เสี่ยงเซียมซี 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำนายชะตาปี 2550

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 1 มกราคม 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>เสี่ยงเซียมซี 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำนายชะตาปี 2550

    โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ

    [​IMG]
    </TD><TD vAlign=top align=right>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    "เซียมซีเสี่ยงรักทักทำนายว่า ใบที่เก้านั่นหนาชีวิตเกิดมาเหมือนฟ้ามืดมน"

    บทเพลงอมตะของนักร้องชื่อดัง สมยศ ทัศนพันธ์ ที่ทำให้ใครต่อใครรู้จัก "เซียมซี" กระดาษใบเสี่ยงทายโชคชะตาใบเล็กๆ ที่มีอยู่ตามวัดวาอารามเกือบทุกแห่งทั่วประเทศไทย

    การเสี่ยงเซียมซี เป็นโหราศาสตร์อันเก่าแก่แขนงหนึ่ง นำคำทำนายมาเขียนเป็นบทร้อยกรองเพื่อให้จำได้ง่าย

    "เซียมซี" เป็นภาษาจีนแปลว่า "บทกลอนที่บอกโชคชะตา" เกิดที่ประเทศจีนแล้วแพร่เข้ามาในไทย โดยเซียมซีแต่ละสถานที่จะมี "ไม้ติ้ว" เสี่ยงทายไม่เท่ากัน

    ผู้ทำการเสี่ยงทาย จะกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสถานที่นั้นๆ และเสี่ยงทายโดยการเขย่ากระบอกไม้ติ้วอย่างช้าๆ จนได้ไม้ติ้วออกมาเพียงอันเดียว ที่ไม้ติ้วจะมีตัวเลขติดอยู่ เมื่อทราบว่าได้เลขอะไรแล้วก็จำไปบอกซินแส เพื่อขอใบทำนายของไม้ติ้วเบอร์นั้นๆ

    เซียมซีอาจจะแตกต่างจากการทำนายโดยทั่วไปที่มี "คน" ที่เรียกว่า " หมอดู" หรือโหร เป็นคนทำนายทายทัก ขณะที่เซียมซีใช้ "จิต" อธิษฐานเสี่ยงทายเอาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประจำอยู่ในวัดนั้นๆ

    ใครไม่เชื่อไม่ว่า แต่อย่าลบหลู่!!

    การเสี่ยงเซียมซี ทำขึ้นมิใช่เพื่อความงมงายในการเสี่ยงโชค แต่จะเป็นการบ่งบอกถึงความที่จะเป็นไป ซึ่งแฝงอยู่ในคำกลอนในใบเซียมซี

    ในยุคที่ประเทศไทยยังมืดมน ไม่รู้จะไปทางไหนดี ยิ่งขึ้นปีใหม่ 2550 เป็นธรรมเนียมว่า ต้องไหว้พระทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล ขณะเดียวกันก็เสี่ยงดวงทำนายโชคชะตา เพื่อเป็นคำแนะแนวทางให้รู้ว่าจะมีสิ่งดี-สิ่งไม่ดีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง เพื่อจะได้รับมือและแก้ไขได้ทันท่วงที

    ในเมื่อชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ที่พึ่งสุดท้ายตามแบบฉบับไทยๆ คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์

    เรื่องของการไหว้พระ 9 วัด มีคนแนะนำไปแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องของการเสี่ยงทาย "เซียมซี" บ้าง

    เป็นเซียมซีจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 9 แห่ง ที่เชื่อกันว่า แม่นยำ!

    แห่งแรก รู้จักกันดี วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือวัดแขกสีลม ตั้งอยู่ถนนสีลม ถึงแม้ว่าจะเป็นวัดของชาวฮินดู แต่ศาสนาไร้พรมแดน ไม่ถือเชื้อชาติ โดยทั่วไปชาวฮินดูเชื่อว่าเทพเจ้าสูงสุดมี 3 องค์ คือ พระพรหม เป็นผู้สร้างโลก พระศิวะ เป็นผู้ทำลาย และพระวิษณุ หรือพระนารายณ์ เป็นผู้ปกป้องและรักษาโลก

    ที่วัดนี้มีทั้งคนไทย คนแขก คนฮินดู ไปไหว้พระแม่อุมากันหนาแน่นคึกคัก เสร็จแล้วเสี่ยงทายเซียมซีกันถ้วนหน้า เรื่องความแม่นยำไม่ต้องพูดถึง รู้กันดีในแวดวง

