:+:+:+: ออโรร่า :+:+:+:

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย น า ทู รี, 9 เมษายน 2011.

  1. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
    Aurora: ม่ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td valign="middle"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="middle">
    </td><td class="date" align="left" valign="middle">
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td>
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table><table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG][​IMG]
    </td></tr></tbody></table><table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="500"><tbody><tr><td align="center" valign="Top" width="500">
    </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    ม่านแสงเหนือ Alaska แสงสีขาวมาจากอะตอมออกซิเจน แสงสีชมพูมาจากอะตอมไนโตรเจน
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td colspan="2"><style type="text/css">td.attachrow { font: 11px Verdana,Arial,Helvetica,sans-serif; }td.attachheader { font: 11px Verdana,Arial,Helvetica,sans-serif; background-color: rgb(209, 215, 220); }table.attachtable { font: 12px Verdana,Arial,Helvetica,sans-serif; border-collapse: collapse; }</style>
    <hr width="95%">​
    <table class="attachtable" align="center" border="1" cellpadding="2" cellspacing="0" width="95%"> <tbody><tr> <td colspan="2" align="center">
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ผู้คนในแถบอาร์กติกและแอนตาร์กติกา มักเห็นม่านแสงสวยพาดผ่านท้องฟ้าในยามดึก และในเวลาใกล้สาง ม่านแสงที่เห็นมีรูปร่างต่างๆ เช่น ม้วนเป็นเกลียว พลิ้วเป็นคลื่น ฉีกเป็นริ้ว หรือมีปนทั้งสามรูปแบบ และสีของม่านแสงก็มีหลากหลาย เช่น เขียว เหลือง ม่วง น้ำเงิน แดง หรือดำ ม่านแสงอาจปรากฏสว่างนิ่งนานเป็นชั่วโมง หรือเปลี่ยนรูปร่างอย่างช้าๆ เสมือนม่านที่พลิ้วลมก็ได้


    [​IMG]


    นักวิทยาศาสตร์เรียกม่านแสงที่ปรากฏในท้องฟ้าเหนือเส้นละติจูดที่ 60 องศาเหนือว่า แสงออโรราเหนือ (aurora borealis) หรือม่านแสงเหนือ และเรียกม่านแสงที่ปรากฏในท้องฟ้าใต้เส้นละติจูดที่ 60 ว่า แสงออโรราใต้ (aurora australis) หรือม่านแสงใต้


    <table id="Table_01" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td background="http://202.183.165.44/images_play/box_w_22.gif">[​IMG]</td> <td>[​IMG] </td> <td background="http://202.183.165.44/images_play/box_w_24.gif"> [​IMG]</td> </tr> <tr> <td> [​IMG]</td> <td background="http://202.183.165.44/images_play/box_w_35.gif"> [​IMG]</td> <td> [​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table style="border: 1px dotted rgb(85, 85, 85);" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="50" width="98%"><tbody><tr><td align="left" valign="middle" width="31%">
    </td><td align="left" valign="middle" width="12%">
    </td><td align="left" valign="middle" width="8%">
    </td><td align="left" valign="middle" width="22%">
    </td></tr></tbody></table>
    และเรียกม่านแสงทั้งสองรวมกันว่า aurora polaris แต่การเรียกชื่อหลังนี้อาจทำให้หลายคนเข้าใจผิด ว่าเฉพาะผู้ที่อาศัยแถบขั้วโลกเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เห็นม่านแสง เพราะในความเป็นจริง คนเม็กซิโกหรือคนกรีกก็มีโอกาสเห็นม่านแสงได้ แม้จะไม่บ่อยเท่าคนแคนาดาก็ตาม


    [​IMG]

    สำหรับสาเหตุการเกิดม่านแสงนั้น คนไวกิ้งโบราณคิดว่ามันคือแสงที่สะท้อนจากโล่ทองคำของเหล่าวีรสตรี (valkyries) ที่กำลังเดินนำขบวนวิญญาณของบรรดาวีรบุรุษสู่นคร Valhalla ในสวรรค์ คนเอสกิโมเชื่อว่าม่านแสงเป็นแสงที่เหล่าวิญญาณของบรรพชนใช้ในการเล่นละครบน สวรรค์


