ทำไมคนหรือพระสงฆ์ที่มีฤทธิ์ อภิญญา จึงไม่แสดง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somchai_eee, 1 พฤษภาคม 2012.

  1. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ทำไมคนหรือพระสงฆ์ที่มีฤทธิ์ อภิญญา จึงไม่แสดงให้เป็นที่ประจักต่อสาธารณะว่ามันมีอยู่จริงละครับ ปล่อยให้เป็นเรื่องพิสูจณ์ไม่ได้อยู่ทำไมครับ
     
  2. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ลองนึกต่อสิครับ ว่าทำไปแล้วได้อะไร เกิดอะไรขึ้น?
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    แสดงออกมาให้รู้เห็น ก็จะกลายเป็นการงมงาย ผู้คนจะสนใจแต่ฤทธิ์

    จะไม่สนใจการหลุดพ้น และ อีกอย่าง มันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงครับ

    แค่มีความอยาก ก็ไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ครับ จะกลายเป็นการกล่าวอวดตน

    อวดในสิ่งที่ตนไม่มี ผลจะตอบสนองกลับมาอย่างไรครับ

    แต่อีกไม่นาน ไม่เกินหนึ่งร้อยปี เป็นอย่างน้อย จะมีการแสดงฤิทธิ์ออกมาให้เห็นครับ

    และ จะกลับเข้าสู่ยุคแห่งความงมงายอีก เป็นเวลานานกว่า จะเข้าสู่ยุดพระศรีอารยะ

    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ผมบอกได้แค่เพียงว่า ฤทธิ์ เป็นเพียงดอกไม้ริมทางครับ

    ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้ครับ แถมยังจะเป็นเหตุทำให้เรามาเกิดอีกครับ

    สาธุครับ
     
  4. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    แล้วตอนนี้ที่เอามาพูดกันอยู่ในปัจจุบัน มันไม่งมงายหรือครับ
    แล้วอวดในสิ่งที่มีในตน นั้นผิดหรือครับ
    ยังงงครับ
     
  5. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ช่วยเฉลยให้ผมฟังสักกะนิดนะครับท่าน ผมนึกไม่ออก ครับ สาธุ
     
  6. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ก็ตามท่าน oatthidet ว่านั่นแหละครับ
    คือทำให้คนยิ่งติดในฤทธิ์ ไม่แสวงหาทางหลุดพ้น มีแต่อยากจะได้ฤทธิ์ จะได้ใช้ชีวิตง่ายๆ
    หลงติดไปในโลกมายา ที่ไม่เป็นความจริงนี้ต่อไป ไม่หลุดพ้นเสียที

    วงจรของผู้มีบุญที่ติดฤทธิ์
    1. เกิดมาเป็นมนุษย์
    2. ทุกข์ตามอัตภาพ
    3. ได้ปฏิบัติกรรมฐาน รื้อฟื้นของเก่า ได้ฤทธิ์มา
    4. ได้ใช้มั่ง ไม่ใช้มั่ง อาจจะดูเหมือนสบายตอนแรก สุดท้าย หนีกรรมไม่พ้น หากมีกรรม ให้ต้องตกอับ ต้องจน ต้องพิการ ต้องป่วย ต้องตาย ก็ต้องรับไปตามนั้น แถมยังต้องทรมานก่อนตาย เพราะไม่ได้ปฏิบัติให้เกิดปัญญา ย่อมต้องยึดสังขารขันธ์ก่อนตาย หนีกรรมยังไง ก็หนีไม่พ้น
    5. ตายแล้วไปเกิดใหม่ วนวงจรเดิม ไปเรื่อยๆ

    ในวัฏจักรนี้ มีอันไหน ช่วยให้สบาย พ้นทุกข์ หลุดพ้น หรือหนีกรรมได้ ไหมครับ?
     
  7. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผมเห็นอยู่คนหนึ่ง เค้าใช้อภิญญาต่อหน้าสาธารณะชนอยู่เป็นประจำ เพราะเป็นงานของเค้า
    และเค้ามีชื่อว่า Cyrill Takayama ลองไปที่Youtube แล้วพิมพ์ชื่อเค้าลงไป คุณจะได้พบกับสิ่งที่เรียกว่าอภิญญา

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=_NmOqB0Mlds]Cyril Takayama - Lacoste - YouTube[/ame]​

    (ผมขออนุญาตทางทีมงานเว็บพลังจิต ขอลงคลิปYoutube นะครับ เพราะอภิญญาเป็นภาคปฏิบัติ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตัวหนังสือครับ)
     
