พร้อมหรือยังที่จะเป็น "มนุษย์โลกใหม่" ที่ไม่ล้าหลังจนสูญพันธุ์เหมือนไดโนเสาร์?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อู่หยาจื่อ, 17 เมษายน 2012.

?
  1. 100%

    0 vote(s)
    0.0%
  2. 75%

    0 vote(s)
    0.0%
  3. 50%

    0 vote(s)
    0.0%
  4. 25%

    0 vote(s)
    0.0%
  5. 0%

    0 vote(s)
    0.0%
  1. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    วันนี้มาคุยเรื่อง "มนุษย์โลกยุคใหม่" กันครับ
    จะเอาแบบง่ายๆ สั้นๆ และชัดเจนเลยนะครับ
     
  2. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    คิดเฉพาะกลุ่ม (พวกเขา-พวกเรา) VS คิดแบบองค์รวม


    อย่างแรกนะครับ มนุษย์ยุคหินเก่าจะคิดแบบเฉพาะกลุ่ม ยึดมั่น
    ในกลุ่มเฉพาะของตน เช่น ยึดความเป็นเชื้อชาติ, ศาสนา, เพศ
    ประเทศ ฯลฯ เมื่อยึดแล้วก็แบ่งแยก เมื่อแบ่งแยกแล้วก็แตกแยก
    เมื่อแตกแยกแล้วก็กระทบกระทั่ง เมื่อกระทบกระทั่งแล้วสุดท้าย
    ก็กลายเป็น "สงคราม" ไงครับ นั่นคือ "นักรบแห่งความมืด" ที่
    ไม่ได้ทำสงครามศักดิสิทธิ์ แต่ทำไปด้วยความหลงมืดมนจึงเข่น
    ฆ่ากันเองครับ โลกแบนี้ล้าหลังมาก ไม่ดีเลย และกำลังจะหมดไป


    ส่วนมนุษย์โลกใหม่นั้น เขาจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะเขาคิดถึงภาพ
    รวม, องค์รวม, คิดแบบสากลจักรวาล ไม่ยึดมั่นแบ่งแยกเขา-เรา
    ไม่มีการแบ่งแยกกันด้วยอะไรๆ ครับ เขาคิดแต่ "ส่วนรวม" คือ คิด
    ถึงร่วมรวมเสมอ ทำเพื่อส่วนรวมเสมอ โลกในยุคใหม่ของมนุษย์
    โลกใหม่ จึงงดงาม, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, มีจิตรไมตรี, สันติภาพและ
    ความสงบสุขร่วมกันครับ เราคือ "นักรบแห่งแสงสว่าง" ที่ไม่ได้ใช้
    การเข่นฆ่ากันเพื่อเอาชนะ แต่ใช้แสงสว่างแห่งปัญญา เพื่อเอาชนะ
    ความมืดมนลุ่มหลงของมนุษย์ที่ยังไม่สว่างครับ นี่ละ คือ สงคราม
    ศักดิสิทธิ์ ที่ไม่มีการหลั่งเลือดและเสียน้ำตา มีแต่สิ่งที่ดีงามครับ


    ตัวอย่างเช่น การที่คนไทยไปทำงานให้ประเทศอื่น นั้นเขาไม่ได้
    ทรยศต่อประเทศนะครับ แต่เขาก็คือคนที่ทำเพื่อประเทศ เพื่อโลก
    โดยรวม เพราะโลกเป็นหนึ่งเดียวกันครับ การช่วยเหลือประเทศอื่น
    ก็คือ ช่วยประเทศเราเอง หรือประเทศอื่นช่วยเหลือเรา ก็คือ ช่วย
    ประเทศของเขาเอง เช่นกันครับ เข้าใจความหมายตรงนี้ไหมครับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2012
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    เก่งเฉพาะแต่เรื่องเดียว VS การเรียนรู้ทุกอย่างรอบตัว


    มนุษย์ยุคเก่า จะเรียนรู้เฉพาะทาง เก่งเฉพาะเรื่อง แต่จะขาด
    การเรียนรู้รอบตัว เรียนรู้จากคนอื่น (แม้เขาเป็นชาวนาที่ยาก
    จน) เพราะขาดทักษะการเรียนรู้รอบตัวครับ เขาจึงเก่งมากแต่
    ไม่ค่อยเข้าใจโลก, ไม่ค่อยเข้าใจคน และขัดแย้งกับคนอื่นได้
    ง่ายครับ ดังนั้น การประสานงานกับคนที่แตกต่างกับตน จึงมี
    ปัญหามาก และโลกยุคนั้นจึงมี "อาชีพเฉพาะ" เยอะมากครับ


