Almine ผู้เป็นอมตะ และเป็น "Ascended Master" และ "คู่มือการเลื่อนระดับขึ้น" จากเธอ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 25 พฤศจิกายน 2011.

  1. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    ขออนุญาตเข้ามาแทรกการสนทนาของผู้ใหญ่หน่อยนะคะ
    โอ๋เชื่อนะคะ ว่าถึงตอนนี้ความรู้สึกจะต่างกันไป
    แต่ซักวันเมื่อทุกอย่างชัดเจนขึ้นความเป็นหนึ่งเดียวจะกลับมาอีกครั้ง
    และขอให้คุณเชื่อสักนิดนะคะ ที่พี่เค้าทำทุกอย่าง
    มันคือความรักที่มีต่อทุกๆคนจริงๆ สิ่งที่พี่เค้าได้ทำตลอดมาไม่เคยได้รับสิ่งใดๆตอบแทน
    (นอกจากความสุขใจของตัวพี่เค้าเองในการให้)
    พี่เค้าต้องการเพียงแค่อยากแบ่งปันสิ่งที่พี่เค้ารู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อทุกๆคน
    มาให้พวกเราร่วมรับรู้หน่ะค่ะ อิอิอิ ยังงัยก็รักทุกๆคนนะคะ สู้สู้ค่ะ


    :cool::cool::cool:
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การท่องไปในหัวใจของพระผู้เป็นเจ้า

    ascendedmastery.com • Almine's Ascension

    มีน้อยคนนักที่สามารถเข้าไปอยู่ใน “ความตระหนักรู้ของพระผู้เป็นเจ้า” (GOD-consciousness) ได้แล้ว
    จะยอมละทิ้งความบรมสุขออกมา เพื่อที่จะสั่งสอนผู้คน

    แต่คนที่สามารถบรรลุถึงขั้นที่เป็น “คุรุผู้เป็นอมตะ” (Immortal Master) ได้แล้ว
    แล้วยังยอมที่จะปฏิบัติหน้าที่เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกอยู่ต่อไปอีกนั้น ก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก

    แต่ในฐานะที่เป็น Toltec nagual และเป็นผู้หยั่งรู้ (Seer) ชีวิตของ Almine
    จึงอุทิศให้กับการนำพาคนอื่นไปสู่ความมีอิสระภาพจากขอบเขตของการที่จะต้องตาย (mortal)

    ในระหว่างที่กำลังอยู่ในสถานะของคุรุผู้เลื่อนระดับขึ้นแล้วอยู่นี้ ความหมายของอัจฉริยะภาพที่แท้จริง
    จะดูเหมือนว่า ก็คือการที่คุรุท่านนั้น สามารถเข้าถึง”แหล่งกำเนิดของความรู้ทั้งหมด”
    ซึ่งก็คือ “ความตระหนักรู้ต้นแบบ” (Original Awareness) ได้แล้วนั่นเอง

    สถานะของคุรุผู้เลื่อนระดับขึ้น (Ascended Mastery) คือสถานะสุดท้าย
    ก่อนที่เราจะเข้าสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า คือสถานะก่อนที่จะสามารถเขียนคำสั่งเองได้
    เช่นว่า “ให้ตรงนั้นมีแสงสว่าง” หรือ “ให้มันเป็นไปแบบนั้น” เป็นต้น

    ในฐานะที่เป็น “ยานพาหนะของความประสงค์ของความไม่มีที่สิ้นสุด” (Vehicle of the Will of the Infinite)
    เราไม่สามารถรับเอาคำสั่งจากกระจกเงาทั้งหลาย ที่อยู่รอบๆตัวเราได้
    แต่เราจะต้องเปิดรับเอากระแสข้อมูลอันบริสุทธิ์ ที่หลั่งไหลออกมาจากแหล่งกำเนิดโดยตรง
    ผ่านทางความตระหนักรู้ต้นแบบนั้นแทน

    รูปแบบการตระหนักรู้หลักนี้ จะไปผลิตความคิดต้นแบบที่แท้จริงขึ้นมา
    มีเพียงเวลาที่เรายินยอมให้ความคิดต้นแบบที่บริสุทธิ์นี้ท่วมท้นเข้ามาในตัวตนของเราเองได้เท่านั้น
    เราถึงจะกลายเป็น “ผู้สร้างร่วม” กับพระเจ้าได้ และถึงจะมีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบต่อ
    “ผู้ที่ได้กลายมาเป็น I Am that I Am” ได้

    เพราะว่าการที่สามารถอ้างอิงตัวเองเพื่อการอนุมัตได้แล้ว โดยไม่เข้าไปเล่นเกมแห่งความเห็นแก่ตัว
    และใจแคบกับผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว เพื่อทำให้ผู้อื่นที่มีความรับรู้ความเข้าใจน้อยกว่าสงบลงนั้น
    จึงทำให้คุรุกลายเป็นความรุ่งโรจน์สูงสุดของเอกภพ หรือกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอำนาจสูงสุดในตัวเอง
    และยืนหยัดอยู่ด้วยตัวเองได้ ชะตาชีวิตของคุรุจึงสามารถทำให้เกิดประโยชน์สุงสุดได้แล้ว
    เพราะว่าเขาจะวางตัวเองไว้ในฐานะ “ผู้นำทาง” ให้กับผู้อื่นท่ามกลางดวงดาวทั้งหลาย
    หรือเป็นแสงสว่างให้กับทุกสรรพชีวิต และเป็นอัญมณีบนมงกุฎของพระเจ้าที่กำลังมีชีวิตอยู่ (Living God)

