Conversation with God [สนทนากับพระเจ้า]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย yogibhai2009, 10 กรกฎาคม 2011.

  1. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    ชอบๆ You will always be a part, because we are never apart.
     
  2. KBLS

    KBLS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +280
    เพิ่งจะได้หนังสือนี้มาโดยสั่งซื้อทางไปรษณีย์ (เล่ม 1 ,2)
    เพราะไปหาดูตามร้านหนังสือไม่มีจำหน่าย
    น่าอ่านมากแต่ยังอ่านไม่จบค่ะ
     
  3. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +635
    เมื่อหลายๆปีก่อน ได้อ่านเทพพจนา ของอาจารย์สุวินัย
    รู้สึกดีกับหนังสือเล่มนี้มาก ท่านบอกได้เค้าโครงมากจาก Conversation with god
    ก็รอคอยว่า แปลเมื่อไหร่จะต้องอ่านให้ได้

    แต่ตอนนี้สายตาเริ่มรับตัวอักษรเยอะๆไม่ไหวแล้ว
    เลยได้แต่ตามอ่านเท่าที่มีผู้ใจดียกมาลงในเน็ตเป็นตอนๆไป

    ขอบคุณผู้ใจดีทุกๆคน ถึงจะไม่รู้จักกัน
    แต่บางส่วนของเรา หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเรา
    คงเป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ
     
  4. โลกสมมุติ

    โลกสมมุติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +64
    ตอนที่เห็นกระทู้นี้ครั้งแรก เข้ามาอ่านแล้วสั่งซื้อทางอินเทอร์เนตเลยค่ะ แต่ไม่มีเล่ม 2 กับ 3 ไม่ทราบว่าจะหาซื้อได้จากไหนคะ สนใจมากๆค่ะ
     
  5. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    ภาคภาษาไทยสำนักพิมพ์นี้แปลอยู่ครับ OhMyGod Publishing
    รอภาค 3 มานานแล้ว

    แต่ถ้าอ่านภาษาอังกฤษได้ เคยเห็นที่ร้าน kinokuniya ที่สยามพารากอนครับ อยู่แถวๆ หมวดศาสนา อยู่ใกล้ๆ หมวด new age ซึ่งจะมีหนังสือเล่มอื่นของคนเขียน conversation with god ด้วยครับ
     
  6. KBLS

    KBLS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +280
    แต่หากเธอรู้ว่าเธอคือใคร
    รู้ว่าเธอคือสิ่งมีชีวิตที่พิเศษสุด
    ดีเลิศ สมบูรณ์ ที่สุดเท่าที่พระเจ้าเคยสร้างขึ้นละก็ เธอจะไม่หวาดกลัวเลย
    เพราะใครกันจะปฏิเสธสิ่งที่สมบูรณ์มหัศจรรย์อย่างนั้นได้
    กระทั่งพระเจ้ายังไม่พบข้อบกพร่องนั้นเลย


    แต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองคือใครและเฝ้่าคิดว่าตัวเธอเองนั้นต่ำต้อยที่สุด
    เธอรับเอาความคิดเรื่องความกระจ้อยร่อยของตัวเองแทนความดีเลิศมหัศจรรย์มาจากไหน
    ก็จากผู้ที่นำคำสอนของพวกเขาไปใช้กับทุกเรื่องนั่นแหละ จากพ่อและแม่ของเธอ

    นี่คือผู้ทีรักเธอมากที่สุด ทำไมเขาถึงกล่าวเท็จกับเธอเล่า
    ก็พวกเขาไม่ได้บอกเธอหรือว่าเธอมีสิ่งนี้มากไปหรือยังขาดสิ่งนี้อยู่
    ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหรือว่าพวกเขาเพียงแค่เห็นแต่ไม่ได้รับฟังเธอเลย
    พวกเขาไม่ได้ตะคอกใส่เธอขณะเธอกำลังเล่นสนุกหรือ
    ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือที่บอกให้เธอทิ้งจินตนาการเพริศแพร้วบางเรื่องเสีย?


