เรื่องเล่าก่อนมีโลก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Brown_2012, 29 เมษายน 2011.

  1. Brown_2012

    Brown_2012 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ในจักรวาลที่เราอยู่ เคยถูกรุกรานจาก สิ่งมีชีวิตอีกมิติหนึ่ง เข้ามาในจักรวาลเราโดยใช้การแทรกตัวคล้ายๆไวรัส และพวกมันขยายพันธ์ได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยพลังงานที่มันเข้าไปแทรกตัว มีการสู่รบกัน เกิดระเบิดหลายครั้ง เหล่าแสงสว่างได้ ตายไปเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็ทำลายหัวหน้ามันได้ ในการต่อสู่ จิตวิญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นบุตรของแสงสว่าง ได้เสียสละตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพื้นฟู้ และ คืนชีพ โดยบุตรของแสงสว่างอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นน้องชาย โลกใบนี้ถูกสร้างมาเพื่อดักจับจิตวิญญาณที่แปรสภาพไป เพื่อพื้นฟู้ ให้แสงสว่างที่ตายไป กลับไปเหมื่อนเดิมอีกครั้ง ซึ่งจะมีจิตวิญญาณจากมิติอื่นติดมาด้วย ร่วมทั้งพวกนั้นด้วย ซึ่งตอนนี้ จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ ได้คืนชิพแล้ว ก็จะกลับไปดีกว่าเดิม จักรวาลจะสว่างขึ้น ตอนนี้ทุกคนได้เสียเวลากับเรื่องไร้สาระ
    เนื้องจาก มีจิตวิญญาณมืดมาเกิดเป็นมนุษย์มากขึ้น ทำให้ทุกอย่างแย่ลง เราไม่ได้เจริญขึ้นเลย มีแต่แย่ลง สิ่งที่จะเกิดก็คือ จิตวิญญาณด้านมืดจะถูกแปรสภาพไปเป็นสิงมีชิวิต ชั้นล่างสุด ไม่สามารถไปทำลายใครได้อีก
    ตอนนี้รอเวลาเท่านั้น
     
  2. b0abb0bi

    b0abb0bi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +80
    คล้ายๆกับความคิดของผมเลย ที่ผมเคยตอบไว้ในกระทู้หนึ่ง ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม ช่วยแนะนำด้วยนะครับ
    http://palungjit.org/threads/สถานีถ่ายทอดสัญญาณ-เซต้าส์.281715/page-61#post4585345