    ………………………………….
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การเป็นอมตะ และมีชีวิตนิรันดร์ คือทางเลือกอย่างหนึ่ง

    [​IMG]

    ascendedmastery.com • Ascension Methods

    เมื่อเราเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ เราก็จะเริ่มหลั่งฮอร์โมนแห่งชีวิตออกมา
    และศูนย์กลางจิตวิญญาณของร่างกายก็จะเริ่มเปิดขึ้น
    แล้วประสาทสัมผัสทั้งหลายของเราก็จะเปลี่ยนไป

    เราจะเริ่มมองเห็นในมุมมองที่กว้างขึ้น ที่แม้แต่ในความมืดมิด
    เราก็จะมองเห็นว่ามีแสงสว่างแผ่ออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่าง
    รวมถึงวัตถุธาตุที่เคลื่อนที่ไม่ได้ด้วย

    แสงสว่างจะดูเหมือนว่าแผ่ออกมาจากข้างในของวัตถุเหล่านั้น หรือผู้คนเหล่านั้น
    เราจะเริ่มได้ยินเสียงดนตรีจากทรงกลมมากมาย ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่

    เมื่อผู้คนพูดออกมา เราจะได้ยินเสียงเจตนารมณ์จากหัวใจของพวกเขา
    และแม้แต่พื้นที่เรายืนอยู่ เราก็จะรู้สึกราวกับว่า
    มันเป็นอัญมณีที่กำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่

    ..............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) คืออะไร

    ascendedmastery.com • What is Ascension?

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    นิยามของคำว่า Ascension ในเวปไซต์ดิกชั่นนารี่ก็คือ “การเคลื่อนขึ้นข้างบน ไปสู่ระดับหรือจุดที่สูงกว่า”
    แต่สำหรับเป้าหมายของการสนทนาของพวกเราในที่นี้ การเลื่อนระดับขึ้น จะเกี่ยวข้องกับ


    “ความตระหนักรู้ (Consciousness) ของมนุษย์โลก และของโลก
    ที่กำลังแผ่ขยายออกไปสู่ระดับที่สูงขึ้น”


    ความตระหนักรู้ (Consciousness) วัดค่าได้จาก จำนวนระดับของการรับรู้ที่พวกเราสามารถเข้าถึงได้ในหนึ่งครั้ง

    นิวเคลียสของแต่ละเซล คือสะพานเชื่อมต่อกับพระเจ้า ในระดับทางกายภาพแล้ว
    ความตระหนักรู้ของพวกเราจะเพิ่มสูงขึ้น ไปจนถึงระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    ก็ต่อเมื่อเซลในร่างกายของพวกเราเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างแล้ว

    ถ้าพวกเราดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความรักแบบปราศจากเงื่อนไขแล้วหละก็
    จะทำให้นิวเคลียสของเซลของพวกเราขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มเซล
    ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่คัมภีร์บางเล่มกล่าวถึง ว่าคือการเต็มเปี่ยมด้านจิตวิญญาณ

    นี่คือการเลื่อนระดับขึ้น และมันจะส่งผลให้อัตราการสั่นสะเทือนโดยรวมของพวกเราสูงขึ้น
    ทำให้พวกเราเต็มเปี่ยมไปด้วย “จิตวิญญาณของพระเจ้า” มากขึ้นกว่าเดิมอีก

    .........................


    Ascended Masters: Ascension Manual

    ...แม้ว่ากระบวนการเลื่อนระดับขึ้นในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของมนุษย์โลกแต่ละคนด้วย ว่าจะทำให้ตัวเองไปได้เร็วหรือช้าแค่ไหน

    พวกเราอาจจะเป็นพวกที่กระตือรือร้นในกระบวนการนี้อย่างมากก็ได้ ที่ยอมให้ความร่วมมือ
    กับกระบวนการนี้ด้วยดีทุกอย่างเท่าที่การเจริญเติบโตจะเอื้ออำนวยให้

    หรือพวกเราอาจจะเลือกที่จะเป็นพวกที่เรื่อยๆเฉื่อยๆต่อกระบวนการนี้ ที่คอยตามตูดพวกที่นำหน้าไปแล้วเรื่อยๆก็ได้

    หรือพวกเราอาจจะเลือกที่จะต่อต้านกระบวนการนี้ก็ได้ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ความก้าวหน้าของเราล่าช้าออกไปอีก
    หรือบางทีอาจจะไปถ่วงคนอื่นๆด้วย ด้วยซ้ำไป

    แต่ยังไงเสีย การเลื่อนระดับขึ้น ก็ยังจะเกิดขึ้นอยู่ดี
    แต่จะไปได้ช้าหรือเร็ว หรือจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้น
    ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราเองแต่ละคน


    ................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • free_spirit.jpg
      free_spirit.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.7 KB
      เปิดดู:
      1,208
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension Method)


    http://www.ascendedmastery.com/methods.html

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    การเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) สามารถทำได้โดยใช้
    “หัวใจ” (heart) หรือใช้ “จิตใจ” (mind) ก็ได้


    การเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกขวา (The right brain method)
    สามารถทำได้โดยใช้ :


    "ความรู้สึกรักล้วนๆ" (pure love),
    "ความรู้สึกชื่นชมยินดีล้วนๆ" (pure praise) และ
    "ความรู้สึกซาบซึ้งใจล้วนๆ" (pure gratitude)


    การเลื่อนระดับขึ้นโดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The left brain method)
    สามารถทำได้โดยใช้ "เหตุและผล" และ "การควบคุมจิตใจ"
    มันคือการทำให้คุณสมบัติภายในทุกๆคุณสมบัติสอดคล้องกันทั้งหมด
    เพื่อที่จะทำให้สามารถรู้สึกถึงความรักอันศักดิ์สิทธิ์ได้