    [​IMG]



    Aristotle อธิบายว่า ม่านแสงเกิดจากลมที่กลั่นตัวเป็นเปลวไฟลุกไหม้สว่างไสว ชาวโรมันโบราณเล่าว่า เวลาเทพยดาบนสวรรค์ต่อสู้กับภูตผีในนรก การสู้รบทำให้ท้องฟ้าสว่าง ด้านโหราจารย์ก็บอกว่า ม่านแสงคือสัญญาณที่แสดงว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นทุพภิกขภัยหรือสงครามจะ เกิดขึ้น เป็นต้น

    <table align="center" bgcolor="#cff3ff" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="1003"><tbody><tr><td align="left" valign="top" width="696"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="696"><tbody><tr><td style="background: url(&quot;<a href=&quot;) repeat scroll 0% 0% transparent;" http:="" my.kapook.com="" images_play2="" paly_01_04.jpg&quot;="" target="_blank"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody><tr> <td align="left" valign="top" width="91%">
    </td> <td align="right" valign="top" width="9%">
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="left">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="left" valign="top" width="307"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td align="left" valign="top">
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td width="19">[​IMG]</td> <td background="http://202.183.165.44/images_play/cut1_15.gif">
    </td> <td width="22">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td background="http://202.183.165.44/images_play/cut1_17bg.gif" valign="top">[​IMG]</td> <td valign="top"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="2" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center">
    <table id="Table_01" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td> [​IMG]</td> <td background="http://202.183.165.44/images_play/box_w_10.gif"> [​IMG]</td> <td> [​IMG]</td> </tr> <tr> <td background="http://202.183.165.44/images_play/box_w_22.gif"> [​IMG]</td> <td>[​IMG] </td> <td background="http://202.183.165.44/images_play/box_w_24.gif"> [​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

    แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ เขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า ม่านแสงมักเกิดในยามดึกของวันต้นๆ ในฤดูใบไม้ผลิ คือ ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน และปลายฤดูใบไม้ร่วง คือระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม และปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นบ่อยในทุก 11 ปี

    [​IMG]

    ซึ่งข้อมูล 11 ปีนี้ สอดคล้องกับวัฏจักรการเกิดจุดสุริยะ (sunspot) ที่ Heinrich Schwabe นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันได้พบในปี 2386 ว่า จุดสุริยะบนดวงอาทิตย์จะมีจำนวนมากที่สุดทุก 11 ปี

    [​IMG]
    <small></small>
    ดังนั้น เราจึงมีเหตุผลที่เชื่อว่า ดวงอาทิตย์เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้โลกมี ปรากฏการณ์ม่านแสง<dl>[FONT=Trebuchet MS, Arial, Helvetica]<dd><center><dl><dd>
    </dd></dl> </center> </dd> <dt> [​IMG]</dt>[/FONT]</dl>
    ดวงอาทิตย์มีอายุประมาณ 5,000 ล้านปี และเป็นดาวที่มนุษย์นับถือมาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ชนเผ่า Aztec และ Sumerian ได้ยกย่องดวงอาทิตย์ว่าเป็นดาวที่ให้ชีวิตและทุกอย่างแก่มนุษย์ แต่ยังไม่มีใครรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของดวงอาทิตย์เลย

    จนกระทั่ง Galileo รายงานการเห็นจุดบนดวงอาทิตย์ในปี 2156 (รัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม) ว่าเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ มีสีดำมืดคล้ำ และขอบของจุดมีรูปร่างไม่กลม

    <small class="entry-meta">
    </small>
    [​IMG]



    การบันทึกตำแหน่งของจุดสุริยะในเวลาต่อมาทำให้ Galileo รู้ว่าจุดเหล่านั้นเคลื่อนที่ ดังนั้น Galileo จึงเป็นบุคคลแรกที่แสดงให้โลกรู้ว่า ดวงอาทิตย์ก็หมุนรอบตัวเองเช่นเดียวกับโลก


