สายลับพลังจิตและโครงการสตาร์เกต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย satan, 20 เมษายน 2007.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ซีไอเอ มักจะมี "อาวุธลับ" ประหลาด ๆ อยู่เสมอ "สายลับพลังจิต" ก็เป็นหนึ่งในอาวุธลับที่ ซีไอเอ แอบซ่อนไว้ใช้งานเวลาที่เข้าตาจน ไม่สามารถที่จะใช้วิธีการตามแบบปรกติได้ "สายลับพลังจิต" เป็นใครและพวกเขาทำงานกันอย่างไร



    คาดว่ารัฐบาลสหรัฐได้เริ่มศึกษาเรื่องการติดต่อสื่อสารโดยพลังจิตหรือที่เรานิยมเรียกกันย่อ ๆ ว่า อีเอสพี (ESP - Extresensory Perception) อย่างเป็นจริงเป็นจังก็ในราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีข่าวกรองระบุว่าจอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้วางแผนการรบโดยอาศัยคำแนะนำของนักไสยศาสตร์ และนายแพทย์ทัศนา( หมอดู)ด้วยความกลัวว่าจะตกเป็นรองเยอรมันในการทำสงคราม สหรัฐจึงได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นเพื่อการศึกษาและวิจัยการใช้พลังจิต

    เริ่มโครงการ

    ในปี ค.ศ.1952 กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้รับรายงานว่ามีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเอา "พลังจิต" มาใช้เป็นอาวุธสงคราม ทำให้มีการศึกษา ค้นคว้ากันมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในปี ค.ศ.1962 มีรายงานการวิจัยฉบับหนึ่งไปเตะตาหัวหน้าหน่วยให้บริการทางเทคโนโลยี ของซีไอเอเข้าให้จังเบ้อเร่อ เขาก็เลยติดต่อไปยัง สตีเฟ่น ไอ แอบรัมส์(Stephen I. Abrams)ผู้อำนวยการห้องทดลองค้นคว้าพลังจิตของมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ในประเทศอังกฤษ สตีเฟนจึงได้ทดลองเรื่องการใช้พลังจิตภายใต้การอุปถัมภ์ของโครงการอัลทรา (Ultra) ซึ่งเป็นโครงการลับโครงการหนึ่งของซีไอเอ ที่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องพลังจิต

    ซีไอเอได้เคยทำการทดลองใช้สารเสพติด เพื่อควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ การทดลองนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอัลทรา ที่มีชื่อย่อยเรียกว่าโครงการเอ็มเคอัลทรา(MKUltra) โครงการอัลทรา ได้ถูกซอยย่อยออกไปอีกหลายแขนงซึ่งแต่ละโครงการก็จะมีชื่อรหัสเรียกเฉพาะแตกต่างกันออกไป

    ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านไป สตีเฟนก็ได้แต่ทดลองและจดบันทึก เขาไม่สามารถที่จะควบคุมและหาคำตอบเรื่องการใช้พลังจิตได้ ทำให้ดูเหมือนว่าโครงการวิจัยเรื่องปรากฏการพลังจิตเหนือธรรมชาตินี้จะล้มเหลว จนกระทั่งมีนักฟิสิกส์มือดี 2 คนมาปลุกผีโครงการนี้ขึ้นมาอีกครั้งในต้นทศวรรศที่ 1970

    ดร.รัสเซลล์ ทาร์ก (Dr. Russell Targ) และดร.ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์(Dr. Harold E. Puthoff) มีความสนใจเรื่องพลังจิตเป็นอย่างมาก ในเดือนเมษายน ปีค.ศ.1972 ดร.ฮาโรลด์ ได้แนะนำชายคนหนึ่งกับเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ โดยกล่าวว่าชายคนนั้นมีหลักฐานการทดลองเรื่องการใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ(Psychokinesis) ของรัฐเซียอย่ในมือ หลังจากที่ซีไอเอได้เห็นหลักฐานที่เป็ฯภาพยนต์ก็เกิดความสนใจและตกลงให้ ดร.ฮาโรลด์ และดร.รัสเซลล์ทำการค้นคว้า