    มนุษย์โลกใหม่ จะเรียนรูรอบตัว, รู้รอบด้าน, พร้อมเสมอที่จะ
    เรียนรู้และเข้าใจคนรอบข้าง ดังนั้น จึงไม่มีปัญหาว่าพ่อแม่และ
    ลูกจะไม่เข้าใจกัน ความแตกต่างของวัย, เพศ, generation
    หรือปัจจัยใดๆ ก็ไม่มีปัญหาครับ เพราะเขาพร้อมเสมอที่จะเรียน
    รู้รอบตัวจากคนรอบตัว และเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบด้าน ไม่ใช่มอง
    โลกมองคนแต่ด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียวครับ จึงเป็นคน
    รู้รอบ, รู้ลึก, รู้กว้างไกล ไม่แคบอยู่แต่เฉพาะด้านที่ตนเรียนมา


    ตัวอย่างเช่น การที่ผูอาวุโส ก็พร้อมที่จะเรียนรู้เด็กรุ่นใหม่ เพื่อ
    เข้าใจ generation ใหม่ ว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ไม่
    ทำตัวถือตนว่าเป็นผู้อาวุโสแล้ว เด็กจะต้องมาเรียนจากตนแต่
    ฝ่ายเดียว ก็หาไม่, หรือแม้แต่เด็กก็สนใจเรื่องราวเก่าก่อนของ
    คนยุคเก่า ผู้ใหญ่ครับ เพราะนั่นคืออดีตที่พวกเขาไม่เคยพบเจอ
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ยึดติดในปัจจุบันของตน VS ใช้ชีวิตอยู่เหนือกาลเวลา


    มนุษย์ที่ล้าหลังยุคเก่า ยังคงยึดมั่นในยุคของตน ยึดติดใน
    เวลาปัจจุบันของตน จนบางคน เสพสุข เผาผลาญทรัพยากร
    ธรรมชาติไปมากมาย เพราะไม่คิดถึงอนาคตเลย นั่นเพราะ
    การยึดติดปัจจุบันมากเกินไป ไม่คำนึงถึงโลกอนาคตบ้างเลย
    คิดแต่ว่าไม่มีอนาคต ไม่มีชาติหน้า เราต้องแก่งแย่งบริโภค
    ถ้าเราไม่แย่งเขา เขาก็จะเอาไปหมด จึงรีบกันแก่งแย่งแข่งขัน
    เผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติจนหมดไป และกลายเป็นปัญหา
    ให้ตัวเองในอนาคตในที่สุด (เพราะเขาหนีอนาคตไม่ได้นั่นเอง)


    ส่วนมนุษย์โลกยุคใหม่ จะอยู่เหนือกาลเวลา คือ มองเห็นทั้ง
    อดีต, ปัจจุบัน และอนาคต เป็นเพียงสมมุติช่วงหนึ่งๆ เท่านั้น
    เขามองเห็นยาวไกลถึงจุดเริ่มและจุดจบ ทั้งอัลฟ่าและโอเมก้า
    ในคราวเดียว ดังนั้น เขาจึงมีความตระหนักรู้ดีว่า ณ เวลานี้เขา
    ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร อันจะส่งผลกระทบต่อโลกอนาคต
    ดังนั้น เขาจึงไม่ "ตกหลุมพรางตัวเอง" หรือ สร้างบ่วงปัญหามา
    ผูกคอตัวเองในอนาคต จึงไม่ตกหลุมพรางอนาคต จึงอยู่เหนือ
    อนาคต (อยู่เหนืออดีตและปัจจุบันด้วย) คือ ไม่ตกหลุมพรางแห่ง
    กาลเวลา อันเสมือนจานบินที่ไม่บินพลาดไปลงหลุมดำนะครับ


    ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันคล้าย
    บรรพบุรุษคือ เรียบง่าย, ไม่ยุ่งยาก, ส่งผลกระทบต่อโลกน้อย แต่
    ส่งผลดีต่ออนาคตด้วย เพราะทำให้ไม่เกิดปัญหาต่อโลกในอนาคต
    นั่นเอง นี่คือ ตัวอย่างของการอยู่เหนือกาลเวลา จึงไม่มีปัญหาใน
    อนาคต ไม่ตกหลุมพราง กับดักของอนาคตที่ตนสร้างเอาไว้เอง
     