    เป็นคำถามที่ฉลาดและสุดยอดมากเลยครับ ผมขอคาดเดาว่า มนุษย์ต่างดาวสื่อสารกับบางคนโดยตรง ด้วยการแสดงตัวบางอย่างว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเขาไม่ปกติเหมือนคนอื่น ไม่เหมือนที่ตนเองเคยเรียนรู้มา และตัวเขามีความแตกต่างกับคนอื่น อย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้สับสน แล้วฝึกภาษาการสื่อสารเป็นคลื่นสมอง โดยใช้จิตสำนึก จิตใต้สำนีก และความทรงจำ ของคนๆนั้น เป็นตัวแปลผลข้อมูล โดยมนุษย์ต่างดาวได้ฝึกสอนมาตั้งแต่ต้น หรือบางทีก็ remark ไว้เลยตั้งแต่ก่อนเกิด สิ่งที่สื่อสารส่วนใหญ่ก็จะเป็นสัญลักษณ์ ต่างๆรอบตัว เช่น หนังสือ ตัวอักษร รถ ถนน ทีวี รายการทีวี คอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ เสียง แสง หลอดไฟฟ้า อุปกรณ์ต่างๆรอบตัว ความคิด หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์รอบตัว ที่บางทีก็ตรงกับเหตุการณ์จริงๆขณะนั้น หรือบางทีก็ผิดเพี้ยนไปบ้าง (slightly) เหมือน matrix หรือบางทีมากๆเลยก็มี เพื่อให้สามารถสื่อสาร ให้คำแนะนำ และฝึกฝน etc. โดยบุคคลที่รับการสื่อสารจะเข้าใจเองว่าควรจะแปลข้อความว่าอะไร และต้องเป็นคนที่มีศักยภาพ ฉลาด มีไหวพริบ เข้มแข็ง ที่สำคัญสามารถที่จะแยกแยะเหตุการณ์อย่างมีเหตุผล ไม่สับสน และสามารถใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนปกติได้อย่างดี เพียงแต่บางครั้งบางคนที่ใกล้ชิดก็อาจจะสังเกตความผิดปกติได้บ้างทั้งในตัว เขา คำพูด เหตุการณ์รอบตัวต่างๆเมื่อไปด้วยกัน แต่สุดท้ายก็จะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา หรือเหตุบังเอิญเล็กๆน้อยๆ แต่บางทีก็มีเหมือนกันที่คนใกล้ชิดพาลนึกว่าตนเองเป็นคนพิเศษ หรือมีสิ่งศักสิทธิ์ตามคติความเชื่อส่วนบุคคลและศาสนา ตรงนี้ผู้ที่สื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวต้องควบคุมให้คนรอบข้างมองว่าเป็น เรื่องปกติ และตนเองก็รับข้อมูลการสื่อสารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    : ส่วนเรื่องการที่ไม่เขียนตัวอักษรให้อ่านง่ายนั้นผมคิดว่าเหตุผลคือ มนุษย์ไม่ได้อยู่ลำพัง สามารถถูกควบคุมจิตใจได้โดยพลังงานชีวิตอื่นๆที่มีทั้งดีและไม่ดี และที่สำคัญโลกนี้แทบจะไม่มีความลับอะไรที่พ้นสายตาของกลุ่มที่มีอำนาจได้ ดังนั้นการทำเช่นนี้ข้อมูลจะรั่วไหลอย่างรวดเร็ว ฝ่ายไม่ดีที่เป็นปรสิตในร่างมนุษย์ก็จะนำไปใช้ได้
    : ผมคิดว่าพวกพลังงานชีวิตต่างๆบนโลกนี้เข้าใจกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์ ทุกอย่าง และมองว่าเราคือหุ่นยนต์ที่เกิดจาก RNA DNA การถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกของเราก็เป็นกระแสไฟฟ้าเช่นเดียวกับหุ่นยนต์ เวลาเรามีความรู้สึก อารมณ์ ความคิดก็จะมีการหลั่งสารสื่อประสาท และฮอร์โมน แล้วแปลงสัญญาณเป็นไฟฟ้าเข้าสู่สมอง เกิดสนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นเราก็คือหุ่นยนต์ดีๆนี่เอง อย่างถ้าเราศึกษาวิชา Anatomy ก็จะพบว่าร่างกายเราเป็นระบบท่อ (tube) ลำเลียง เช่นเดียวกับหุ่นยนต์ที่ใช้ท่อลำเลียงเป็นสายไฟฟ้า
    : ดังนั้นพวก being ต่างๆสามารถควบคุมเราได้ คอนโทรลเราได้ตาม pattern system ของเรา สรุป ที่ผมคิดนะครับอาจจะไม่ถูกทั้งหมดก็ได้ ก็คือพวก being ที่อยู่กับเรามานานแล้วนี่ ไม่ได้เก่งอะไรมากเพียงแต่เก่งกว่าเราและควบคุมเราได้ คอยสร้างอารยธรรมต่างๆและชี้นำผ่านความเชื่อ ใช้วิธีการหลอกล่อ สร้างระบบสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เพื่อให้เราเป็นไปดังที่เขาต้องการ ดังนั้นพวกนี้อาจจะไม่ใช่พวกที่ดีก็ได้ เขาอาจจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้ดีกับเรา และคอยเสพความรู้สึกจากคลื่นสมองของเรา เพราะสิ่งต่างๆที่เรารับมาโดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 จริงๆแล้วไม่มีความหมายทางวัตถุเลย เป็นอะไรก็ได้ ที่กระแสประสาทส่งไปแล้วสมองแปลผลข้อมูลออกมา ไม่ว่า จะร้อน หนาว สงบ วุ่นวาย มีความสุข มีความทุกข์ เจ็บ ไม่เจ็บ อ่อน แข็ง เร็ว ช้า รัก ชอบ อารมณ์ทางเพศ อิ่ม อร่อย หวาน เค็ม มัน etc. ดังนั้นพวก being พวกนี้ก็สามารถเสพความรู้สึกเหล่านี้ได้ โดยไปตัดตอนเอาที่คลื่นสมอง ไม่ต้องผ่านการสัมผัสเอง (วัตถุ อารมณ์ ความรู้สึก เป็นเพียงตัวกระตุ้นกระแสประสาท และกระบวนการสั่งการของสมองให้หลั่งฮอร์โมน ไม่ได้มีความหมายใดๆ) อาจจะมีมนุษย์ต่างดาวที่อื่นที่ร่วมประมวลผลแล้ว อย่างชัดเจน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจัดการกับ being ที่เป็นปรสิตของมนุษย์และใช้มนุษย์เหมือนทาสพวกนี้เสีย เพื่อมนุษยธรรม และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าขึ้นมาเพื่อพวกเราก็เป็นได้ วิธีการกำจัดก็คือ ต้องกำจัดโฮสต์ที่อาศัยของปรสิตพวกนี้แล้วจึงจะจัดการกับพวกปรสิตที่จริงๆ แล้วอาจจะถือว่าเป็นพวกขยะจักรวาลก็ได้ ส่วนพวกเราผมคิดว่าก็คงจะต้องมีการแยกพวกและดำเนินการอย่างเหมาะสม