    พบผู้ที่มีความสามารถ

    และนั่นก็คือที่มาของโครงการลับสแกนเอท(Scanate) ซึ่งมาจากคำว่า Scan by Coordinate เป็นโครงการที่ทำการค้นคว้าเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาติ การทดลองได้เรื่องขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.1972 ชายที่อ้างว่าตนมีพลังจิตคนหนึ่ง ได้ถูกทดสอบโดยให้บรรยายลักษณะของวัตถุที่ถูกซ่อนอยู่โดยเจ้าหน้าที่ของซีไอเอและเขาก็บอกรายละเอียด ได้อย่างแม่นยำ

    ในฤดูร้อนของปี ค.ศ.1973 ซีไอเอ ได้ทำการทดลองการมองระยะไกลโดยอาศัยพลังจิต (Remote viewing) พวกเขาได้ฝึกนักพลังจิตชื่อ แพท ไพร์ซ (Pat Price) โดยพวกเขาได้บอกเพียงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างชนิดหนึ่งให้แพตทำการเพ่งกระแสจิตไปโดยไม่ใช้แผนที่ ซึ่งเป้าหมายนั้นเป็นเพียงบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งในฝั่งตะวันออกของสหรัฐแล้วให้บอกทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่แพตกลับบรรยายลักษณะของสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับฐานทัพทหาร

    เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลการทดลอง เจ้าหน้าที่ซีไอเอได้ขับรถออกไปยังบ้านพักตากอากาศแห่งนั้น แต่เขาเองกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าห่างจากบ้านพักตากอากาศไปเพียงไม่กี่ไมล์ มีอาคารของทางราชการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตั้งอยู่ เขาจึงรีบขับรถกลับมาเพื่อขอให้แพทระบุรายระเอียดของอาคารนั้นอีกครั้ง

    แพทสามารถระบุรายละเอียด รูปร่างของอาคารได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก็ทำให้ ซีไอเอพอใจในการทดลองครั้งนี้เป็นอย่างมาก จนได้มีการพัฒนาการทดลองในวิธีการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเสริมสร้างพลังจิตให้กับนักพลังจิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลที่ได้ ก่อนที่จะนำมันมาใช้งานจริง

    ใช้พลังจิตข้ามทวีป

    การทดลองการมองระยะไกลที่ได้ผลลัพธ์น่าทึ่งที่สุดก็คือการทดลองให้ แพทบรรยายถึงเมืองเซพาลาทินส์ก (Semipalatinsk) ที่อยู่ในประเทศคาซักฮ์สถาน มันเป็นสถานที่ที่ไมมีข้อมูลซึ่งยังต้องรอสำรวจที่ซีไอเอใช้รหัสเรียกว่า URDF-3 (Unidentified Research and Development Facility-3)

    แพทระบุว่าเขาเห็นปั้นจั่นขนาดให้มากอันหนึ่ง มันใหญ่ขนาดเขาเห็นคนสูงเพียงแค่เพลาล้อของมัน ซึ่งมันก็มีอยู่ที่นั่นจริง ๆ แม้ว่าข้อมูลของแพตยังไม่ละเอียดนัก เพราะว่ายังมีแท่นขุดเจาะที่แพทไม่ได้กล่าวถึงแต่ก็มากพอที่จะทำให้ ดร.เคนเน็ท เอ เครสส์ (Dr.Kenneth A. Kress)ผู้เชี่ยวชาญทางด้านปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติของซีไอเอ ทึ่งในความสามารถของแพท จนเขาต้องเดินทางมาสัมภาษณ์แพทด้วยตัวเอง

    ปั้นจั่นขนาดใหญ่ของจริง(ซ้าย)เปรียบเทียบกับปั้นจั่นที่แพทมองเห็นด้วยการมองโดยใช้พลังจิต(ขวา)



    สายลับพลังจิตแพท ไพรซ์ (คนกลาง)และดร.ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์(ริมขวา)ยืนถ่ายภาพร่วมกันหลังจากเสร็จการทดลองการมองระยะไกล


    เมื่อดร.รัสเซลล์ และดร.อาโรดล์ พาแพทมาพบกับ ดร.เคนเน็ท ดร.เคเน็ทต้องการทดสอบความสามารถของแพท โดยถามแพทว่ารู้ไหมว่าเขาเป็นใคร แพทตอบอย่างไม่ลังเลว่า "รู้" ดร.เคนเน็ทจึงถามว่าแล้วรู้จักชื่อเขาไหม แพทตอบว่า "เคน เครสส์" แล้วอาชีพของเขาล่ะ แพทตอบอย่างมั่นใจว่า "ทำงานให้ซีไอเอ".

