกสนใจเถอะ หมอนั่นมัน บ้าแน่ๆ

    ป้ายแล้ว อย่าลืมให้เบอร์โทร หรือ อีเมลแอดเดรส ด้วย เสร็จแล้วกลับมานอนยิ้มหวาน รอโทรศัพท์ที่บ้านได้ ไม่เกินสามวันเจ็ดวัน... เหงือกแห้ง
     
  11. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    พี่หนุ่ม ครับ อยากทราบเรื่อง หุ่นพยนต์ อ.ลอย วัดสุวรรณ ครับ

    พี่หนุ่ม พอจะมีข้อมูลบ้างมั้ยครับ ได้ยินมาว่า ท่านเก่งจริงๆเรื่องหุ่นพยนต์
     
  12. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    เคล็ดการใช้ น้ำมันเทพรำลึก (น้ำมันเทพรัญจวน , น้ำมันรัญจวน)

    ตำหรับโบราณน้ำมันเทพรำลึกนี้ สร้างขึ้นจากน้ำมันจันทร์หอม(9)กลิ่นผสมด้วน้ำมันผงว่าน 9 ชนิดปลุกเสกขึ้นด้วยพุทธคุณ ไม่ใช้ผีสางอันใด.
    สรรพคุณดีเด่นทางด้านเมตตา, มหาเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม,

    ข้อห้ามการบูชาใช้​
    1.ห้ามนำไปใช้กับภรรยาและสามีผู้อื่น​
    2.ห้ามนำไปใช้เพื่อเป็นการทดลอง​
    3.ห้ามนำไปใช้อธิษฐานไปทางมุ่งร้ายผู้อื่น

    วิธีการใช้ ตั้งนะโม 3 จบ แล้วอธิษฐานเอาตามประสงค์ จากนั้นก็นำน้ำมันแตะแต้มที่หน้าผากริมฝีปากของเราเองนิดหน่อยถ้าดวงชะตาสม พงษ์กันจริงจะทำให้เขาคิดถึงเรา,อยากเจออยากคุยอีก**


    หมายเหตุ: น้ำมันเทพรัญจวนชื่อเดียวกันคือน้ำมันเทพรำลึก​
     
  13. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ ญาติธรรมทุกๆท่าน
     
  14. ksongrit

    ksongrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    841
    ค่าพลัง:
    +7,405
    อ่านวิธีการทำน้ำมันพรายก่อนนอน หัวเราะแก้มแข็งเลยครับ
     
  15. ลูกน้ำเค็ม

    ลูกน้ำเค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,022
    ค่าพลัง:
    +14,548
    อ่านเรื่องน้ำมันพรายแล้ว ฮาก่อนนอนครับ

    ขอตัวพักผ่อนเช่นกันครับ ราตรีสวัสดิ์ครับทุก ๆ ท่าน
     
  16. 2zani

    2zani เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,549
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>
    สวัสดีครับพี่หนุ่มและพี่ๆทุกท่าน

    10 ข้อห้ามในเทศกาลกินเจ



    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ประเพณีการกินเจ หรือ เทศกาลกินเจ จะกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุก ๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีน โดยผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ กินเพื่อสุขภาพ, กินด้วยจิตเมตตา และกินเพื่อเว้นกรรม

    [FONT=verdana,geneva] [/FONT]

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ประเพณีกินเจก็คือประเพณีกินผัก หรือที่เรียกว่า มังสวิรัติ ซึ่งเป็นประเพณีเก่าของ ชาวจีน ที่ถึงจะย้ายถิ่น ฐานไปอยู่ในประเทศใด ก็ยังคงยึดถือปฏิบัติตามประเพณีนี้อยู่

    สำหรับ ประเทศไทยที่มีชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่จำนวนไม่น้อย ปัจจุบันกลายเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ก็ยังยึดถือประเพณีกินเจเช่นกัน ประเพณีกินเจในประเทศไทยที่ผู้คนรู้จักกันดีก็คือ ที่จังหวัดภูเก็ต ที่เกิดขึ้นมากกว่าร้อยปีแล้ว โดยแพร่หลาย มาจากคณะงิ้วประเทศจีนที่มาแสดงให้ชาวจีนในภูเก็ตดู การกินเจในปัจจุบันมิได้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อจะป้องกัน ภัยพิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และเป็นการเคารพถึงดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป

    แล้ว .........ในช่วงเทศกาลกินเจมีข้อห้ามที่ยึดถือปฏิบัติกันมานานอยู่หลายข้อ เชื่อกันว่าถ้าปฏิบัติได้ครบทุกข้อจึงจะเข้า ถึงการกินเจที่ถูกต้องและ ได้บุญอย่างแท้จริง จึงขอยกข้อห้ามทั้ง 10 ข้อในเทศกาลกินเจมาเล่าให้ฟังกัน จะว่าเป็น การไขข้อข้องใจกันก็ได้ เพราะเชื่อว่าบางข้อยัง เป็นที่สงสัยกันอยู่ เริ่มที่

