รวบรวมข้อมูลเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 28 กันยายน 2006.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เมื่อถึงเวลาอพยพหนีภัย ****

    คนหนีภัยจากกรุงเทพ และใกล้เคียง...ส่วนใหญ่คงเตรียมการ อะไรไม่ได้มาก !!!!!!!
    เพราะ...ภัยจะถึงตัวอย่างรวดเร็ว....ต้องรีบหนี
    คนต่างจังหวัดภาคเหนือ ภาคอีสาน....จึงต้องเตรียมตัวพร้อมรับ คนจากภาคกลางจำนวนมาก
    ถ้า....เตรียมการดี...จะสามารถช่วยได้อย่างมาก....ช่วยได้ตลอดการเดินทาง จนกว่าเขาจะเดินทางไปถึงจุดหมายที่ปลอดภัย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>เปิดโลกกว้าง : ข้อเสนอแหวกแนวเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน</TD></TR><TR><TD vAlign=top>5 เมษายน 2550 21:01 น.</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] ความวิตกเรื่องปัญหาโลกร้อนกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดค้นหนทางแก้ไขแบบสุดแหวกแนว อาทิ การเทสารเจริตอล (Geritol) ลงสู่มหาสมุทร การสร้างฉากกันแดดนอกโลก การทดลองพ่นสารแบบภูเขาไฟระเบิดหรือแม้แต่การสร้างเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์



    ถึงแม้นักวิจารณ์จะออกมาโต้เสียงดังว่าวิธีการเหล่านี้ "หลุดโลก" แต่ปรากฏว่าได้มีการทดลองใช้วิธีการดังกล่าวกันไปบ้างแล้ว
    ปัจจุบัน บริษัทหลายแห่งให้เงินสนับสนุนภารกิจเทสารเจริตอลลงสู่มหาสมุทรอย่างเป็นล่ำเป็นสันเพื่อชดเชยการใช้ทรัพยากรน้ำมันเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษของตนเอง
    สารเจริตอลนั้น คือ สารเหล็กที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของแพลงตอนเนื่องจากแพลงตอนต้องอาศัยสารดังกล่าวในการสังเคราะห์แสง ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างสาหร่ายทะเลที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย
    ถึงแม้การทดลองใช้สารเหล็กเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะประสบความสำเร็จมาแล้วหลายครั้งหลายหนในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แต่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายคนก็ยังห่วงว่าหากมีการใช้สารเหล็กในปริมาณมาก ระบบนิเวศของมหาสมุทรอาจจะได้รับผลกระทบร้ายแรง
    เฉพาะแค่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท "แพลงโตส อิงค์" จากรัฐแคลิฟอร์เนียได้เทผงเหล็กร่วม 50 ตันลงมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ
    "ถ้าเราเทสารแบบนี้ลงไปมาก อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรกับใต้มหาสมุทรจะต้องต่างกันแน่ๆ แล้วสัตว์ทะเลก็จะเดือดร้อน" นายทิม บาร์เน็ตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศทางทะเลประจำสถาบันสมุทรศาสตร์สคริปป์ส แสดงความวิตก
    อย่างไรก็ตาม แพลงโตส อิงค์ ยืนยันว่า สารเหล็กที่เทลงสู่ทะเลนั้นน้อยนิดเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำของห้วงมหาสมุทร จึงเป็นหลักประกันได้ว่าสารเหล็กจะไม่ส่งผลเชิงลบต่อสิ่งมีชีวิตในห้วงสมุทร
    "ที่สำคัญ เราคาดว่าเหล็ก 1 ตันที่ลงสู่ห้วงสมุทรจะช่วยกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปได้ 1 แสนตัน ทีเดียว" เจ้าหน้าที่ของบริษัทกล่าวอย่างมั่นใจ
    ขณะเดียวกัน องค์การนาซา ทุ่มเงินจำนวน 7.5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.44 ล้านบาท) เพื่อเติมเต็มรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดการสร้างฉากกันแดดนอกโลก
    แนวคิดดังกล่าวมาจากนายโรเจอร์ แองเจิล นักดาราศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยอริโซนา ที่เชื่อว่าหากสร้างแผ่นกันแดดกางกั้นระหว่างดวงอาทิตย์และโลกได้ ปัญหาโลกร้อนก็จะคลี่คลายไปได้
    "ผมคิดไว้ว่าฉากกันแดดดังกล่าวน่าจะลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ไปได้ราวร้อยละ 2" นักดาราศาสตร์รายนี้ย้ำ
    นายแองเจิล มั่นใจว่า แนวคิดนี้มีความเป็นไปได้เพราะโลกมีวิทยาการเพียงพอที่จะจัดทำแผ่นกันแดดแล้วส่งแผ่นเหล่านี้ออกไปติดตั้งนอกโลกได้
    หากต้องการสร้างฉากกันแดดนอกโลก นายแองเจิล ประเมินไว้ว่า จะต้องสร้างแผ่นกันแดดขนาด 1 ยาร์ดต่อแผ่นจำนวนทั้งสิ้น 16 ล้านล้านแผ่น
    "จรวดแต่ละลูกน่าจะบรรจุได้ 8 แสนแผ่น ซึ่งหมายความว่าเราน่าจะต้องยิงจรวดประมาณ 20 ล้านครั้ง" นักดาราศาสตร์รายเดิม อธิบาย
    นายแองเจิลชี้ว่าโครงการนี้อาจจะต้องใช้งบประมาณราว 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 130 ล้านล้านบาท) และใช้เวลาดำเนินการอย่างน้อย 30 ปี
    "อย่าไปคิดว่าโครงการนี้ใหญ่เกินกว่าจะทำได้เพราะการที่เราส่งคนออกไปดาวอังคารก็ใช้งบใช้เวลาประมาณนี้แหละ ถ้าเราตระหนักถึงอันตรายของภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่าโครงการสร้างฉากกันแดดนอกโลกจะได้รับการยอมรับ" นายแองเจิล กล่าวปิดท้าย
    ด้านศูนย์วิจัยชั้นบรรยากาศแห่งชาติอเมริกากำลังหันมาสนใจแนวคิดการสร้างฉากกันแดดนอกโลกด้วยเหมือนกันโดยมีแผนไว้ว่าจะเริ่มศึกษาแนวคิดดังกล่าวอย่างจริงจัง
    ก่อนหน้านี้ ทางศูนย์ได้ลองศึกษาการพ่นผงซัลเฟตสู่ชั้นบรรยากาศด้านบนมาแล้วเพราะเคยเห็นว่าผงดังกล่าวจากเหตุภูเขาไฟพินาตูโบระเบิดในฟิลิปปินส์เมื่อ 16 ปีก่อนช่วยให้อุณหภูมิโลกเย็นอยู่ได้นานถึง 1 ปีทีเดียวเนื่องจากผลซัลเฟตช่วยสะท้อนแสงแดดออกสู่นอกโลกไปบางส่วน
    "เราสามารถใช้เครื่องพ่น ปืนใหญ่หรือบอลลูนส่งเอาซัลเฟตขึ้นไปอยู่ในอากาศได้ เมื่อทำแล้ว โลกจะร้อนน้อยลงเพราะกั้นแสงอาทิตย์ไปได้บางส่วน แต่มลพิษในอากาศจะเพิ่มขึ้นไปเล็กน้อย ถ้าเราเลือกใช้วิธีนี้ เราก็ต้องชั่งใจว่าปัญหาโลกร้อนกับมลพิษทางอากาศนั้นอย่างไหนร้ายแรงกว่ากัน" นายทอม วิกลีย์ นักวิทยาศาสตร์ประจำศูนย์วิจัยชั้นบรรยากาศแห่งชาติอเมริกาให้ความเห็น
    อย่างไรก็ตาม เพื่อนร่วมงานอย่าง "นายคาสปาร์ อัมมานน์" ค้านหัวชนฝาว่าแนวคิดนี้สมควรทิ้งไปได้เลยเพราะหากจะให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนแสงมากในระดับเดียวกับที่ภูเขาไฟพินาตูโบทำได้ ผู้ลงมือปฏิบัติจะต้องพ่นสารซัลเฟตมากหลายหมื่นตันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศต่อเดือน
    "ผมคิดว่าถ้าวิธีการยุ่งยากขนาดนี้ ผมว่าน่าจะไปหาทางแก้ปัญหาโลกร้อนที่ต้นเหตุจะดีกว่า" นายอัมมานน์ แสดงความคิดเห็น
    อีกแนวคิดหลุดโลกว่าด้วยการแก้ปัญหาโลกร้อน คือ การสร้างเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากมันสมองของนายเคลาส์ แล็กเนอร์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
    เกือบสิบปีที่แล้ว นายแล็คเนอร์คิดค้นเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นเพื่อช่วยลูกสาววัยเรียนทำสิ่งประดิษฐ์ไปจัดแสดงในนิทรรศการงานวิทยาศาสตร์
    หลังจากโครงงานของลูกสาวประสบความสำเร็จ นายแล็คเนอร์เลยเกิดแนวคิดว่าเครื่องดังกล่าวอาจจะนำไปใช้แก้ปัญหาระดับโลกได้
    มหาเศรษฐีอย่างนายริชาร์ด แบรนสัน ก็เห็นด้วยว่าเครื่องดักจับคาร์บอนไดออกไซด์อาจจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหา จึงยินดีมอบเงินรางวัลถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 814 ล้านบาท) ให้แก่การพัฒนาแนวคิดดังกล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
    นายแล็คเนอร์ มั่นใจว่าสิ่งประดิษฐ์นี้จะดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยอมรับว่าการหาทางกำจัดก๊าซดังกล่าวจะมีต้นทุนมากสักหน่อย
    แต่ไม่ว่านักคิดหัวใสจะพูดว่าอย่างไร นักวิจารณ์บางส่วนยังเห็นว่าการแก้ปัญหาทางธรรมชาติไม่ควรจะใช้วิธีการแบบสุดขั้วอย่างนี้
    "ผมมองว่านี่เป็นการกระทำที่เกิดจากความสิ้นหวัง เกิดจากความเชื่อของคนบางคนว่าโลกไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง" นายสตีเฟน ชไนเดอร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าว
    เรียบเรียงโดย อุริสรา โกวิทย์ดำรงค์ แหล่งข้อมูล เอพี

    -->
    ความวิตกเรื่องปัญหาโลกร้อนกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดค้นหนทางแก้ไขแบบสุดแหวกแนว อาทิ การเทสารเจริตอล (Geritol) ลงสู่มหาสมุทร การสร้างฉากกันแดดนอกโลก การทดลองพ่นสารแบบภูเขาไฟระเบิดหรือแม้แต่การสร้างเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