    การที่แพทตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างถุกต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ เพราะดร.เคนเน็ท เป็นเจ้าหน้าที่ลับของซีไอเอ เขาไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ดร.เคนเน็ทตัดสินใจยอมรับ แพท ไพรส์เข้าเป็น "สายลับพลังจิต" ของซีไอเอ จากนั้น ดร.เคนเน็ท ก็หยิบภาพใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วถามว่าแพทเคยเห็นสถานที่นี้ไหม?แพทก็ตอบว่า "แน่นอน เขาเคยเห็น" ดร.เคนเน็ทจึงถามต่อ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่ระบุถึงแท่นขุดเจาะ 4 แท่นนี้ตอนที่เขาถูกทดสอบ?แพทตอบว่า "รอเดี๋ยว ขอให้ตรวจสอบอีกที"

    แพทหลับตาลง แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาใส่ซึ่งเขาบอกว่ามันทำให้เขา "เห็น" ได้ชัดขึ้น เพียงแค่ไม่กี่วินาที แพทก็ตอบว่าที่เขาไม่เห็นแท่นขุดเจาะก็เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นอีก 2-3 สัปดาห์ก็มีการตรวจเช็คกลับไปที่ URDF-3 ก็พบว่าแท่นขุดเจาะ 2 แท่นได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว แต่ก็ยังมีร่องรอยของแท่นขุดเจาะเหลืออยู่ ทำให้พอที่จะสรุปได้ว่าข้อมูลที่ได้จากการมองเห็นระยะไกลของแพทนั้นมีทั้งส่วนที่เชื่อถือได้ และส่วนที่เชื่อถือไม่ได้

    นำมาใช้งานจริง

    ปลายปี ค.ศ.1974 แพทได้ถูกสั่งให้ใช้พลังจิตของเขาตรวจสอบที่ซ่อนของฐานกำลังของกองทัพใต้ดินในประเทศลิเบีย แพทได้ชี้จุดที่คาดว่าเป็นที่ซ่อนของสถานีทดลองขีปนาวุธ SA-5 ซึ่งก็ตรงกับที่ข่าวกรองที่กองทัพลิเบียได้รับแจ้ง และแพทยังได้ระบุถึงสถานที่ที่พวกกองทัพใต้ดินได้ใช้เป็นที่ฝึกการก่อวินาศกรรม ตรงกับที่แหล่งข่าวของลิเบียแจ้งเช่นกัน

    กองทัพลิเบียได้ขอให้แพทช่วยบอกรายละเอียดว่าในสถานที่ซ่อนของพวกกองทัพใต้ดินนั้น มีการเคลื่อนไหวอย่างไรเป็นบ้าง คำถามต่าง ๆ ที่ลิเบียอยากรู้เกี่ยวกับพวกกองทัพใต้ดินได้ถูกเขียนส่งไปให้กับแพท แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แพทได้เสียชีวิตเพราะหัวใจวายเสียก่อน ปฏิบัติการครั้งนั้นจึงถูกยกเลิกและไม่มีการส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากซีไอเอให้กับลิเบียอีก

    กองทัพสหรัฐได้นำการมองระยะไกลมาใช้ในสงครามเวียดนาม โดยให้นักพลังจิตเป็น "ผู้นำทาง" (Point Man) ทำหน้าที่นำทางกองทหารระหว่างที่อยู่ในเขตของข้าศึก เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักและการซุ่มโจมตี ซึ่งมันมีผลเป็นอย่างมากต่อขวัญและกำลังใจของพวกทหารที่ตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นทางด้านจิตใจ ในขณะที่อยู่ในสนามรบ

    มองผ่านผู้อื่น

    แต่บางครั้ง "สายลับพลังจิต" ก็ต้องการผู้นำทางเช่นกัน ผู้นำทางนี้ใช้รหัสเรียกว่า "บีคอน" (Beacon) เขามีหน้าที่ในการท่องไปในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่เป็น "ตา" ให้กับสายลับพลังจิตที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยหลายพันไมล์ สายลับพลังจิตจะมองผ่านตาของผู้นำทาง แล้วบรรยายลักษณะของสถานที่นั้น ๆ อาจเป็นการบอกเล่าไปเรื่อย ๆ แล้วให้คนคอยจดบันทึก แต่ส่วนใหญ่แล้ว สายลับพลังจิตจะวาดภาพร่างของสถานที่นั้น ๆ เอง