    [​IMG]


    ดวงอาทิตย์มิได้ประกอบด้วยหินแข็ง แต่ประกอบด้วยก๊าซร้อนที่มีอุณหภูมิสูงมากและหมุนรอบตัวเอง โดยความเร็วของก๊าซที่ตำแหน่งละติจูดต่างกันจะมีความเร็วไม่เท่ากัน


    [​IMG]


    นั่นคือ ก๊าซที่บริเวณเส้นศูนย์สูตรมีความเร็วมากกว่าก๊าซที่บริเวณขั้ว เหตุการณ์นี้ทำให้สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์บิดเบนจนก๊าซร้อนที่ไหลทะลักจาก ใต้ผิวขึ้นมาที่ผิวมีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ และนี่คือบริเวณที่เรียกจุดสุริยะ


    [​IMG]


    แต่เมื่อจุดเหล่านี้มีเกิดก็ย่อมมีดับ โดยจะเกิดและดับเป็นวัฏจักรทุก 11 ปี และเวลาดวงอาทิตย์มีจุดสุริยะมาก ความสว่างของดวงอาทิตย์ก็จะลดลง ทำให้อุณหภูมิของบรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลง


    <table id="resourceBlock_largeImageTable" class="Photograph" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td> <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr><td bgcolor="#ffffff">[​IMG]
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>


    ดังในปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่ดวงอาทิตย์มีจุดสุริยะมากที่สุด ถึงปี 2547 จำนวนจุดได้ลดลง แม้คำว่าจุดจะดูไม่ยิ่งใหญ่หรือสำคัญ


    [​IMG]


    แต่ในความเป็นจริง จุดบางจุดมีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี และเพราะจุดเป็นตำแหน่งบนดวงอาทิตย์ที่มีการระเบิดเกิดเปลวเพลิงสุริยะ (solar flare)

    [​IMG]


    ซึ่งการระเบิดนี้ อาจรุนแรงและนานเป็นวันเป็นเดือน จนเปลวก๊าซร้อนที่ผิวพุ่งออกไปในอวกาศเป็นระยะทางไกลหลายล้านกิโลเมตร นอกจากนี้ดวงอาทิตย์อาจใช้วิธีปลดปล่อยก๊าซร้อนสู่โลกได้ คือเวลาเส้นสนามแม่เหล็ก ของดวงอาทิตย์ถูกบิดเบี้ยวโดยอิทธิพลของการหมุน จนเส้นสนามแตก


    [​IMG]


    พลังงานแม่เหล็กที่ปล่อยออก มาอาจฉุดกระชากบรรยากาศที่ผิวดวงอาทิตย์ (corona) ซึ่งประกอบด้วยอะตอมที่แตกตัวเป็นพลาสมา (plasma) ให้พุ่งสู่โลก นี่คือสิ่งที่นักดาราศาสตร์เรียก coronal mass ejection (CME) ซึ่งมีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก ยิ่งกว่าเปลวเพลิงสุริยะมาก


    [​IMG]



    ดวงอาทิตย์มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก โดยมีอุณหภูมิที่แกนกลางสูงถึงล้านองศา และอุณหภูมิที่ผิวสูงราว 6,000 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงได้ทำให้อะตอมไฮโดรเจน แตกตัวเป็นโปรตอน ซึ่งมีประจุบวก และอิเล็กตรอน ซึ่งมีประจุลบ นักวิทยาศาสตร์เรียกกลุ่มไอออน ที่มีประจุนี้ว่า พลาสมา (plasma) เพราะความเร็วของประจุขึ้นกับอุณหภูมิ


    [​IMG]

    ดังนั้น โปรตอนและอิเล็กตรอนที่พุ่งออกจากดวงอาทิตย์จะมีความเร็วสูงมาก และเดินทางจากดวงอาทิตย์ถึงโลกภายในเวลา 3-4 วัน นักวิทยาศาสตร์เรียกกระแสอนุภาคจากดวงอาทิตย์ ที่ผ่านไปในอวกาศ ว่า ลมสุริยะ (solar wind) และเมื่อกระแสอนุภาคเดินทางถึงชั้นบรรยากาศโลก มันจะเผชิญสนามแม่เหล็ก โดยทิศของสนามจะพุ่งจากขั้วเหนือของแม่เหล็กโลกสู่ขั้วใต้