    ป.ล. ความเห็นนี้ส่วนตัวครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือว่าอ่านนิยายก็ได้ครับ
     
  3. crimsonn

    crimsonn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +455
    เรื่องเล่าก่อนมีโลกแล้วใครมันเป็นคนเล่าก่อนมีโลกก็ยังไม่มีมนุษย์แล้วใครเล่าคนแรก
     
  4. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    อืมแล้ว มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องเล่าก่อนมีโลกครับ ที่เล่าๆมาก็แค่เป็นความสงสัยก็เท่านั้น
     
  5. mazami

    mazami สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +20
    ดังนั้นเราก็คือหุ่นยนต์ดีๆนี่เอง


    หุ่นยนต์มันสืบพันธุ์ และขยายเผ่าพันธุ์ไม่ได้นะ ไวรัสยังขยายเผ่าพันธุ์ได้ และมีวิวัฒนาการได้ด้วย เราถึงเรียกคน สัตว์ เชื้อโรค ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตไง หุ่นยนต์เป็นสิ่งไม่มีชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2011
  6. mazami

    mazami สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +20
    อย่างถ้าเราศึกษาวิชา Anatomy ก็จะพบว่าร่างกายเราเป็นระบบท่อ (tube) ลำเลียง เช่นเดียวกับหุ่นยนต์ที่ใช้ท่อลำเลียงเป็นสายไฟฟ้า
    ราศึกษาวิชา Anatomy ก็จะพบว่าร่างกายเราเป็นระบบท่อ (tube) ลำเลียง เช่นเดียวกับหุ่นยนต์ที่ใช้ท่อลำเลียงเป็นสายไฟฟ้า



    วิชาเกี่ยวกับคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต ไม่ได้มีแค่เรื่อง anatomy เท่านั้น ยังมี phisiology psycology philosophy และอีกหลายุมมมอง(มิติการมอง) ที่มารวมเป็นสิ่งมีชีวิต หนึ่งหน่วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2011
  7. mazami

    mazami สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +20
    ในสิ่งเล็กก็ยังมีสิ่งเล็กๆมารวมเข้าเป็นองค์ประกอบ ในสิ่งใหญ่ก็ถูกรวมเข้ามาจากสิ่งเล็กๆ มนุษย์ สัตว์ โลกของสิ่งมีชีวิตและโลกใบนี้ ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง เป็นกงล้อหนึ่งของระบบใหญ่ เราเป็นสมาชิกของระบบใหญ่
    ถ้าเราสังเกตธรรมชาติของสรรพสิ่ง และของตัวเรา ให้ดี เราจะรู้ว่ามันมีรูปแบบอยู่ ซึ่งเหมือนกันในทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับรูปแบบของระบบใหญ่ ถ้าจะเข้าใจโลก เข้าใจจักรวาล เข้าใจสิ่งมีชีวิตต่างดาว เข้าใจภัยพิบัติ ต้องเข้าใจตัวเองก่อน
     