    พ่อแม่นั่นเองที่สอนว่าความรักนั้นมีเงื่อนไข
    เธอรู้สึกถึงเงื่อนไขของพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง
    ประสบการณ์นี้เองที่เธอนำไปใช้ในสัมพันธ์รักของตน
    และยังเป็นประสบการณ์ ที่เธอนำมาใช้กับฉันด้วย


    (จากตอนหนึ่งของหนังสือ สนทนากับพระเจ้า เล่ม1 หน้า 48-49)

    ความคิดเห็นส่วนตัว ถึงอย่างไรพ่อแม่ก็เป็นผู้มีพระคุณสูงสุด เราเองก็เป็นทั้ง
    ลูกของแม่ และเป็นแม่ของลูก เราก็เคยทำผิดกับลูกบ้างด้วยความไม่รู้ด้วยความเคยชิน

    ขอขอบคุณผู้ที่เคยแนะนำสิ่งดีๆ ทั้งหลายเหล่านี้

    แต่นิพพานก็เป็นเป้าหมายสูงสุด
    เหมือนจะเคยมีใครบอกว่า คุณต้องค้นหาตัวตนให้เจอก่อนจนสุดทางถึงจะพบว่า ไม่มีตัวตนนั่นแหละ

    อาณาปาณสติการหายใจที่ดับทุกข์ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กรกฎาคม 2011
  7. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    mamboo มีคำถามล่ะค่ะ ??

    เป็นคำถามที่.. อ่านหนังสือเล่มไหน หรือ นั่งทำใจนิ่งๆหาคำตอบเอง ก็ยัง ตอบไม่ได้ จนทุกวันนี้

    mamboo สงสัยว่า..

    ทำไมพวกเรา ต้องมีตัวตนอยู่ด้วยอ่ะ ?? >< ทำไม ทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงไม่เป็นความว่างเปล่า?? >< ทำไมจะต้อง มีอยู่ เป็นอยู่ ด้วยอ่ะ ?? ><

    อ่านหนังสือมาหลายเล่ม ศึกษามาหลายศาสตร์ ก็ยังหาคำตอบไม่ได้.. ทุกๆท่าน ตอบแบบ อ้อมค้อม.. คำตอบง่ายๆ แต่ร่ายยาวๆ แล้วสรุป ก็ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้อยู่ดี

    แปลกเนอะ ^_^
     
  8. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    มีอีกอย่าง ที่อยากให้สังเกตุ!

    พระเจ้า, พระพุทธเจ้า, พระอรหันต์ พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนมีดวงจิตที่ไม่ขึ้นต่อเวลา ไม่ขึ้นต่อมิติ..

    คำถามคือ??

    แค่ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ผู้ใดผู้หนึ่ง เพียงแค่ผู้หนึ่ง มาปรากฏตัว ให้ชาวโลกได้เห็น แล้วแค่บอกว่า ให้ทำความดี

    ง่ายๆแค่นี้ mamboo เชื่อว่า คนทั้งโลก ก็จะกลายเป็นคนดี

    แต่คำถามคือ??

    ทำไม พวกท่านผู้ประเสริฐทั้งหลายเหล่านี้ ถึงไม่ทำเช่นนั้น??

    mamboo เคยลองนั่งนิ่งๆ ทำจิตใจให้เงียบๆ แล้วลองคิดดูสิ่ >< ว่าทำไม ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้น ถึง.. ไม่ทำเช่นนั้น??

    mamboo ยังไม่ได้คำตอบที่แน่นอน..

    แต่.. มันมีเหตุผลแน่นอน.. เพราะ.. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันต้องเป็น แบบนี้ แบบนี้ น่ะสิ่คะ

    --------

    พวกเรา ทุกคน แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง ถูกโยงใยกัน เป็นสิ่งๆเดียว พวกเรามาจากที่เดียวกัน เป็นสิ่งๆเดียวกัน และพวกเรา ก็กำลัง "หลอกตัวเอง"

    บางที mamboo ก็มองเห็นนะ.. mamboo มองเห็น ผู้ชายตัวอ้วนๆพุงย้วยๆกำลังนอนหัวเราะเยาะทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง..