    [​IMG]


    (สนามแม่เหล็กโลกเกิดจากการไหลของเหล็กเหลวที่บริเวณแก่นกลางของโลก และมีขั้วเหนือ ขั้วใต้เช่นเดียวกับแม่เหล็กทั่วไป โดยขั้วเหนือของแม่เหล็กโลกชี้ตรงกรีนแลนด์

    และอยู่ห่างจากขั้วเหนือภูมิศาสตร์ประมาณ 1,609 กิโลเมตร ส่วนขั้วใต้แม่เหล็กโลกนั้นก็หาได้ชี้ที่ขั้วใต้ภูมิศาสตร์ไม่ แต่ชี้ที่ตำแหน่งที่ละติจูด 78 องศาใต้ตัดกับลองจิจูด 111 องศาตะวันออก)



    [​IMG]


    สนามแม่เหล็กโลกนี้เองที่ทำหน้าที่ปกป้องไม่ให้ลมสุริยะเข้ามาทำลายชีวิต มนุษย์ เพราะเวลาโปรตอนและอิเล็กตรอนจากดวงอาทิตย์พุ่งเข้ามาในสนามแม่เหล็กโลก และการมีประจุไฟฟ้า ทำให้มันเคลื่อนที่ในลักษณะวนเป็นเกลียววนรอบเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลก

    [​IMG]



    จากนั้น อนุภาคจะสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างขั้วแม่เหล็กโลกเหนือกับใต้ จึงมิอาจทะลุถึงผิวโลกได้ และเวลาอนุภาคชนอะตอมของออกซิเจนและไนโตรเจนในบรรยากาศ การมีพลังงานสูง จะทำให้อะตอมของออกซิเจนและไนโตรเจนรับพลังงานบางส่วนไป จึงมีพลังงานสูงขึ้น


    [​IMG]




    แต่อะตอมที่ถูกกระตุ้นเช่นนี้ไม่เสถียร จึงคายพลังงานอกมาในรูปของแสงที่ตาเห็น เช่น ในกรณีอะตอมของออกซิเจนที่ระดับสูง 200-400 กิโลเมตร มันจะปล่อยแสงสีแดงที่ตามองเห็นยาก


    [​IMG]

    แต่อะตอมของออกซิเจน ที่ระดับความสูง 100 กิโลเมตร จะปล่อยแสงสีเขียวซึ่งสว่างมาก ด้านอะตอมของไนโตรเจนนั้นจะปล่อยแสงสีม่วงและแสงสีน้ำเงินที่ระดับความสูง 60-80 กิโลเมตร เป็นต้น และนี่คือแสงออโรราเหนือและใต้ที่เรารู้จัก


    [​IMG]


    ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่า ลมสุริยะมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดปรากฏการณ์ม่านแสงเหนือและม่านแสงใต้ ณ วันนี้โลกมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ใช้ปรากฏการณ์นี้ศึกษาธรรมชาติของลม สุริยะ เช่น การรู้ระดับความสูงของม่านแสงเหนือและใต้ จะทำให้เรารู้ความหนาของชั้นบรรยากาศโลก การรู้ความสว่างและความเข้มของม่านแสง


    [​IMG]


    ทำให้รู้ความหนาแน่นของบรรยากาศ สีต่างๆ ของม่านแสงทำให้เรารู้ว่า ที่ระดับความสูงใดมีอะตอมของธาตุชนิดใด และการเห็นลักษณะของม่านแสงเหนือ-ใต้จะทำให้เรารู้ว่าผิวดวงอาทิตย์มีการ ระเบิดรุนแรงมากหรือบ่อยเพียงใด เป็นต้น


    [​IMG]