  5. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    หลงสมมุติที่ตนพอใจว่าจริงแล้ว VS สัจนิยม ชอบความจริงแท้


    มนุษย์ที่ล้าหลัง จะไม่สนใจความจริงแท้ อะไรที่ทำให้ตนพึงพอใจตอบ
    สนองความต้องการของตนได้ ก็จะยอมรับมัน แม้ว่ามันจะไม่เที่ยงแท้
    เป็นความจริงสัมพัทธ์ ไม่ใช่ความจริงที่สมบูรณ์ในตัวเอง ดังนั้น พวก
    เขาจึงมักทำตัวเหมือนคนมีเหตุผล อ้างเหตุ, อ้างผล, อ้างตำรา, อ้าง
    ครูบาอาจารย์, อ้างนั่นอ้างนี่ ให้ตนดูมีความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นพวก
    ความจริงสัมพัทธ์ ไม่ใช่ความจริงสัมบูรณ์ และเมื่อคนหนึ่งอ้างแหล่ง
    หนึ่ง อีกคนหนึ่งก็อ้างบ้างอีกแหล่งหนึ่ง เมื่ออ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ต่าง
    กันเข้า ก็เกิดการทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน และไม่อาจหาข้อสรุปได้เลย


    มนุษย์โลกยุคใหม่ เป็น "สัจนิยม" เป็นผู้นิยมความจริง มากกว่าความ
    ไม่จริงที่เข้าข้างตัวเอง ก็ดี, เอื้อประโยชน์ตามกิเลสตน ก็ดี, ตรงตาม
    อารมณ์ความชอบ-ไม่ชอบส่วนตัว ของตัวเอง ก็ดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ไม่
    มีแล้วในมนุษย์โลกยุคใหม่ เพราะเขานั้นเข้าถึงสัจธรรมความจริงแบบ
    สมบูรณ์ (จริงในตัวมันเองจริงๆ ไม่ต้องไปอ้างอิงอะไรจึงจะจริงขึ้นมา)
    พวกเขาจึงไม่ต้องอ้างนั่น อ้างนี่ เพื่อทำให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือ เพื่อจะมี
    ชัยชนะในการถกเถียง ก็หาไม่ พวกเขาเข้าถึงความจริงด้วยตนเอง โดย
    มีผู้อื่นหรือสิ่งอื่นๆ ช่วยกระตุ้น ก็จะเข้าถึง "ความจริงสัมบุรณ์" ซึ่งมีหนึ่ง
    เดียวเท่านั้น เมื่อเข้าถึงได้แล้ว พวกเขาก็เข้าใจกัน ไม่ต้องถกเถียงกันเลย


    ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออยากทราบว่า "มนุษย์โลกยุคใหม่" เป็นอย่างไร เขา
    ก็ไม่ต้องไปหาตำราอะไรอ้างอิง พวกเขาใช้ "ปัญญาญาณ" หยั่งให้ถึงด้วย
    การอาศัยปัญญาญาณของเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่สัมผัสได้คนละเล็กละน้อยเป็น
    สิ่งนำทาง เป็นพื้นฐาน จากนั้น พวกเขาก็ได้จิ๊กซอว์คนละตัว ที่ประหลาดว่า
    สามารถ "ต่อกันติดได้ราวกับเรื่องเดียวกัน" ทั้งที่ไม่ได้ให้อีกฝ่ายเห็นมาก่อน
     
  6. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    คนที่รอฤกษ์ เช่น ต้อง 9.9 โมง เท่านั้น
    วันนี้วันเกิด, วันนั่นวันนี่ จึงเป็นวันสำคัญ
    พวกนี้ล้าหลังนะครับ ยังติดกับดักเวลา


    คนที่ไม่ยึดติดเรื่องนั้น ดูความพร้อมเป็น
    ฤกษ์สำคัญ หรืออื่นๆ โดยไม่ติดใจเรื่อง
    ตัวเลขมากเกินไป นั่นแหละ เริ่มเข้าใจ
    ถึงการอยู่เหนือกาลเวลาบ้างแล้ว


    แบบนี้พอเข้าใจง่ายขึ้นไหมครับ?
     