    มันทำให้ mamboo รู้สึกว่า.. พวกเราเป็นแค่.. "ของเล่น"

    แล้ว mamboo ก็นึกถึง คำพูดของพระพุทธเจ้า ที่สอนไว้ว่า "ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน" และพระองค์สอนให้พวกเรา กตัญญูต่อ "บิดามารดา" เพราะในจักรวาลนี้ ทุกๆมิติ ทุกๆสรรพสิ่ง นอกจาก "พ่อแม่" และ "ตัวเราเอง" ก็ไม่มีใครช่วยเราได้แล้วแหละ

    เพราะสิ่งที่อยู่ สูงสุด.. กำลังนั่งตีพุงแล้วหัวเราะเยาะพวกเราอยู่ และเราต้องพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ด้วยตัวของเราเองเท่านั้น! (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ ^^)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2011
  9. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    คุณ mamboo ครับ ตามความเห็นของผมเช่นกัน

    การเห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ชายอ้วนๆ เป็นการ "ทำให้เป็นเหมือนที่เราเป็น (คน)"

    แต่พระเจ้าไม่มีร่างกายของท่านเองครับ

    อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะเข้าใจว่า พระเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ท่านเฝ้าดู และ "คอยให้ความช่วยเหลือ"

    เรื่องดีไม่ดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นผลของการกระทำของเราเองครับ ท่านไม่ได้ลงโทษอะไรใครใดๆ
     
  10. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    [​IMG]
    รูปปกภาษาอังกฤษ

    @@ เห็นเลยว่ามีแง่มุมเกี่ยวกับความตายอีกเยอะมากที่ผมไม่เข้าใจ @@

    ใช่ นี่เป็นเพราะเธอไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้ ทว่าเธอต้องใคร่ครวญถึงความตายและความสูญเสียในวินาทีที่เธอรับรู้ถึงมันไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนในชีวิต ไม่อย่างนั้นเท่ากับเธอยังไม่ได้เข้าใจชีวิต หากแต่รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น

    ทุกห้วงขณะจบสิ้นลงในวินาทีที่มันเริ่มต้นขึ้น ถ้าไม่เห็นความจริงนี้เธอจะไม่เห็นความงามที่แฝงอยู่ในทุกห้วงยาม แล้วเธอก็จะมองช่วงเวลาต่างๆ ว่าธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรสลักสำคัญ

    ทุกปฏิสัมพันธ์ “เริ่มสิ้นสุด” ในวินาทีที่มัน “เริ่มก่อเกิด” เมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้ให้ถึงก้นบึ้งและเข้าใจถ่องแท้ คุณค่าแท้จริงของทุกห้วงยาม (และของชีวิต) จะเปิดเผยต่อเธอ

    ไม่มีวันที่เธอจะเข้าถึงชีวิตถ้าไม่เข้าใจความตาย และเธอก็ต้องทำมากกว่าแค่เข้าใจ เธอจะต้องรักมันด้วย เธอต้องรักความตายแบบเดียวกับที่เธอรักชีวิต

    ห้วงยามที่เธอมีสัมพันธ์กับแต่ละคนจะมีค่าขึ้นทันทีที่เธอมองว่า มันคือปฏิสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายของเธอกับเขา ในลักษณะเดียวกัน ประสบการณ์ที่เธอมีในแต่ละห้วงขณะจะถูกยกระดับยิ่งกว่าอะไร ในวินาทีที่เธอคิดว่ามันคือวาระสุดท้าย การไม่ยอมพิจารณาความตายของตัวเอง ทำให้เธอมิอาจพินิจชีวิตตัวเองตามไปด้วย

    เธอไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น เธอคลาดห้วงขณะนั้นไปต่อหน้า แถมยังพลาดทุกสิ่งที่มันนำติดมือมาให้ เธอมองผ่านมันแทนที่จะมองทะลุเข้าไป

    ถ้าเธอมองสิ่งใดให้ลึกซึ้ง เธอจะมองทะลุมัน การเพ่งพินิจเรื่องใดให้ลึกซึ้ง คือการมองเรื่องนั้นจนทะลุ ภาพตบตาจะเลือนหายไป แล้วเธอก็จะเห็นเรื่องนั้นหรือสิ่งนั้นอย่างที่มันเป็นจริงๆ เมื่อนั้นเธอจะสามารถมีความสุขกับมันอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึง สามารถนำความรื่นรมย์เบิกบานใส่เข้าไปในเรื่องนั้น (การ “มีความสุข - enjoy” กับเรื่องใด คือการทำให้เรื่องนั้นกลายเป็นสิ่งเบิกบาน – joyful ขึ้นมา)

    กระทั่งสิ่งมายาเธอก็สามารถมีความสุขกับมัน เพราะเธอจะรู้ว่ามันไม่ใช่ของจริง แค่รู้อย่างนี้ก็สุขไปครึ่งหนึ่งแล้ว! เพราะเธอเฝ้าแต่คิดว่ามันเป็นจริง ใจเธอถึงโดนเผาจนเจ็บร้าวอยู่อย่างนี้