    ถึงแม้นักวิจารณ์จะออกมาโต้เสียงดังว่าวิธีการเหล่านี้ "หลุดโลก" แต่ปรากฏว่าได้มีการทดลองใช้วิธีการดังกล่าวกันไปบ้างแล้ว
    ปัจจุบัน บริษัทหลายแห่งให้เงินสนับสนุนภารกิจเทสารเจริตอลลงสู่มหาสมุทรอย่างเป็นล่ำเป็นสันเพื่อชดเชยการใช้ทรัพยากรน้ำมันเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษของตนเอง
    สารเจริตอลนั้น คือ สารเหล็กที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของแพลงตอนเนื่องจากแพลงตอนต้องอาศัยสารดังกล่าวในการสังเคราะห์แสง ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างสาหร่ายทะเลที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย
    ถึงแม้การทดลองใช้สารเหล็กเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะประสบความสำเร็จมาแล้วหลายครั้งหลายหนในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แต่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายคนก็ยังห่วงว่าหากมีการใช้สารเหล็กในปริมาณมาก ระบบนิเวศของมหาสมุทรอาจจะได้รับผลกระทบร้ายแรง
    เฉพาะแค่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท "แพลงโตส อิงค์" จากรัฐแคลิฟอร์เนียได้เทผงเหล็กร่วม 50 ตันลงมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ
    "ถ้าเราเทสารแบบนี้ลงไปมาก อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรกับใต้มหาสมุทรจะต้องต่างกันแน่ๆ แล้วสัตว์ทะเลก็จะเดือดร้อน" นายทิม บาร์เน็ตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศทางทะเลประจำสถาบันสมุทรศาสตร์สคริปป์ส แสดงความวิตก
    อย่างไรก็ตาม แพลงโตส อิงค์ ยืนยันว่า สารเหล็กที่เทลงสู่ทะเลนั้นน้อยนิดเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำของห้วงมหาสมุทร จึงเป็นหลักประกันได้ว่าสารเหล็กจะไม่ส่งผลเชิงลบต่อสิ่งมีชีวิตในห้วงสมุทร
    "ที่สำคัญ เราคาดว่าเหล็ก 1 ตันที่ลงสู่ห้วงสมุทรจะช่วยกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปได้ 1 แสนตัน ทีเดียว" เจ้าหน้าที่ของบริษัทกล่าวอย่างมั่นใจ
    ขณะเดียวกัน องค์การนาซา ทุ่มเงินจำนวน 7.5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.44 ล้านบาท) เพื่อเติมเต็มรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดการสร้างฉากกันแดดนอกโลก
    แนวคิดดังกล่าวมาจากนายโรเจอร์ แองเจิล นักดาราศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยอริโซนา ที่เชื่อว่าหากสร้างแผ่นกันแดดกางกั้นระหว่างดวงอาทิตย์และโลกได้ ปัญหาโลกร้อนก็จะคลี่คลายไปได้
    "ผมคิดไว้ว่าฉากกันแดดดังกล่าวน่าจะลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ไปได้ราวร้อยละ 2" นักดาราศาสตร์รายนี้ย้ำ
    นายแองเจิล มั่นใจว่า แนวคิดนี้มีความเป็นไปได้เพราะโลกมีวิทยาการเพียงพอที่จะจัดทำแผ่นกันแดดแล้วส่งแผ่นเหล่านี้ออกไปติดตั้งนอกโลกได้
    หากต้องการสร้างฉากกันแดดนอกโลก นายแองเจิล ประเมินไว้ว่า จะต้องสร้างแผ่นกันแดดขนาด 1 ยาร์ดต่อแผ่นจำนวนทั้งสิ้น 16 ล้านล้านแผ่น
    "จรวดแต่ละลูกน่าจะบรรจุได้ 8 แสนแผ่น ซึ่งหมายความว่าเราน่าจะต้องยิงจรวดประมาณ 20 ล้านครั้ง" นักดาราศาสตร์รายเดิม อธิบาย
    นายแองเจิลชี้ว่าโครงการนี้อาจจะต้องใช้งบประมาณราว 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 130 ล้านล้านบาท) และใช้เวลาดำเนินการอย่างน้อย 30 ปี
    "อย่าไปคิดว่าโครงการนี้ใหญ่เกินกว่าจะทำได้เพราะการที่เราส่งคนออกไปดาวอังคารก็ใช้งบใช้เวลาประมาณนี้แหละ ถ้าเราตระหนักถึงอันตรายของภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่าโครงการสร้างฉากกันแดดนอกโลกจะได้รับการยอมรับ" นายแองเจิล กล่าวปิดท้าย
    ด้านศูนย์วิจัยชั้นบรรยากาศแห่งชาติอเมริกากำลังหันมาสนใจแนวคิดการสร้างฉากกันแดดนอกโลกด้วยเหมือนกันโดยมีแผนไว้ว่าจะเริ่มศึกษาแนวคิดดังกล่าวอย่างจริงจัง
    ก่อนหน้านี้ ทางศูนย์ได้ลองศึกษาการพ่นผงซัลเฟตสู่ชั้นบรรยากาศด้านบนมาแล้วเพราะเคยเห็นว่าผงดังกล่าวจากเหตุภูเขาไฟพินาตูโบระเบิดในฟิลิปปินส์เมื่อ 16 ปีก่อนช่วยให้อุณหภูมิโลกเย็นอยู่ได้นานถึง 1 ปีทีเดียวเนื่องจากผลซัลเฟตช่วยสะท้อนแสงแดดออกสู่นอกโลกไปบางส่วน
    "เราสามารถใช้เครื่องพ่น ปืนใหญ่หรือบอลลูนส่งเอาซัลเฟตขึ้นไปอยู่ในอากาศได้ เมื่อทำแล้ว โลกจะร้อนน้อยลงเพราะกั้นแสงอาทิตย์ไปได้บางส่วน แต่มลพิษในอากาศจะเพิ่มขึ้นไปเล็กน้อย ถ้าเราเลือกใช้วิธีนี้ เราก็ต้องชั่งใจว่าปัญหาโลกร้อนกับมลพิษทางอากาศนั้นอย่างไหนร้ายแรงกว่ากัน" นายทอม วิกลีย์ นักวิทยาศาสตร์ประจำศูนย์วิจัยชั้นบรรยากาศแห่งชาติอเมริกาให้ความเห็น
    อย่างไรก็ตาม เพื่อนร่วมงานอย่าง "นายคาสปาร์ อัมมานน์" ค้านหัวชนฝาว่าแนวคิดนี้สมควรทิ้งไปได้เลยเพราะหากจะให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนแสงมากในระดับเดียวกับที่ภูเขาไฟพินาตูโบทำได้ ผู้ลงมือปฏิบัติจะต้องพ่นสารซัลเฟตมากหลายหมื่นตันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศต่อเดือน
    "ผมคิดว่าถ้าวิธีการยุ่งยากขนาดนี้ ผมว่าน่าจะไปหาทางแก้ปัญหาโลกร้อนที่ต้นเหตุจะดีกว่า" นายอัมมานน์ แสดงความคิดเห็น
    อีกแนวคิดหลุดโลกว่าด้วยการแก้ปัญหาโลกร้อน คือ การสร้างเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากมันสมองของนายเคลาส์ แล็กเนอร์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
    เกือบสิบปีที่แล้ว นายแล็คเนอร์คิดค้นเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นเพื่อช่วยลูกสาววัยเรียนทำสิ่งประดิษฐ์ไปจัดแสดงในนิทรรศการงานวิทยาศาสตร์
    หลังจากโครงงานของลูกสาวประสบความสำเร็จ นายแล็คเนอร์เลยเกิดแนวคิดว่าเครื่องดังกล่าวอาจจะนำไปใช้แก้ปัญหาระดับโลกได้
    มหาเศรษฐีอย่างนายริชาร์ด แบรนสัน ก็เห็นด้วยว่าเครื่องดักจับคาร์บอนไดออกไซด์อาจจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหา จึงยินดีมอบเงินรางวัลถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 814 ล้านบาท) ให้แก่การพัฒนาแนวคิดดังกล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
    นายแล็คเนอร์ มั่นใจว่าสิ่งประดิษฐ์นี้จะดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยอมรับว่าการหาทางกำจัดก๊าซดังกล่าวจะมีต้นทุนมากสักหน่อย
    แต่ไม่ว่านักคิดหัวใสจะพูดว่าอย่างไร นักวิจารณ์บางส่วนยังเห็นว่าการแก้ปัญหาทางธรรมชาติไม่ควรจะใช้วิธีการแบบสุดขั้วอย่างนี้
    "ผมมองว่านี่เป็นการกระทำที่เกิดจากความสิ้นหวัง เกิดจากความเชื่อของคนบางคนว่าโลกไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง" นายสตีเฟน ชไนเดอร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าว
    เรียบเรียงโดย อุริสรา โกวิทย์ดำรงค์ แหล่งข้อมูล เอพี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    นักวิทยาศาสตร์ก็คิดกันไป.... ที่จริงการแก้ปัญหาที่ใกล้ตัวที่สุดและเป็นไปได้ที่สุด คือ การแก้ที่ต้นเหตุที่เป็นตัวการในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะพวกโรงงานอุตสาหกรรมหนักต่างๆ ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและในประเทศยุโรป น่าจะไปจัดการกับโรงงานจำพวกนี้มากกว่า ดีกว่าไปเสียเวลาคิดแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และยังได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ....


    .
    .
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ประเทศไทย มีหรือยัง "แผนรับมือภัยพิบัติระดับชาติ" จาก “น้ำมือ” มนุษย์ ในขณะที่โลกเริ่มตื่นตระหนกและกำลังหาทางออกเพื่อแก้ปัญหา “โลกร้อน” เป็นผลมาจาก “น้ำมือ” ของมนุษย์
    ประเทศไทยยังดูเย็นชา เหมือนไม่รู้หนาวรู้ร้อน ไม่สะทกสะท้านเหมือนกับว่า “อะไรจะเกิดก็เกิด ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน”
    เราไม่อยากเห็น "สึนามิ" ครั้งที่ 2 ที่อาจจะมาในรูปแบบใหม่ ถ้าจำกันได้ เสียงเตือนภัยเรื่อง สึนามิมีมาก่อนหน้านั้นหลายปี แต่ กลับถูกหัวเราะเยาะ ว่าเป็นเรื่องเหลวไหล การเตือนภัยเรื่อง “โลกร้อน” ก็กัน ผลกระทบตามมาไม่อาจประเมินได้ว่า จะเสียหายยิ่งใหญ่ขนาดไหน
    “เรายังพอมีเวลา แต่ไม่มากนัก”ที่จะร่วมกันรักษาโลกนี้ไว้ให้ชนรุ่นหลัง
    ภารกิจ“ช่วยกัน”ต้องประกอบร่างจาก"เบญจภาคี" “รัฐ” เพียงลำพังไม่สามารถกระทำได้
    ตัวอย่าง “ต้นแบบ” ภารกิจร่วมกันปกป้องโลก กำลังก่อตัวขึ้นและดำเนินไปอย่างคึกคัก คล่องแคล่ว ว่องไว ใน จ.สระแก้ว และกำลังขับเคลื่อนขยายตัวไปยังจังหวัดอื่น ปลุกระดมให้ผู้คนลุกขึ้นมาปลูกป่าเพื่อ “ปั๊ม” ออกซิเจนเข้าสู่บรรยากาศโลกให้มากที่สุด และเร็วที่สุด
    ปลูกพืชสำหรับเป็นพลังงานสะอาดทดแทน น้ำมัน และถ่านหิน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการพ่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มาของปัญหาโลกร้อน
    สร้างซูเปอร์มาร์เก็ตธรรมชาติ ที่จะเป็นแหล่งอาหารสดๆ หยิบได้จากธรรมชาติเตรียมไว้รองรับในยามเกิดภัยพิบัติ พร้อมกับยารักษาโรคชั้นดีจากสมุนไพร ผู้ที่เห็นปัญหาและตระเตรียมจะเป็น “ผู้รอด”
    เรา เตรียมการอะไรไว้หรือเปล่า แผนรับมือภัยพิบัติระดับชาติ "มีมั้ย"
    แผนก่อนเกิดเหตุ ที่ตระเตรียมว่า จะมีภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ อะไรบ้าง ระดับความรุนแรงเป็นอย่างไร ต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง แหล่งน้ำสะอาด แหล่งอาหาร ยารักษาโรค เอาจากที่ไหน
    แผนขณะเกิดเหตุ หากมีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย จะทำอย่างไร ผู้ที่รอดชีวิต จะเดินทางอพยพไปอยู่ไหน กินอะไร ยาจากไหน พลังงานใช้จากไหน
    แผนหลังเกิดเหตุ ที่ฟื้นฟูให้ผู้คนกลับมาดำเนินชีวิตปกติเป็นอย่างไร การ รับมือกับโรคระบาดนานาชนิดทำอย่างไร เราได้รับบทเรียนราคาแพงจากเหตุการณ์สึนามิมาแล้ว ครั้งนั้นเราได้รับความช่วยเหลือมากมายจากนานาชาติ แต่ ภัยพิบัติครั้งใหม่อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งโลก
    “อํตตหิ อํตตโนนาโถ” คือ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ถึงตอนนั้นคงไม่มีคาถาใดศักดิ์สิทธิ์เท่า แม้จะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย สิ่งที่ตระเตรียมไม่ว่าจะเป็น “ป่า น้ำ พลังงาน” ก็จะเป็นผลดีที่ได้ การสร้างความสมบูรณ์ มั่งคั่ง ให้กับแผ่นดินของเรามากยิ่งขึ้น
    บายไลน์ -อาจารย์ยักษ์ แห่งมหาลัยคอกหมู
    คมชัดลึก.........................วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
    http://www.komchadluek.net/2007/02/10/b001_89832.php?news_id=89832
    ข้อมูลบางส่วนตัดไปบ้าง เพื่อเข้าใจมากขึ้นครับ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    “มหันตภัยโลก” ที่มนุษย์กำลังเผชิญ
    รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ผู้ว่าการรัฐประกาศว่า “เป็นความจริงที่น่ารังเกลียดแต่ไม่มีทางเลือก ปีหน้าเป็นต้นไปชาวควีนส์แลนด์ต้องกินน้ำดื่มที่นำมารีไซเคิลใหม่จากน้ำเสียจากบ่อบำบัด อันเป็นผลมาจากภาวะแห้งแล้งที่ติดต่อกันมายาวนาน"
    ผู้คนในรัฐฟลอริดาก็กำลังประสบเดือดร้อนแสนสาหัสจากพายุทอร์นาโดที่ถล่มเข้าทำลายบ้านพักอาศัยชนิดราบเป็นหน้ากอง จนรัฐบาลอเมริกันต้องประกาศให้ฟลอริดาเป็นเขตภัยพิบัติ
    อินโดนีเซีย ประชาชนในเมืองจาการ์ตาเกือบ 2 แสนคน ต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย เพราะภัยน้ำท่วมชนิดที่หนักที่สุดในประวัติศาสตร์
    ประเทศไทยยังดูเย็นชา เหมือนไม่รู้หนาวรู้ร้อน ไม่สะทกสะท้านเหมือนกับว่า “อะไรจะเกิดก็เกิด ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน”
    คมชัดลึก.........................วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550