    ที่วัดแขกสีลมแห่งนี้ หลับตาอธิษฐานขอเซียมซีที่ทำนายถึงดวงเมืองประเทศไทย ได้ใบที่ 23 ทำนายว่า ชีวิตของคนไทยทั่วไปจะมีสุข งามสิ้นระบิลศัพท์ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะคลี่คลายหายไป ทั้งครอบครัวทั่วหน้าจะผาสุก ไม่มีทุกข์ ในด้านเศรษฐกิจก็ยังดีมีลาภ ไม่เลวร้าย

    ต่อมาเป็น "วิหารพระเจ้าตากสินมหาราช" กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของประเทศไทย ที่ตั้งคือ วัดอินทราราม ตลาดพลู สถานที่ที่พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนั่งวิปัสสนากรรมฐาน

    วัดอินทรารามเป็นเพียงวัดเล็กที่ทรุดโทรมมาก แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กลับทรงพอพระราชหฤทัย ทรงบําเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดนี้เสมอ นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไว้ด้วย

    ขณะที่เดินทางไปนั้นผู้คนไปไหว้สักการะกันจำนวนมาก เพราะเชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าตาก เสี่ยงเซียมซีที่วิหารแห่งนี้ได้ใบที่ 6

    ทำนายโชคชะตาดวงเมืองไทย ว่า "..โชคชะตาเวลานี้เปรียบดังกำลังสร้างสะพาน หากคิดจะทำการสิ่งใดจะข้ามทันทียังไม่ได้ ต้องพบกับความยุ่งยากลำบาก พอสร้างสะพานเสร็จเรียบร้อยนั่นแหละทุกอย่างจึงข้ามไปสำเร็จ ในเรื่องของเศรษฐกิจประเทศเวลานี้ อย่าใจร้อน ถึงเวลาก็จะเห็นเองว่าแก้ไขอย่างไร.."

    มุ่งหน้าหาสิ่งศักดิ์แห่งที่สาม หลวงพ่อวัดโบสถ์น้อย หรือวัดอมรินทราราม (วัดบางว้าน้อย) กรุงเทพฯ ข้างโรงพยาบาลศิริราช เป็นที่รับรู้กันทั่วถึงความศักดิ์สิทธิ์ว่าแม่นยำขนาดไหน

    ตามประวัติหลวงพ่อวัดโบสถ์น้อย ไม่ปรากฏหลักฐานความเป็นมาแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างในสมัยใด

    แต่จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า เดิมหลวงพ่อโบสถ์น้อยเป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองสำริด มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่จะมีขนาดเท่าใดและเป็นพระพุทธรูปสมัยใดนั้นระบุชัดเจนไม่ได้ ได้แต่สันนิษฐานว่าหลวงพ่อโบสถ์น้อยคงจะเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านจึงมีความเลื่อมใสศรัทธาและอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ

    และด้วยเหตุที่องค์พระพุทธรูปมีขนาดเล็ก ไม่สมกับพระอุโบสถที่มีความกว้างขวางใหญ่โต ดังนั้นชาวบ้านจึงได้คิดหากลอุบายด้วยการปั้นปูนพอกทับอำพรางองค์จริงของพระพุทธรูปเอาไว้ เพื่อให้มีขนาดที่เหมาะสมกับพระอุโบสถ ซึ่งขณะนั้นมีความยาวถึง 4 ห้อง

    ต่อมาถึง พ.ศ.2441 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ตัดเส้นทางรถไฟสายใต้ เริ่มจากปากคลองบางกอกน้อยไปทางนครปฐม มีผลให้พื้นที่ด้านหน้าวัดอมรินทราราม ตรงปากคลองบางกอกน้อยถูกตัดตอนเป็นทางรถไฟ วางรางรถไฟเฉียดผ่านพระอุโบสถของวัดจนถึงกับต้องรื้อด้านหน้าของพระอุโบสถออกไปเสียห้องหนึ่ง เหลือเพียง 3 ห้องเท่านั้น

    ทำให้พระอุโบสถมีขนาดเล็กลง ชาวบ้านจึงเรียกว่า "โบสถ์น้อย" และคงจะเรียกชื่อพระประธานในพระอุโบสถโดยอนุโลมว่า "หลวงพ่อโบสถ์น้อย" ด้วยเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเรื่องเล่ากันถึงความมหัศจรรย์ของหลวงพ่อโบสถ์น้อยที่ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ประจักษ์แก่ประชาชนโดยทั่วไป กล่าวคือ เมื่อครั้งที่นายช่างฝรั่งมาส่องกล้องเพื่อดำเนินการตัดทางสำหรับวางรางรถไฟนั้น เมื่อส่องกล้องแล้ว พบว่าเส้นทางนั้นจะต้องถูกพระอุโบสถและองค์พระพุทธรูปพอดี