    ไม่มีอะไรต้องเจ็บปวดเมื่อเธอเข้าใจว่ามันไม่จริง ขอพูดอีกรอบนะ

    ไม่มีอะไรต้องเจ็บปวดเมื่อเธอเข้าใจว่ามันไม่จริง

    มันเหมือนกับภาพยนตร์หรือละครที่ฉายบนเวทีแห่งจิตใจของเธอเอง เธอกำลังผูกเรื่องสร้างสถานการณ์และวางบทบาทตัวแสดง ทั้งยังเขียนบทเองด้วย

    ไม่มีสิ่งใดให้เจ็บปวดเมื่อเธอเข้าใจว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง

    นี่เป็นความจริงกับเรื่องความตายเฉกเช่นเรื่องชีวิต

    เมื่อไหร่ที่เข้าใจว่าความตายก็เป็นภาพลวงตา เมื่อนั้นเธอจะพูดได้ว่า “โอ มัจจุราชเอ๋ย ไหนละ เหล็กไนของเจ้า”

    กระทั่งความตายเธอก็มีความสุขกับมันได้! แม้แต่ความตายของคนอื่นเธอยังสามารถเริงรื่นกับมัน

    ฟังดูพิลึกใช่ไหม เหมือนพูดเรื่องประหลาดหรือเปล่า

    มันจะพิลึกและประหลาดต่อเมื่อเธอไม่เข้าใจความตาย (และชีวิต) เท่านั้นละ

    ความตายไม่เคยเป็นจุดสิ้นสุด หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นเสมอ ความตายคือทวารที่เปิดออก มิใช่ประตูที่ลั่นดาลลง

    เมื่อไหร่ที่เข้าใจว่าชีวิตเป็นนิรันดร์ เธอจะเข้าใจว่าความตายคือมายาหรือภาพลวงตา ซึ่งทำให้เธอคอยพะวงกับเรื่องทางกาย (จึงยิ่งเสริมให้เธอเชื่อว่าตัวเธอคือร่างกาย) ทว่าเธอหาใช่ร่างนี้กายนี้ การเสื่อมสลายของกายสังขารจึงไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวล

    ความตายควรสอนเธอให้รู้ว่า สิ่งจริงแท้คือชีวิต และชีวิตก็ควรสอนเธอว่า สิ่งมิอาจหลบเลี่ยงหาใช่ความตาย หากเป็นความไม่เที่ยงหรืออนิจจัง

    ความไม่เที่ยงคือสัจธรรมหนึ่งเดียว

    ไม่มีสิ่งไหนคงมั่นไม่แปรผัน ทุกสิ่งต่างเลื่อนไหลไม่หยุดนิ่ง ทุกห้วงขณะ ทุกภวังค์จิต

    หากสิ่งใดจะเที่ยงแท้จีรัง มันก็ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้ เพราะแม้แต่มโนคติเรื่องความเที่ยงก็ยังตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงจึงจะมีความหมายอะไรขึ้นมา ฉะนั้นกระทั่งความเที่ยงแท้ก็ไม่เที่ยง จงมองเข้าไปให้ลึก ใคร่ครวญสัจธรรมนี้ให้ดี ทำความเข้าใจเรื่องนี้แล้วเธอจะเข้าใจพระเจ้า

    นี่คือธรรมะ และนี่คือพุทธะ นี่คือธรรมะของพุทธะ นี่คือพระธรรมและพระผู้มีพระภาคเจ้า คือบทเรียนและบรมครู คือผู้ถูกสังเกตและผู้สังเกต ...ร้อยรึงเข้าเป็นหนึ่ง

    ไม่เคยมีอะไรที่พ้นไปจากความเป็นหนึ่ง ตัวเธอนั่นละที่คลี่คลายมันออกมา เพื่อว่าชีวิตจะตีแผ่ให้เธอเห็นต่อหน้า

    ทว่ายามเธอเห็นชีวิตตัวเองกระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า อย่าให้ตัวเองกระเจิดกระเจิงตามไปด้วย แต่จงผนึกตัวเองไว้ให้มั่น! เห็นภาพมายานั้น! หาความสุขจากมัน! แต่อย่ากลายเป็นตัวมัน!

