จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    สุขภาพจิตดี คิดว่ายังไม่พอ ถ้าจะเอาให้สุดๆ ต้องพัฒนาจิตไปด้วยนะครับ จะได้ไม่เกิดมาแล้ว เสียดายตอนที่ละกายหยาบนี้ ว่า..........ทำไม้ๆๆๆๆ ตรู ไม่ทำให้ดีกว่านี้ มาเกิดอีกแล้วตรู...อิอิอิ
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233

    เรื่องนี้ถึงหูครู ดชน แน่.....

    เมื่อไหร่จะมาละครับ ธรรมะจากดอยยยย

    นอนตักพี่ภูหลับมาหลายตื่นแว้วครับ อิอิ
     
  3. ถิธานุ

    ถิธานุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +219
    นำรูปมาให้ชมครับเผื่อจะถูกจิตถูกใจใครครับ จะได้นำไปฝึกจิตเกาะพระครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04042.JPG
      DSC04042.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.6 MB
      เปิดดู:
      233
    • DSC04043.JPG
      DSC04043.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.8 MB
      เปิดดู:
      139
    • DSC04044.JPG
      DSC04044.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      51
    • DSC04045.JPG
      DSC04045.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      63
  4. เลขโนนสูง

    เลขโนนสูง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2010
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +825
    อะไรกันคือแรงกระทำที่ทำให้ต้องเกิดกันอยู่เรื่อยไป

    ความ อยาก เสพสุขแบบโลกๆ ความไม่รู้ว่ากำลังเล่นเกมกรรมซ่ำซาก
    ตลอดจนไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นจากเกมกรรมไปได้ย่างไรนั้นเอง
    คือ แรงกระทำที่ทำให้เกิดใหม่อยู่เรื่อยไป

    แต่ถ้าอยากเอาชนะเกมกรรม
    ก็ต้องมีใจอยู่เหนือแรงกระทำที่ทำให้เกิดใหม่ให้ได้ (เราก็ทำอยู่เหมือนกัน) เอิ๊กๆ ^_^
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ข้าพเจ้าขอถามคำเดียวว่า พวกท่านรู้สึกเบื่อกันบ้างไหม๊???

    ที่กิเลสตนเองมันฉายหนังใ้วนเดิมๆ ให้เราๆท่านๆดูแล้ว ก็ดูกันอีก
    และความสุข และความทุกข์ของตนมาเยือนเรามาก็นับกันไม่ถ้วน
    หมือนดั่งคนเราเกิดมาแล้ว นับชาติกันไม่ถ้วนกันนั้นแหล่ะ! มันเป็นเพราะอะไร เพราะเราไม่พยายามสร้างติกันให้มากๆ
    และไม่ภาวนานั่งดูมันบ้าง พวกเราคงปล่อยจิตให้ลงไปเล่นกับเพื่อน คือกิเลสของตน จนจิตเปอะเปื้อนจนเราล้างทีเดียวไม่หาย เหมือนนกตกบ่อน้ำมัน คือต้องล้าวนานหน่อยถึงจะสะอาดกันได้
    จิตเราก็เหมือนกัน พวกเราจะต้องพากันล้างบ่อยๆ เหมือนเราหายใจบ่อย ทานข้าวทุกวันกันน่ะแหล่ะ!