    ในคราวนั้นกล่าวกันว่า ได้เกิดอาเพศเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น จนนายช่างฝรั่งไม่สามารถตัดเส้นทางให้เป็นแนวตรงได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางใหม่เป็นแนวอ้อมโค้งเช่นในปัจจุบัน

    เมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา เครื่องบินข้าศึกทิ้งระเบิดเพลิงเพื่อทำลายสถานีรถไฟธนบุรี ภายในวัดอมรินทรารามถูกไฟเผาทำลายเป็นส่วนมาก แม้แต่พระอุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโบสถ์น้อยก็ได้รับความเสียหาย ดังปรากฏว่ามีหลุมระเบิดอยู่รอบๆ พระอุโบสถ

    ในส่วนของเชิงชายพระอุโบสถก็ถูกไฟไหม้ แต่ในที่สุดไฟก็ดับได้เองเหมือนปาฏิหาริย์

    เมื่อสงครามยุติลง วัดอมรินทรารามอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก ทางวัดจึงดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ ให้กลับมีสภาพดีดังเดิม ส่วนพระอุโบสถหลังเก่าอยู่ในสภาพเสียหายมาก จึงก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นแทนใน พ.ศ.2504

    พระอุโบสถหลังเก่า "โบสถ์น้อย" นั้น ยังคงเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโบสถ์น้อยดังเดิม และในส่วนการซ่อมแซมองค์พระพุทธรูป พระเศียรของหลวงพ่อแตกร้าวเป็นส่วนใหญ่ จึงตกลงที่จะปั้นพระเศียรของหลวงพ่อขึ้นใหม่ โดยให้คงเค้าพระพักตร์เดิมไว้

    เล่ากันว่าครั้งนั้นทางวัดได้เชิญบรรดาท่านผู้เฒ่าในบ้านช่างหล่อมาปรึกษาหารือการปั้นขึ้นใหม่ ในที่สุดจึงให้ นายช่างโต ขำเดช เป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเคยอุปสมบทในวัดอมรินทรารามมาหลายพรรษา จึงมีความคุ้นเคยในเค้าพระพักตร์หลวงพ่อโบสถ์น้อยมากกว่าผู้ใด

    พ.ศ.2523 ได้ทำการฉาบปูนลงรักปิดทองพระพุทธรูปใหม่หมดทั้งองค์ และบูรณะพระอุโบสถเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคา เสร็จแล้วจึงมีการเฉลิมฉลองสมโภชเป็นประเพณี งานนมัสการหลวงพ่อโบสถ์น้อยจะจัดในเดือนเมษายนของทุกปี แต่ปัจจุบันกำหนดให้วันที่ 29 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันนมัสการประจำปีหลวงพ่อโบสถ์น้อย

    เพื่อระลึกว่าในวันดังกล่าวมีเหตุการณ์สำคัญที่หลวงพ่อโบสถ์น้อยถูกภัยทางอากาศ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2

    ความศักดิ์สิทธิ์ที่เล่ามา นึกถึงคุณพระรัตนตรัยและหลวงพ่อโบสถ์น้อย เสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ 4 ทำนายทายว่า..

    "จะทำการสิ่งใดต้องพร้อมพรักสามัคคีจึงจะสำเร็จสมดังใจ และอย่าวู่วาม อย่าทำสิ่งที่ล้ำหน้าคนอื่นต้องคอยดูส่วนใหญ่ไว้แล้วเดินตามอย่างระมัดระวัง.."

    จากวัดโบสถ์น้อย ต่อไปที่ วัดพระเชตุพนฯ เพื่อไหว้ พระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอน วัดโพธิ์ ซึ่งเป็นพระนอนที่มีความยาว 46 เมตร เป็นปางปรินิพพาน ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร ที่น่าสนใจคือ พระบาท ซึ่งประดับด้วยมุกภาพมงคล 108 ประการ ตรงกลางเป็นรูปกงจักรตามตำรามหาปุริสลักษณะ นับเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามที่สุดในประเทศไทย

    "พระนอน" เป็นพระประจำวันอังคาร จะส่งผลให้ผู้บูชาพ้นภัยจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่จะเข้ามากล้ำกลาย ไม่ว่าจะเป็นโจรภัย อัคคีภัย ราชภัย ภัยมืดจากภูติผีปีศาจ ฯลฯ

    ทั้งนี้เพราะ ดาวอังคาร หรือลักษณะนิสัยของคนเกิดวันอังคาร มักโผงผาง นักเลง ไม่กลัวใคร