    เธอมิใช่มายา หากแต่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา

    เธออยู่ในโลกนี้ แต่มิได้เป็นของโลกใบนี้

    จงใช้มายาแห่งความตายให้เป็นประโยชน์ ใช้มันเสีย! ยอมให้มันเป็นกุญแจไขตัวเธอสู่ชีวิตที่ไพศาลขึ้น

    มองดอกไม้ว่าแห้งเหี่ยวเฉาตายเธอก็จะมองด้วยใจอาวรณ์ แต่หากมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมแห่งต้นไม้ที่กำลังแปรสภาพ ซึ่งไม่นานก็จะผลิดอกออกผล นั่นละเธอถึงจะเห็นความงามที่แท้จริงของดอกไม้ เมื่อไหร่ที่เธอเข้าใจว่าการผลิบานและโรยราของแมกไม้ คือสัญญาณว่าต้นไม้พร้อมจะให้ผล แสดงว่าเธอมองชีวิตอย่างผู้เข้าใจ

    เข้าใจเรื่องนี้ให้ดี แล้วเธอจะประจักษ์ว่า ชีวิตเป็นดั่งอุปมาสอนใจ

    ระลึกไว้เสมอว่า เธอมิใช่กลีบบุปผา มิใช่กระทั่งดอกผล หากแต่เป็นทั้งมวลพฤกษา รากของเธอหยั่งลึกแน่นหนาในตัวฉัน ฉันคือผืนดินที่เธอชูช่อชำแรกขึ้น ทั้งกิ่งก้านใบและดอกผลจะหวนคืนสู่ฉัน พร้อมรังสรรค์ผืนดินให้อุดมขึ้นใหม่ ชีวิตจึงก่อให้เกิดชีวิต ไม่มีทางเคลื่อนคล้อยสู่ความตายได้เลย ไม่มีทาง

    @@@@@@@

    ** ต้นฉบับยังไม่เสร็จครับ แต่ตัดบางส่วนมาให้อ่านก่อน อาจมีการปรับแก้เพิ่มเติมในภายหลังครับ **

    "ความตาย" จาก "สนทนากับพระเจ้า เล่ม 3" | Facebook
     
  11. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    [​IMG]
    รูปปกภาษาอังกฤษ

    @@ เห็นเลยว่ามีแง่มุมเกี่ยวกับความตายอีกเยอะมากที่ผมไม่เข้าใจ @@

    ใช่ นี่เป็นเพราะเธอไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้ ทว่าเธอต้องใคร่ครวญถึงความตายและความสูญเสียในวินาทีที่เธอรับรู้ถึงมันไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนในชีวิต ไม่อย่างนั้นเท่ากับเธอยังไม่ได้เข้าใจชีวิต หากแต่รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น

    ทุกห้วงขณะจบสิ้นลงในวินาทีที่มันเริ่มต้นขึ้น ถ้าไม่เห็นความจริงนี้เธอจะไม่เห็นความงามที่แฝงอยู่ในทุกห้วงยาม แล้วเธอก็จะมองช่วงเวลาต่างๆ ว่าธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรสลักสำคัญ

    ทุกปฏิสัมพันธ์ “เริ่มสิ้นสุด” ในวินาทีที่มัน “เริ่มก่อเกิด” เมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้ให้ถึงก้นบึ้งและเข้าใจถ่องแท้ คุณค่าแท้จริงของทุกห้วงยาม (และของชีวิต) จะเปิดเผยต่อเธอ

    ไม่มีวันที่เธอจะเข้าถึงชีวิตถ้าไม่เข้าใจความตาย และเธอก็ต้องทำมากกว่าแค่เข้าใจ เธอจะต้องรักมันด้วย เธอต้องรักความตายแบบเดียวกับที่เธอรักชีวิต

    ห้วงยามที่เธอมีสัมพันธ์กับแต่ละคนจะมีค่าขึ้นทันทีที่เธอมองว่า มันคือปฏิสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายของเธอกับเขา ในลักษณะเดียวกัน ประสบการณ์ที่เธอมีในแต่ละห้วงขณะจะถูกยกระดับยิ่งกว่าอะไร ในวินาทีที่เธอคิดว่ามันคือวาระสุดท้าย การไม่ยอมพิจารณาความตายของตัวเอง ทำให้เธอมิอาจพินิจชีวิตตัวเองตามไปด้วย

    เธอไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น เธอคลาดห้วงขณะนั้นไปต่อหน้า แถมยังพลาดทุกสิ่งที่มันนำติดมือมาให้ เธอมองผ่านมันแทนที่จะมองทะลุเข้าไป