    ไม่เพียงแต่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเท่านั้นที่สนใจม่านแสง นักวิทยาศาสตร์อดีตก็สนใจ เช่น เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 1671 (ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย) Richard Stephenson แห่งมหาวิทยาลัย Durham ได้พบว่า John แห่งเมือง Worcester เคยลงบันทึกว่า เห็นจุดสองจุดบนดวงอาทิตย์


    [​IMG]


    จึงได้เขียนภาพวงกลมที่มีสีน้ำตาลแดงล้อมรอบจุดสองจุดนั้น และทันทีที่รู้ข่าวนี้ David Willis ได้ศึกษาตำราประวัติศาสตร์ของเกาหลีชื่อ Koryo-sa และพบว่าในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 1671 (คืออีก 5 วันหลังจากการเห็นจุดที่ผิวดวงอาทิตย์) คนเกาหลีใต้ได้เห็ นปรากฏการณ์ม่านแสงเหนือในท้องฟ้าอย่างชัดเจน เป็นเวลาหลายวัน


    [​IMG]



    ณ วันนี้ เหตุการณ์ม่านแสงเหนือ-ใต้ นอกจากจะทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้ชื่นชมภาพธรรมชาติที่ระดับสูงแล้ว ยังทำให้นักวิทยาศาสตร์ตระหนักในภัยอันตรายที่จะตามมาด้วย เพราะหลังจากการระเบิดที่ผิวดวงอาทิตย์เพียงไม่กี่นาทีอนุภาคโปรตอน และอิเล็กตรอนจำนวนมาก จะพุ่งสู่โลกด้วยความเร็ว 8 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง


    [​IMG]



    แม้อนุภาคส่วนใหญ่จะถูกสนามแม่เหล็กโลกผลักกลับออกไป แต่ส่วนน้อยก็ยังสามารถก่อความวุ่นวายได้ เช่น เวลาลมสุริยะพัดรุนแรง เพราะขั้วโลกเป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กโลกมีความเข้มมากที่สุด


    [​IMG]



    ดังนั้น บริเวณนั้นจะมีอนุภาคโปรตอนและอิเล็กตรอนที่มีพลังงานสูงเป็นจำนวน มาก ด้วยเหตุนี้เครื่องบินที่จะบินผ่านขั้วโลกจึงต้องระมัดระวังการถูกอนุภาค พลังงานสูงพุ่งชน ซึ่งจะทำลายระบบการสื่อสารของเครื่องบิน แม้แต่มนุษย์อวกาศที่ทำงานอยู่ใน International Space Station ก็ต้องคอยหลบเวลายานโคจรผ่านบริเวณขั้วโลก


    [​IMG]


    สำหรับกรณีการระเบิดที่ผิวดวงอาทิตย์เมื่อปี 2546 นั้น นอกจากจะทำให้ยานอวกาศ Mars Odyssey ถูกกระทบกระเทือนในอีก 2 ชั่วโมงต่อมา ยังทำให้ยานอวกาศ Ulysses ที่โคจรใกล้ดาวพฤหัสบดีและยาน Cassini ที่กำลังโคจรใกล้ดาวเสาร์ ได้รับอนุภาค ที่เป็นประจุไฟฟ้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดว่าพลังงานของอนุภาค ประจุไฟฟ้า


    <table class="image" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody> </table>



    สามารถทำให้บรรยากาศของดาวเสาร์ ซึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 1,500 ล้านกิโลเมตร ถูกกระทบกระเทือน และแม้แต่ยาน Voyager 2 ซึ่งขณะนั้นอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 12,000 ล้านกิโลเมตร ก็ยังถูกรบกวนจากการระเบิดครั้งนั้นเช่นกัน


    [​IMG]


    ด้วยเหตุนี้ นักบินอวกาศจึงตระหนักดีว่า ชีวิตของเขาขึ้นกับการระเบิดอย่างรุนแรงที่ผิวดวงอาทิตย์ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องรู้ว่า ดวงอาทิตย์จะระเบิดเมื่อใด และรุนแรงเพียงใด (เหมือนกับที่ชาวประมงต้องรู้ว่า ไต้ฝุ่นหรือสึนามิจะโหมกระหน่ำเมื่อใด เพื่อเขาจะออกจับปลาได้อย่างปลอดภัย)