    เป้าหมายของวิธีการทั้งสองก็คือ การทำให้เซลในร่างกายเติมเต็มไปด้วยแสงสว่าง
    และสั่นสะเทือนด้วยความถี่แห่งความรักอันไม่มีที่สิ้นสุด

    แสงสว่างคือเพศชาย (ไฟฟ้า) และความรักคือเพศหญิง (แม่เหล็ก)
    ความสมดุลของทั้งสองสิ่งนี้ จะทำให้ ความรุ่งโรจน์ของ
    “ความตระหนักรู้แห่งพระเจ้า” (God Consciousness) ปรากฎออกมา


    ความรักคือส่วนประกอบที่เป็นหัวใจสำคัญของวิธีการเลื่อนระดับขึ้นทั้งสองวิธี
    แต่มันจะเป็นลักษณะการเลื่อนระดับขึ้นของคนที่ใช้สมองซีกขวานำซีกซ้ายเท่านั้น

    ส่วนคนที่ใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวา ก็สามารถที่จะเข้าถึงความรักแห่งพระเจ้าได้เหมือนกัน
    แต่ปกติแล้วพวกเขาจะต้องใช้ตรรกะ และใช้เหตุใช้ผลเพื่อที่จะเข้าถึงจุดนั้นให้ได้
    พวกเขาจะเข้าถึงความรักที่อยู่ภายในได้ โดยการขยายความเข้าใจให้มากขึ้น
    ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความกลัวได้ และปลดปล่อยความกลัวออกไปได้
    และเมื่อความกลัวสูญสลายไปแล้ว ก็จะเหลือแต่ความรักอยู่

    เทคนิกการเลื่อนระดับขึ้นโดยใช้สมองซีกซ้ายนี้ ได้มีการสอนกันอยู่ในโรงเรียนลึกลับมากมาย
    ที่มีอยู่ทั่วโลก นานนับพันๆปีมาแล้ว ส่วนวิธีการที่ใช้สมองซีกขวานั้น ได้สาบสูญไปนานแล้ว

    มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่พวกเราจะต้องฟื้นฟูวิธีการแห่งเพศหญิงนี้ขึ้นมาใหม่
    เพราะว่าดาวเคราะห์โลกเองก็เป็นเพศหญิงด้วย

    เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเรื่องธรรมชาติมากกว่า สำหรับชาวโลก
    ที่จะใช้วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกขวา


    …………………………..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2011
  6. Aekkapat

    Aekkapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +318

    ขออนุญาติอธิบายเพิ่มให้คุณ BARW เข้าใจเพิ่มนิดนึงครับ

    คำว่าหลุดพ้นแล้ว หมายถึง ระดับนิพพานครับ

    เมื่อถึงระดับนิพพานแล้ว จะสามารถเลือกนิพพานได้เลย(ไม่กลับมาเกิดอีก)หรือ จะเลือกที่จะปฏิบัติภาระกิจอะไรก็ได้ที่อยากจะทำครับ

    จะเป็นคนละส่วนกับการติดภาระกิจครับ เพราะนิพพานสามารถกำหนดภาระกิจให้ตนเองได้อย่างอิสระ ว่าจะนิพพาน หรือ จะทำภาระกิจอะไรอื่น ๆ ต่อไปเพื่อประโยชน์ของสิ่งใดก็ตามแต่ นิพพานจะอยู่นอกเหนือกฏใด ๆ ทั้งสิ้น เลือกได้อย่างอิสระ เพราะระดับนิพพานคือหมดกรรม หมดกิเลส หมดสิ้นซึ่งสิ่งใด ๆ จึงไม่ต้องมาเกิด ณ ภพหรือภูมิใด ๆ อีก การเลือกที่จะทำภาระกิจบางอย่างเป็นการเลือกด้วยตนเอง จึงไม่ใช่การยึดตึดหรือการยังไม่หลุดพ้น

    การหลุดพ้นแล้ว ก็ยังสามารถเลือกภาระกิจได้เสมอ แต่ภาระกิจนั้น ไม่ได้เกิดจากการยึดติดหรือการชดใช้กรรมใด ๆ ทั้งสิ้น จึงใช้คำว่ายึดติดไม่ได้ครับ

    การเลือกอมตะ ก็เหมือนการตั้งใจจะอมตะเพื่อทำประโยชน์บางอย่างให้สรรพสิ่ง แต่ไม่ได้เกิดจากการยึดติดในการอยากเป็นอมตะ

    คล้าย ๆ กับว่า เรียนจบจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว สามารถไปทำงาน(นิพพาน)ได้เลย แต่คุณสามารถเลือกที่จะทำงานได้หรือจะไม่ทำก็ได้ แต่คนที่ยังเรียนไม่จบ ยังไงก็ต้องเรียนให้จบก่อน ถึงจะสามารถไปทำงานได้ (ทำงาน เปรียบเทียบกับ นิพพาน)
     
  7. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    I AM THAT I AM.. ผมใช้สมองซีกขวาจนเหนื่อยแล้วล่ะครับ พี่ชยุต..
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward

    ผ่านทางนาง Suzy Ward
    เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2011
    ผู้แปล: คุณ kindred

    ที่มา:
    http://galacticchannelings.com/engli...w10-10-11.html

    ตอนที่ 9:

    (ข้อความแปลภาคภาษาไทยแบับเต็มอยู่ที่ลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ - ผู้แปล)

    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-153
    ...........................................................


    ...