  8. b0abb0bi

    b0abb0bi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +80
    ใช่ครับคนคือหุ่นยนต์ ส่วนที่บางคนรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ เช่นทำไมเราสามารถสืบพันธุ์ได้ การสืบพันธุ์ นั้นเป็นเรื่อง ชีวเคมี เป็นการขยายตัวของเซลล์ การจำลอง และแลกเปลี่ยน หน่วยพันธุกรรม ยีนส์ ทั้งหมดเป็นกระบวณการชีวะเคมี แล้วทำไมมีความรักลูกล่ะ เพราะระบบป้องกันงัยครับ ป้องกันเด็กไม่ได้รับการดูแล โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางอย่าง ทำให้รู้สึกรักและผูกพันธ์ ซึ่งจริงๆ สสารทั้งมวลเกิดจากการรวมตัวของ พันธะเคมี แรงดึงดูด ของ เวเลนซ์อิเล็กตรอน
    อิเล็กตรอน โมเลกุล และแรงทั้งหมดก็เป็นพลังงาน และเป็นส่วนที่แยกมาจากฟิสิกส์ ถ้าแยกหน่วยย่อยๆ ลงไปอีกมากๆ ก็จะเป็นระบบควอนตัม แยกย่อยลงไปมากอีกก็จะกลายเป็นเรื่องสสารและพลังงาน ย่อยสุดๆลงไปก็เหลือแค่พลังงาน E=MC square (ยกกำลัง 2)
    psycology = มีทฤษฎีทั่วๆไปวิเคราะห์ ไว้เยอะเช่นจิตวิเคราะห์ ของฟรอยด์
    ID EGO SUPER EGO ก็พื้นฐานทั่วๆไป
    แต่ผมคิดว่า จิตวิทยาคือการศึกษาระบบการทำงานของสมองโดยกระบวนการเคมี ที่ตอบสนองสื่งเร้าทั้งภายในและภายนอก เพื่อจะปรับตัวให้ร่างกายและจิตใจเติบโตได้อย่างสมดุลสอดคล้องสมเหตุสมผล โดยเฉพาะจิตใจและกลไลการปรับตัวเช่น กลไกป้องกันตัวเอง มันเป็นเรื่องการแปลข้อมูลของสมองน่ะครับ เข้าใจยากนิดหนึ่ง แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไร แค่ระบบการทำงาน และแปลผลข้อมูลแวดล้อม

    philosophy หลักปรัชญาเกิดการรวมกันของตรรกะ แล้วสร้างแนวคิด เรื่องนี้ก็เกิดทีหลัง

    เปรียบเทียบระบบการทำงาน คร่าวๆ
    คน ก็คือหุ่นยนต์ ในแง่ของการทำงานของความคิด การประมวลผลที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งที่ป้อนเข้าสู่โปรแกรมนั่นเอง
    ในแง่เคมี คน ก็คือโรงงานแลกเปลี่ยนสสารและพลังงาน จะเปรียบเป็นหุ่นยนต์ก็ได้เพราะ ร่างกายมีระบบอัตโนมัติมากมาย เช่น การทำงานของกล้ามเนื้อเรียบต่างๆ การทำงานของหัวใจ ปอด ตับ ไต กระเพาะอาหาร เป็นต้น ระบบถ่ายทอดสัญญาณ ระบบขนส่งลำเลียง
    ในแง่ความคิดเกิดจากระบบการเรียนรู้ของสมอง แล้วแปลผลข้อมููล ตอบสนองต่อสิ่งเร้า มีความนึกคิด ประมวลผลได้ด้วยตัวเอง มีความรู้สึกความเจ็บปวด มีความรัก ความชอบ เมตตา สงสาร น้ำใจ และอื่นๆก็เป็นผลมาจากการแปลผล โดยสมอง ที่มีการตอบสนองการหลั่งสารเคมีต่างๆ เวลาเรารู้สึกอะไรจะมีการหลั่งสารเคมีก่อน
    : หลักการสร้างมนุษย์ก็คือหลักการสร้างโรงงานแลกเปลี่ยนสารเคมี และหลักการโปรแกรมหน่วยประมวลผลการทำงานของหุ่นยนต์
    : คนคือ หุ่นยนต์ที่ควบคุมตัวเองได้ตามสิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายใน
    : ส่วนการสืบพันธุ์เป็นการขยายตัวของเซลล์ การจำลอง และแลกเปลี่ยน หน่วยพันธุกรรม ยีนส์ เป็นกระบวณการชีวะเคมี
    : เรื่องการกิน เป็นเพราะสมองส่วนกลางหลั่งสารเคมีบอกว่า ต้องการพลังงานแล้วนะ
    : นี่เป็นหลักการกว้างๆ ต้องทำความเข้าใจดีๆครับ ว่าสิ่งมีชีวิต ปัจจุบันนิยามในแง่ของเคมีใช่ไหม เคมีก็คือส่วนแยกย่อยของฟิสิกส์
    : คนมีกลไกการทำงานในร่างกายเกือบทั้งหมดเป็นแบบอัตโนมัติ
    : คนคิดได้ หุ่นยนต์ คิดได้ โดยการประมวลผล