  7. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ยิ่งทำกิจยิ่งห่อเหี่ยวมืดมน VS ยิ่งทำกิจยิ่งมีพลังสว่างไสว


    "มนุษย์โลกยุคเก่า" ล้าหลัง ยิ่งทำงานยิ่งห่อเหี่ยวมืดมน เป็นโรค
    "เบื่อวันจันทร์" ว้าวันจันทร์อีกละ เบื่อจริง เบื่อเจ้านาย, เบื่องาน
    เบื่อเพื่อนร่วมงาน, เบื่อลูกน้อง, เบื่อลูกค้า ฯลฯ ทำงานไปเหมือน
    ไม่อยากจะทำ เหมือนโดนบังคับให้ทำ เหมือนไม่มีแรง ไม่มีพลัง
    ไม่มีกำลังจิตกำลังใจจะทำ ทำไปงั้นๆ ให้มันเสร็จๆ ให้มันผ่านไป
    นั่นแหละ ยิ่งทำยิ่งห่อเหี่ยวมืดมน หมดพลังชีพ เป็นภาคมืดครับ


    ทว่า มนุษย์โลกยุคใหม่ ต่างกัน ตรงกันข้ามเลย พวกเขายิ่งทำกิจ
    ก็ยิ่งสว่างไสว ยิ่งมีปัญญา ยิ่งมีความสามารถเพิ่มมากขึ้นๆ อย่าง
    ไม่มีจำกัด (ว้าว อะไรจะขนาดนั้น แต่เป็นความจริงนะครับ) เพราะ
    พลังภาคสว่าง ที่ยิ่งทำยิ่งสว่างไงครับ ยิ่งกว่านั้น พวกเขาจะมีพลัง
    ชีพที่สว่างสดใส มีชีวิตที่สว่างสดใส เหมือนกับดอกไม้แรกแย้ม ก็
    ดี, เหมือนเด็กแรกเกิดที่มีพลังชีพสดใส ใหม่ เบ่งบาน ก็ดี, คุณละ
    เริ่มเป็นแบบนี้บ้างหรือยัง? เหมือนเด็กเกิดใหม่หรือดอกไม้แรกแย้ม


    ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำงานอุทิศตนเพื่อผู้อื่น เช่น แปลกระทู้ลงเว็บ
    ยิ่งทำยิ่งมีความสุข, ยิ่งมีพลัง, ยิ่งมีกำลังจิต กำลังใจ แม้จะมีแรงมา
    ต่อต้าน มีผู้ไม่สนับสนุน มีอุปสรรคขัดขวางมากมายก็ตาม ไม่หวั่นครับ
     
  8. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ปิดกั้นตัวเองในโลกส่วนตัวที่แคบลง VS เปิดตัวเองสู่คนใหม่ๆ


    มนุษย์ยุคล้าหลัง, ยุคเก่า จะมี "โลกส่วนตัว" ที่ปิดกั้นคนอื่น และทำ
    ให้ตนเองมีที่เฉพาะของตนหรือเฉพาะกลุ่มของตน เช่น ในเว็บส่วนตัว
    ในเพจส่วนตัว จะเป็นโลกแคบๆ เฉพาะที่เล็กลงเรื่อยๆ และนิยมทำให้
    ตนเป็นที่รู้จักผ่านสื่อต่างๆ เช่น มือถือ, เน็ต, ทีวี ฯลฯ ทำให้เขาไม่ได้
    เรียนรู้และเข้าใจคนด้วยการเปิดตัวเอง พบปะ และรู้จักสัมผัสกันอย่าง
    แท้จริง โดยตรง แบบเจรจาต่อหน้าแต่เป็นไปทางอ้อม ยกตัวอย่างเช่น
    ลูกส่ง sms ไปบอกว่ารักพ่อมากทางทีวี แต่ความจริงไม่พูดกับพ่อครับ


    มนุษย์ยุคใหม่ จะเปิดตัวเอง พบปะพูดคุยกันตรงๆ และนิยมที่จะเปิดโลก
    ให้ตนเองได้พบเจอคนใหม่ๆ แปลกหน้า เพื่อเรียนรู้กัน แลกเปลี่ยนความ
    คิดระหว่างกัน ด้วยการพบปะกันแบบหน้าต่อหน้า ไม่ผ่านสื่อต่างๆ ไม่นิยม
    ให้ตัวเองเข้าไปในสื่อ ไม่นิยมให้ตัวเองเป็นที่รู้จักเพราะสื่อ แต่ถ้าจะเป็นที่
    รู้จักคือ ไม่ต้องผ่านสื่อ รู้จักกันอย่างเปิดเผย เจอกันจริงๆ เรียนรู้กันจริงๆ