    ถ้าเธอมองสิ่งใดให้ลึกซึ้ง เธอจะมองทะลุมัน การเพ่งพินิจเรื่องใดให้ลึกซึ้ง คือการมองเรื่องนั้นจนทะลุ ภาพตบตาจะเลือนหายไป แล้วเธอก็จะเห็นเรื่องนั้นหรือสิ่งนั้นอย่างที่มันเป็นจริงๆ เมื่อนั้นเธอจะสามารถมีความสุขกับมันอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึง สามารถนำความรื่นรมย์เบิกบานใส่เข้าไปในเรื่องนั้น (การ “มีความสุข - enjoy” กับเรื่องใด คือการทำให้เรื่องนั้นกลายเป็นสิ่งเบิกบาน – joyful ขึ้นมา)

    กระทั่งสิ่งมายาเธอก็สามารถมีความสุขกับมัน เพราะเธอจะรู้ว่ามันไม่ใช่ของจริง แค่รู้อย่างนี้ก็สุขไปครึ่งหนึ่งแล้ว! เพราะเธอเฝ้าแต่คิดว่ามันเป็นจริง ใจเธอถึงโดนเผาจนเจ็บร้าวอยู่อย่างนี้

    ไม่มีอะไรต้องเจ็บปวดเมื่อเธอเข้าใจว่ามันไม่จริง ขอพูดอีกรอบนะ

    ไม่มีอะไรต้องเจ็บปวดเมื่อเธอเข้าใจว่ามันไม่จริง

    มันเหมือนกับภาพยนตร์หรือละครที่ฉายบนเวทีแห่งจิตใจของเธอเอง เธอกำลังผูกเรื่องสร้างสถานการณ์และวางบทบาทตัวแสดง ทั้งยังเขียนบทเองด้วย

    ไม่มีสิ่งใดให้เจ็บปวดเมื่อเธอเข้าใจว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง

    นี่เป็นความจริงกับเรื่องความตายเฉกเช่นเรื่องชีวิต

    เมื่อไหร่ที่เข้าใจว่าความตายก็เป็นภาพลวงตา เมื่อนั้นเธอจะพูดได้ว่า “โอ มัจจุราชเอ๋ย ไหนละ เหล็กไนของเจ้า”

    กระทั่งความตายเธอก็มีความสุขกับมันได้! แม้แต่ความตายของคนอื่นเธอยังสามารถเริงรื่นกับมัน

    ฟังดูพิลึกใช่ไหม เหมือนพูดเรื่องประหลาดหรือเปล่า

    มันจะพิลึกและประหลาดต่อเมื่อเธอไม่เข้าใจความตาย (และชีวิต) เท่านั้นละ

    ความตายไม่เคยเป็นจุดสิ้นสุด หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นเสมอ ความตายคือทวารที่เปิดออก มิใช่ประตูที่ลั่นดาลลง

    เมื่อไหร่ที่เข้าใจว่าชีวิตเป็นนิรันดร์ เธอจะเข้าใจว่าความตายคือมายาหรือภาพลวงตา ซึ่งทำให้เธอคอยพะวงกับเรื่องทางกาย (จึงยิ่งเสริมให้เธอเชื่อว่าตัวเธอคือร่างกาย) ทว่าเธอหาใช่ร่างนี้กายนี้ การเสื่อมสลายของกายสังขารจึงไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวล

    ความตายควรสอนเธอให้รู้ว่า สิ่งจริงแท้คือชีวิต และชีวิตก็ควรสอนเธอว่า สิ่งมิอาจหลบเลี่ยงหาใช่ความตาย หากเป็นความไม่เที่ยงหรืออนิจจัง

    ความไม่เที่ยงคือสัจธรรมหนึ่งเดียว

    ไม่มีสิ่งไหนคงมั่นไม่แปรผัน ทุกสิ่งต่างเลื่อนไหลไม่หยุดนิ่ง ทุกห้วงขณะ ทุกภวังค์จิต

    หากสิ่งใดจะเที่ยงแท้จีรัง มันก็ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้ เพราะแม้แต่มโนคติเรื่องความเที่ยงก็ยังตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงจึงจะมีความหมายอะไรขึ้นมา ฉะนั้นกระทั่งความเที่ยงแท้ก็ไม่เที่ยง จงมองเข้าไปให้ลึก ใคร่ครวญสัจธรรมนี้ให้ดี ทำความเข้าใจเรื่องนี้แล้วเธอจะเข้าใจพระเจ้า