    ทุกๆคนที่จะร่วมเดินทางไปพร้อมกับดาวเคราะห์โลก เพื่อไปสู่มิติที่ 4 และเดินทางต่อไปเรื่อยๆนั้น
    จะไปด้วยร่างกายเนื้อที่เป็นร่างกายใน “ปัจจุบัน” ของพวกเขานี้แหละ

    พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องไป “สร้างร่างใหม่ขึ้น” แต่อย่างใดเลย
    แต่ร่างกายที่แก่ชราทั้งหลาย จะถูกทำให้กลับคืนมาเป็นหนุ่มเป็นสาวอีกครั้งหนึ่ง
    (Rejuvenation) หรือทำให้ “ลดความแก่ลง” (de-aged) อย่างช้าๆ

    ร่างกายที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ ทุกๆโรค จะค่อยๆถูกเยียวยาให้หายเป็นปกติ
    ซึ่งโรคที่ว่านี้ รวมถึงอาการตาบอด, หูหนวก ,อาการป่วยทางจิต, การเจ็บปวดที่เรื้อรัง,
    และโรคที่ทำให้เสื่อมโทรมทั้งหลายด้วย และ แขนขาหรือฟันที่หายไปก็จะถูกทำให้งอกขึ้นมาใหม่ด้วย

    การใช้ยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาโรค ก็จะถูกกำหนดให้ใช้วิธีเดียวกันกับที่ใช้อยู่ในขณะนี้
    แต่จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่าที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาเท่านั้นเอง

    ตลอดการเดินทางของพวกคุณ ทุกๆคนจะถูกฟื้นฟูให้กลับมามีสุขภาพร่างกาย
    สุขภาพจิตใจ และสุขภาวะอารมณ์ที่ดี เต็มเปี่ยม บริบูรณ์สูงสุดเหมือนเดิม


    ไม่ว่าใครจะมีความเชื่อในเรื่องของการเลื่อนระดับขึ้นของโลก หรือไม่ก็ตาม
    มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการที่ร่างกายของคนๆนั้น จะได้รับผลกระทบจากการหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
    ของพลังงานจากระนาบที่สว่างกว่า ตลอดเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้นนี้หรือไม่
    และจะได้รับผลกระทบจากคลื่นความถี่ต่ำๆที่ถูกแผ่ออกมาจากเทคโนโลยีที่อยู่บนโลก
    ที่ถูกใช้ไปในทางที่ผิด หรือไม่ แต่อย่างใดเลย เพราะว่าร่างกายของทุกๆคน
    จะได้รับผลกระทบเหมือนๆกันหมด

    แต่ผลกระทบนั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของคนๆนั้นในขณะนั้นๆ
    และขึ้นอยู่กับการตระหนักรู้ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นนี้
    และขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อสถานะการณ์ที่อลหม่านไปทั่วโลกด้วย

    การซึมซับแสงสว่าง จะช่วยให้ร่างกายค่อนข้างที่จะคงความสมดุลไว้ได้
    และมีสุขภาวะที่ดี; เช่นเดียวกับสภาวะของอารมณ์และจิตใจ
    ในช่วงเวลาที่พิเศษของจักรวาลเช่นนี้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายๆของขั้นตอนที่โลกจะเข้าไปสู่มิติที่ 4 แบบนี้...

    .....................................
     
  9. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ขอบคุณนะครับ สำหรับข้อมูล ผมเป็นคนหนึ่งที่เลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ แต่ก็มีราย
    ละเอียดปลีกย่อย หลายอย่างที่ต้องทำ สิ่งที่เธอพูด ถ้าคุณเคยผ่านสิ่งเหล่านี้มา
    บ้างแล้วก็จะรู้สิ่งที่เธอพูดนั้นมันช่างตรงกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวเรา
    ผมอาจจะมีโอกาสที่ก้าวหน้าและรวดเร็วกว่า แต่ผมบอกกับตัวเองว่าต้องการก้าว
    ไปพร้อมๆกันกับพวกคุณ ผมเลือกที่จะเดินและพัฒนาไปพร้อมกับพวกคุณ
    เป็นเจตนาที่เกิดขึ้นในส่วนลึก และผมก็ตั้งใจและเลือกเช่นนั้น ความเป็นอมตะ
    มันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนและเกิดขึ้นกับตัวผม ผมรู้สึกอย่างชัดเจนว่าวันหนึ่งต้อง
    ก้าวไปถึงจุุดนั้น ผมคิดว่ามีอีกหลายๆคนเหมือนกันที่จะเป็นเช่นนั้น ผมรู้ความ
    หมายของการคงอยู่นั้นของตัวเองเพื่ออะไร และรายระเอียดปลีกย่อยที่ต้องทำ

    มันคือส่วนหนึ่งความรับผิดชอบ ทุกประโยคที่เธอพูด ถ้าคุณมีความเข้าใจเกี่ยว
    กับประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ดี คุณก็จะเข้าใจและปฏิบัติโดยง่าย
    และรู้ว่าต้องทำอย่างไร การสลัดการมองตัวเองจากการเป็นมนุษย์ มันเป็นเพียง
    เส้นบางๆที่พร้อมจะให้คุณก้าวข้ามมา ผมข้อเป็นกำลังใจและขอบคุณผู้แปล
    ทุกท่านที่เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ยิ่งใหญ่ที่คุณอาจไม่เคยทราบเลยว่ามัน
    ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่สิ่งที่พวกคุณทำมันได้เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆไปแล้ว
    ขอบคุณอีกครับ และก็ยังรู้สึกขอบคุณอยุ่เสมอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ด้วยความรัก
     