    ยกตัวอย่างเช่น คนที่ใช้มือถือนัดหมาย เพื่อให้เพื่อนมาเจอแล้วจึงคุยธุระ
    แทนที่จะคุยธุระจบในมือถือไปเลย (นี่คือ คนยุคใหม่) หรือคนที่ใช้เน็ตเพื่อ
    ทำหน้าที่แต่ไม่นิยมให้ตนเองเป็นตัวตนในเน็ต โด่งดังมีชีวิตในเน็ต แต่จะ
    ให้คนรู้จักโดยตรง เมื่อพบปะกันจริงๆ (ใช้เน็ตได้ครับ แต่ใช้ต่างกันระหว่าง
    คนยุคเก่ากับคนยุคใหม่ คนยุคใหม่จะไม่เอาตัวเข้าไปในโลกแคบ แต่จะดึง
    ตัวตนและคนอื่นๆ ออกมาเพื่อพบปะเจอกันแบบปกติ ไม่ผ่านเครื่องสื่อสาร)
     
  9. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    มีความรักที่ฉาบฉวย VS มีความรักที่แท้จริง เติมเต็มได้ในตัว


    มนุษย์ยุคเก่า, ล้าหลัง จะมีความรักที่ฉาบฉวยไม่ลึกซึ้ง คือ จะไม่มี
    การเติมเต็มภายในจิตใจอย่างแท้จริง เมื่อมันไม่ได้เติมเต็มมันจึงมี
    ความบกพร่องและต้องการหาใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น แล้วปรับตัว
    ให้อยู่ในเกมรักอันฉาบฉวยนั้นได้อย่างผู้ชนะต่อไปด้วยวธีการต่างๆ
    แท้แล้วเขาไม่เคยรู้จักความรักที่แท้จริง ที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขลึก
    ซึ้งจากภายใน จนไม่ต้องการอะไรอีกเลย อย่างนี้ เขาไม่เคยรู้จักครับ


    มนุย์โลกยุคใหม่ รู้จักความรักที่แท้จริง ความรักจะจุด "ไฟแห่งความ
    สว่างไสว" ขึ้นในใจของเขา ให้ความสว่าง และความอบอุ่น ดุจไฟ
    แล้วหล่อเลี้ยง-เต็มเต็มดุจน้ำ ทำให้เต็มภายใน พอภายใน และจบได้
    ภายในโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวังได้อะไรกลับคืน ไม่หวังอะไร
    เลย เขาก็ได้แล้ว คือ ได้เข้าถึงความรักแท้ ได้ความสุขจากความรัก
    แท้จากภายในของตนเอง และสามารถยืนหยัดต่อไปได้ด้วยตนเอง


    ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีความรักแล้ว กลับมีพลังอุทิศตน เสียสละตน
    เพื่อปวงสัตว์ ไม่ใช่มีความรักแล้วเห็นแก่ตัว เห็นแก่ครอบครัวของตน
    แต่อย่างเดียว ทำเพื่อรอบครัวของตนไม่สนใจใคร อย่างนี้ คือล้าหลัง
    มนุษย์ยุคใหม่ มีความรักแล้วจะกลายเป็น "ทูตสวรรค์" ที่สว่างไสวครับ
     
  10. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง VS เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันไม่เฉพาะตัว


    มนุษย์ยุคเก่า, ล้าหลัง เอะอะอะไร ก็จะเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เช่น อ้างว่า
    เพื่อแผ่นดินนี้ ท่านทั้งหลายจงเชื่อเรา ทำเพื่อเรา คือ ทำเพื่อแผ่นดินนี้ เป็นต้น
    นี่คือ "พวกล้าหลัง" ซึ่งหลงติดตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งจริงๆ แล้วจักรวาลนี้
    มันไม่มีทั้งกลาง, ไม่กลาง, เหนือ, ใต้, ออก, ตก, บน, ล่าง ฯลฯ อะไรเลย?
    คนล้าหลังไปกำหนดกันเอาเอง เมื่อต่างก็กำหนด เลยกลายเป็นต่างก็แย่งชิง เช่น
    แย่งชิงความเป็น "หัวหน้า" ความเป็นศูนย์กลางของคนทุกคน ปัญหาจึงเกิดขึ้น