  8. LiuYiFei

    LiuYiFei สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +6
    ผมเคยดูละครับคลิปนี้ มันไม่ใช่มายากลหรอครับผมนึกว่ามายากลซะอีกตอนดูตอนแรก :D
     
  9. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    อภิญญากสินไรครับนี่ อาจจะเป็นมายากลก็ได้แต่ผมก็ไม่รู้
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ................ไม่ได้ดราม่า นะครับ คนที่แสดง ฤทธิ์ ในรอบรอบตัวเราในสังคมเรามีเยอะแยะ.แต่เราไม่ยอมรับอย่างจริงใจว่าท่านมีฤทธิ์...พระที่ปลูกศรัทธาให้คนทำความดี พระที่เทศนาให้คนมีดวงตาเห็นธรรม...มีหนังทางทีวีที่แสดงให้เห็นพระปรีชาญานของในหลวงที่มากกว่าฤทธิ์ใดใดมากมาย ฝนหลวง หญ้าแฝก แกล้งดิน อ่างซับน้ำใยหิน...มีอีกเยอะ แยะ...แม่เคยเล่าให้ฟังว่าอุ้มผมเข้าโรงหนังตอนผมอายุ 1-2ขวบ(เพราะต้องเอาผมไปด้วย)ตอนเพลงสรรเสริญขึ้น ที่แม่อุ้มผมอยู่ผมยกมือไหว้ท่านในจอหนังตลอดเพลงจนจบ...ผมเองจำไม่ได้ แต่ คิดว่านี่คือ ฤทธิ์ของท่านเหมือนกัน:cool:
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คนที่สามารถแสดงฤิทธิ์ให้เป็นรูปธรรมได้จะตอบได้ดี ที่เคยถาม
    คือรำคาญ เบื่อ ไม่อยากดัง เเละยังต้องการแสวงหา
    ความรู้.
    เกี่ยวกับฤิทธิ์ไม่มีสิ้นสุด และรู้หมดและครับไม่ว่าอดีต อนาคต แม้กระทั้งวันตาย
    และรู้ด้วยว่าต้องกลับมาเกิดอีก.
    ที่หลายๆท่านที่โพสมาที่มองไม่เห็นประโยชน์หรือว่าไม่ใช่ทางนั้น
    เพราะเรามองตามทางเดินผู้เป็นเลิสทั้งสามภพ แต่เราไม่มีทางคาดเดาได้ถูก
    ถ้าเราไม่ใช่คนแบบเค้า. ส่วนถ้าเป็นพระไม่น่าห่วง. และไม่ควรคาดเดา แม้จะเคยเห็นด้วย
    สองตาของตัวเองก็ตาม

    อนุโมทนาสาธุ
     
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    พระสงฆ์ในพระศาสนา โดยเฉพาะท่านที่ได้อภิญญาแล้ว ท่านมีความเคารพพระพุทธเจ้าสุดใจ....คำสั่งคือคำสั่ง ศีลคือศีลรักษาด้วยชีวิต....ถ้านอกคำสั่งสมเด็จฯท่านยังกล้าทำ จะชื่อว่าเป็นสงฆ์ในพระศาสนาได้เช่นไร....จะเอาคติแบบโลกๆที่คิดๆกันไปวัดกำลังใจของท่านเหล่านั้นไม่ได้หลอกครับ...มันคนละชั้น...ไอ่ใจพวกเรามันเจือด้วยกิเลส..มันก็คิดได้แต่ว่ามีความสามารถก็แสดงเพื่อคนจะได้ศรัทธา...ท่านเหล่านั้นท่านได้ละกิเลสและยอมรับกฏแห่งกรรมได้แล้ว...กำลังใจมันคนละชั้นครับ..


    อีกอย่างถ้าพระสงฆ์ที่มีฤทธิ์แล้วแสดงต่อหน้าสาธารณะชนเมื่อไร พระศาสนาจะล่มสลายไปไม่นานจากนั้น....อย่างประการแรกเลย ศรัทธามหาชนจะติดฤทธิ์บูชาแต่พระสงฆ์ผู้มีฤทธิ์ พระสงฆ์ผู้นั้นก็จะเป็นคนที่รับใช้ฆราวาสที่จำเป็นต้องแสดงฤทธิ์เพื่อในฆราวาสเห็น ซึ่งก็จะเป็นกรรมต่อฆราวาสเหล่านั้นเพราะใช้พระสงฆ์ ลาภสักการะมาสู่พระผู้มีฤทธิ์นั้น แล้วพระที่เป็นพระฝ่ายสุขวิปัสโก ที่ไม่มีฤทธิ์ ไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์ จะทำไงหละครับ....ท่านจะอยู่กันได้เหรอ....อย่างน้อยสงฆ์แยกเป็นสองฝ่ายแน่นอน....แล้วไม่นานก็ล่มสลาย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2012
  13. ธรรมรังสี

    ธรรมรังสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +2,218
    มีประโยชน์ทางธรรมก็แสดง ไม่มีประโยชน์ทางธรรมก็ไม่แสดง


    หากเป็นไปเพื่อลด ละ ปล่อยวางสรรพกิเลส



    เป็นเรื่องของพุทธวิสัย และ ฌานวิสัย ไม่ใช่มายากล แต่เป็นไปเพื่อการโปรดสัตว์ ซึ่งจะแสดงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการโอ้อวดใดๆ



    ปัญญา เป็นฤทธิ์ที่เลิศที่สุด


    ความพ้นทุกข์ด้วยปัญญา เป็นยอดของฤทธิ์


    ถ้าคนยังมีทุกข์อยู่ อิทธิฤทธิ์จะมีประโยชน์อะไร อิทธิฤทธิ์แก้ความหลงแก้ความโง่ของคนไม่ได้ ถึงมีแต่ใช้ไม่เป็นก็อันตราย




    อยากเห็นความอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา ให้เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้วจะพบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่โลกจะพึงมี จักรวาลจะพึงปรากฏ ทางพ้นทุกข์อยู่ที่นี่เอง ไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า เป็นมหามหัศจรรย์แห่งพระนิพพาน ที่พระพุทธองค์ทรงประทานชี้ทางไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ อันเป็นสิ่งล้ำเลิศที่สุดของโลกและจักรวาลทั้งหมด


    แค่จิตตกกระแสพระนิพพาน ก็พบกับความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่แล้ว จะกล่าวไปไยหากจิตถึงพระนิพพานเต็มภูมิ



    ขอเจริญพร
     
  14. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
     
     อภิญญา นั้น มีไว้เเสดงเพื่อ ปราบ คนที่ ดื้อ รั้นครั้น เมื่อแสดงให้เห็นแล้วก็ ต่อด้วย

    ให้ธรรมะและเมตาจิต  เป็นอุปกรณ์ธรรมอันเยี่ยม  สำหรับผู้ทรงอภิญญานั้นย่อม

    รู้ดี ว่าเวลาและโอกาสไหน ควรจะแสดงฤทธิ มิไช่ เเสดงบ่อยฯ

    ส่วนที่บวชเป็นพระสงฆ์นั้น พระพุทธเจ้า ทรงห้ามทั้งขึ้นทั้งล่อง

    คือห้ามอวดคุณวิเศษ ที่มีหรือไม่มี อยู่ในตัวท่าน  :mad::mad::cool:
     
  15. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    แล้วทำไมไม่ปฏิบัติเองให้รู้จริงล่ะ..จะได้ไม่สงสัยว่าทำไมท่านไม่แสดงให้ผู้คนเห็นกันแบบจะจะ..ทำได้แค่เห็นความมหัศจรรย์ทางใจ จะไม่สงสัยอีกเลย
     
  16. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    ทำไมคนหรือพระสงฆ์ที่มีฤทธิ์ อภิญญา จึงไม่แสดง
    ทำไม คนหรือพระสงฆ์ที่มีฤทธิ์ อภิญญา จึงไม่แสดงให้เป็นที่ประจักต่อสาธารณะว่ามันมีอยู่จริงละครับ ปล่อยให้เป็นเรื่องพิสูจณ์ไม่ได้อยู่ทำไมครับ

    -----------------
    เป็นคนพูดตรง คำพูดดูหนักแต่ไม่มีอะไรครับ

    ถ้าแสดงออกมา จะมีพวกโง้ๆเขามามากมาย พวกโง้จะมาเล่าเรื่องความโง้ของตัวเอง และจบด้วยการขอความช่วยเหลือ ได้สิ่งที่ต้องการง่ายๆ แล้วก็กลับบ้าน ไปเชือดคอวัว ทุบหัวปลา ฉลองความสำเร็จ ของดีของวิเศษจึงไม่ให้กับคนพาลคนโง้ครับ เพราะเขาได้แล้ว ก็กลับไปทำโง้ๆเพิ่มได้อีกมากกว่าเดิม สบายกว่าเดิม คนฉลาดเขาจะไม่สน ต้องทำเอง ได้เอง รู้เอง และช่วยตัวเอง ขาดเหลือนิดหน่อยจึงไปขอเขาช่วย ผิดกับคนโง้ ไม่ทำเลย ขออย่างเดียว และชอบชักจูงคนประเภทเดียวกันมาเป็นพวก ขอโทษที่พูดตรงครับ มันสั้นดี อธิบายยาว แล้ว ไม่ทันใจครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 พฤษภาคม 2012
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผิดสิครับ ไมต้องกล่าวหนทางในการปฎิบัติ ก็ยังผิดครับ