    กลับมาพูดถึงหนังม้วนเก่า ที่กิเลศฉายให้กับพวกเราดูกันอยู่ทุกวี่ ทุกวันนี้
    และคนจะมองเห็น หรือเบื่อหนังม้วนเก่ากันนี้ นอกจากนักภาวนาก็พอจะมองเห็นกันอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่ใช่นักภาวนา จะไม่มีสิทธิ์รู้เท่าทันกิเลสของตนอย่างแน่นอน
    หรือพูดภาษาธรรมะอีกนึง ก็คือ พวกเรามองไม่เห็นการเกิด-ดับของมวลกิเลส เพราะจิตขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา สำหรับผู้ยังอยู่ในวัฎฎะ หรือยังรู้สึกว่าตนเองเป็นทุกข์กันอยู่นั้น เพราะเราไม่นำจิตไปดู ไปรู้จิตของตนเองกันเลย หรือเข้าไปไม่ถึงธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
    (จิตประภัสสร จิตใส บริสุทธิ์ และผุดผ่อง นั่นเอง)
    หรือ นักภาวนาก็ตามที แต่ถ้าปฎิบัติไป โดยที่ไม่ยอมทำวิปัสสนา คือ จิตมัวไปตกหล่น หรือไปติดสุ ขค้างฌานกันอยู่นั้น ตรงนี้ก็นับว่า น่าเสียดายเป็นยิ่งนัก
    เพราะจิตได้แค่รู้และเข้าใจ แต่เหลืออีกด่านเดียว จิตก็จะพ้นแรงดึงดูดของกิเลสตน และกิเลสโลกกันแล้ว
    เพราะว่า เรานำจิตไปเรียนรู้และเข้าใจเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เราจะต้องน้อมนำจิต ขณะที่จิตพร้อมใช้งาน หรือจิตทรงสมาธิ จิตทรงฌานกันอยู่นั้น
    หรือนำจิตขณะสมถสมาธิ ให้พวกเราเอาสตินำจิตไปเข้าสู่การวิปัสสนาญาณกันให้ได้
    เพราะว่า ถ้าเราไม่นำจิตของตนเข้าสู่วิปัสสนาญาณกันแล้ว หรือจิตไม่ได้ปัญญาญาณ
    กันแล้ว จิตเราก็ไม่มีวันเข้าถึงความว่าง ความเป็นกลางกันได้ เพราะพวกเราไม่นำจิตของตนไป น้อมยอมรับกฎธรรมดา กฎธรรมชาติ หรือพระไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์ ที่ท่านทรงค้นพบมาให้พวกเราก่อนพุทธกาล
    สุดท้ายจิตเราก็ไม่เห็นถึงความเป็นธรรมดา ธรรมชาติ ธรรมะ หรือกฎแห่งไตรลักษณ์กัน
    คือ จิตก็เลยมองไม่เห็นความเป็นธรรมดาของธรรม หรือ สิ่งที่มากระทบจิตกัน หรือสติไม่พอกันที่จะไปดู ตามรู้จิตตน
    จิตเราจึงปล่อยวางไม่ได้ เพราะจิตยังไปไม่ถึงการหยั่งรู้ถึงความเป็นจริงกันตรงนี้

    แต่นักภาวนา
    ตอนแรกก่อนปฎิบัติ ยังหัดเดินเตาะแตะกันอยู่ พอปฎิบัติไปได้สักระยะนึง พอเริ่มเดินแข็ง จิตแข็ง คราวนี้หล่ะ จิตบางท่าน เริ่มจะมีของดี คิดว่าตนเองวิเศษ เหนือมนุษย์คนอื่นๆ ที่ยังทำไม่ได้เหมือนเรา เกิดอัตตาขึ้มากันใหม่ คราวนี้นะ ยิ่งกว่ากิเลสกันอีก เพราะใครๆพูดไม่ฟังแล้ว เพราะนักภาวนาจิตไปไกลเกิน แต่ถ้ามีสติตามไม่ทันจิตไวของตน อาจมีหลงทางกัน อีตอนถึงสามแยก
    (ไม่ใช่วัดสามแยกนะ)แต่เป็นทางสามแพร่ง ทางสามแยก นั่นเอง
    จิตเดินทางมาถึงกันตรงนี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พวกเราเดินทางตรงกันนะ ทางตรงหมายถึง เดินตามมรรคมีองค์8
    (ศีล สมาธิ ปัญญา)
    เพราะทางสายเอก หรือทางสายกลางนี้ ซึ่งเดินทางตรงเข้าสู่ มรรค ผล พระนิพพาน เป็นต้น
    โดยมีเป้าหมายในการเดินทางสูงสุดของดวงจิตกัน ก็คือ พระนิพพาน