    มหาเศรษฐี"ผู้ดี"ตั้งรางวัล874ล.สยบโลกร้อน
    นายริชาร์ด แบรนสัน วัย 56 ปี เศรษฐีพันล้านชาวอังกฤษ เจ้าของกลุ่มธุรกิจเวอร์จิน ประกาศตั้งเงินรางวัล 25 ล้านดอลลาร์ หรือราว 874 ล้านบาท เพื่อให้กับนักวิทยาศาสตร์คนใดก็ตาม ที่คิดวิธีแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก สาเหตุหลักของโลกร้อนออกจากชั้นบรรยากาศได้สำเร็จ
    แบรนสันกล่าวว่า " โลกจะรออีก 60 ปีไม่ได้ เพราะเวลาไม่เคยรอใคร ตนต้องการอนาคตที่ดีสำหรับลูกๆ ไปจนถึงหลานๆ เหลนๆ ถ้าต้องการให้โลกนี้อยู่รอดต่อไป ทางที่ดีก็คือ ขจัดก๊าซก่อภาวะเรือนกระจกให้หมดไป ตนคิดว่า การตั้งเงินรางวัลครั้งนี้ เป็นหนทางที่ดีที่สุดทางหนึ่งที่จะหาทางออกได้ "

    ก่อนหน้านี้ แบรนสัน ร่วมกับ นายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผู้รณรงค์ต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ด้วยการประกาศยกผลกำไรของธุรกิจสายการบินเวอร์จินแอตแลนติกและกิจการรถไฟเวอร์จินเทรนในช่วง 10 ปีข้างหน้าเพื่อใช้แก้ปัญหาภูมิอากาศของโลก

    อัล กอร์ ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดี "แอน อินคอนวีเนียนต์ ทรูธ" กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ท้าท้ายมนุษย์ให้ยอมรับความจริงที่เผชิญอยู่ จากเดิมที่มนุษย์ไม่ได้คิดถึงเรื่องฉุกเฉินสำหรับโลก ทั้งที่มนุษย์เป็นสัตว์ที่คิดได้ มนุษย์กลับทำลายโลก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับตนเอง


    นสพ.ข่าวสด...........วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5917



    นสพ.ข่าวสด วันที่ 09 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5916
    คอลัมน์ ไหลตามโลก
    เรือนกระจก
    [​IMG] จากท้องน้ำ มีเรื่องมาเล่า มีข่าวความเป็นไปของโลกมาบอก

    ท้องน้ำที่ว่าคือกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้กำลังจมบาดาล ฝนถล่มจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง

    รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ให้ข่าวล่าสุดว่าภาวะโลกร้อนจะทำให้เกาะต่างๆ ในอินโดนีเซียราว 2,000 เกาะจมหายไปในทะเล
    พ้องกับรายงานของสหประชาชาติเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาเผยการประชุมของนักวิทยาศาสตร์ที่ปารีส ซึ่งระบุว่าศตวรรษนี้โลกจะร้อนขึ้นอีกมาก
    จะมีคลื่นความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง และระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น
    ล้วนเป็นผลจากก๊าซเรือนกระจกที่ทำลายชั้นโอโซน ทำให้รังสีอัลตราไวโอเลต และอินฟราเรด ส่องผ่านลงมายังพื้นโลกมากขึ้น ขณะเดียวกันก๊าซเหล่านี้ก็กันรังสีไม่ให้ออกไปจากบรรยากาศโลกด้วยว่าที่รังสีเหล่านี้เป็นพลังงาน พวกมันจึงทำให้โลกร้อนขึ้น

    หาดมารุนด้า เมืองหลวง คลื่นรุนแรงซัดสาดมาโครมๆ ไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น จาการ์ตาก็จมภาวะโลกร้อนพาอินโดนีเซียของเจ้าหนูอยู่ในวิกฤตเสียแล้ว



    [​IMG]
    ฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์...........11 ก.พ.
    -หนังสือพิมพ์ปักกิ่ง มอร์นิ่ง โพสต์ ในจีน รายงานว่า อุณหภูมิในฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่ง ของจีน ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีอากาศอบอุ่นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 160 กว่าปี
    อากาศที่อุ่นขึ้นในฤดูหนาว ทำให้ทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งและใช้เป็นลานสเก็ตต้องปิดตัวลง ส่งผลต่อรีสอร์ตเล่นสกีหลายแห่ง สำหรับอุณหภูมิเมื่อวันศุกร์ อยู่ที่ 14.5 องศาเซลเซียส นับว่าเป็นฤดูหนาวของวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่มีอากาศอบอุ่นมากที่สุดนับจากเมื่อปี 2492 วันจันทร์ที่แล้ว วัดได้ 16 องศาเซลเซียส นับว่าเป็นฤดูหนาวของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2383
    สำนักงานอุตุนิยมวิทยาจีน รายงานอุณหภูมิเฉลี่ยเดือนมกราคม ปีนี้ อยู่ที่ -4.5 องศาเซลเซียส เพิ่มขึ้นจากเดิม 1.4 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับปีก่อน อากาศที่อบอุ่นขึ้นในช่วงฤดูหนาว ถือเป็นเรื่องผิดปกติไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก เป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน. - สำนักข่าวไทย
    http://tna.mcot.net/i-content.php?news_id=p6GXn6g

    โลกร้อนสำแดงเดช จีนเหงื่อแตก วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5918
    [​IMG] ผ่านพ้นการเปิดข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกมาได้หนึ่งสัปดาห์ ประเด็นดังกล่าวยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกับจีน ชาติที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก
    การเติบโตดังกล่าว ไม่เพียงนำความปลาบปลื้มมาเท่านั้น แต่ยังตามมาด้วยความวิตกกังวลด้วย

    ในการผลิตภาคอุตสาหกรรม จีนจะต้องเผาผลาญพลังงานมาก หมายถึงถ่านหินและพลังงานสกปรกอื่นๆ ที่ปล่อยก๊าซที่ก่อภาวะเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลก

    จีน...ครองอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา ชาติที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากที่สุดในโลก และผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ก็สำแดงให้จีนเห็นในสภาพของการเปลี่ยนแปลงอากาศในต้นปีนี้แล้ว
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    *เริ่มตั้งแต่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงมีอากาศอุ่นที่สุดในช่วงฤดูหนาวในรอบร้อยปี

    *น้ำแข็งในทะเลสาบละลาย จนทางการต้องประกาศห้ามการเล่นสเกตน้ำแข็งตามทะเลสาบ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรง

    *นายกัว หู หัวหน้าศูนย์สังเกตสภาพอากาศเทศบาลกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์นี้ ชาวจีนในกรุงปักกิ่งจะรู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงที่สุดในรอบ 167 ปี หลังจากเมื่อวันจันทร์ อุณหภูมิสูง 16 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าอุ่นมากในฤดูหนาว

    *จากรายงานของไชน่าเดลี่ ต้นแม็กโนเลียเริ่มออกดอกแล้ว ทั้งที่ปกติ ดอกไม้จะผลิบานในเดือนเมษายน ช่วงฤดูใบไม้ผลิ

    *ส่วนที่เจียงซู มณฑลทางฝั่งตะวันออกของจีน และซินเกียง มณฑลฝั่งตะวันตก ระยะทางห่างกัน 3,000 กิโลเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยจากเดือนมกราคมถึงธันวาคมต่างสูงที่สุดในรอบ 56 ปี

    *ที่มณฑลเฮย์หลงเจียง ทางตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิสูงสุดในรอบ 40 ปี และที่มณฑลส่านซี ประชากรอย่างน้อย 300,000 คน เริ่มขาดแคลนน้ำดื่ม ปริมาณน้ำฝนลดลงจากระดับเฉลี่ยถึงร้อยละ 90 ในเดือนมกราคม



    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนแจ้งว่าจะยังไม่มีแผนใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานถ่านหินหรือพลังงานสกปรกอื่นๆ

    นางเจียง หยู โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงว่า ชาติที่พัฒนาแล้วควรจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบ หลังจากที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และอื่นๆ มานาน และในปริมาณมาก

    นายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ที่รณรงค์ต่อต้านภาวะโลกร้อน กล่าวว่า สิ่งที่จีนพูดนั้นไม่ผิด แต่จีนเองจะมีส่วนอย่างยิ่งต่อการลดภาวะโลกร้อน

    ด้านนายฉิน ต้าเหอ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมอุตุนิยมวิทยาจีน กล่าวจีนจะปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ลงร้อยละ 20 ภายใน 5 ปีข้างหน้า จากที่ขณนพลังงานของจีนร้อยละ 70 มาจากการเผาถ่านหิน ในการผลิตที่เร่งตอบสนองความต้องการของประชาชน 1,300 ล้านคน

    ในปี 2548 จีนสร้างโรงงานพลังงานถ่านหินที่รัฐบาลอนุมัติถึง 117 แห่ง หรือคิดเป็นอัตราสร้างโรงงาน 1 แห่งใน 3 วัน

    ขณะที่จีนสั่งปิดโรงงานเผาถ่านหินที่ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์กว่า 5.4 ล้านตันไปแล้ว

    ไม่รู้เรียกว่า เห็นแก่ตัวอ๊ะป่าว แล้วมาเกี่ยงความรับผิดชอบกันอยู่ได้...ฮืม..


    <table align="center" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="724"><tbody><tr><td class="linkdel" align="right" bgcolor="#ffe1c4" width="509">
    </td> </tr> <tr> <td bgcolor="#e0fadc" valign="top">
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> </tbody></table> ​
    </td> <td class="hh" bgcolor="#e0fadc" valign="top">[​IMG] ไม่เพียงจีนเท่านั้นที่นักสิ่งแวดล้อมวิตกกังวลกับสถานการณ์แปรปรวนทางอากาศ

    อินโดนีเซีย ได้รับรายงานการศึกษาและพยากรณ์จากอีโว เดอ บัวร์ เจ้าหน้าที่ของอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของสหประชาชาติ (UNFCCC) ว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้เกาะของอินโดนีเซีย ซึ่งมีราว 18,000 เกาะ ส่วนใหญ่ไม่มีคนอาศัยอยู่ จะจมหายไปในทะเล 2,000 เกาะ ภายในปี 2573 เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

    และในปี 2551 ที่จะถึงนี้ อินโดนีเซียยังจะต้องเผชิญภาวะขาดแคลนข้าว เพราะฝนไม่ตกตามฤดูกาล ทำให้ชาวนาปลูกข้าวไม่ได้

    [​IMG] หลังจากการเปิดข้อมูลดังกล่าวได้ไม่นาน กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย ต้องเผชิญภาวะอุทกภัยครั้งใหญ่ มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 50 ราย

    พื้นที่ 75% ของเมืองหลวงจมอยู่ใต้บาดาล ประชาชน 500,000 คนในเมืองหลวงและจังหวัดใกล้เคียงต้องอพยพจากบ้านเรือน สร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 16,233 ล้านบาท

    แม้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา น้ำจะเริ่มลดลง แต่ชาวอินโดนีเซียจะต้องฟื้นฟูบ้านเรือนที่ต้องใช้เวลาอีกนาน

    ขณะที่ไม่มีสัญญาณรับประกันว่า ในปีนี้อินโดนีเซียต้องเผชิญกับความแปรปรวนของอากาศอีกหรือไม่

    ด้านเวียดนาม ชาติที่มีเศรษฐกิจร้อนแรงรองจากจีน ได้รับคำเตือนจากภาวะโลกร้อนเช่นกัน
    เมื่อนายมาร์ก โลว์ค็อก ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ กระทรวงพัฒนาระหว่างประเทศของอังกฤษ กล่าวว่า เวียดนามจะเป็นอีกประเทศนอกเหนือไปจากบังกลาเทศ สำหรับชาติที่มีพื้นที่ต่ำที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

    เนื่องจากเวียดนามมีชายฝั่งทะเลเป็นแนวยาว 3,200 กิโลเมตร และเป็นพื้นที่ต่ำ ถ้าน้ำทะเลขึ้นสูง 1 เมตร เวียดนามจะสูญเสียพื้นที่ไปร้อยละ 12 และกลืนบ้านเรือนประชาชนกว่าร้อยละ 23 จากประชากร 84 ล้านคน