    คุณลองคิดดูนะครับ หากทำแล้วเกิดไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ

    ผู้คนที่มาเฝ้าดูจะเชื่อถือไหม และ จะการเป็นการติเตือน

    ลองถามตัวคุณเองก็ได้ครับ หากมีการแสดงฤทธิ์ แต่ผู้นั้นเกิดทำไม่ได้

    คุณจะรู้สึกอย่างไร ทั้งที่จริงผู้นั้นแสดงฤทธิ์ได้จริง แต่ด้วยความอยาก

    จึงไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ คงเข้าใจนะครัย

    สาธุครับ
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=07&A=256&Z=312

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
    จุลวรรค ภาค ๒

    เรื่องบาตรปุ่มไม้จันทน์
    [๒๙] สมัยต่อมา ปุ่มไม้แก่นจันทน์มีราคามาก ได้บังเกิดแก่เศรษฐี
    ชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐีได้คิดว่า ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้
    แก่นจันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็นทาน หลัง
    จากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรก
    แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึ้นไป แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์
    ผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด ฯ
    [๓๐] ขณะนั้น ปูรณะกัสสปเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐีแล้ว กล่าวว่า
    ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่
    อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และ
    มีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด
    ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ
    ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร ได้เข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี
    แล้วกล่าวว่า ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ ขอท่าน
    จงให้บาตรแก่อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระ
    อรหันต์และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด ฯ

    เรื่องพระปิณโฑลภารทวาชเถระ
    [๓๑] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภาร-
    *ทวาชะ ครองอันตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมือง
    ราชคฤห์ อันที่แท้ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
    แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จึงท่านพระปิณโฑลภาร
    ทวาชะ ได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะ
    จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน แม้ท่านพระโมคคัลลานะก็กล่าวกะท่าน
    พระปิณโฑลภารทวาชะว่า ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้น
    ของท่าน
    จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียนไป
    รอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ ฯ

    [๓๒] ครั้งนั้น ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยา ยืนอยู่ในเรือน
    ของตน ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวนิมนต์ว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้า
    ภารทวาชะ จงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี้เถิด จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
    ประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ขณะนั้น ท่านราชคหเศรษฐีรับบาตร
    จากมือของท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ แล้วได้จัดของเคี้ยวมีค่ามาก ถวายท่าน
    พระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะได้รับบาตรนั้นไปสู่พระอาราม
    ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของราชคหเศรษฐี
    ไปแล้ว และชาวบ้านเหล่านั้นมีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิณโฑลภาร-
    *ทวาชะไปข้างหลังๆ พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเสียงอึกทึกเกรียวกราว ครั้นแล้ว
    ตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียงอึกทึกเกรียวกราว เรื่องอะไรกัน
    ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตร
    ของท่านราชคหเศรษฐีลงแล้ว พวกชาวบ้านทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
    ปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลง จึงพากันติดตามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะมา
    ข้างหลังๆ อย่างอึกทึกเกรียวกราว พระพุทธเจ้าข้า เสียงอึกทึกเกรียวกราวนี้
    คือเสียงนั้น พระพุทธเจ้าข้า ฯ

    [๓๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ
    เป็นเค้ามูลนั้น
    ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภาร-
    *ทวาชะว่า ภารทวาชะ ข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลง จริงหรือ

    ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
    ภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่น
    ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน
    เธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์
    แก่พวกคฤหัสถ์
    เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะ
    เหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิ-
    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตร
    ไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
    ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่
    พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยา
    หยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ






    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์

    เพราะการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส





    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์

    เพราะการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส






    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์

    เพราะการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส








    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์

    เพราะการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส












    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์

    เพราะการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส










    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์

    เพราะการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส










    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์

    เพราะการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส










    *ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์

    เพราะการกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส






    PANTIP.COM : Y10705338
     
  19. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796


    ขออนุญาติ ชอบ เข้าใจ มากกกก
     
  20. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๒๖ : พระปิณโฑลภารทวาชะ แสดงฤทธิ์

    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๒๖ : พระปิณโฑลภารทวาชะ แสดงฤทธิ์