    มนุษย์ยุคใหม่ เข้าใจถึง "ความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกอย่าง" สรรพจิตไม่ต่างกัน
    เป็นหนึ่งเดียว คือ ใสบริสุทธิ์ประภัสสร ไม่ต่างกันไม่ว่าจะเทพหรือมาร ล้วนไม่ต่าง
    เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งนั้น จึงไม่มีความแตกต่างระหว่างใครอยู่บนหรือล่าง ใครเหนือ
    กว่าใครหรือต้อยต่ำกว่าใคร, ใครเป็นศูนย์กลาง, ใครเป็นผู้นำ-ผู้ตาม ฯลฯ ไม่มีอีก
    เพราะ "เท่าเทียมกัน-เสมอเหมือนกันทั้งหมด" เพียงแต่รายละเอียดในกิจภาระของ
    แต่ละคนต่างกันไปเท่านั้น แม้แต่กิจของนายก หรือขอทาน ก็มีความสำคัญเท่ากัน


    ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. ไม่คิดที่จะแก่งแย่งเป็นนายก แต่ทำหน้าที่ของตนในฐานะ
    ประชาชนคนหนึ่งอย่างเต็มกำลัง, เต็มที่, เต็มภาคภูมิ ฯลฯ เพราะเขาไม่คิดว่าจะมี
    ความแตกต่างกันเลย ระหว่างหน้าที่ของนายกหรือประชาชนคนหนึ่ง ก็สำคัญเท่ากัน
     
  11. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    เก่งในการปรับเปลี่ยนสิ่งอื่นนอกตัว VS เก่งในการปรับตัวเอง


    มนุษย์ยุคเก่า, ล้าหลัง จะเก่งแต่ไปปรับเปลี่ยนคนอื่น, สิ่งอื่นนอกตัว
    แต่จะไม่เก่งที่จะปรับตัวเอง, เปลี่ยนตัวเองเลย เขาจึงล้าหลังไปเรื่อยๆ
    ในขณะที่สิ่งอื่นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เขากลับไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัว
    เองเลย เขาจึงกลายเป็นคนล้าหลัง นั่นเอง แต่ด้วยอำนาจต่างๆ ที่เขา
    มีทำให้ เขารู้สึกว่าเขาชนะที่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นๆ ได้ ก็เท่านั้น


    มนุษย์โลกยุคใหม่ จะเก่งในการปรับตัว, เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันกับ
    สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป, ธรรมชาติที่เปลี่ยนไป, โลกที่เปลี่ยนไป, ยุค
    สมัยที่เปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ล้าหลัง เขาจึงใหม่เสมอ เหมือ
    เด็กที่เกิดใหม่ได้เสมอ ก้าวทันคนยุคใหม่ๆ ไม่ตกยุคเลย ไม่ใช่เพราะ
    เขาไปหัดเล่นแท็บเล็ตแบบเด็กยุคใหม่ ก็หาไม่ แต่เพราะเขาปรับตัวเอง
    ให้เข้ากับธรรมชาติจริงแท้ที่เปลี่ยนไป (ไม่ใช่ไปยึดว่าต้องทำตามเด็ก
    ได้จึงจะกลายเป็นคนยุคใหม่ เพราะบางที เด็กที่เกิดยุคหลัง อาจล้าหลัง
    อยู่ก็ได้) เมื่อเขาปรับเปลี่ยนตัวเองได้ เขาจึงใหม่เสมอ ไม่ล้าหลังเลย


    ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำงานกลางธรรมชาติ, ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, แดด
    ฝน ฯลฯ ที่ไม่คงที่และเปลี่ยนแปลงตลอด แต่เขาก็ยังปรับตัวเข้าได้กับ
    ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปได้นั้น ตลอด นี่จึงเรียกว่าปรับตัวได้แท้จริง
     
  12. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    เอาสัก 9 ข้อลองไปพิจารณากันเองก่อนนะครับ
    ว่าพร้อมหรือยังที่จะก้าวไปพร้อมกับโลกยุคใหม่?



    rabbit_run_away
     
  13. tomtic

    tomtic สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ยอดเยี่ยมครับ..เป็นปรัชญาที่ลึกซึ้ง..อ่านแล้วสว่างไสวขึ้นทันที
    แต่กิเลสคนมันเยอะครับ...คงมีน้อยคนที่ทำได้..
     