    ความแปรปรวนทางอากาศได้แสดงให้เห็นในปีที่แล้ว เมื่อเวียดนามเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นกว่า 10 ลูก ขณะที่ภาวะโลกร้อนจะทำให้เกิดพายุไต้ฝุ่นถี่ขึ้นและแรงขึ้น

    คำเตือนนี้จึงไม่มีอะไรที่เกินจริง



    http://www.matichon.co.th/khaosod/k...g=03for20110250&day=2007/02/11&sectionid=0306


    กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550


    เซเรส กลุ่มเพื่อการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม ได้วิพากษ์วิจารณ์ ถึงบริษัทชั้นนำติดกลุ่มเมินแก้โลกร้อน
    เมินแก้ปัญหาโลกร้อน บริษัทพลังงานชั้นนำของโลก10 แห่งอาทิเช่น เอ็กซอน โมบิล คอร์ป , โคโนโคฟิลิปส์-เอ็กซอน โมบิล และเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ อิงค์ บริษัทค้าปลีกของสหรัฐ ประสบความล้มเหลวในการให้ความสำคัญกับต้นตอ และผลพวงต่างๆ ทางด้านอุตสาหกรรม ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมาก ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ต้นตอสำคัญทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การเปิดเผยรายชื่อบริษัทชั้นนำครั้งนี้ของเซเรส ได้รับการสนับสนุนจากบรรดานักลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและศาสนา,กองทุนบำนาญในนิวยอร์ก,คอนเนตทิคัต,นอร์ทแคโรไลนา และสหภาพแรงงานที่สำคัญกลุ่มหนึ่ง

    เซเรส ยังเปิดเผยรายชื่อบริษัทอื่นๆ ที่เพิกเฉยต่อการแก้ปัญหาโลกร้อน ได้แก่ แมสซีย์ อีเนอร์จี โค บริษัทผลิตถ่านหิน,เอซีอี จำกัด บริษัทประกัน และทีเอ็กซ์ยู คอร์ป ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักลงทุนในฐานะที่เสนอให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ใช้พลังงานถ่านหินจำนวน 11 แห่งในรัฐเท็กซัส


    http://www.bangkokbiznews.com/2007/02/14/news_22797823.php?news_id=22797823

    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2007
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    โลกร้อนทำอาหารทะเลเป็นพิษมากขึ้น

    นักวิทยาศาสตร์ชี้ ภาวะโลกร้อน และมหาสมุทรปนเปื้อนสารเคมีมากขึ้นทำให้คนเผชิญกับอาหารทะเลเป็นพิษกันมากขึ้น <o:p></o:p>
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สำนักข่าวเอพี - อุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้น และมลภาวะที่มากขึ้น ส่งผลให้มนุษย์เผชิญกับภาวะอาหารทะเลเป็นพิษ จากสารพิษที่เรียกว่า "ซิกัวเทอรา"กันมากขึ้น <o:p></o:p>
    ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า ในแต่ละปีมีคนทั่วโลกป่วยเป็นโรคนี้กันมากถึง 50,000 คน และกว่า 90% กรณีที่เกิดขึ้นไม่มีการรายงาน ขณะที่บรรดานักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดอาหารเป็นพิษจากซิกัวเทอรานั้นเลวร้ายลงเนื่องจากมลภาวะ และภาวะโลกร้อนได้สร้างความเสียหายให้กับแนวปะการังซึ่งเป็นแหล่งหากินของปลาหลายสายพันธุ์ <o:p></o:p>
    นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ปลาหลายสิบชนิดที่คนนิยมนำมาบริโภคกัน อาทิ ปลากรูเปอร์ และปลาสากยักษ์หรือปลาบาร์ราคูดานั้น อาศัยอยู่ใกล้แนวปะการัง ทำให้สะสมสารเคมีที่เป็นพิษเข้าไว้ในร่างกาย จากการกินปลาเล็กปลาน้อย ที่กินพวกสาหร่ายที่เป็นพิษเข้าไป <o:p></o:p>
    เมื่อมหาสมุทรต่างๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น อันเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน และเปรอะเปื้อนไปด้วยสารเคมี ที่ถูกปล่อยลงสู่มหาสมุทร แนวปะการังจึงได้รับความเสียหาย และทำให้สาหร่ายเป็นพิษ <o:p></o:p>
    นาย<st1:personName productid="โดนัลด์ เอ็ม" w:st="on">โดนัลด์ เอ็ม</st1:personName> แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการสถาบันมหาสมุทรตามแนวชายฝั่ง ประจำสถาบันสมุทรศาสตร์วูดส์ โฮล ในรัฐแมสซาชูเสตต์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ทั่วโลกประสบปัญหาสารพิษจากสาหร่ายในอาหารทะเลมากขึ้นกว่าเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วค่อนข้างมาก อีกทั้งยังมีสารพิษเพิ่มขึ้น สาหร่ายสายพันธุ์ที่ผลิตสารพิษมากขึ้น และมีพื้นที่ได้รับผลกระทบมากขึ้นทั่วโลก <o:p></o:p>
    ทั้งนี้ อาหารเป็นพิษจากซิกัวเทอรา ซึ่งเป็นท็อกซินที่เกิดในแพลงก์ตอนแกมไบเออร์ดิสคุส ท็อกซิคุส ซึ่งเป็นอาหารของสัตว์น้ำขนาดเล็กบางประเภท ที่ถูกปลาใหญ่กินเป็นอาหารอีกต่อหนึ่งนั้น เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วในแถบแปซิฟิกใต้ ทะเลแคริเบียน และในเขตที่อุ่นกว่าอย่างมหาสมุทรอินเดีย <o:p></o:p>
    แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อาหารทะเลเป็นพิษชนิดนี้กลับแพร่หลายมาสู่เอเชีย ยุโรป และสหรัฐซึ่งมีร้านอาหารเสิร์ฟปลาจากแนวปะการังให้ลูกค้ากันมากขึ้น โดยที่ฮ่องกงซึ่งนำเข้าปลาทะเลราคาแพง มาเสิร์ฟให้ลูกค้านั้น พบอาหารทะเลเป็นพิษเพิ่มขึ้นจากกว่า 10 รายต่อปีในทศวรรษ 2523 เป็นกว่าร้อยรายต่อปีแล้วในปัจจุบัน <o:p></o:p>
    รายงานข่าวแจ้งว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหนทางตรวจสอบว่า ปลาตัวไหนมีสารพิษซิกัวเทราอยู่ในตัว เพราะโมเลกุลนั้นซับซ้อนมาก และแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค และที่สำคัญยังไม่มียาแก้พิษร้ายตัวนี้

    หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
    2 เมษายน พ.ศ. 2550

    -------------------------------------------------------------------------------------------------
    ตึกระฟ้าแข่งกันสูงและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

    โครงการตึกระฟ้าหลายแห่งพากันเปิดตัวในที่ประชุมอสังหาริมทรัพย์เอ็มไอพีไอเอ็มที่เมืองคานส์ของฝรั่งเศส โดยแข่งกันทั้งด้านความสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และออกแบบแปลกตา <o:p></o:p>
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : โครงการอาคารบูร์จดูไบของดูไบที่จะสร้างเสร็จในปีหน้า ยังไม่ยอมเปิดเผยความสูงทั้งหมด แต่คาดว่าจะสูงถึง <st1:metricconverter productid="800 เมตร" w:st="on">800 เมตร</st1:metricconverter> ทิ้งห่างอาคารไทเป 101 ของไต้หวันที่สูง <st1:metricconverter productid="509 เมตร" w:st="on">509 เมตร</st1:metricconverter> และครองตำแหน่งตึกสูงที่สุดในโลกในขณะนี้ อาคารบูร์จดูไบจะประกอบด้วยร้านเช่า 162 ชั้น โรงแรมขนาด 160 ห้องพัก 1 แห่งและที่พักอาศัยระดับหรู ปัจจุบันดูไบมีโรงแรมสูงที่สุดในโลกอยู่แล้วชื่อบูร์จอัลอาหรับ รูปทรงคล้ายเรือใบ สูง <st1:metricconverter productid="321 เมตร" w:st="on">321 เมตร</st1:metricconverter> <o:p></o:p>
    ดูไบยังเปิดตัวโครงการอาคารดูไบเพนโตมิเนียม อาคารที่พักอาศัยหรูสูง <st1:metricconverter productid="516 เมตร" w:st="on">516 เมตร</st1:metricconverter> 120 ชั้น แต่ละชั้นเป็นที่พักเดี่ยว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกหรูหราครบครัน ราคาตั้งแต่ 2.5-10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 87.50-350 ล้านบาท) <o:p></o:p>
    ส่วนโครงการอาคารเฟดเดอเรชั่นทาวเวอร์ ในกรุงมอสโก ของรัสเซีย จะมีความสูง 354-<st1:metricconverter productid="448 เมตร" w:st="on">448 เมตร</st1:metricconverter> เป็นทั้งที่พักอาศัย สำนักงาน ร้านอาหาร และศูนย์ออกกำลังกาย เมื่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นอาคารสูงที่สุดในยุโรป <o:p></o:p>
    โครงการต่าง ๆ ที่นำเสนอในที่ประชุมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าบรรดาสถาปนิกกำลังเกาะกระแสนิยมสากล ด้วยการออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องการประหยัดไฟฟ้าและน้ำ เช่น มีผนังสองชั้นให้ลมธรรมชาติพัดผ่าน หรือนำน้ำฝนมาหมุนเวียนใช้ใหม่ <o:p></o:p>
    นอกจากนี้ยังจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันเพลิงไหม้และการก่อการร้ายอย่างเข้มงวดด้วย ส่วนด้านรูปทรงนั้นจะไม่เป็นอาคารสี่เหลี่ยมแบบเดิม ๆ เช่น อาคารทัวร์แพรมีรูปทรงคล้ายปล่องควันเรือที่โค้งบิดเบี้ยว อาคารรัสเวียทาวเวอร์มีรูปทรงสามเหลี่ยม


    หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
    23 มีนาคม พ.ศ. 2550
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ดวงอาทิตย์จุดเทอร์โบใส่อุกกาบาต

    นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่ตกกระทบบนพื้นผิวส่งผลให้อุกกาบาตหมุนเร็วขึ้น และมีวงโคจรที่ไม่อยู่นิ่ง แสดงว่าระบบสุริยะเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาไม่ซ้ำซากน่าเบื่อ <o:p></o:p>
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติสามารถยืนยันทฤษฎีที่เชื่อกันมานานว่า คลื่นแสงจากดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อการหมุนรอบตัวเองของอุกกาบาต เนื่องจากคลื่นแสงกระทบยังพื้นผิวที่บิดเบี้ยวของอุกกาบาตเหมือนมีแรงมาช่วยหมุน แต่ทฤษฎีดังกล่าวยังไม่มีใครพิสูจน์ให้เห็นชัดเสียที ทีมงานจึงเฝ้าจับตาอุกกาบาตสองก้อน ก้อนแรกมีขนาด <st1:metricconverter productid="1.5 กม." w:st="on">1.5 กม.</st1:metricconverter> อีกก้อนขนาด 111 เมตร <o:p></o:p>
    ทฤษฎีดังกล่าวเสนอว่า เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับอุกกาบาต พลังงานแสงอาทิตย์จะถูกดูดกลื่นเข้าไปบนผิวอุกกาบาตก่อนจะแผ่คลื่นความร้อนกลับไปสู่อวกาศ เนื่องจากอุกกาบาตไม่ได้มีรูปร่างกลมเหมือนดาวเคราะห์ คลื่นความร้อนจากดวงอาทิตย์จึงเปรียบเสมือนกับเครื่องยนต์ขับเคลื่อนที่ผลักให้อุกกาบาตหมุนเร็วขึ้น <o:p></o:p>
    นักวิจัย กล่าวว่า อุกกาบาตจะหมุนติ้วเร็วมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับพื้นผิวที่แสงแดดตกกระทบ เปรียบได้กับกังหันลมที่ลมเข้ามาปะทะ ถ้าลมแรงมันก็หมุนเร็ว ถ้าลมเอื่อยก็หมุนช้าลง <o:p></o:p>
    นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเบลฟาสต์ ไอร์แลนด์ และมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ ได้คำนวณพลังแสงอาทิตย์ที่มีต่ออุกกาบาต และเมื่อนำไปคำนวณหารอบหมุนตัวของอุกกาบาตในช่วงหลายปีพบว่าสอดคล้องกับสูตรที่คำนวณไว้ <o:p></o:p>
    พวกเขาใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่และเรดาร์เฝ้าจับตาดูการหมุนรอบตัวเองของอุกกาบาต 2000 พีเอช 5 อุกกาบาตลูกเล็กที่อยู่ใกล้โลก พบว่าหมุนเร็วขึ้นปีละ 1/พันวินาที มีผลให้วงโคจรของมันเข้าๆ ออกๆ วงโคจรของโลก และมีระยะห่างจากโลกใกล้สุดเท่ากับ 5 เท่าของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ <o:p></o:p>
    "ผลกระทบที่เกิดขึ้นแม้จะเล็กน้อยมาก แต่ถ้าเทียบกับขนาดของอุกกาบาตขนาดเล็กแล้วต้องยอมรับว่ามันหมุนเร็วขึ้นมาก เพราะอุกกาบาตลูกนี้หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 12 นาทีเท่านั้น" นักวิจัย กล่าว <o:p></o:p>
    นักวิจัยยังกล่าวถึงอพอลโล 1862 ซึ่งเป็นอุกกาบาตอีกลูกที่ใหญ่กว่าว่า รอบที่หมุนเร็วขึ้นอาจทำให้อุกกาบาตลูกนี้กระเทาะ เห็นได้จากอุกกาบาตลูกนี้มีบริวารขนาดเล็กวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เหมือนดวงจันทร์ ซึ่งน่าจะเป็นเศษที่แตกออกมา

    หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
    12 มีนาคม พ.ศ. 2550
    ------------------------------------------------------------------------------------------------

    ยุโรปเตรียมสร้างจักรวาลขึ้นใหม่

    <table class="MsoNormalTable" style="width: 100%;" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style=""> <td style="padding: 1.5pt;" valign="top">
    ทีมนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิเร่งมือสร้างอุปกรณ์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่และแพงที่สุดในโลก จำลองจุดเริ่มต้นของกำเนิดจักรวาล ไขความลับที่มนุษย์ใคร่รู้มานาน "จักรวาลคืออะไร ชีวิตมาจากไหน"<o:p></o:p>
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สัปดาห์ที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากศูนย์ปฏิบัติการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือเซิร์น (CERN) ซึ่งตั้งอยู่บนชายแดนประเทศฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมคนงานได้นำแท่งแม่เหล็กน้ำหนัก 2,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับเครื่องบินโดยสารจำนวน 5 ลำ ฝังลงในใต้ดินที่ลึกลงไป <st1:metricconverter productid="100 เมตร" w:st="on">100 เมตร</st1:metricconverter> แท่งแม่เหล็กกำลังสูงดังกล่าวจะติดตั้งอยู่ในอุโมงค์วงแหวนที่จะเส้นรอบวงราว <st1:metricconverter productid="27 กิโลเมตร" w:st="on">27 กิโลเมตร</st1:metricconverter> <o:p></o:p>
    แท่งแม่เหล็กนี้เป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่เรียกว่า แอลเอชซี ออกแบบมาเพื่อใช้เร่งความเร็งของอนุภาคอย่างโปรตอน 2 ตัว ให้มาชนกันด้วยความเร็วสูง เพื่อหาสสารลึกลับที่อาจพบจากการปะทะกันของโปรตอน เครื่องแอลเอชซีจะเดินเครื่องที่อุณหภูมิต่ำกว่า <st1:metricconverter productid="-271 องศาเซลเซียส" w:st="on">-271 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> อนุภาคจะวิ่งชนกันด้วยความเร็ว 800 ล้านเท่าของวินาที <o:p></o:p>
    โครงการวิจัยมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนี้หวังว่าจะใช้เครื่องแอลเอชซีสร้าง "บิ๊กแบง" ขึ้นมาอีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า จักรวาลเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อ 13 พันล้านปีที่แล้ว หรือที่เรียกว่า บิ๊กแบง ซึ่งให้พลังงานมหาศาล และยังเป็นจุดเริ่มต้นของสสารพื้นฐานก่อนที่จะเกิดกาแล็กซี กลุ่มดาว ต้นไม้ และสิ่งมีชีวิต <o:p></o:p>
    นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า จักรวาลประกอบด้วยสสาร 2 ชนิด ได้แก่ สสารปกติ เป็นสสารที่มีมวล เช่น ก้อนหิน ก๊าซ ต้นไม้ เหล็ก ฯลฯ และสสารที่เป็นสื่อนำแรง ซึ่งสามารถแยกเป็น 4 ชนิด แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม และแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ปรารถนาอย่างยิ่งคือ ทฤษฎีเดียวที่นำมาใช้อธิบายแรงทั้ง 4 ได้หมด หรือที่เรียกว่า ทฤษฎีสนามรวม การทดลองที่จะมีขึ้นครั้งนี้อาจได้ข้อมูลที่นำมาอธิบายกำเนิดจักรวาลได้ชัดเจนขึ้น <o:p></o:p>
    ตามแผนที่วางไว้ เครื่องแอลเอชซีจะเริ่มทำการทดลองครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน แท่งแม่เหล็กและอุปกรณ์อื่นๆ จะทำหน้าที่ดันให้กระแสของอนุภาคโปรตอนที่อยู่ตรงข้ามกันเดินทางเข้าหากันด้วยความเร็วใกล้กับความเร็วแสง <o:p></o:p>
    ตามแบบจำลองที่ออกแบบไว้คาดว่าเมื่ออนุภาคมาชนกันด้วยความเร็วระดับดังกล่าวจะเกิดอนุภาคตัวใหม่หลายตัว เหมือนกับการสร้างจักรวาลขึ้นมาอีกครั้ง หากการทดลองประสบความสำเร็จ ผลที่ได้สามารถนำไปอธิบายกำเนิดของมวลสารต่างๆ ได้<o:p></o:p>
    </td> </tr> </tbody></table>
    หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
    5 มีนาคม พ.ศ. 2550
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    เขตทะเลมรณะแพร่กระจายทั่วโลก

    นักวิทยาศาสตร์เริ่มวิตก พบเขตทะเลมรณะที่สัตว์น้ำตายเกลี้ยงในหลายพื้นที่ของโลก <o:p></o:p>
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : พื้นที่มรณะในมหาสมุทร ที่เรียกว่า "เดดโซน" กำลังแพร่กระจายออกไปทั่วโลก อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้ทิศทางลมเปลี่ยนแล้วพลอยทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรเปลี่ยนไปด้วย จนเป็นเหตุให้สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในทะเลบริเวณนั้นตายจนหมด <o:p></o:p>
    รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมา น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณนอกชายฝั่งรัฐโอเรกอนในสหรัฐ ที่เคยมีสีฟ้าใสกลับกลายเป็นสีเขียวอมน้ำตาลอย่างกะทันหันเพราะเกิดมีแพลงตอนเพิ่มขึ้นอย่างผิดธรรมชาติในระดับที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน <o:p></o:p>
    หลังจากนั้นแพลงตอนเหล่านั้นได้ตายลงแล้วจมลงสู่ก้นมหาสมุทรทำให้ระดับออกซิเจนในน้ำลดลงเหลือศูนย์ มหาสมุทรที่เคยมีชีวิตชีวากลับกลายเป็นเขตมรณะ <o:p></o:p>
    บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่นั่งเรือดำน้ำออกสำรวจพบแต่ซากปูและหนอนทะเลกระจายเกลื่อนทั่วพื้นมหาสมุทร และไม่มีปลาอยู่เหลือแม้แต่ตัวเดียว <o:p></o:p>
    นักวิทยาศาสตร์เสนอรายงานต่อที่ประชุมประจำปีของสมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อเมริกันในนครซานฟรานซิสโกว่า การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศวิทยาทางทะเลที่มีความสมดุลเป็นอย่างดีทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะบริเวณนอกชายฝั่งอเมริกาใต้ และแอฟริกา <o:p></o:p>
    ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องต้องกันว่าภาวะโลกร้อนเป็นตัวการที่ทำให้เกิดหายนะทางทะเลครั้งนี้ โดยไปทำให้ลมตามฤดูกาลเกิดการผันผวน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมลมเหล่านี้ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง <o:p></o:p>
    โดยกระแสลมตามฤดูกาลที่พัดผ่านทะเลส่งผลกระทบต่อกระแสน้ำในมหาสมุทรโดยได้พัดเอาผิวน้ำทะเลออกไปแล้วแทนที่ด้วยน้ำเย็นกว่าจากข้างล่าง แต่อุณหภูมิบนพื้นดินที่อุ่นกว่าส่งผลให้เกิดความกดอากาศสูงขึ้น และกระแสลมที่แรงขึ้นทำให้มีผลกระทบต่อกระแสน้ำ <o:p></o:p>
    ปกติแล้วผลกระทบจากสิ่งนี้จะเป็นที่คาดเดาได้ แต่ในช่วงที่ผ่านมากลับกลายเป็นไม่แน่นอนและผันผวน สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป <o:p></o:p>
    ศ.<st1:personName productid="เจน ลูบเชนโก" w:st="on">เจน ลูบเชนโก</st1:personName> จากมหาวิทยาลัยโอเรกอน กล่าวว่า ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา 50 ปี แสดงให้เห็นว่าสภาวะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมชี้ว่าภาวะกระแสน้ำในมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหลายภูมิภาคแล้ว โดยเฉพาะนอกชายฝั่งเปรู ชิลี และบางส่วนของแอฟริกา

    หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
    20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
     
  8. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,105
    ค่าพลัง:
    +2,696
    ไม่ได้เข้ามาซะนาน สนุกกันจังนะครับ
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** แก้ปัญหา ... โลกร้อน ***

    ทุกสิ่งบนโลก...เกิดจาก ...."จิตใจมนุษย์"
    เพราะ.......มนุษย์ ขาดการพิจารณาตนเอง
    หาก... มนุษย์ เริ่มรู้จัก....ฝึกพิจารณาตนเอง
    การกระทำ....พฤติกรรม และ นิสัยมนุษย์...จะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

    เพื่อให้...มนุษย์ รู้จักพิจารณาตนเอง
    มนุษย์ทั้งมวล....จึงต้องพึ่ง ..."สัจจะ"
    การตั้งใจทำสิ่งที่ดี...ให้กับตนเองทุกวัน....อย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมง

    ผลการกระทำ...ของมนุษย์ทั้งมวล....จะไม่สูญสลาย
    และ จะมีผลตอบแทน ต่อมนุษย์ และสภาพแวดล้อมของโลก
    ที่มนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ ....ต้องอาศัยพึ่งพากัน

    การให้มนุษย์ประพฤติตน...โดยมี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2007
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    บะหมี่สำเร็จรูปกินง่าย อร่อยปากลำบาก-สุขภาพ

    [​IMG]


    "โซเดียม" อันตรายที่ซ่อนอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

    ในข่าวใหญ่ของเดือนตุลาคมต้องมีข่าวกรณี "มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค" เผยแพร่ผลการสำรวจปริมาณ "โซเดียม" อันตรายที่ซ่อนอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งพบว่า บะหมี่สำเร็จรูปส่วนใหญ่มีปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรสมากกว่าปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน จุดเด่นของบะหมี่สำเร็จรูปนั้นเป็นอาหารปรุงกินง่าย ราคาถูก แต่ข้อเสียสำคัญคือไม่มีสารอาหาร ทั้งยังส่งผลเสียต่อสุขภาพถ้าบริโภคมากไป ความห่วงใยว่าบะหมี่สำเร็จรูปจะเป็นภัยเงียบไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมๆ กับยอดขายบะหมี่สำเร็จรูปที่พุ่งสูงถึง 6,500 ล้านซอง/ถ้วยต่อปี


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#f1e9df><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    ญี่ปุ่น ผู้คิดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


    บะหมี่สำเร็จรูปที่คนทั่วโลกนำไปใส่น้ำร้อนต้มรับประทานกันทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากความคิดของ "โมโมฟุกุ อันโด" ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทนิชชิน ประเทศญี่ปุ่น

    อันโดเริ่มคิดถึงการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายหลังจากธุรกิจการเงินของเขาล้มละลายในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    ขณะนั้นญี่ปุ่นเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร และได้รับบริจาคแป้งสาลีจากสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก อันโดจึงคิดนำแป้งสาลีมาแปรรูปทำเป็นเส้นบะหมี่แห้งๆ ซึ่งผ่านการแช่ในน้ำซุปและทอดด้วยน้ำมันร้อนจัดก่อนนำมาผึ่งให้แห้งเพื่อที่จะได้เก็บไว้นานๆ นำมากินได้ทันทีเมื่อเติมน้ำร้อนเข้าไปในบะหมี่ ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR bgColor=#f1e9df><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>แนวโน้มการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปที่พุ่งสูงมากขึ้นทุกขณะ ข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า บะหมี่สำเร็จรูปไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ

    ปี 2501 บริษัทนิชชินวางจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสซุปไก่เป็นครั้งแรกในโลก ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ "ชิกเก้น ราเมน" ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติพฤติกรรมการบริโภคอาหารครั้งสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20