  10. กล้วยป่า

    กล้วยป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +170
    ตามอ่านมานาน..เป็นกระทู้ของคุณชยุตที่ตรงใจมากที่สุดเลยค่ะ (y)(i)(rose)..ขอปูเสื่อรอด้วยคนนะคะ ^-^
     
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอบคุณสำหรับเนื้อหามีประโยชน์ครับคุณชยุต
    คงจะต้องแปลอีกเยอะทีเดียวนะครับเนี่ย

    ในฟังชั่นระดับสูง เมื่อเซลล์ทุกเซลล์กลายเป็นแสงสว่าง
    ก็ยอมมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยนะครับ
    ถึงตรงนั้นเรื่องเดินทะลุกำแพงผนัง หรือตัวลอยขึ้นจากพื้น มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติไปซะหมด

    ประสบการณ์ทั้งหลายของเธอจะช่วยขยายความรู้ความเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน
    ก็อยู่ที่เราจะเลือกซึมซับความรู้เหล่านี้เอาไว้นะครับ

    สังเกตดูนะครับถ้าคุณ Su ra เข้ามาโพสกระทู้ไหนล่ะก็
    กระทู้นั้นจะมีสาระสำคัญที่เข้มข้นน่าติดตามเป็นที่สุด อิอิ
    ด้วยความรักเช่นกันครับ
     
  12. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    ขอบคุณนะ ;41
     
  13. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    ขออนุญาตแสดงความเข้าใจอันน้อยนิดเปรียบเทียบกับคำศัพท์ของ พี่ชยุต นะครับ

    การตระหนักรู้ = การบรรลุธรรม
    การเข้าถึงพระเจ้า = การที่ดวงจิตเข้าถึงพลังงานในระดับสูง
    การเลื่อนระดับขึ้น = การที่ดวงจิตยกระดับจิตใจให้บริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้น
    ความตระหนักรู้แห่งพระเจ้า = การที่ดวงจิตหลักของเราเกิด "ปัญญา" ขึ้น
    AM THAT I AM = การค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตนเองซึ่งเริ่มต้นด้วยการยอมรับธรรมชาติของตนเอง
    ดาวโลก มีชีวิต เช่นเดียวกัน พลังงานต่างๆเองก็มีชีวิตเหมือนกัน
    ความรักที่ปราศจากเงื่อนไข = ความเมตตาที่แท้จริง

    หากผิดพลาดประการใดก็อัดความรู้ที่ถูกต้องมาให้ผมอย่างเต็มที่ได้เลยนะครับ
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    แล้วจะเริ่มต้นจากที่ไหน และอย่างไร?


    Spiritual Journeys | Teacher & Retreats


    ถ้าได้ตัดสินใจแล้วว่า เราจะเข้าร่วมในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นนี้ อย่างกระตือรือร้น
    เราต้องเข้าใจซะก่อนว่า มันไม่ได้มีจุดหมายปลายทางที่ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวใดๆอยู่หรอก
    ดังนั้น เราจึงจะไม่มีวัน “ไปถึงแล้ว” ได้ แต่มันจะเป็นการสำรวจตรวจค้น
    และขยับขยายความสมบูรณ์แบบของความเป็นเรา ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


    แล้วบนเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้นนี้เราจำเป็นต้องทำอะไรบ้างหละ?

    ขั้นตอนนี้อาจจะเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด และเจ็บปวดที่สุดก็ได้ ที่เราจะต้องเจอ
    แต่มันก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุดด้วย สิ่งเดียวที่จำเป็นและจะขาดเสียมิได้ก็คือ “ตัวเราเอง”

    แม้ว่าแก่นแท้ของตัวตนของเราจะคือเหลี่ยมมุมหนึ่งของ “พระผู้สร้างผู้หาที่สุดมิได้” ก็ตาม
    แต่แก่นแท้อันนั้นก็ถูกปกคลุมด้วยสิ่งแวดล้อม และเงื่อนไขทางสังคมมากมายอยู่
    ดังนั้น เราจำเป็นต้องกำจัดหีบห่อสัมภาระทั้งหลายเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปเสียก่อน
    เพื่อที่เราจะได้ตั้งค่าทัศนคติ และ อุปนิสัยของเราเองเสียใหม่อย่างสิ้นเชิงได้ ซึ่งวิธีการก็มีดังนี้


    ขั้นตอนที่ 1: ยินดีต้อนรับการเปลี่ยนแปลง

    มันน่าประหลาดใจมาก ที่เรามักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและปัญหาอุปสรรค์ต่างๆที่จะเกิดจากมันอย่างมาก
    แม้แต่การเปลี่ยนแปลงในทางบวกก็ตาม ก็ยังทำให้เกิดการหยุดชะงัก หรือความไม่สะดวกสบายขึ้นได้

    เพราะว่า “ตัวตน” ของเรา คือสิ่งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงสิ่งเดียว บนเส้นทางนี้
    และได้สั่งสมประสบการณ์, มุมมอง และวิธีการประพฤติปฏิบัติในแบบที่สังคมได้ตีกรอบเอาไว้ให้ อยู่ตลอดเวลา
    และเป็นเวลานานมาแล้ว ดังนั้น ตอนนี้จึงถึงเวลาแล้ว ที่เราจำเป็นจะต้องทำให้ “ตัวตน” นี้
    ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด อย่างไร้ความปราณี และโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดทั้งสิ้นเสียที

    ปัญหาอย่างแรกที่พวกเราจะต้องเจอ ก็คือ การตระหนักรู้ว่า


    “สิ่งแวดล้อมของเรา คือกระจกสะท้อนความเป็นตัวตนของตัวเราเอง”