    พระปิณโฑลภารทวาชะ แสดงฤทธิ์เอาบาตรบนยอดไม้ไผ่

    เหตุการณ์ประมาณปีที่ 7 ในกรุงราชคฤห์ เศรษฐีชาวราชคฤห์ ได้ปุ่มไม้จันทร์แดง แล้วมากลึงเป็นบาตร จึงคิดที่จะถวายบาตรกับพระอรหันต์ จึงออกอุบายเอาบาตรไม้จันทร์แดงนั้นไปแขวนไว้บนไม้ไผ่ ซึ่งต่อยาวถึง 60 ศอก (หรือ 30 เมตร) แล้วประกาศให้ชาวเมือง และนักบวชต่างๆ ให้ทราบกัน ทั่วทั้งกรุงราชคฤห์ ว่า ขอถวายบาตรที่แขวนอยู่บนยอดไผ่แก่พระอรหันต์ บรรดาครูทั้ง 6 (เจ้าลัทธินอกพุทธศาสนา) ก็มีความต้องการบาตรนั้น จึงกล่าวขอบาตรนั้นจากท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีก็กล่าวว่า ถ้าต้องการได้บาตร ก็ให้เหาะขึ้นไปเอาเอง ฝ่ายนิครนถ์นาฏบุตร ออกอุบายให้ลูกศิษย์ ไปขอบาตรจากท่านเศรษฐี โดยให้พูดกับท่านเศรษฐีว่า บาตรนั้นสมควรแก่นิครนถ์นาฏบุตร ท่านเศรษฐี ควรถวายให้กับนิครนถ์นาฏบุตร อย่าให้ท่านนิครนถ์นาฏบุตร แสดงฤทธิ์อันเล็กน้อยเลย แต่เศรษฐีตอบว่า ถ้าประสงค์ก็จงเหาะขึ้นไปเอาเอง

    ฝ่ายนิครนถ์นาฏบุตรกลัวเสียหน้า จึงออกอุบายให้ลูกศิษย์ว่า นิครนถ์นาฏบุตรจะทำทีเหาะขึ้นไปเอาบาตร และให้ลูกศิษย์จับเอาไว้ และให้กล่าวว่า เรื่องอะไรที่จะแสดงฤทธิ์อันเล็กน้อยเพื่อบาตรนั้น ลูกศิษย์จึงทำตามที่ออกอุบายไว้ และสุดท้ายก็ขอบาตรเอาดื้อๆ แต่เศรษฐีก็ยังใจแข็งบอกว่า ถ้าจะเอาให้เหาะขึ้นไปเอาเอง นิครนถ์นาฏบุตรก็จำใจจากไป เป็นเวลาถึง 7 วันแล้ว ก็ไม่มีใครขึ้นไปเอาบาตรนั้นได้ ชาวเมืองที่ยังเป็นปุถุชนทั้งหลาย ต่างก็เข้าใจว่าไม่มีพระอรหันต์ จึงพูดต่อๆ กันไป

    ในครั้งนั้นพระโมคคัลลานะและพระปิณโฑลภารทวาชะ ประสงค์เข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ เมื่อเข้าไปในกรุงราชคฤห์ ก็ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า ครูทั้ง 6 (เจ้าลัทธิทั้ง 6) อ้างตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ก็ไม่มีความสามารถเอาบาตรที่ท่านเศรษฐีถวายแก่พระอรหันต์ ที่แขวนอยู่บนยอดไผ่ได้ พระปิณโฑลภารทวาชะ จึงกล่าวว่า ท่านโมคคัลลานะ ท่านจงไปเอาบาตรนั้นเถิด ท่านโมคคัลลานะไม่ไปเอา พระปิณโฑลภารทวาชะ จึงเหาะไปเอาบาตรนั้นเอง ท่านเศรษฐีจึงถวายภัตตาหาร แก่พระโมคคัลลานะและพระปิณโฑลภารทวาชะ


    [​IMG]


    หลังจากนั้นชาวเมืองต่างก็ติดตามพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นกระบวนใหญ่ เพื่อให้ท่านแสดงฤทธิ์ให้ดูอีก พระปิณโฑลภารทวาชะด้วยความที่มีใจอนุเคราะห์ จึงแสดงให้ดูเล็กๆ น้อยๆ ไปพลาง และชาวเมืองติดตามพระปิณโฑลภารทวาชะ จนถึงวิหารที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ เมื่อประชาชนหมู่มากติดตามมา ย่อมส่งเสียงดัง เรื่องจงทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุแสดงฤทธิ์(อวด) แก่ประชาชน ตั้งแต่นั้นมา
    <!-- End main-->
    Bloggang.com : travelaround
     

แชร์หน้านี้

Loading...