    ปัจจุบัน บ.นิชชินทำยอดขาย 1 แสนล้านบาทต่อปี และโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าของตนให้มีมูลค่าสูงขึ้นด้วยการผลิต "บะหมี่สำเร็จรูปสำหรับกินในอวกาศ" แนวโน้มการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปที่พุ่งสูงมากขึ้นทุกขณะ ทำให้หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคและชุมชนการแพทย์เริ่มส่งเสียงเตือนผู้บริโภคดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า บะหมี่สำเร็จรูปไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งอาจก่อให้เกิดโทษต่อสุขภาพ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR bgColor=#f1e9df><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ร่างกายไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการกินบะหมี่สำเร็จรูป

    สมาคมผู้บริโภคออสเตรเลีย(เอซีเอ) สำรวจพบว่า บะหมี่สำเร็จรูป 1 ซองมี "ไขมัน" มากพอๆ กับ "อาหารขยะ" จำพวกมันฝรั่งทอดจำนวน 1 ห่อเล็ก หรือเท่ากับพิซซ่า 1 ชิ้นเล็ก รวมทั้งมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าอาหารขยะอีกด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเด็ก ที่สำคัญ "น้ำมัน" ทอดบะหมี่สำเร็จรูปมักเป็นน้ำมันพืชราคาถูก ซึ่งมีคุณสมบัติแตกตัวเป็น "กรดไขมันชนิดทรานส์" ที่เป็น 1 ในปัจจุบันกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ

    ตามความเห็นของเอซีเอ ร่างกายจึงไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการกินบะหมี่สำเร็จรูป สิ่งที่ได้คืออาหารไร้โปรตีน เต็มไปด้วยไขมัน แป้งคาร์โบไฮเดรต สารเคมี ผงชูรส และโซเดียม ในปี 2548 คาดว่า คนไทยบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปบรรจุซอง 60 กรัม มากมโหฬารถึง 2,000 ล้านซอง คิดเป็นเงิน 9,500 ล้านบาท ภัยเงียบสำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่ในบะหมี่เหล่านี้ก็คือ "โซเดียม" ในซองเครื่องปรุงรส
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR bgColor=#f1e9df><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>บะหมี่ร้าย เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และทำให้ไตทำงานหนัก

    ตามข้อแนะนำของบัญชีสารอาหารกำหนดว่า คนไทยควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ขณะนี้คนไทยบริโภคล้ำหน้าตัวเลขดังกล่าวไปแล้ว โซเดียมในบะหมี่สำเร็จรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบะหมี่สำเร็จรูปแบบซอง "บิ๊กแพ็ก" จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และทำให้ไตทำงานหนัก

    เว็บไซต์ข่าวการแพทย์ WebMD ของสหรัฐรายงานว่า สเตฟานี่ บรู๊กส์ นักโภชนาการในซานฟรานซิสโกเตือนว่า คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ป่วยด้วยโรคหัวใจ กินยาขับปัสสาวะ และยารักษาอาการซึมเศร้าบางชนิดไม่ควรรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปโดยเด็ดขาด เพราะมีโซเดียมกับผงชูรสสูง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR bgColor=#f1e9df><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>บะหมี่สำเร็จรูปใส่สี ใส่สารทำให้กรอบ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

    เหตุที่ไม่ค่อยเกิดกรณีกินบะหมี่สำเร็จรูปมากๆ แล้วป่วย เป็นเพราะผู้บริโภคสินค้าชนิดนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ซึ่งร่างกายยังแข็งแรง

    ข้อสงสัยอีกประการเกี่ยวกับพิษภัยของบะหมี่สำเร็จรูปที่แพทย์เตือนไว้ก็คือ การที่บะหมี่สำเร็จรูปใส่สี ใส่สารทำให้กรอบ และผงชูรสในปริมาณมากๆ รวมทั้งถูกทอดในน้ำมันซึ่งผ่านการทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง อาจจะทำให้เกิดการสะสมของ "คาร์บอน" ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งขึ้นมาในสินค้าประเภทนี้หรือไม่

    ยิ่งไปกว่านั้น บะหมี่สำเร็จรูปยังใส่ "ผงชูรส" ซึ่งเป็นสารเพิ่มรสชาติมากเกินไป ในกรณีของผู้ที่แพ้ผงชูรสเมื่อรับประทานเข้าไป อาจเกิดอาการเหนื่อยอ่อน ปวดหัว หรือมีไข้ด้วยสภาพเศรษฐกิจบวกกับอุปนิสัยเคยชินกับการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปย่อมทำให้การละเลิกรับประทานสินค้าชนิดนี้เป็นไปได้ยาก แต่ถ้าคิดจะรับประทานก็ควรใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อลด "โทษ" ที่ซุกซ่อนอยู่ในบะหมี่สำเร็จรูป
    เช่น ควรต้มให้สุก อย่ากินเปล่าๆ โดยไม่เติมน้ำ เพราะบะหมี่จะเข้าไปพองในกระเพาะอาจทำให้เกิดอาการจุกแน่นได้นอกจากนี้ ควรใส่ไข่และผักลงไปด้วยทุกครั้งเพื่อเพิ่มโปรตีนกับวิตามิน รวมทั้งเมื่อต้มเสร็จแล้วให้เทน้ำซุปออกสักครึ่งหนึ่งเพื่อลดปริมาณสารเคมีไม่พึ่งประสงค์ในน้ำซุป

    แหล่งที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/30.html
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หมายเหตุ

    คงมีเพื่อนๆ หลายท่านคิดกักตุนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี้ เอาไว้กินในช่วงเกิดภัยพิบัติ จึงควรรับรู้ถึงพิษภัยอันตรายจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี้เอาไว้ก่อน และเรียนรู้วิธีบริโภคอย่างปลอดภัยเอาไว้ด้วย

    สำคัญมาก สำหรับสาวกบะหมี่สำเร็จรูป วิธีต้มบะหมี่อย่างปลอดภัย ไม่ทำลายสุขภาพ ปกติเราจะใส่บะหมี่ในน้ำพร้อมเครื่องปรุงและต้มประมาณ 3 นาทีจนเดือด ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด การใส่เครื่องปรุงในน้ำและต้มจนเดือด จะทำให้ผงชูรสเปลี่ยนเป็นสารพิษ และเส้นบะหมี่สำเร็จรูปซึ่งเคลือบด้วย wax ผสมผงชูรส ก็จะกลายสภาาพเป็นสารพิษเมื่อต้มในน้ำเดือด ซึ่งร่ายกายต้องใช้เวลา 4 - 5 วันในการขับ wax ผสมผงชูรสซึ่งกลายสภาพ เป็นสารพิษนี้ออกจากร่างกาย

    นี่คือวิธีต้มบะหมี่ที่ถูกต้อง

    1.เทบะหมี่สำเร็จรูปในน้ำและต้มจนเดือด
    2.เมื่อบะหมี่สุกแล้ว เทน้ำที่ต้มบะหมี่ทิ้ง (เป็นการเท wax ผสมผงชูรสซึ่งเป็นสารพิษทิ้งไป)
    3.ต้มน้ำให้เดือดอีกครั้ง และใส่เส้นบะหมี่ที่ต้มไว้แล้วตามข้อ 2 และปิดไฟ (ปิดเตาแก๊ส หรือเชื้อเพลิงอะไรก็แล้วแต่ที่ใช้ต้มน่ะ เมื่อปิดไฟ (เชื้อเพลิง ฯลฯ) เรียบร้อยแล้ว จึงใส่เครื่องปรุงขณะน้ำยังร้อน**

    ผงชูรสในเครื่องปรุงจะได้ไม่กลายเป็นสารพิษอีก ถ้าเป็นบะหมี่ชนิดแห้ง เมื่อเทน้ำตามข้อ 2 ทิ้งแล้ว จึงใส่เครื่องปรุงผสมให้เข้ากัน ก่อนรับประทาน โปรดเปลี่ยนวิธีต้มบะหมี่สำเร็จรูปแบบเดิมๆ ของคุณโดยด่วน และใช้วิธีที่ถูกต้องนี้โดยเร็วที่สุด เพื่อสุขภาพของคุณเอง

    ที่มา http://www.navagaprom.com/#
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2007
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** อาหารประทังชีวิต ****

    บะหมี่สำเร็จรูป...จะทำให้มีสารอาหารสมบูรณ์ ไม่มีสารพิษ....ก็ทำได้
    อยู่ที่ว่า... "เขา" จะจริงใจ.... จะทำ...หรือ ไม่ทำ !!!!!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ระวัง...ลมบ้าหมู ลมหมุน กับเมฆดำ...จะเกิดง่ายขึ้น
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีอาหารชนิดหนึ่ง ที่เหมาะสมกับบ้านเรามาก เพาะเลี้ยงง่าย มีคุณค่าทางอาหารสูง และในหลวงท่านยังได้ปลูกไว้ ทดลองไว้ในโครงการสวนจิตรลดา นั่นคือสาหร่ายเลียวทองครับ ผมลงข้อมูลให้ดูว่าเลี้ยงง่าย ทุนน้อย เทคโนโลยี่ไม่ต้องสูงมากแบบเมื่อก่อนแล้ว และมีงานวิจัย ในญี่ปุ่นหลายพันชิ้น ยืนยันคุณค่าของมัน

    สาหร่ายสไปรูลิน่า บนแผ่นดินร้อยเอ็ด

    [​IMG]

    บนผืนดินอีสานตอนกลาง อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ใน 17 อำเภอ 3 กิ่งอำเภอ ถือว่าเป็นอำเภอที่แห้งแล้งที่สุด นายนพพร จันทรถง ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นำยุทธศาสตร์จังหวัดร้อยเอ็ด "แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิชั้นดี ที่ท่องเที่ยวมากแห่ง แรงงานมีคุณภาพ" พัฒนาศักยภาพพื้นที่ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการประสานงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ค้นหาค้นคว้าภูมิปัญญาของคนเมืองร้อยเอ็ด หามาเพิ่มเติมให้เต็ม อำเภอศรีสมเด็จ เป็นอำเภอที่แปลกและเป็นดินแดนที่มหัศจรรย์ พื้นที่ดินร่วนปนทรายถึงทรายจัด เกษตรกรที่อำเภอศรีสมเด็จ นำพืชต่างถิ่นมาปลูกทดแทนพืชที่มีอยู่ดั้งเดิมจนเป็นรายได้หลัก อาทิ หน่อไม้ฝรั่ง แตงแคนตาลูป แตงโซโย่ และพืชมหัศจรรย์อย่างยาสูบพันธุ์เตอร์กิ๊ส ที่สร้างรายได้ปีละนับร้อยล้านบาท​


    นายนพพร จันทรถง ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า การพัฒนาจังหวัดร้อยเอ็ด ให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก บนพื้นฐานที่มีแรงงานที่มีคุณภาพ และควบคู่ไปกับแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม บริษัท เฟิสท์ ไลน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดย นายคงพร พรรณ์แผ้ว กรรมการผู้จัดการ และ นางมะลิวัลย์ พรรณ์แผ้ว เป็นผู้ที่นำกิจกรรมการสร้างเงินสร้างงานเพื่อชาวบ้าน คือการเลี้ยงสาหร่าย "สไปรูลิน่า" ที่บ้านเลขที่ 97 หมู่ที่ 13 ตำบลศรีสมเด็จ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นงานกึ่งการทดลองกึ่งวิทยาศาสตร์ บนความสำเร็จเพียงระยะเวลาสั้นๆ คือ 10 วัน สามารถได้เงินหลายแสนบาท ปัจจุบันมีสมาชิกเกษตรกรร่วมกิจกรรม 12 คน


    ครั้งนี้ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่บ้านก่อ หมู่ที่ 13 ตำบลศรีสมเด็จ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ห่างจากตัวอำเภอเพียง 700 เมตร นายคงพร และ นางมะลิวัลย์ พรรณ์แผ้ว เล่าในรายละเอียดให้ฟังว่า


    ตนเองมองเห็นความสำคัญของสาหร่าย "สไปรูลิน่า" ซึ่งเป็นสารสกัดจากสาหร่ายเพื่อบำรุงและเสริมสร้างสุขภาพมากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะสามารถลดน้ำตาลในร่างกาย ทำให้ตนเองตัดสินใจเพาะเลี้ยง "สาหร่ายเกลียวทอง" สไปรูลิน่า เพื่อขายให้นายทุนจนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เปิดรับสมาชิกและชักชวนเพื่อนบ้านกว่า 12 คน ตั้ง "กลุ่มสาหร่ายเกลียวทอง" เมื่อปี 2534 เพื่อผลิตและส่งไปจำหน่ายที่ตลาดกรุงเทพฯ ลำปาง และเชียงใหม่ พร้อมทั้งนำสาหร่ายมาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ขายด้วย ตลาดมีการตอบสนองดีมากไม่เพียงพอต่อความต้องการ