    ตัวอย่างเช่นการทดสอบพลังจิตของ ดร.เอ็ดวิน ซี เมย์ (Dr.Edwin C. May)ในปี ค.ศ.1987 "สายลับพลังจิต" โจเซฟ แมคมอนอีเกิล (Joseph McMoneagle) ได้ถูกสั่งให้ติดตาม "ผู้นำทาง" คนหนึ่ง เขาได้รับคำบอกกล่าวเพียงแค่ว่า ผู้นำทางอยู่ห่างจากศูนย์ทดลองเป็นรัศมีราว 100 ไมล์ และกำลังขับรถอะไรแค่นั้น

    ดร.เอ็ดวิน สั่งให้ โจเซฟ บรรยายถึงสิ่งที่ "ผู้นำทาง"เห็นในเวลา 16.00 น. โจเซฟได้วาดภาพนั้นออกมาและบอกว่าเขาเห็นการเคลื่อนไหวของกระแสไฟฟ้าเป็นเหมือนตะแกรง และเห็นรัศมีบางอย่างบนยอดเสาที่อาจมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และเมื่อนำภาพถ่ายที่ "ผู้นำทาง" บันทึกไว้ตอนเวลา 16.00 น. มาเปรียบเทียบกับภาพร่างของโจเซฟ เราจะพบว่ามันมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก


    ภาพวาดที่โจเซฟ แมคมออีเกิล เห็นผ่านตาของ"ผู้นำทาง"(บน)
    ณ เวลา 16.00 น.เปรียบเทียบกับภาพถ่ายจากสถานที่จริง(ล่าง)


    การมองระยะไกลเป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันประเทศภายใต้ชื่อรหัส "สตาร์เกท"(Star Gate) ซึ่งเป้าหมายหลักของโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ "ปฏิบัติการ"(Operations) เป็นใช้การมองระยะไกลเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรองของประเทศต่าง ๆ "การวิจัยและพัฒนา"(Research and Development) เป็นการศึกษาภายในห้องทดลองเพื่อหาวีธีการใหม่ ๆ ในการปรับปรุงการมองระยะไกลเพื่อนำมาใช้ในงานสืบราชการลับ และ "การประเมินต่างประเทศ" (Foreign Assessment) เป็นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของประเทศต่าง ๆ ที่มีปรับปรุงและพัฒนาการใช้พลังจิตในรูปแบบใด ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ (สหรัฐ)

    อดีตสายลับแฉ

    หลายคนอาจคุ้นกับชื่อ เดวิด มอร์เฮ้าส์ (David Morehouse) เดวิดเป็นสายลับพลังจิตของซีไอเอที่ออกมาตีแผ่ความลับของโครงการ สตาร์เกท ผ่านรายการสารคดีดิสคัฟเวอรีแชนแนล(Discovery Channel) เมื่อหลายปีก่อน เดวิดได้รับมอบหมายให้สืบหาข้อมูลการทำจารกรรมในอดีตที่รัฐบาลสหรัฐยังคงมืดแปดด้าน ไม่รู้จะหาข้อมูลจากที่ไหนได้นอกจากการใช้ "สายลับพลังจิต" ย้อนอดีตกลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ เช่น คดีที่เครื่องบินรบของรัสเซียเข้าโจมตีเครื่องบินพาณิชย์เที่ยวบิน 007 ของสายการบินเกาหลีว่าเป็นการบินที่จงใจล่วงล้ำเข้าไปในน่านฟ้าของรัสเซียเพื่อทำจารกรรมตามข้อกล่าวหาหรือไม่ หรือคดีที่ทหารอีรักเข้าลอบวางเพลิงบ่อน้ำมันในคูเวตก่อนที่จะพ่ายแพ้ถอนทัพกลับเพื่อดูว่าเป็นการลอบวางเพลิง เพียงอย่างเดียวหรือเป็ฯการอำพรางเพื่อแอบปล่อยก๊าซพิษชนิดอื่นปะปนเข้าไปในบรรยากาศ