    ข้อแรก การงดกินผักฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง ซึ่งประกอบไปด้วยพืชผัก 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม) หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง,หอมขาว,หอมหัวใหญ่) หลักเกียว (ลักษณะคล้าย หัวกระเทียม แต่เล็กกว่า) กุ้ยช่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า) ใบยาสูบ (บุหรี่,ยาเส้น,ของเสพติดมึนเมา) ผักเหล่านี้เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง นอกจากนี้ยัง ให้โทษทำลายพลังธาตุในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลัก สำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานไม่ควรรับประทาน พราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์ กระตุ้นจิตใจและอารมณ์ให้เร่าร้อน ใจคอหงุดหงิด โกรธง่าย และยังมีผลทำให้พลังธาตุในร่างกายรวมตัวไม่ติด จิตใจจะไม่บริสุทธิ์ ซึ่งในข้อห้ามนี้มีบางคนยังข้องใจกันมาก คือ กระเทียมซึ่งทางการแพทย์และเภสัชกรพบว่า สามารถรับประทานเป็นยาได้ ทั้งนี้เพราะเป็นสารที่มีประโยชน์สามารถละลายไขมันในเส้นเลือดได้ เช่น ผู้ป่วยที่ เป็นโรคเส้นโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน เป็นต้น แม้ทางการแพทย์แผนโบราณก็ยืนยันตรงกันว่ากระเทียมเป็น สมุนไพรรักษาโรคได้ แต่คนจีนที่ปฏิบัติในการกินเจถือว่าให้โทณกับหัวใจ ซึ่งในข้อนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อของ แต่ละคน

    ข้อที่สอง การงดกินเนื้อสัตว์ ซึ่งประกอบไปด้วย เนื้อวัว หมู ปลา หรือสัตว์มีชีวิตที่ใช้เป็น อาหารได้ เพราะ คนจีนเชื่อว่าก่อนตายมันจะตกอยู่ในอาหารตกใจกลัวเมื่อเรากินมันเข้าไป อาจจะทำให้เรามีบาปติดตัวไปด้วย เพราะมันคือสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกับคน ข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนจีนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่มาถึงปัจจุบัน ..........บางคนเริ่มหาข้อคัดค้านว่าสัตว์บางชนิดอย่าง หอยหรือปลาเล็กๆ ก็น่าจะรับประทานได้เพราะมันเป็นสัตว์ไม่มีเลือด ตามความเชื่อแล้วมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ถ้าในความเป็นจริงแล้ว คนจีนเขาเชื่อว่าประเพณีนี้ศักดิ์สิทธิ์ถ้าปฏิบัติ ให่เคร่งครัด ถึงจะมีคนคัดค้านแต่กับข้อนี้คงไม่ได้ผล

    ข้อที่สาม ไม่ควรกินอาหารรสจัด ซึ่งไม่ใช่แค่รสเผ็ดอย่างเดียว รวมไปถึงรสเค็มมาก หวานมากหรือเปรี้ยวมาก ด้วย ซึ่งปกติคนจีนจะไม่กินรสจัดอยู่แล้วเพราะถือว่าจะเข้าไปทำลายสุขภาพ อย่างกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลาย กระเพาะ กินเค็มมากจะไปทำลายไตได้ และอีกอย่างน้ำปลาก็ทำมาจากสัตว์เหมือนกัน ข้อห้ามนี้ถือว่าถูกหลักของ การแพทย์ แต่บางคนที่ปฏิบัติไม่เคร่งครัดนัก เช่น ชอบรสเค็มจัดก็ใช้เกลือแทนน้ำปลา อันนี้ถือว่าไม่ผิด

    ข้อที่สี่ ต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันปรุง ซึ่งข้อนี้ถ้าปฏิบัติได้จะถือว่าบริสุทธิ์จริงๆ แต่ถ้าทำให้เกิดความยาก ลำบากก็ไม่จำเป็น จะได้ไม่ต้องเลือกร้านกันจ้าละหวั่น ฉะนั้นคนที่ปรุงอาจจะไม่ได้กินเจก็ได้แต่ขอให้อาหารที่กินเข้า ไปเป็นอาหารเจก็พอ

    ข้อที่ห้า ถ้วยชามจะต้องไม่ปนกัน เพราะเขาถือเคร่งครัดว่าอาหารคาวซึ่งชาวจีนเรียกว่า " ชอ " นั้น ถ้วยชาม จะใช้ปนกันไม่ได้ จะถือว่าล้างสะอาดหมดจดแล้วจึงเอามาใช้ก็ผิดอีก บางคนคิดว่าล้างให้สะอาดมากๆ ก็ไม่จำเป็น ต้องแยก แต่ข้อนี้ถือว่าเป็นธรรมเนียมเหมือนอย่างอิสลามที่ไม่ยอม ใช้ถ้วยชามปนกัน เหมือนของจีนนั่นแหละ

    ข้อที่หก ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ข้อนี้ตรงกับการรักษาศีลของชาวพุทธ การฆ่าสัตว์ของชาวจีนตั้งแต่สัตว์เล็กๆ ไป จนถึงสัตว์ใหญ่เป็นข้อเคร่งครัดเช่นกัน บางคนสงสัยอีกว่าอย่างถ้าเป็นยุงหรือมดฆ่าได้ไหมตามความเชื่อแล้วห้าม เด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถือว่า ปฏิบัติไม่ครบ