    นายคงพร กล่าวอีกว่า สมาชิกที่ร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่มาด้วยความสมัครใจในการจัดตั้งกลุ่ม ด้านการตลาดสาหร่ายเกลียวทองยังเป็นที่ต้องการสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ในการทำเป็นอาหารสัตว์เศรษฐกิจ เช่น อาหารกุ้งกุลาดำ ปลามังกร ปลาเมอรี่ ปลาอโรเวนา และปลาสวยงามชนิดต่างๆ และบางส่วนจะมีนายทุนซื้อไปสกัดเอา "สไปรูลิน่า" ก่อนนำไปผลิตเป็นสินค้าต่างๆ ได้อีกหลายชนิด หลังจากได้รวมกลุ่มกันแล้ว มีการแบ่งระบบการทำงาน ได้จัดรูปแบบการบริหารกลุ่ม โดยตนเอง และนางมะลิวัลย์ ภรรยา เป็นผู้คอยดูแลเรื่องตลาด และตรวจสอบคุณภาพสาหร่ายให้กับสมาชิก หรือเป็นผู้อำนวยความสะดวก นัยหนึ่งคือคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับสมาชิกของกลุ่มเพราะงานด้านการผลิตเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน การจัดการสมาชิกมีการเลี้ยงสาหร่ายด้วยตัวเองแบบการปฏิบัติจริง โดยให้สมาชิกมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน


    นางมะลิวัลย์ เล่าให้ฟังว่า การเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองนั้น ในแต่ละวันสมาชิกจะใช้เวลามาเลี้ยงสาหร่ายเพียงแค่ครึ่งวัน ส่วนเวลาที่เหลือสามารถไปประกอบอาชีพด้านอื่นได้ ถือว่าการเลี้ยงสาหร่ายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องแต่ใช้เวลาน้อยนิด เสริมอาชีพภาคการเกษตรที่ปฏิบัติได้ตามปกติ "ตอนนี้ให้สมาชิกเลี้ยงสาหร่ายเป็นของตัวเอง การตลาด ตนเองและภรรยาจะรับซื้อจากสมาชิกในราคากิโลกรัมละ 100 บาท จากนั้นจะนำไปขายต่ออีกครั้ง ส่วนเหตุผลที่ต้องรับซื้อจากสมาชิกเพียงกิโลกรัมละ 100 บาทนั้น เนื่องจากสมาชิกทุกคนไม่ได้ลงทุนอะไร เพียงแต่ใช้แรงกายในการดูแลเลี้ยงสาหร่ายเท่านั้น ถือว่าเป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านก่ออย่างต่อเนื่อง"


    ขั้นตอนการเลี้ยงสาหร่ายสไปรูลิน่า หรือสาหร่ายเกลียวทอง เป็นวิธีการที่ไม่ยุ่งยากนัก ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองนั้น เริ่มต้นที่การขุดบ่อคลุมด้วยผ้าพลาสติกในพื้นที่กลางแจ้ง ขณะนี้พื้นที่มี 30 บ่อ เป็นบ่อขนาด 4 x 20 เมตร ลึก 50 เซนติเมตร

    เป็นบ่อเลี้ยง บ่อพักน้ำ ขนาด 50 ลูกบาศก์เมตร เพื่อปล่อยน้ำสะอาดใส่คลอรีนพักไว้ 3-5 วัน อาหารจำพวกมูลสัตว์ ปุ๋ยหมัก สารโซเดียมคาร์ไบคาร์บอเนต โซเดียมไตรฟอสเฟต โพแทสเซียมไตรฟอสเฟต สารสกัดชีวภาพ ปุ๋ย เอ็นพีเค สูตร 16-16-16 จำนวน 15 กิโลกรัม ที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทอง ระดับน้ำที่สูบจากหนองน้ำธรรมชาติเพียงพอตลอดทั้งปี

    เมื่อการเตรียมบ่อน้ำมีอาหารพร้อมก็ใส่พันธุ์สาหร่ายเกลียวทอง ที่คัดสรรคุณภาพความสมบูรณ์เอาไว้ผสมลงไปในบ่อน้ำในอัตราน้ำ 50 ตัน ต่อสาหร่าย 25 ตัน แล้วกวนน้ำด้วยเครื่องจักรหรือกังหันน้ำ ที่ทำขึ้นมาใช้งานเฉพาะเวลากลางวัน เพื่อให้สาหร่ายผสมกับอาหารและได้รับแสงแดดอย่างทั่วถึง สาหร่ายเจริญเติบโตเต็มที่มีสีเขียวเข้มปนสีน้ำเงิน ใช้เวลาประมาณ 10 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแสงแดดด้วย


    นางมะลิวัลย์ กล่าวว่า การเก็บเกี่ยวสาหร่ายสไปรูลิน่า หรือสาหร่ายเกลียวทอง จะมีการดูดน้ำสาหร่ายในบ่อขึ้นไปกรองผ่านผ้าขาวบางแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดนำมาผึ่งให้แห้งที่อุณหภูมิ 40-45 องศาเซลเซียส การเก็บสาหร่ายภายในบ่อจะเก็บเพียง 3 ใน 4 ส่วนของบ่อเท่านั้น และต้องให้เหลือเป็นเชื้อพันธุ์อีก 1 ใน 4 ส่วนของบ่อ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียงสองวัน ก่อนนำสาหร่ายไปตั้งบนเครื่องกรองน้ำออก นำไปตากแดดภายในโรงเรือนกระจกรังสีอัลตราไวโอเลต เมื่อแห้งได้ที่เก็บรักษาเข้าถุงสู่ขั้นตอนการผลิตครั้งสุดท้าย คือ การบดให้ละเอียดครั้งละ 100 กิโลกรัม โดยเครื่องบดบรรจุใส่ถุงพลาสติกปิดให้มิดชิด ในอุณหภูมิที่พอเหมาะคือแห้งและเย็น เตรียมการขนส่งสู่ตลาดกรุงเทพฯ ลำปาง เชียงใหม่ ระยะเวลาเพียง 10 วัน ขนาด 1 บ่อ สามารถสร้างรายได้มากกว่า 2,000 บาท/บ่อ


    แม้วันนี้ แนวคิดของ "คงพร และ มะลิวัลย์ พรรณ์แผ้ว" มีการจัดรูปแบบของสถานที่ด้านการจัดรูปการส่งเสริมการเกษตร ที่ส่งเสริมให้คนในท้องถิ่นหันมาเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองเป็นอาชีพ จะมีรายได้อย่างต่อเนื่องเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างงานในชุมชนได้ระดับหนึ่ง พร้อมมีการทดลองการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามสามารถเจริญเติบโตดีมาก พร้อมเป็นข้อศึกษาสู่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง หากมีผู้สนใจติดต่อได้ที่ โทร. (043) 508-016, (01) 400-4459 หรือที่ E-mail. phanphaew.m@chaiyo.com


    นายนพพร จันทรถง ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวในตอนท้ายว่า การสร้างเงินสร้างงานสร้างอาชีพให้กับประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะการลงทุนของภาคประชาชนหากมีความผิดพลาดหรือเร่งการลงทุนโอกาสผิดพลาดสูง เพราะหากเกิดลัทธิการเอาอย่างเป็นข้อเสียหายได้ ฉะนั้น จังหวัดร้อยเอ็ดจึงส่งผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องคอยกำกับเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน​





    บทความโดย​

    วัชรินทร์ เขจรวงศ์​


    ที่มา : Matichon Public Co.,Ltd.

    http://www.nrru.ac.th/knowledge/agr020.asp




    ถ้าเป็นไปได้อยากไปทำไซท์ไว้ที่ซุ้มบอล เพราะแดดดีมาก น่าจะงามดี
    จากนั้นอบแห้งอัดเป็นแท่ง ใช้กินเป็นหัวอาหารเข้มข้นสำหรับกินยามฉุกเฉินเพราะคุณค่าทางโภชนาการสูงมากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2007
  14. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    โห......เรามีอะไรที่ดีและง่ายกว่านั้นอีก

    ถั่วเขียว เอาไปเพาะ ถั่วงอก งัย

    อาหารของกองทัพเรือ "จิ้งเหอ" ที่ตระเวณไปแล้วทั่วโลก
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จริงครับ แต่ที่แนะนำเพราะมันมีรายละเอียดของสาหร่ายเกลียวทองที่มากกว่านั้นครับ

    -สาหร่ายเกลียวทอง สามารถดูดซึมกัมมันตรังสีได้
    -ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค
    -เพิ่มการสังเคราะห์โกรธฮอร์โมน
    -เป็นสารอาหารเข้มข้น
    -มีวิตามินเกลือแร่ครบถ้วนในตัวเอง
    -ระหว่างการเพาะเลี้ยงช่วยสร้าง ออกซิเจนและฟอกคาร์บอนไดออกไซด์
    -มีการค้นพบในอารยะธรรมมายา และอินคา ที่ทะเลสาบ มีหลักฐานบ่งชี้ว่าถูกใช้เป็นอาหาร เมื่อยุคการล่มสลายของอารยะธรรมรอบที่แล้วมา
    -เติบโตได้ในน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม จึงสามารถ นำไปโปรยในทะเลเพื่อการบำบัดฟื้นฟูชั้นบรรยากาศโลกได้
    -ในหลวงท่านได้ทรงให้ความสำคัญ และมีฟาร์มเพาะเลี้ยงในโครงการส่วนจิตรลดา

    ที่แนะนำนั้น ไม่ได้ประสงค์ ที่จะให้ไปเข้าสมัครสมาชิกขายตรงแต่อย่างไร อยากให้พวกเราที่มีที่ดิน มีบริเวณ เพาะเลี้ยงและแปรรูปเอง เพื่อเอาไว้ทานเอง เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพ และการเเปรรูปเพื่อจำหน่ายเองตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงครับ

    ส่วนถั่งงอก ก็ดีครับปลูกในที่มืด ไม่จำเป็นต้องมีแสง เพียงมี น้ำ กระดาษหนังสือพิมพ์ไว้รองปลูกก็ใช้ได้ครับ

    พืชที่ใช้เป็นอาหารที่เจริญเติบโตเร็วที่สุด คือ สาหร่าย(จากการแบ่งตัว แบบยกกำลัง) รองมาเป็นถั่วงอก (มีข้อดีคือมีพลังชีวิต VItal force สูง) และต่อมาเป็นเห็ด ครับ
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พลังจักรวาลรักษาโรค

    [​IMG]

    การรักษาด้วยพลังจักรวาล วิธีการรักษาโรคด้วยพลังจักรวาล คือการส่งพลังจักรวาล ไปให้คนไข ้โดยไม่ใช้ อุปกรณ์ใดๆ นอกจากมือของผู้ให้การบำบัด โดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถสูง อาจไม่ต้องสัมผัสตัวคนไข้ก็ได้


    การรักษาโรคด้วยพลังจักรวาล เป็นวิธีการอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยรักษาโรคทางกาย และใจวิธีการรักษาโรคด้วยพลังจักรวาลนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์ พลังจักรวาลทำให้ เกิดความสมดุลโดยผ่านจุดหลัก 7 จุดในร่างกาย ที่ เรียกว่า "จักระ"ซึ่ง เป็นภาษา สันกฤตแปลว่า วงล้อการรักษาวิธีนี้ ได้รับการค้นคว้าจากโลก ตะวันตกเช่นกัน กล่าวได้ว่าพลังจักรวาลเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เกี่ยวกับพลังงานที่เราเรียกว่า พลังคอสมิคต้นกำเนิดของพลังจักวาลนี้ สืบสาวได้ถึงวิธีการรักษาโดยธรรมชาติ และวิธีนี้ได้ถูกค้นพบอีกครั้งภายใต้กฎความเป็นอยู่ของมนุษย์ซี่งขณะนี้มีความ พยายามไม่ใช้ยาจากสารเคมี

    ขบวนการการทำงาน


    พลังจักรวาลจะเข้าสู่ร่างกายคนไข้ และปรับความ สมดุลให้กับอวัยวะที่มีปัญหาของ คนไข้ ผลก็คือ ทำให้คนไข้หายป่วยหรือทุเลาจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่กำลังเป็นอยู่ ทั้งนี้เพราะ เหตุผลที่ว่า บุคคลที่เจ็บป่วยมีสาเหตุเนื่องมาจาก อวัยวะที่เจ็บป่วยขาดความสมดุลของพลังจักรวาล จึงทำให้เกิดอาการของโรคต่างๆ ดังนั้น ผู้ที่มีความสามารถรับ และส่งพลังจักรวาลให้กับผู้ป่วยได้โดยส่งพลังจักรวาล ผ่านไปตามจักระของมนุษย์ ไปสู่ที่อวัยวะที่เจ็บป่วย เพื่อให้พลังจักรวาลปรับความสมดุลที่อวัยวะนั้น จึงทำให้ ผู้ป่วยหายหรือทุเลา จากการเจ็บป่วยนั้นๆ และกลับสู่สภาพปกติดังเดิม