    นี่คือธรรมะ และนี่คือพุทธะ นี่คือธรรมะของพุทธะ นี่คือพระธรรมและพระผู้มีพระภาคเจ้า คือบทเรียนและบรมครู คือผู้ถูกสังเกตและผู้สังเกต ...ร้อยรึงเข้าเป็นหนึ่ง

    ไม่เคยมีอะไรที่พ้นไปจากความเป็นหนึ่ง ตัวเธอนั่นละที่คลี่คลายมันออกมา เพื่อว่าชีวิตจะตีแผ่ให้เธอเห็นต่อหน้า

    ทว่ายามเธอเห็นชีวิตตัวเองกระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า อย่าให้ตัวเองกระเจิดกระเจิงตามไปด้วย แต่จงผนึกตัวเองไว้ให้มั่น! เห็นภาพมายานั้น! หาความสุขจากมัน! แต่อย่ากลายเป็นตัวมัน!

    เธอมิใช่มายา หากแต่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา

    เธออยู่ในโลกนี้ แต่มิได้เป็นของโลกใบนี้

    จงใช้มายาแห่งความตายให้เป็นประโยชน์ ใช้มันเสีย! ยอมให้มันเป็นกุญแจไขตัวเธอสู่ชีวิตที่ไพศาลขึ้น

    มองดอกไม้ว่าแห้งเหี่ยวเฉาตายเธอก็จะมองด้วยใจอาวรณ์ แต่หากมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมแห่งต้นไม้ที่กำลังแปรสภาพ ซึ่งไม่นานก็จะผลิดอกออกผล นั่นละเธอถึงจะเห็นความงามที่แท้จริงของดอกไม้ เมื่อไหร่ที่เธอเข้าใจว่าการผลิบานและโรยราของแมกไม้ คือสัญญาณว่าต้นไม้พร้อมจะให้ผล แสดงว่าเธอมองชีวิตอย่างผู้เข้าใจ

    เข้าใจเรื่องนี้ให้ดี แล้วเธอจะประจักษ์ว่า ชีวิตเป็นดั่งอุปมาสอนใจ

    ระลึกไว้เสมอว่า เธอมิใช่กลีบบุปผา มิใช่กระทั่งดอกผล หากแต่เป็นทั้งมวลพฤกษา รากของเธอหยั่งลึกแน่นหนาในตัวฉัน ฉันคือผืนดินที่เธอชูช่อชำแรกขึ้น ทั้งกิ่งก้านใบและดอกผลจะหวนคืนสู่ฉัน พร้อมรังสรรค์ผืนดินให้อุดมขึ้นใหม่ ชีวิตจึงก่อให้เกิดชีวิต ไม่มีทางเคลื่อนคล้อยสู่ความตายได้เลย ไม่มีทาง

    @@@@@@@

    ** ต้นฉบับยังไม่เสร็จครับ แต่ตัดบางส่วนมาให้อ่านก่อน อาจมีการปรับแก้เพิ่มเติมในภายหลังครับ **

    "ความตาย" จาก "สนทนากับพระเจ้า เล่ม 3" | Facebook
     
  12. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    ประทับใจมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ จะรออ่านค่ะ
     
  13. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    อ่านแค่คำนำก็เล่นเอาน้ำตาซึม 5555 เคยติดตามมาครั้งนึงแล้ว อ่านแล้วมีความสุขมากกกกกกกกกก ไม่มีอะไรเกี่ยวกับพระเจ้า หรือศาสนาอย่างที่เข้าใจ ทุกอย่างล้วนสัจธรรม
     
  14. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ประทับใจมากเลยครับ ทำไงจะได้อ่านฉบับสมบูรณ์?
     