  14. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=IYzlVDlE72w"]Whitney Houston - Greatest Love Of All - YouTube[/ame]




    The Greatest Love Of All


    คือ ไฟรักที่สว่างไสวขึ้นจากภายใน
    (แล้วส่องสว่างไปสู่ปวงสรรพสัตว์)
    ไม่ใช่รักแต่ตัวเอง-ความเห็นแก่ตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2012
  15. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828


    เมื่อแสงสว่างถูกจุดขึ้นจากภายใน
    ไฟรักแห่งความอิสระไร้พันธนาการ
    ที่เกิดขึ้นเพื่อปวงสรรพสัตว์ เมื่อใด


    นั่นคือ จุดเริ่มต้นของความสว่างที่
    จะส่องทางตัวเรา และคนอื่นต่อไป
     
  16. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    เข้าใจค่าา เข้าไปในหัวจิตหัวใจเลยทีเดียวเชียว^^

    มนุษย์หน่ะนะ กว่าจะสามัคคีกันได้ก็ต้องรอจนได้รับบทเรียนอะไรซักอย่างก่อนหล่ะ เรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา อย่างงั้นเลย เฮ่อ...

    สังคมตามชนบทแบบดั้งเดิมอย่างที่เราเคยเป็นเมื่อนานมาแล้ว นั่นแหล่ะ ที่จะเป็นต้นแบบให้สังคมยุคใหม่อย่างที่คุณว่าต่อไป สังคมแบบคอมมู รักกันดูแลกันเคารพกันเหมือนญาติ เคารพธรรมชาติและไม่แบ่งแยก^^

    ความจริงมันก็วนเวียนแบบนี้มาหลายรอบแล้วหล่ะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เจริญแล้วก็เสื่อม แล้วก็เจริญ แล้วก็เสื่อม แล้วก็....วนเวียน ไม่เที่ยง เป็นเช่นนี้

    น่าเบื่อเนอะ^^
     
  17. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436

    จากข้อความข้างต้น เราจะรู้จักท่านเจ้าของกระทู้แบบตัวเป็นๆ ได้หรือเปล่าคะ

    แบบเปิดเผยอ่ะ ไม่เพียงแค่รู้จักแค่ทางเน็ต
     
  18. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828

    ได้อยู่แล้วครับ เป็นไปตามธรรมชาติ
    (คือ ถ้าคุณพบผมเองตามธรรมชาติ
    ไม่ได้เพราะใช้สื่อเพื่อให้ได้มาพบกัน)
    แต่ผมมีจรรยาบรรณส่วนตัวในการใช้
    สื่อนี้อยู่ว่า จะไม่ใช้เพื่อสร้างชื่อเสียง
    ให้ตัวเอง หรือเพื่อประโยชน์ส่วนตน



    ดังนั้น จึงใช้นามปากกา ดังนักเขียนทั่วไปครับ
     
  19. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828


    สัจธรรม ย่อมเป็นความจริงสากล ไม่ใช่ของคนหนึ่งคนใด
    เมื่อคุณสัมผัสมันได้ นั่นเพราะคุณถึงธรรมชาตินั้นเอง มิใช่
    ด้วยเพราะรับมาจากผม หรือเพราะผมเอามาให้ แต่อย่างใด


    สัจธรรมความจริงนั้น ย่อมมีอยู่แล้ว มีอยู่เอง มิใช่ของใคร
     
  20. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ลองย้อนนึกถึงตอนครั้งยังเป็นเด็ก
    ที่มีอิสระเสรี ไม่มีอะไรมาครอบงำ
    เราเคยสงสัยว่าโลกนี้เป็นอย่างไร
    มีอะไรอยู่บ้าง บางครั้งอยากท่อง
    โลกกว้าง หรือจินตนาการไปไกล


    ช่วงนั้น เราเคยคิดอยากทำอะไร
    หรือถามตัวเองบ้างไหมว่าเราเกิด
    มาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร? ทำไม?


    คำถามที่เราเคยสงสัยเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
    มันได้รับการตอบหรือยัง? หรือว่า ถูกสิ่ง
    อื่นกดทับ ถมลง ให้จมลึกหายไปเรื่อยๆ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...