    ก่อนที่เดวิดจะมาเป็นสายลับพลังจิต เขาก็เป็นแค่ทหารพรานที่มีผลงานดีเด่นคนหนึ่ง แต่จากการซ้อมรบร่วมกับทหารพรานของจอร์แดนในกลางปี ค.ศ.1980 เขาก็ปรพสบอุบัติเหตุถูกยิงเข้าที่ศรีษะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเนื่องจากกระสุนปืนไม่สามารถเจาะผ่านหมวกเหล็กที่เขาสวมอยู่ในขณะนั้นได้ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เขาสลบไปนานพอดู ขณะที่เขาสลบไสลอยู่นั้นเขาก็เห็นอะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้จะเรียกว่าเทวดาหรือปีศาจดี แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ใช่มนุษย์และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา

    หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเห็นภาพแปลก ๆ ที่เขาเรียกมันว่าฝันร้ายอยู่เรื่อย ๆ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวต้องไปพบแพทย์ของกองทัพ และเมื่อเขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้กับหมอฟัง เรื่องราวและเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเดวิด ได้ถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ชั้นสูง และในที่สุดเจ้าหน้าที่ของโครงการสตาร์เกทก็ให้ความสนใจและนั่นก็คือ ที่มาของการได้เข้าร่วมกับโครงการสตาร์เกทในฐานะ "สายลับพลังจิต"

    เรื่องเล่าของเดวิดอาจฟังดูเหมือนนิยาย เช่นเดียวกับความเป็นมาของโจเซฟ แมคมอนอีเกิล ย้อนกลับไปที่ทศวรรษ 1970 โจเซฟพบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกก็ตอนที่เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลของกองทัพ ในยุโรปเขาพบกับปรากฏการณ์ "เฉียดตาย" และหลังจากที่เขาถูกรักษาจนหายดี ปรากฏการณ์นั้นกลับยังคงอยู่และทำให้เขามี "พลังจิต" เหนือคนธรรมดาสามัญทั่วไป

    เดวิดทำหน้าที่ "สายลับพลังจิต" นานกว่า 10 ปี ก่อนที่เขาจะตัดสินใจถอนตัวออกมา ในปี ค.ศ.1993 เดวิดได้ "แหก"ข้อตกลงในการป้องกันความลับของกองทัพรั่วไหล โดยออกมาเปิดเผยเรื่องราวของเขาขณะที่ทำงานให้กับโครงการสตาร์เกท เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทุกแขนงทั้งหนังสือพิมพิ์ วิทยุ และโทรทัศน์ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเขียนหนังสือ "นักรบพลังจิต"(Psychic Warrior)อีกด้วย

    เรื่องราวของ "สายลับพลังจิต" และโครงการสตาร์เกท ไม่ได้เป็นเพียงแค่จิตนาการเป็นแน่แท้ เพราะในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ.1995 ประธานาธิบดีบิลล์ คลินตันได้ลงนามในหนังสือคำสั่งจากเบื้องบนเลขที่ เอ็นอาร์ 1995-4-17 (Executive Order Nr. 1995-4-17) อนุญาตให้เผยแพร่เอสาร ข้อมูลของโครงการสตาร์เกทออกสู่สายตาของสาธารณะชนได้

    และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งที่ซีไอเอเคยออกมาปฏิเสธนักปฏิเสธหนาว่า "ไม่จริง" แต่ท้ายสุดก็โผล่หางออกมาให้เห็น แต่เชื่อได้เลยครับว่าสิ่งที่ ซีไอเอยอมเปิดเผยออกมานั้นเป็นเพียงแค่ "ปลายจวัก" ความลับส่วนใหญ่ก็ยังคงถูกซุกซ่อนอยู่ในตึกห้าเหลี่ยมที่ชื่อว่า "เพนตากอน"(Pentagon)



    เครดิต : จากหนังสือ ร้ายสาระ (เล่ม1) โดย ศิลป์ อิศเรศ

    http://www.mythland.org/
     
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เมื่อความรักบังเกิด โลกทั้งโลกก็เต็มไปด้วยความสุข ^O^
     
  3. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,790
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เจ้าตึกห้าเหลี่ยมนี่มันซ่อนอะไรไว้ข้างในเยอะพอสมควร หากไม่จวนตัวจริงก็คงจะไม่เปิดเผยอะไรออกมาหรอก พอจนตรอกทีไรก็ทำได้แค่แย้มๆ ออกมาหน่อยนึง แต่ว่าพอแย้มออกมาทีละหน่อยทีละหน่อย ก็ถึงกับทำให้ชาวโลกตะลึง นะจังงังพอสมควร !
     

แชร์หน้านี้

Loading...