    ปฏิกิริยาตอบกลับที่พวกเราได้รับจากคนอื่นๆนั้น สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติ และการแสดงออกของตัวเราเอง
    คุณภาพของโลกทางกายภาพที่แวดล้อมเราอยู่ก็เช่นเดียวกัน

    แม้ว่าปัญหาอุปสรรคทุกๆชนิด จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม
    แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เจ็บปวดไปซะทั้งหมด
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราสามารถรับรู้ถึงบทเรียนที่จะได้รับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของพวกมันได้แล้ว

    มุมมองที่มีคุณค่ามากที่สุดทั้งหลาย มักจะถูกเปิดเผยโดยปัญหาอุปสรรคต่างๆ
    ที่จะแสดงให้เราได้เห็นว่าเราเป็นใคร และเราไม่ได้เป็นใคร

    และยิ่งเรามีความชำนาญในการมองให้เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังได้มากขึ้นเท่าใด
    เราก็จะยิ่งสามารถเรียนรู้บทเรียนนั้นๆได้อย่างง่ายดาย



    มันมีวิธีการเรียนรู้อยู่ 3 วิธี

    วิธีแรก ก็คือ “การเอาใจใส่ต่อการกระตุ้นอย่างนุ่มนวลของจิตวิญญาณของเราเอง”
    ซึ่งการกระตุ้นที่ว่านี้ อาจจะมาในรูปของการหยั่งรู้ หรือเสียงจากภายใน หรือสัญญลักษณ์ที่สามารถมองเห็นได้ใดๆ
    ที่อาจจะปรากฎให้เห็นทั้งในยามหลับและยามตื่น

    แต่พวกเราก็สามารถรอคอยให้ถูกน็อกอย่างรุนแรงก่อนก็ได้ เหมือนการถูกตีด้วยไม้หน้าสามเข้าที่หัว
    ซึ่งนั่นแหละคือวิธีที่จิตวิญญาณพยายามที่จะปลุกให้เราตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายหละ

    ความมีน้ำใจไมตรี (Grace) จะทำให้เกิดการตื่นขึ้นอย่างทันทีทันใด เมื่อความมีน้ำใจไมตรีบังเกิดขึ้น
    สิ่งผิดปกติต่างๆที่อยู่ในชีวิตของพวกเรา ก็จะโผล่ออกมาให้เห็น เช่น เกิดอาการปวดที่หัวแม่มือ เป็นต้น
    นั่นคือการร้องขอให้นำพามันกลับไปสู่ความสมดุลหละ

    การดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความมีน้ำใจไมตรี จะช่วยให้เราได้ยินเสียงกระซิบของจิตวิญญาณของเราได้
    และจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของ
    ภาพสะท้อนแห่งความดีงามสูงสุดของความเป็นตัวเราเองได้


    เมื่อเรารู้จักเรียนรู้ที่จะใช้ปัญหาอุปสรรคของเราเองให้เป็นประโยชน์ได้แล้ว
    วิวัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของเราก็จะถูกเร่งให้เร็วขึ้นอย่างมาก
    เพราะว่าปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้น มันจะทำให้เราเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเกิดเชาว์ปัญญาขึ้น

    ซึ่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเชาว์ปัญญานี้ก็จะนำไปสู่การมีพลังอำนาจ
    ดังนั้น “ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลาย คือบ่อเกิดแห่งพลังอำนาจ”

    ในขณะที่เรากำลังเรียนรู้ที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่นี้
    “มันสำคัญมาก ที่เราจะต้องไม่ไปติดแหงกอยู่กับความจริงใดความจริงหนึ่ง
    เพราะว่าความจริงของวันนี้ อาจจะไม่ใช่ความจริงของวันพรุ่งนี้ก็ได้
    ดังนั้น จงวางความเชื่อของเราไว้อย่างหลวมๆก็พอ”


    เพราะว่าความจริงใดๆก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ
    เมื่อความตระหนักรู้ (perception) ของเราเองเปลี่ยนไป

    และสิ่งที่เราเรียกว่า โลกแห่งความเป็นจริงนั้น แท้ที่จริงแล้ว มันก็คือการตระหนักรู้อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

    วิทยาศาสตร์ได้ชักนำให้เราลดความสำคัญของอำนาจวิเศษที่อยู่เบื้องหลังชีวิตลงไป
    จนเราพากันหลงเชื่อไปว่า โลกแห่งความเป็นจริงเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่
    ก็คือโลกแห่งความเป็นจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมืออันมีข้อจำกัดของพวกเราเอง
    หรือด้วยประสาทสัมผัสอันจำกัดของเราเอง เท่านั้นเอง

    กาลเวลาแบบเป็นเส้นตรง คือตัวอย่างหนึ่งของการตระหนักรู้อันแปลกประหลาดที่ว่านี้
    เพราะว่าอาจจะพูดได้ว่า มนุษย์สร้างกาลเวลาขึ้นมาเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งต่างๆ
    เกิดขึ้นพร้อมกันหมดในเวลาเดียวกัน

    ซึ่งนั่นจึงทำให้กาลเวลา กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ที่มีประโยชน์อย่างหนึ่ง
    เพราะว่ามันทำให้เราสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของเหตุและผลได้
    และยิ่งสิ่งแวดล้อมทางกายภาพมีความหนาแน่นมากเท่าไหร่
    ระยะห่างระหว่าง “เหตุ” และ “ผล” ก็ยิ่งจะยาวนานมากเท่านั้นด้วย