    ตัวอย่าง การทำงานของกล้ามเนื้อ คล้ายหุ่นยนต์มั้ย
    การเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้า
    เมื่อมี "ข่าว" หรือ "คำสั่ง" ผ่านจุดประสานระหว่างประสาทกับกล้ามเนื้อ จะมีการดีโปลาไรซ์ที่เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อแล้วแผ่ไปตามเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ด้วยความเร็วประมาณ ๕ เมตร/วินาที เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อมีศักย์ไฟฟ้าในภาวะปกติเช่นเดียวกับ
    ประสาท คือภายในเป็นลบมากกว่าภายนอก ๗๐ มิลลิโวลต์ มีข้อแตกต่างอย่างหนึ่งคือ ความจุไฟฟ้าของเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อสูงกว่าประมาณ ๕ ไมโครฟารัด/ตารางเซนติเมตร (ประสาทมีเพียง ๒ ไมโครฟารัด/ตารางเซนติเมตร) ค่าที่สูงกว่าเนื่องมาจากซาร์โคพลาสมิกเรติคูลัม (sarcoplasmic reticulum) ซึ่งมีหลอดฝอย (transverse tubule) ติดต่อกับพื้นหน้าของเยื่อหุ้ม เมื่อคลื่นดีโปลาไรซ์แผ่ถึง หลอดฝอยนี้จะดีโปลาไรซ์แล้วปล่อยแคลเซียม
    ไอออนออกมา จากนั้นก็เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเคมี
    การเปลี่ยนแปลงทางเคมี
    การเปลี่ยนแปลงทางเคมีใน กล้ามเนื้ออาจแบ่งได้ ๒ อย่างคือ
    ก) การเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกี่ยวกับการหดตัว สารเคมีที่สำคัญในกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหดตัวคือ โปรตีนการหดตัว (contractile protein) มีอยู่ ๓ ชนิด คือ
    ๑) แอกติน มีอยู่ร้อยละ ๑๕ เป็นส่วนประกอบ ของเส้นใยชนิดบาง (thin filament)
    ๒) ไมโอซิน มีอยู่ร้อยละ ๓๕ เป็นเอนไซม์อะดีโนซีนไตรฟอสฟาเทส (adenosine triphosphatase - ATP - ase) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเส้นใยชนิดหนา (thick filament)