    ว่าจะพูดเพียงนิดเดียวเองนะ กลับยาวเลย

    จะพูดเพียงแค่ กิเลสมันฉายหนังม้วนเก่าให้พวกเราดูอยู่ทุกวัน เท่านั้นเอง
    ขอให้เราดูกันแค่สั้นๆ สำหรับจิตที่ยังไม่ถึงฝั่ง(จิตยังเกาะพระยังไม่แนบแน่น)
    ขอให้ดูกิเลสหยาบง่ายๆกันก่อน ได้แก่ ความโกรธของตน ไม่ต้องไปรอดูความเกิดดับของกิเลสตัวอื่นๆหรอก เอาแค่เราดูความโกรธของตนนั้น วันๆนึงมันเกิดขึ้นกับตนกี่ครั้งต่อหนึ่ง ต่อหนึ่งสัปดาห์ ต่อหนึ่งเดือน เป็นต้น​
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แหม๊! น้องหญิงเล็กของเรานี่ น่ารักเสมอ
    น่ารักเหมือนเด็ในรูปเลยง่ะ....
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำไงได้เล่า ข้าพเจ้ามิอาจมีจิตที่เห็นแกตัว
    พ่อบอกว่าเราทำให้ดีให้ถึงที่สุดก่อน ไม่ว่าทั้งทางโลกและทางธรรม (บำเพ็ญเพียรไปพร้อมกัน) กายทำหน้าที่กับทางโลกไป แต่จิตก็สงเคราะห์ธรรมอะไรได้ก็ช่วยกันไป แต่ถ้าตายไปแล้ว หยุดทุกสิ่ง หมดเวลาทำ ทั้งความดี และความชั่ว
    ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ งั้นผมขอทำให้กับทุกคนก็แล้วนะ
    แทนที่ผมจะนอนพักหลังงานเสร็จผมก็ทำได้ แต่ไม่อยากทำ
    จิตผมบอกว่ามันยังไม่ได้ทำงานเลย ที่ทำทั้งวันนี้ก็กายทำง่ะ...

    ตอบครูซะยาวเ๊ล๊ยยย
     
  8. jprabs

    jprabs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +1,229
    ขออนุญาตอ้างอิงถึงกระทู้ของคุณลูกพลัง ที่พูดถึงเรื่องฌานนะครับ...

    ข้าพเจ้ามีคำถามจะเรียนถาม(หรือท่านผู้รู้ท่านอื่นก็ได้นะครับ)
    - ถ้าจิตทรงฌานลึกไปถึงฌาน4ในขณะทำงาน แล้วตัวเราหรือสภาพของเราจะเป็นยังไง? เบลอหรือหยุดนิ่งหรือเป็นยังไง เพราะว่าถ้าเรานั่งสมาธิปกติพอถึงฌาน4 ตัวหายเหลือแต่จิต แต่ถ้าเราเคลื่อนไหวทำงานอยู่มันจะเป็นยังไง?
    - แต่ถ้าเราเอาสติไปประครองจิต แท้จริงคือเราถอนฌานออกมาอยู่ที่ฌานขั้นต้นใช่ไหมครับ?
    - มีเทคนิคในการถอนฌานออกจากฌานลึกๆมาที่ฌานขั้นต้นอย่างไร
    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->


    พี่ ดชน ได้ตอบไปแล้วนะครับ แต่ผมขอแชร์ความรู้จากตำราล่ะกันครับ

    ตามตำราท่านว่าฌานมีสองประเภท คือ อารัมมณูปนิชฌาน ๑ และลักขณูปนิชฌาน ๑

    อารัมมณูปนิชฌาน เป็นฌานที่เกิดจากการเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เช่นคำภาวนา หรือภาพกสินเป็นต้น จนกระทั่งเป็นเอกัคคตารมณ์ (ฌาน๔) จิตจะนิ่งสงบระงับจากกิเลสทั้งหลาย ไม่สนใจไม่รับรู้ไม่ได้ยินไม่รู้สึกอะไรใดๆ นั่งนิ่งเฉยดื่มด่ำอยู่อย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้หลายท่านคงรู้ว่าเป็นยังไงนะครับ มันก็ดีอยู่เหมือนกันตรงที่ว่ามันทำให้จิตได้พักผ่อนและสะสมพลังงาน แต่ว่ามันไม่ทำให้เกิดความรู้ใดๆ เลย บางท่านอาจจะเรียกว่า "ฌานฤาษี"