    [​IMG]


    ซึ่งก็ทำได้โดยใช้วิธีง่ายๆ คือ สังเกตม่านแสงเหนือและม่านแสงใต้ เช่น สมมุติวันหนึ่งคนไทยเกิดเห็นม่านแสงเหนือ


    [​IMG]


    วันนั้น เราก็จะรู้โดยอัตโนมัติว่าผิวดวงอาทิตย์กำลังมีการระเบิดเกิดขึ้น อย่างรุนแรงมาก และเพราะลมสุริยะที่พัดรุนแรงสามารถทำลายระบบโทรคมนาคมสื่อสาร ระบบไฟฟ้า


    <table class="post-message" border="0" cellpadding="0" cellspacing="10" width="100%"> <tbody><tr valign="top"> <td width="1%">
    </td> <td width="99%"> [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
    รวมทั้ง ระบบคอมพิวเตอร์ได้ เราจึงสมควรหยุดใช้เครื่องไฟฟ้าหรือดับเครื่องโรงงานไฟฟ้าระยะหนึ่ง กว่าพายุบนดวงอาทิตย์จะสงบก่อน ชีวิตเราจึงจะปลอดภัย


    [​IMG]


    สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.


    [​IMG]
     
  2. พรรณพร

    พรรณพร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ธรรมชาติที่แปลกตา

    ภาพที่ปรากฏทั้งหมดนี้ ดูสวยงามดีค่ะ
    เหมือนกับภาพวาดที่สวยงามของจิตรกรเลยค่ะ
    น่าจะเกิดขึ้นให้เห็นที่เมืองไทยเรามั่งนะ
    แปลกตาดีค่ะ
     
  3. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    รูปสวยมากกกกกกกกกกกกกก;ปรบมือ
     
  4. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    อยากได้เอาไว้

    อยากได้เอาไว้ในห้องนอนจัง เพื่อให้ลูกน้อย นอนดู ก่อนจะหลับ

    ไอ้เจ้า ออโลเล่ นี่ เเถวพหุรัด หรือ สัมเพ็ง เขามีขายกันไหมเจ้าค่ะ อยากได้มั้งจัง
     
  5. ณัฐธยาน์12

    ณัฐธยาน์12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +612
    สวยเกินไปนะ ธรรมชาติเราเนี่ย แต่แสงแบบนี้ เกี่ยวกับพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์หรือเปล่าคะ
     
  6. adubis

    adubis Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +81
    รังสีคอสมิกที่ออกมาจากดวงอาทิตย์ มีพลังานมากกว่า 1000000000 eV เข้ามากระทบกับชั้นบรรยากาศโลกทำปฎิกิริยากับ o2 co2 ที่ชั้นบรรยากาศ ทำให้พลังงานมันลดลงเป็นอย่างมากมาย จนเห็นเป็นแสงต่างๆ และ ถ้าสนามแม่เหล็กโลกยังแกว่ง และไม่พร้อมที่จะปกป้องเรา(กันยายนปีที่เเล้ว กระทรวงกลาโหมพบรอยรั่วของสนามแม่เหล็กโลก เดือนธันวาคมปีที่เเล้ว พบรังสีคอสมิกทะลุสนามแม่เหล็กจากรอยรั่วเข้ามาดาวเทียมกระทรวงกลามโหมอเมริกาตรวจพบแสงสว่าง ออโรร่า ที่ แถบ แคนนาดา) รังสีคอสมิก ที่มันเข้ามา มีพลังงานมหาศาลมันก็จะมาเปลื่้ยนชีวิตเรา
     
  7. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    สวยแบบมีเลิศนัย.......สวยโหด
     
  8. ระยับแดด

    ระยับแดด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +117
    เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
    เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น
     
  9. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    สวยมาก..."ออโรร่า" สวยจริงๆ ยังไงๆความสวยก็ดีอยู่แล้ว ว่ามั๋ย?
     

แชร์หน้านี้

Loading...