    วิธีการรักษานี้ จะใช้การสัมผัสด้วยมือ (หรือไม่ใช้การสัมผัสก็ได้ เรียกว่าการรักษาทางไกล) โดยใช้เวลาแต่ละครั้ง จะต้องไม่เกิน 5 นาที และตามปกติวันหนึ่งจะทำการรักษาเพียง 1 ครั้งเท่านั้น



    การบำบัดนี้ผู้ทำการบำบัดควรจะมีความคิดและจะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้


    1. ผู้ทำการบำบัด ต้องฝึกให้มีความคิดที่จะบรรลุถึงการควบคุมตนเองในภาระหน้าที่ต่างๆ ทุกประการ จากหน้าที่เล็กๆ ในครอบครัวไปจนถึงหน้าที่สูงสุดในสังคมนี่เป็นเป้าหมายของการฝึกฝนด้วยตนเองเมื่อผู้ทำการบำบัดบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว แล้วจะสามารถนำความผาสุกมาสู่คนไข้ได้

    2. ผู้ทำการบำบัดและครอบครัวต้องผ่านการพิสูจน์จากสังคม และยอมรับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ยิ่งทนได้มากเท่าไร กรรมของเราก็จะหมดลงเร็วเท่านั้น ขณะที่เราทนต่อความทุกข์ยากได้ จิตวิญญาณจะพุ่งสู่ระดับสูงขึ้น เมื่อจิตวิญญาณของเราพัฒนาเข้าสู่ ระดับสูงขึ้น ร่างกายของเราก็จะดูดซับพลังจักรวาลได้ง่ายขึ้น ในสภาวะเช่นนี้เราจะมีความสามารถมากพอที่จะบำบัดคนไข้ทั้งหมดที่มาพบเราได้ ถึงแม้ว่าคนไข้เหล่านั้นจะมีโรคที่ยากต่อการบำบัด

    3. เราต้องให้ความรักคนไข้ให้มากเท่ากับที่รักครอบครัวของเรา และต้องไม่แบ่งแยกชนชั้น

    4. ระหว่างการบำบัด ความคิดคำนึงของเราควรจดจ่ออยู่ที่คนไข้ และต้องไม่ยอมให้สภาวะแวดล้อมภายนอกทำให้เราไขว้เขว

    5. ผู้ฝึกฝนต้องเสียสละประโยชน์ส่วนตนด้วยการปฏิเสธความมีชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ และความรัก ความมีชื่อเสียงควรนำมา สู่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ทรัพย์ศฤงคารควรอุทิศให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศของตน และความรักควรจะแบ่งบันไปสู่มวลมนุษย์


    6. ร่างกายของมนุษย์มีจุดสำคัญ 7 จุด เมื่อจุดเหล่านี้ถูกเปิด จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่าเต็มที่ ในชั้นต้นเมื่อได้รับการเปิด จุด 6 จุด และได้ฝึกฝนด้วยตนเอง จนประสบผลสำเร็จแล้ว จุดสำคัญอีก 1 จุด จะถูกเปิด ซึ่งถือว่าได้บรรลุถึงจุดสูงสุด และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

    การรักษาโรคโดยการทำสมาธิ รับและส่งพลังจักรวาลผ่านจักระทั้ง 7 จุดในร่าง
    กาย จึงเกิดคำถามว่า จักระทั้ง 7 จุด คืออะไร
    คำตอบ: จักระทั้ง 7 จุด คือจุดที่รับพลังจักรวาล นั่นเอง


    จักระ 1 (ดอกบัว 4 กลีบ)
    - อยู่ระหว่างอวัยวะเพศ และทวารหนัก
    - เป็นรากฐานของระบบจักระ หรือระบบพลังงาน เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต และเป็นกลไกที่ทำให้สืบทอดพันธุ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกทุกวันนี้
    - ผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงระดับสูงสุด จักระนี้จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ

    จักระ 2 (ดอกบัว 6 กลีบ)
    - อยู่ตรงปลายก้นกบ เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังทางเพศ รวมทั้งความเชื่อมั่นในตนเอง
    - ควบคุมระบบการสืบพันธุ์, การขับกากอาหารและของเสียออกจากร่างกาย (ระบบการขับถ่าย) รวมทั้งการตั้งครรภ์และการคลอด
    - ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับอัณฑะ, ท่อปัสสาวะ, อวัยวะสืบพันธุ์, มดลูก, รังไข่, ช่องคลอด, ทวารหนัก, กามโรค

    จักระ 3 (ดอกบัว 8 กลีบ)
    - อยู่ตรงแนวสะดือตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลางของการหยั่งรู้ ณ จุดนี้เป็นศูนย์กลางของร่างกาย
    - ควบคุมระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายของเสีย
    - ใช้รักษากระเพาะอาหาร, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้เล็ก, ลำไส้อ่อน, ลำไส้แก่, ไส้ติ่ง, ตับ, ม้าม, ดี, กระเพาะปัสสาวะ, ไต, โรคเบาหวาน, ถุงน้ำดี, ต่อมหมวกไต

    จักระ 4 (ดอกบัว 10 หรือ 12 กลีบ)
    - อยู่ตรงแนวหัวใจตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริง รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ด้วยความเมตตากรุณา และความเสียสละ
    - ควบคุมระบบหมุนเวียนโลหิต, หัวใจและระดับไขมันในเส้นเลือด
    - ใช้รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจโต, หัวใจเล็ก, หัวใจรั่ว, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเส้นเลือด, หัวใจเต้นอ่อนและเหนื่อยเร็ว

    จักระ 5 (ดอกบัว 16 กลีบ)
    - อยู่ตรงบริเวณเส้นแนวไหล่ตัดกับกระดูกสันหลัง
    - ควบคุมระบบทางเดินหายใจ และผิวหนัง
    - ใช้รักษาโรคปอด, หลอดลม, ลำคอ, ไซนัส, ต่อมผิวหนัง, หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ไอ, จมูก, ผื่นคัน, โรคผิวหนัง

    จักระ 6 (ดอกบัว 2 กลีบใหญ่ และกลีบย่อย 100 กลีบ)
    - อยู่ตรงกลางหน้าผาก เปรียบเสมือนนัยน์ตาของปัญญา ใช้เป็นตาที่ 3 (ญาณวิเศษ) สำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ห้าม ผู้สำเร็จ ระดับ1, 2,3,4 และ 5 ใช้จักระนี้ในการรักษาโรคอย่างเด็ดขาด
    - ควบคุมสติปัญญา, ความนึกคิด, ความเฉลียวฉลาด, และระบบประสาท
    - ผู้ที่เรียนถึงระดับ 5 จะใช้จักระนี้ทำสมาธิเท่านั้น (ถ้ารักษาโรคด้วยจักระนี้ จักระที่เปิดไว้ทุกจักระจะปิด)

    จักระ 7 (ดอกบัว 1,000 กลีบ)
    - อยู่ตรงกลางกระหม่อมหรือจุดตัดของเส้นที่ลากจากปลายจมูก ผ่านกลางหน้าผาก ตัดกับเส้นที่ลากจากหูซ้ายไปหูขวา เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว
    - ควบคุม ระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระ เป็นจุดรับพลังจักรวาล และทำการกระจายไปทั่วร่างกาย เป็นจุดที่ สามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ที่จักระอื่นไม่สามารถรักษาได้โดยตรง
    - ใช้รักษาเส้นประสาท, สมอง, ตา, หู, อวัยวะในช่องปาก, โรคเจ็บป่วยซึ่งเกี่ยวกับระบบประสาททั่วไป ที่อยู่นอกเครือข่ายของ จักระอื่น เช่น ระบบกล้ามเนื้อ, ไทรอยด์, ต่อมทอนซิล, กล่องเสียง

    ที่มา http://www.uethailand.org/introduction_th.html

     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    คุณสมบัติ หน้าที่ การเริ่มต้นของอัศวินเจได
    คัดลอกมาจากบอร์ดพันทิพ ห้องลึกลับ

    [​IMG]



    เจได แห่งกองทัพธรรม


    หลัง มหกรรม Episode I ระยะแรกจะมีปัญหาเรื่องคนตายนับแสน เรื่องไม่มีอาหาร การอดอยาก และ โรคระบาด

    จึงน่าจะมีหน่วยกองทัพธรรมเข้ามาช่วยเหลือในบางส่วน
    คนที่จะเป็นสมาชิกกองทัพธรรมได้จะต้องมี

    1. ความสามารถพลังจากตา(ที่สาม) เพื่อ ฆ่าเชื้อโรค
    มองเห็นเหล่าวิญญาณ คนที่ตาย และส่งพลังให้ไปเกิดใหม่
    2. ต้องมีมือที่มีพลัง ในการแตะต้องบาดแผล ความเจ็บปวด ที่เมื่อแตะ จะบรรเทาความเจ็บ หรือให้หายทันที

    คนที่จะเป็น เจไดของกองทัพธรรมต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นดังนี้

    1. มีศีล ครบห้าอย่างเคร่งครัด
    2.ปฎิบัติสมาธิ ดี มาตลอด จน ที่จุดหว่างคิ้วเต้นตุบๆๆ
    3. เดินไปตามสถานที่ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถสัมผัสได้ ด้วยจิต หรือมือ แขนชา
    4.ออร่าสีสวยและแรง โดยเฉพาะสีแดงหรือ สีม่วง จะดีที่สุด
    5. กำลังภายใน(แบบเสียวลิ้มสี่ วัดเส้าหลิน) ไม่ต่ำกว่า 15 เมตร
    6.คนมีตาทิพย์/จิตทิพย์/หูทิพย์ อยู่แล้ว

    จะเห็นว่าเริ่มมีคนพูดถึงการเปิดตาที่สามกันประปราย ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะเมื่อผม พบ คนที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ก็จะทำให้เขาเป็น เจได แห่งกองทัพธรรม ทำโดย

    เปิดตาที่สามให้ ฝึกให้ สายตาที่เป็นแสง ส่องได้ไกลเกิน 100 เมตร เพื่อความสามารถได้กว้างไกล มีรัศมี 100 เมตร ผลพลอยได้ ของการมีตาที่สาม คือ การมองเห็นออร่า เห็นอดีต เห็นอนาคตเห็นโลกอีกมิติ

    ติดพลังที่มือ ให้มือที่มีพลังเพื่อใช้ในการรักษาคนป่วยคนบาดเจ็บ เมื่อพลังเข้าที่มือ มือนั้น จะเรืองแสง มองเห็นได้ชัด เหมือนมีดาบในมือ ใน"สตาร์วอ" ต้องมีกล่องแล้วกด จึงจะมีดาบยืดออกมายาว แต่เจไดของกองทัพธรรม แค่คิด ดาบก็ออกมาแล้ว เรืองแสงยาว พอๆๆกับดาบใน สตาร์วอ มือดาบของ เจไดแห่งกองทัพธรรม ใช้ในการรักษาคน ไม่ใช่ใช้ฆ่าคน แบบในหนังสตาร์วอ

    จากฟ้ากำหนด เจไดแห่งกองทัพธรรม จะมีกำลังพลประมาณ 1000 (หนึ่งพันคน) ปัจจุบันได้ไปแล้ว ประมาณ 15 คน (เพิ่งเริ่มเมื่อ 8 มิย.48) คนที่จะเป็นเจได แห่งกองทัพธรรม จะค่อยๆๆ ทะยอยมาติดดาบเอง คนที่มา เป็นเพราะ ฟ้ากำหนด เมื่อ มา เมื่อ เห็น ก็จะรู้ได้ทันทีว่า เป็นเขา ทั้งนี้เพื่อความสุขและความอยู่รอด ของผู้มีบุญ แค่นี้ก่อน นะ ครับ

    จากคุณ : ตาที่สาม - [ 14 มิ.ย. 48 13:07:36 ]



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2007
  18. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ผมได้รับการติดดาบเจได จากอาจารย์ตาที่สาม มาแล้ว
    สักวันคงได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ครับ

    ขอบคุณคุณเกษม ที่นำมาเผยแพร่ให้ทราบทั่วกันครับ
     
  19. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ผมเองก็ไปรับการติดดาบมาแล้วตั้งแต่ปี 48 โน่นแหละ แต่สงสัยสนิมคงกินจนชักดาบไม่ออกซะละมั้ง ไม่เคยได้ฝึกฝนเลย แต่ก็ยังอุ่นใจ มีดาบที่เป็นสนิมก็ยังดีกว่าไม่มีเลย แหะ...แหะ.... เอิ๊ก .. เอิ๊ก...


    .
    .
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    อย่างนั้น คุณตั้ม ก็เป็นศิษย์ผู้พี่
    ศิษย์น้องขอคารวะ ครับ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...