    พวกเราสร้างดาวเคราะห์ที่หนาแน่นทึบตันนี้ขึ้นมา ที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้
    ก็เพื่อที่จะทำให้เรามีเวลาทำในสิ่งที่ผิดพลาด
    เพื่อที่เราจะได้มีประสบการณ์กับส่วนอื่นๆของเราเอง ที่เรายังไม่รู้จัก


    (ปล. สรุปตามความเข้าใจของผมเองนะครับ ว่า การเรียนรู้ทั้ง 3 วิธีที่ว่านี้ก็คือ

    1. การเรียนรู้จากการกระตุ้นจากจิตวิญญาณของตัวเราเอง
    2. การเรียนรู้จากปัญหาและอุปสรรคทั้งหลาย
    3. การเรียนรู้จาก “เหตุ” และ “ผล” ที่ได้รับตามมา ...ผู้แปล)

    .............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2011
  15. BARW

    BARW สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณมากๆครับ ชัดเจนดี เนื่องด้วยกระผมมิได้ได้ศึกษาจากตำรา ก็เลือกศึกษาจากท่านๆนี่แหละครับ อิอิ นับถือๆๆ ข้าน้อยขอคารวะ (y)
     
  16. ronnie07

    ronnie07 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +193
    ขอบคุณครับคุณชยุตที่เอาAlmineมาให้รู้จัก เรื่องของเธอน่าสนใจมากนะโดยเฉพาะการเอาความรู้ภายในทั้งหลายมาปฏิบัตให้เป็นรูปมธรรมจริงๆ
    เป็นผู้รู้นั้นเป็นไม่ยากหรอกแต่การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความรู้ที่ดูเสมือนตรงกันข้ามกับความเป็นจริงของเราในปัจจุบันนั้นมันไม่งายเลยครับ
    ดีใจมากนะที่วันนี้ยังใด้เจอเพื่อนเก่าๆในเว็บนี้อีก 4ปีผ่านไปกับการตื่นหรือการหลับก็ไม่รู้นะแรกๆที่ได้สัมผัสกับพลังอำนาจภายในก็น่าตื่นเต้นดีนะ
    เหมือนได้ขึ่นไปอยู่บนสวรรค์ชั้น7เลยแต่ได้เสวยสุขอยู่บนนั้นไม่นานโดยเตะตกลงนรกขุมสุดท้ายเลยใช้เวลาหลายปีถึงจะขึ่นมาได้... ตอนนี้ก็ยังเบลอๆสะลึมสะลืออยู่เลย...(tm-love)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2011
  17. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    501
    ค่าพลัง:
    +635


    ;aa53rabbit_heartrabbit_heartrabbit_heart
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขั้นตอนที่ 2: เปิดเผยความสมบูรณ์แบบออกมา

    Spiritual Journeys | Teacher & Retreats


    มันเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเรา ที่จะมีสุขภาวะที่ดี และแข็งแรงสมบูรณ์
    ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะส่งสัญญาณคลื่นแห่งความไม่ลงรอยกันออกไปสู่
    “ความตระหนักรู้มวลรวมของมวลหมู่มนุษยชาติ” ได้ ซึ่งการเจ็บไข้ได้ป่วย
    ก็คือตัวชี้บ่งที่ทำให้ทราบว่ากำลังมีอะไรที่ไม่สมดุลเกิดขึ้นอยู่

    การบำบัดรักษา ไม่ใช่แค่การไปทำให้อาการเจ็บป่วยทางกายภาพหายไปเท่านั้น
    พวกเราต้องมองลึกลงไปถึงสาเหตุของความไม่สมดุลนั้นด้วย เพราะว่าอาการเจ็บและปวดทั้งหลาย
    คือสัญญาณที่ส่งมาจากจิตวิญญาณของเรา เพื่อรับมือกับรากเหง้าของปัญหานั้นๆ
    จิตวิญญาณจะพูดผ่าน “ภาษาแห่งความเจ็บปวด” ว่า

    “เรื่องนี้ จำเป็นจะต้องถูกทำให้กลับคืนสู่ความสมดุลแล้วนะ”

    ร่างกายเนื้อ ปราถนาจะให้ทุกๆส่วนของมัน ทำหน้าที่อย่างสอดประสานกลมเกลียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ
    นั่นคือเหตุผลว่าทำไม มันถึงได้เตือนเรา เวลาที่กำลังมีอะไรจำเป็นจะต้องได้รับการนำกลับเข้าสู่ความสมดุล

    จงตระหนักไว้ว่า นั่นรวมถึงอารมณ์, ความคิด และการกระทำของเราเองด้วย
    ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่อยู่ในความสมดุลแล้วหละก็ ในที่สุดแล้ว
    มันก็จะแสดงออกมาทางร่างกายเนื้อนี้

    ถ้าตัวเราเองกำลังเจ็บป่วย หรือเป็นโรค หรือบาดเจ็บอยู่หละก็ จงระลึกไว้ในใจได้เลยว่า
    เพราะเรานั่นแหละที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง แต่เมื่อใดที่เรายอมรับรากเหง้าของปัญหา
    และแก้ไขมันได้แล้ว อาการเจ็บปวดนั้นก็จะหายไป ความแข็งแรงสมบูรณ์
    ก็จะคือสิ่งที่จะเหลืออยู่ เมื่อเราบำบัดรักษาตัวเราเอง ในทุกๆระดับได้แล้ว
    ทั้งในระดับจิตใจ, อารมณ์ความรู้สึก และในระดับกายภาพ

    แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ความสมดุลในทุกๆระดับดังที่กล่าวมานี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
    เพราะว่าในภพชาติที่เราเกิดมานี้ พวกเราได้ผสานรวมเอาปัญหาจากทุกๆชาติภพของตัวเราเอง
    ที่ยังตกค้างอยู่ทั้งหมด เพื่อมาแก้ไขในภพชาตินี้ด้วย

    เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงจำเป็นต้องอดทนกับตัวเองให้มาก
    เพราะว่าเรากำลังเดินอยู่บนเกลียวหอยของการบำบัดรักษา เกลียวแล้วเกลียวเล่าอยู่
    จนกว่าจะไม่มีเยื่อใยของปัญหาใดๆ จากทุกๆภพชาติเหลืออยู่อีกเลย



    การบำบัดรักษาผู้อื่น

    การช่วยบำบัดรักษาผู้อื่น เป็นการให้บริการที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง แต่ว่าเราจะต้องจำไว้ด้วยว่า
    ในท้ายที่สุดแล้วคนทุกคนก็คือผู้ที่บำบัดรักษาตัวเอง

    การให้บริการที่สูงส่งที่สุดก็คือ การแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่า พวกเขาจะสามารถทำให้ตัวเอง
    มีสุขภาวะที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้อย่างไร เพราะว่าถ้าเราเพียงแต่รักษาพวกเขาเฉยๆ
    โดยไม่ได้ให้ความรู้แก่พวกเขาเลย ว่าโรคภัยไข้เจ็บนั้นๆเกิดขึ้นเพราะเหตุใดแล้วหละก็
    ปัญหาเดิมอันนั้น ก็จะเกิดขึ้นซ้ำอีก ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง

    ถ้าเราเพียงแต่รักษาคนๆหนึ่ง ให้หายป่วยเฉยๆ โดยไม่ได้แนะนำเขาเกี่ยวกับสาเหตุของโรคหละก็
    ก็เท่ากับว่าเราไม่เคารพความจริงที่ว่า เขาเนรมิตโรคภัยไข้เจ็บนั้นๆขึ้นมาเองอย่างเชี่ยวชาญ
    ก็เพื่อการเจริญเติบโตที่เป็นไปได้ของเขาเอง

    เราอาจจะมองเห็นเขาเป็นแต่เพียงผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้คนหนึ่ง
    ที่จำเป็นจะต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเดียวเท่านั้น


    พวกเราสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของเราขึ้นมาเอง

    กระแสความคิดที่คมชัดมากที่สุดของเรา เมื่อรวมเข้ากับอารมณ์ความรู้สึกของเราแล้ว
    มันก็คือ คำอธิษฐานดีๆนี่เอง และมันก็คือสิ่งที่สร้างสรรค์โลกแห่งความเป็นจริงของเราขึ้นมา

    กระแสความคิด จะไหลเข้าไปสู่ภาชนะรองรับ ซึ่งก็คือหัวใจ
    แล้วจะไปมีผลต่อสสารของสิ่งที่เราปราถนาเอาไว้
    สสารที่มีชีวิตและละเอียดอ่อนอันนี้เอง ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดในจักรวาล
    คือผู้ที่ตอบสนองต่อกระแสความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของเรา
    คือผู้ที่ทำให้ผลลัพธ์นั้นๆปรากฏออกมาสู่โลกทางกายภาพ

    มันสำคัญมาก ที่เราจะต้องเริ่มต้นรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อชีวิตของเราเอง และต่อสภาวะของโลก
    พวกเราได้สร้างสภาวะที่ดูเหมือนว่าไม่สมบูรณ์แบบขึ้นมาบนดาวเคราะห์โลกของเราแล้วมากมาย
    โดยใช้กระแสความคิดที่มีข้อกำจัดของเราเอง


    เวลาใดที่ชาวโลกนับล้านๆคน กำลังพากันผลิตกระแสความคิดในแง่ลบขึ้นมาอยู่
    มันก็จะถูกนำไปบันทึกไว้ในโครงข่ายพลังงานของโลก
    และมันจะถูกเนรมิตออกมาให้กลายเป็นจริงได้อย่างง่ายดาย


    ดังนั้น การคอยระวังความคิดของตัวเราเอง จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก
    มากกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ เพราะว่าตอนนี้ระยะห่างระหว่างเวลาที่เราเริ่มคิด
    กับเวลาที่จะเกิดสิ่งที่มันจะเนรมิตออกมาให้ปรากฏขึ้นในโลกทางกายภาพนั้น
    สั้นลง และสั้นลง เรื่อยๆ ทุกวันๆแล้ว

    เมื่อเราประจักษ์ได้ว่า เราคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเราเอง เราก็จะรู้ว่า
    เราคือผู้ควบคุมความสมบูรณ์พูนสุขของตัวเราเองด้วย

    “ความไม่มีขีดจำกัด” (The Infinite) ต้องการให้เรามีแต่ความสมบูรณ์พูนสุข,
    มีความมั่งคั่งร่ำรวย และมีความสวยงาม พวกเราจะต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง
    และต้องรู้ว่าเราเชื่อมต่ออยู่กับ “แหล่งกำเนิด” (The Source) ที่หายใจเอาชีวิตออกมาเป็นเราอยู่

    ดังนั้น เราจึงสามารถเอนตัวลงนอนพิงศรีษะพักให้สบายอยู่ในอ้อมแขน
    ของ “ความไม่มีขีดจำกัด” นั้นได้ และ มีความเชื่อมั่นศรัทธาว่าพวกเราจะได้รับการดูแลเอาใจใส่

    ……………………
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2011
  19. uuuu0010

    uuuu0010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +247
    ;38
    เห็นด้วยอย่างยิ่ง
     
  20. Senju

    Senju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากน่ะครับคุณชยุตข้อมูลเป็นประโยชน์มากเลยครับปฏิบัติตามได้จริง ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...