    บุคคลที่เกิดในวันอังคาร หรือตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวอังคาร เป็นคนกล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ โผงผาง ไม่กลัวใคร มักแข็งกระด้าง ไม่นุ่มนวล ดาวอังคารในทางโหราศาสตร์จัดเป็น "ดาวฆาต" หรือ "ดาวมรณะ" เป็นดาวเกี่ยวกับสงคราม อุบัติเหตุ การทหาร

    โบราณาจารย์จึงจัดให้พระปางไสยาสน์ ซึ่งมีพระอิริยาบถประทับนอนบนเตียงเป็นพระประจำวันอังคาร

    ไหว้พระแล้วตั้งจิตอธิษฐานถึงพุทธานุภาพและบารมีของพระพุทธเจ้า เสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ 11 ทำนายว่าวันที่มัวหมอง จะผ่านไปเป็นวันที่ท้องฟ้าโชติช่วงเพราะดวงจันทร์ ซึ่งการที่จะเป็นเช่นนี้ได้ ผู้คนต้องยึดในขนบจารีตประเพณีอันดีงามที่เคยมีมา การดำเนินการต่างๆ การแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองจะพบกับความสำเร็จ

    ต่อมาถึงคราวของการไปไหว้สักการะ ศาลหลักเมือง ซึ่งมีผู้คนมากหน้าหลายตาไปกราบไหว้กันอย่างเนืองแน่น

    ศาลหลักเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้กระทำพิธีนาครสถานเพื่อยกเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 06.45 น. เสาหลักเมือง ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ด้านนอกประดับด้วยไม้แก่น ตัวเสาสูงพ้นดิน 108 นิ้ว ฝังในดิน 79 นิ้ว มีหัวเม็ดเป็นยอดสวมไว้ด้านบน ยอดหลักลงรักปิดทอง ภายในบรรจุดวงพระชันษาพระมหานคร

    สมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯให้ทำขึ้นใหม่ และทรงแก้ไขดวงเมือง โดยทรงประกอบพิธีจารึกดวงพระชันษาพระนครบนทองคำหนัก 1 บาท จากนั้นทรงบรรจุดวงพระชันษาพระนครไว้ที่หลักเมือง แล้วจัดให้มีการฉลองสมโภชด้วย

    ที่ศาลหลักเมืองเสี่ยงทายได้เซียมซีใบที่ 19 ทำนายว่าเรื่องต่างๆ ที่ผู้บริหารบ้านเมืองทำอยู่ จะไม่สมอารมณ์หมาย จะผิดด้วยปัญญาวาจาตน จะหมองหม่นด้วยทัณฑ์ต้องอาญา เพราะใจเบาหลงเชื่อคนผิดริษยา เลยพาให้ตนเป็นมลทิน

    "ถ้าจะเทียบเปรียบความเหมือนขวานพร้า ถ้าเหล็กกล้าเกินนักมักจะบิ่น.." ให้อดออมถนอมใจไปถึงสิ้นปีจึงจะมีทางออกทางแก้ไข ทำให้ได้คนดีมีศักดิ์มาช่วยประคับประคอง

    ศาลเจ้าพ่อเสือ เป็นอันดับถัดมา ตั้งอยู่เลขที่ 468 ถนนตะนาว ใกล้เสาชิงช้า เป็นศาลเจ้าชาวจีนที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย เป็นที่ประดิษฐานของ "เฮี้ยงเทียนเซียงตี่" และรูปเจ้าพ่อเสือ

    ศาลแห่งนี้คนเกิดปีขาลต้องไปไหว้ เพราะในปีขาล (ปีเสือ) ที่เวียนมาถึง ทุกๆ ปีจะเป็นปีที่มีธุรกิจล้มละลายกันมากเป็นประวัติการณ์ บริษัทห้างร้านต่างๆ พากันปิดกิจการกันมาก การค้ามีอุปสรรค

    แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของเสือแล้ว ตามคัมภีร์โหราศาสตร์จีน (โป๊ยยี่สี่เถี่ยวเก็ง) บันทึกไว้ว่า กลับจะเป็นปีที่มีความก้าวหน้าอย่างมากมาย ในขณะที่คนอื่นต้องพบกับชะตากรรมที่ตกต่ำ

    ยังว่ากันอีกว่า ครอบครัวชาวจีนที่ยังไม่มีลูก อยากมีมากๆ ก็จะไปขอที่ "ตั่วเล่าเอี๊ย" หรือศาลเจ้าพ่อเสือในคืนวัน 15 ค่ำ เดือน 1 (ตามปฏิทินจีน) โดยนำ "ทึ้งถะ" หรือเจดีย์ที่ทำด้วยน้ำตาลไปไหว้

    ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ แล้วเสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ 36 ทำนายว่า "..ขอท่านอย่าเหนื่อยใจ ค่อยพยายามทำไปช้าๆ ให้มีมานะจะไปถึงที่หมาย.."