  15. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ได้อ่านไปแล้วทั้งสองเล่ม รอเล่ม 3 อยู่
    ส่วนตัวแล้ว ไม่ได้เข้าถึงทั้งหมด แต่ได้สาระประโยชน์ มีมุมมองใหม่ๆ มาเพิ่มเติม
     
  16. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เดี๊ยวว่างๆ จะเอาเรื่องการตายมาให้อ่านนะครับ มีเรื่องจิตเกาะพระนิพพาน
    เหมือนแนวหลวงพ่อฤาษีด้วยนะครับ
     
  17. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    บทสรุปว่าไม่มีคำตอบนั่นแหละครับถูกแล้ว ความไม่รู้หรืออวิชชานี่
    มันมีของมันอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านเป็นผู้รู้แจ้งโลกและสรรพสิ่งทั้ง
    ปวง เวลาท่านแสดงปฏิจจสมุปบาทคือธรรมอันเป็นหัวใจของพระ
    พุทธศาสนา ท่านก็เริ่มจาก อวิชชา ปัจจยา สังขารา หรือ
    อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิด
    อวิชชาคือความไม่รู้จริงนี้ มันจะมีอยู่ตลอดไป มันก็เหมือนความมืด
    นั่นแหละมันก็มีของมันอยู่แล้วจะไปทำอะไรก็ไม่ได้ ถึงจะมีแสงสว่าง
    แล้วเราไม่เห็นมันมันก็ไม่ได้หายไปไหนยังอยู่ของมันแบบนั้น อย่าง
    ศาสนาพุทธเราหลักไม่ได้อยู่ที่การเข้าใจต้นสายปลายเหตว่าเริ่มที่
    ไหนอย่างไร และไม่ได้ลงไปถึงว่าเราใครสร้างเราขึ้นมา เพราะถ้า
    มีคนที่สร้างเราขึ้นมามันจะต้องมีคนที่สร้างคนที่สร้างเราขึ้นมา และ
    จะมีคนที่สร้างคนที่สร้างคนที่สร้างเราขึ้นมา ต่อไปเรื่อยๆ หาคำตอบ
    กันจนไม่ต้องทำอะไรกันพอดี แต่ทรงสอนว่าทุกข์หรือเปล่าและจะดับ
    ทุกข์อย่างไร ทรงเปรียบคนที่มัวแต่หาต้นสายปลายเหตุว่า เหมือน
    คนที่โดนธนูปักอกแต่พยายามหาว่าใครกันเป็นคนที่ยิงธนูใส่ โดย
    ไม่ได้สนใจที่จะเยียวยาแผลของตัวเอง ดังนั้นถ้าเราได้ข้อสรุปว่า
    ไม่มีคำตอบนั่นแหละครับดีแล้วจะได้ไม่ไปวุ่นวายกับสิ่งที่มันหาคำ
    ตอบไม่ได้ หรืออจินไตย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2011
  18. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288

    แต่นั่นคือสิ่งที่พวกเราปรารถนา ปรานาที่จะได้รู้จักตัวเอง ในการนี้
    สิ่งที่เราได้รับมาคืออิสรภาพ แล้วมันจะเป็นอิสรภาพแบบไหนกันถ้ามี
    คนมาบอกว่าเธอจงทำในสิ่งที่ฉันอยากให้เธอทำ เราจะเป็นอะไรไป
    ไม่ได้มากกว่าหุ่นเชิด ลองคิดดูสิครับถ้ามีคนที่มาจากภพภูมิที่สูงขึ้น
    ไปมาปรากฏตัวแล้วบอกให้เราทำอย่างนั้นทำอย่างนี้มันจะไม่เหมือนว่า
    เราเป็นของเล่นของเขามากกว่าหรือครับ ทางเดียวที่เราจะไม่เป็น
    ของเล่นของใครนั่นก็คือเราจะต้องมีอิสรภาพเต็มร้อย การที่ท่านผู้
    ประเสริฐทั้งหลายไม่ทำเช่นนั้นเพราะพวกท่านไม่เคยเห็นเราเป็นหุ่น
    เชิดหรือเป็นของเล่นต่างหากครับ นั่นเป็นเพราะจุดประสงค์ของจิต
    วิญญาณไม่ใช่การทำความดี หรือเป็นคนดี แต่เป็นการรู้จักตัวเอง
    มันต้องมีความแตกต่างถึงจะรู้จักตัวเองได้ ถ้าทุกคนดีเท่ากันหมดมัน
    ก็จะไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว ถ้าทุกคนสูงเท่ากันหมดมันจะไม่มีใครสูง
    ไม่มีใครเตี้ย จุดประสงค์ที่แท้คือการรู้จักตัวเองผ่านความแตกต่าง
    โดยอาศัยกฎแห่งกรรม เพราะกรรมนั้นจำแนกสัตว์ให้ดีเลวประณีต
    แตกต่างกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...