    ๓) โทรโปไมโอซิน (tropomyosin) มีอยู่ร้อยละ ๑๐ บทบาทยังไม่ทราบแน่ แต่เชื่อว่าทำหน้าที่คล้ายสวิตช์ ทำให้มีการหดตัวและหยุดหดตัวเชื่อว่าเมื่อแอกตินรวมกับไมโอซินจะได้แอ็คโตไม โอซิน(actomyosin)แต่การรวมนี้ต้องอาศัยอะดีโนซีนไตรฟอสฟาเทส จึงจะทำให้มีการหดตัวของกล้ามเนื้อตามมา
    ข) การเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกี่ยวกับการใช้พลังงาน
    ๑) อะดีโนซีนไตรฟอสฟาเทส เป็นสารที่จำเป็นสำหรับการหดตัวของกล้ามเนื้อและให้พลังงานมาก แต่มีเก็บไว้ในกล้ามเนื้อน้อยมาก มีเพียง ๓ มิลลิโมลต่อกล้ามเนื้อหนึ่งกิโลกรัม และใช้สำหรับการหดตัวของกล้ามเนื้อได้เพียง ๘ ครั้งเท่านั้น
    ๒) ครีเอตีนฟอสเฟต (creatine phosphate)เป็นแหล่งสะสมพลังงานในกล้ามเนื้อที่สามารถนำออกมาใช้ได้ทันที เปรียบเทียบได้กับแบตเตอรี่ที่เก็บไฟฟ้าของระบบเครื่องยนต์ ครีเอตีนฟอสเฟตมีอยู่ในกล้ามเนื้อ ๒๐ มิลลิโมล/กิโลกรัม ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ประมาณ ๑๐๐ ครั้ง
    ๓) ไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ เป็นต้นตอที่สำคัญของพลังงานที่กล้ามเนื้อใช้ มีอยู่ถึง ๑๐๐ มิลลิโมล/กิโลกรัม(ของน้ำตาลเฮ็กโซส) ซึ่งกล้ามเนื้อสามารถใช้หดตัวได้ถึง ๒๐,๐๐๐ ครั้ง

    การสลายไกลโคเจนเพื่อให้ได้พลังงานมานั้นมี ๒ วิธีด้วยกัน คือ
    ก. การสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic glycolysis)
    ข. การสลายโดยใช้ออกซิเจน ไกลโคเจนจะสลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ทำให้ได้พลังงานมากมาย
    จากการทดลองถ้าให้กล้ามเนื้อทำงานในที่ไม่มีออกซิเจน จะทำงานได้น้อย คือหดตัวได้เพียง ๖๐๐ ครั้งเท่านั้น

    การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง
    เมื่ออะดีโนซีนไตรฟอสฟาเทส สลายให้พลังงานออกมาจะไปเร่งปฏิกิริยาเคมีทำให้เส้นใยชนิดหนา และเส้นใยชนิดบางซึ่งประสานกันอยู่เลื่อนเข้าไปหากัน จึงทำให้กล้ามเนื้อสั้นเข้าไป

    การเปลี่ยนแปลงเชิงกล
    เมื่อกล้ามเนื้อมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับขั้นจนถึงมีการเปลี่ยนแปลงเชิงกล คือการหดตัว ในการทดลอง ถ้าตัดกล้ามเนื้อออกมา แล้วทำการกระตุ้นเพื่อบันทึกความยาวหรือความตึงของกล้ามเนื้อ โดยบันทึกคลื่นกล้ามเนื้อ (myogram) เปรียบเทียบความสัมพันธ์กับศักย์ไฟฟ้าของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นด้วย จะเห็นว่าศักย์ไฟฟ้าของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงกล เมื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ จะต้องใช้เวลาจำนวนหนึ่งก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในความยาวหรือความตึง เรียกว่า ระยะแฝง (latency period)ซึ่งกินเวลาประมาณ ๑๐ มิลลิเสค จึงเข้าสู่ระยะหดตัว (contraction period) และระยะคลายตัว (relaxation period) ซึ่งกินเวลาประมาณ ๔๐ และ ๕๐ มิลลิเสค ตามลำดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2011
  9. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
    ฟังดูน่าสนใจนะครับ อยากให้นิยาม วาเราก็คือ "เครื่องยนต์กรรมชีวภาพ" นะครับ ค่อยใกล้เคียงกันหน่อย เพราะหุ่นยนต์ขยายพันธุ์ไม่ได้ แต่เครื่องยนต์กรรมชีวภาพ น่าจะไปได้ เพราะอย่างน้อย ชีวภาพก็เป็นวงจรที่สามรถแก้ไขดัดแปลง และพัฒนาต่อไปรุ่นสู่รุ่น
     
  10. b0abb0bi

    b0abb0bi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +80
    เห็นด้วยครับถ้าจะนิยามคำนี้ "ยนตกรรมชีวภาพ" แม้ปัจจุบันนี้ยังมีคนกล่าวว่า
    คนเป็น คอมพิวเตอร์ชีวภาพ เนื่องมาจากการจำลอง แลกเปลี่ยน และถ่ายทอดของ DNA
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...