    สถานที่ศักดิ์สิทธิแห่งที่แปด คือ หลวงพ่อดำ หรือ พระทีฆายุมหมงคล วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ประดิษฐานอยู่ที่มุขตะวันออกด้านนอกของพระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศ

    วิหารหลวงพ่อดำ หรือพระทีฆายุมหมงคล ว่ากันว่าถ้าใครมากราบไหว้บูชาแล้วจะประสบแต่โชคดี

    ที่แห่งนี้เสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ 6 ทำนายว่า "..ใบที่หกตกเวลาฟ้ามืดมิด ดาวนิดนิดลับดวงล่วงแลหาย ใกล้เวลาแสงทองส่องฟ้าพราย จงมุ่งหมายรออรุณอย่างอุ่นใจ อย่าวู่วามทำความไม่ดีแท้ ความไม่ดีจะยิ่งแผ่ความมืดใหญ่ รักษากายวาจารักษาใจ อรุณรุ่งเมื่อใดจักมีบุญ..คนดีจะเดินทางมาเกื้อหนุน ศัตรูร้ายจักกลายมาให้คุณ เร่งค้ำจุนตัวไว้ให้ดีเอย.."

    แล้วต่อไปที่ หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม หรือ "พระศรีอริยเมตไตรย" เป็นพระพุทธรูปปางยืนทรงบาตร ผินพระพักตร์ไปด้านทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) มีความสูงตั้งแต่พื้นถึงยอดเกตุ 16 วา กว้าง 5 วา 2 ศอก นับเป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนทรงบาตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    หลวงพ่อโตสร้างขึ้นในปี 2410 รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ขณะมีอายุได้ 80 ปี ว่ากันว่าหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์มาก สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการทิ้งระเบิดสะพานพระรามหก ระเบิดตกบริเวณองค์หลวงพ่อแต่ไม่ระเบิดสักลูกเดียว มีผู้ศรัทธามากราบไหว้ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะหากบนด้วยหัวปลาทู และไข่ต้ม พวงมาลัย จะได้สมปรารถนาทุกคน

    ไหว้หลวงพ่อโตเสี่ยงทายได้เซียมซีใบที่ 19 เขียนไว้ว่า ..จะทำการงานสิ่งใดประเทศชาติจะประสบผลสำเร็จได้ต้องหยุดตรึกตรองให้ดี "..ช้าๆ หน่อยคงสมอารมณ์ปอง ทั้งพวกพ้องปรีดิ์เปรมเกษมศานต์.." สามารถปลดเปลื้องความทุกข์ และปัญหาไปได้ในที่สุด

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์สุดท้ายจบลงที่ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกชื่อตามภาษามอญว่า "วัดตองปุ" มีความสำคัญ คือ เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงกรีธาทัพกลับพระนครหลังจากมีชัยในสงคราม 9 ทัพ ทรงทำพิธีสรงน้ำและเปลี่ยนเครื่องทรงตามพระราชพิธีโบราณที่วัดแห่งนี้ ก่อนจะเสด็จเข้าพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระราชทานนามว่า "วัดชนะสงคราม"

    ในพระอุโบสถ มีพระพุทธนรสีหจรีโลกเชฏฐ์ เป็นพระประธาน ปางมารวิชัย สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ทำด้วยปูนปั้นแล้วบุด้วยดีบุกลงรักปิดทอง ที่ฐานชุกชีมีพระพุทธรูปโบราณ สร้างสมัยเดียวกันประดิษฐานล้อมรอบ 15 องค์

    ไหว้พระวัดชนะสงคราม แล้วเสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ 6 ทำนายว่า..."โชคชะตาบ้านเมืองในปี 2550 จะมีสุข สนุกใจ สมหวังดังถวิลจินตนา เคราะห์โชคร้ายภัยทั้งผองจะค่อยๆ หายไปหรือพ้นผ่านไปด้วยดี.."

    ทั้งหมดเป็นเพียงคำทำนายทายทัก เชื่อน้อย เชื่อมาก เชื่อแค่ไหน อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน

    ------------------------------
    ที่มา:มติชน
    http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra01020150&day=2007/01/02
     
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    :cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. t_tnarak

    t_tnarak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +262
    อยากไปมากเลยจะได้เป็นสิริมงคล
     
  4. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    ประกาศจ้า


    พระพุทธไสยาส (พระนอน)
    วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)

    ปัจจุบันทางวัดใช้ว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...