    ข้อที่เจ็ด แต่งกายด้วยชุดขาว ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนก็ใส่ชุดสีขาวตลอดจนถึงออกเจเพราะเชื่อกัน ว่านอกจากงดอาหาร ต่างๆ ในร่างกายสะอาดแล้วภายนอกแม่จะเป็นเครื่องแต่งกายก็ต้องสะอาดด้วย ข้อนี้ไม่ใคร่ เข้มงวดสำหรับบุคคลที่ปฏิบัติอยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปที่แจตั๊วหรือสถานที่ทำพิธีกินเจ

    ข้อที่แป
    พูดจา[FONT=verdana,geneva]ไพ[/FONT]
    [FONT=verdana,geneva]เราะ คนที่ถือศีลกินเจไม่ใช่เพียงแต่กินของสะอาดเท่านั้น แต่คำพูดที่พูดออก จากปากก็ต้อง สะอาดด้วย สิ่งไม่ดีทั้งหลายไมควรพูดหรือที่เรียกว่า " ปากเจ " ซึ่งประกอบไปด้วย ไม่พูดเท็จ ไม่พูดยุแหย่ ไม่พูด เพ้อเจ้อ ถ้าปฏิบัติได้ก็ถือว่าสะอาดทั้งหมด

    ข้อที่เก้า งดดื่มสุราและของมึนเมา ตลอดช่วงเวลา 9 วัน ..........ข้อนี้สำคัญเพราะการงดอาหารที่เป็นของคาวแล้วสิ่ง ที่สร้างความมึนเมาหรือสิ่งแปลกปลอมในร่างกายก็ห้ามเข้าสู่ร่างกายด้วย

    ข้อที่สิบ ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง คนที่จะไปกินเจมักจะไปชุมนุมกันที่แจตั๊วหรือสถานที่กินเจ ณ ที่นั้น เขาจะประดับดอกไม้ตั้งโต๊ะบูชา วางกระถางธูปและตั้งเครื่องเจ ต่างๆ นอกจากนี้ ก็จุดโคม 9 ดวงเพื่อสมมติเป็น " เก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว " นั่นเอง ซึ่งจะต้องจุดไว้ทั้งกลางวันและ กลางคืนจนตลอดงานทีเดียว ถ้าดับโคมไฟดวงใดดวงหนึ่ง ก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคลและไม่ครบถ้วนพิธีการกินเจ…

    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อห้ามในการกินเจใครจะ ปฏิบัติตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของตัวเอง ประเพณีกินเจโดยทั่วไปแล้วมิได้ทำกันตลอดทั้งปี แต่จะเริ่มกินในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำ จนถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งตก ในเดือน 11 ข้างไทยเป็นวันกินเจ ซึ่งจะสับเปลี่ยนเวียนไปตามปีนั้นๆ ใครที่ไม่ได้เป็นลูกหลานชาวจีนถ้าต้องการจะ มีร่างกายและจิตใจ ที่บริสุทธิ์และได้ทำบุญกุศลอาจจะอยากเข้าร่วมพิธีนี้ด้วยก็ได้ เป็นการดีเสียอีกที่ปีหนึ่งคนเรา หันมาทำบุญร่วมกัน
    [/FONT]

    [FONT=verdana,geneva]ที่มา nairobroo[/FONT]

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. chainerror

    chainerror เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +7,902
    สวัสดียามเช้าครับเพื่อนสมาชิกทุกๆท่าน
    อ่านคำแนะนำน้ำมันพรายพี่หนุ่มแล้วฮาจะเกร็ง อิอิ
     
  18. namo_2009

    namo_2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,432
    ค่าพลัง:
    +10,228
    สวัสดียามเช้าครับทุกท่าน ขอให้วันนี้เป็นวันดีๆของทุกๆท่านนะครับ ร่ำรวยๆ ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บครับ

    ขอตัวเดินทางก่อนนะครับ จะเก็บภาพสวยๆมาฝากครับ
     
  19. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    สวัสดียามเช้าครับครู สวัสดียามเช้าครับทุกท่าน ^ ^
     
  20. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    สวัสดีครับคุณลุง นี่แหละครับที่ผมสนใจ เพราะเรื่องที่คุณลุงเล่าทางภาคผมจะเป็นตำนานไปแล้ว เรื่องน้ำมันมันที่ใช้ป้ายคน แล้วถึงกับเพ้อนี่ผมสนใจมาก เพราะแต่ก่อนมีเรื่องน้ำมันแบบนี้ เกิดขึ้นหลายครั้งในการที่คนร้ายนำมาป้ายเหยื่อแล้วปลดทรัพย์ ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีจริงได้ยินแต่ผู้ใหญ่เค้าเล่าให้ฟัง แต่ถ้าคุณลุงมีเรื่องแบบนี้อีกก็เล่ามาเรื่อยๆน่ะครับผมชอบฟังมาก และเพื่อนๆก็คงอยากฟังไม่ต่างจากผมแน่นอน
     

แชร์หน้านี้

Loading...