    ลักขณูปนิชฌาณ เป็นฌานที่เกิดจากการเพ่งลักษณะของสิ่งต่างๆ ที่มันเกิด-ดับ และยอบรับไม่ความไม่เที่ยงของสิ่งนั้นๆ ตามความเป็นจริง เป็นฌาณที่ก่อให้เกิดวิปัสสนาญาณ แท้จริงแล้วก็คือสติตามรู้ ดู แล้ววางความคิดต่างๆ เกิดก็รู้ดับก็รู้ รู้อยู่ตลอด เกิดอีกก็รู้อีก วนเวียนอยู่อย่างนั้น เวลาที่ไม่มีความคิดเกิดขึ้นสติกับจิตก็จะกลับมาอยู่กับเครื่องรู้ ไม่ไปรู้ดูสิ่งอื่นอันนี้ก็เรียกว่าการเพ่งเหมือนกัน เป็นสมาธิเป็นฌานได้ แต่ข้อสังเกตที่สำคัญคืออารมณ์ของจิตนั้นต้องเบาสบายแจ่มใส ไม่หงุดหงิดรำคาญกับความคิดที่เกิดดับ รู้ว่ามันเกิดแล้วดับแต่ไม่สนใจอันนี้ล่ะฌาน แต่ถ้ารู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับความคิดเหล่านั้น นี่แสดงว่าจิตปรุงแต่ง ไม่ใช่ฌาน บางคนนั่งสมาธิแล้วจิตไม่นิ่งคอยจะคิดฟุ้งๆๆ ไปเรื่อยก็เข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน ฌานเสื่อม จริงๆแล้วไม่ใช่ ถ้าสติตามรู้ดูความคิดนั้นๆได้ทัน เกิด-ดับ รู้อยู่ตลอด จิตไม่ปรุงแต่งใดๆ ความคิดนั้นถือเป็นปัญญา ไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน หลวงพ่อพุธท่านเรียกว่า "ปัญญาในสมาธิ"

    ลักขณูปนิชฌานนี้เป็นฌานที่มีสติเป็นพระเอก หลักก็คือความคิดหรืออารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นสติก็ตามรู้ ดู แล้ววาง แล้วก็กลับมานิ่งสงบแนบแน่นกับอารมณ์เดียวต่อไป ความคิดเกิดอีกก็รู้อีก ทวนกระบวนการเดิมอยู่อย่างนี้ ฌานตัวนี้จึงทรงไว้ได้ในทุกอิริยาบทไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เท่านั้น ตัวนี้แหล่ะเป็นฌานที่ชาวจิตเกาะพระใช้มากเลยนะครับ ที่บอกว่าให้ทรงฌานไว้ให้ได้ตลอดทั้งวันมันก็คือ ลักขณูปนิชฌาน นั่นเอง ความคิดเกิดก็รู้ ดับไปก็รู้ ยอมรับในความไม่เที่ยงของความคิดนั้นแล้วก็จบไป ถ้าว่างๆ ไม่ต้องคิดไม่ต้องทำอะไร จิตจะวิ่งเข้าไปหาพระเกาะติดอยู่กับพระ นั่นคือสติกับจิตกลับเข้าไปนิ่งสงบอยู่ภายใน ก็อยู่ของเขาอย่างนั้นแหล่ะนะ พอความคิดเกิดขึ้น ก็งานเข้า สติออกมาทำงานอีกแล้ว วนเวียนอยู่อย่างนี้ จิตใจสบายครับไม่ทุกข์ไม่อึดอัดเพราะไม่ได้ไปปรุงแต่งกับความคิดเหล่านั้น

    ฉนั้นก็ไม่ต้องไปกังวลแต่ประการใดว่า เวลาทำงานเอาจิตทรงฌานแล้วสภาพเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเอาสติตามรู้อารมณ์อย่างนั้นฌานมันก็ถอนน่ะซิ ก็เพราะว่าเราไม่ได้ทรงอารัมมณูปนิชฌาน แต่เรากำลังทรงลักขณูปนิชฌานอยู่นั่นเอง
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คุณjprabs คุณลูกพลัง และท่านอื่นๆ อ่านไปพร้อมกันเลยนะ
    (ขอบใจท่านสองมาก)

    เดี๋ยวรอผมแป๊บนึงนะ
    และก็การทรงฌานปกติ(ฌาน1-3) แต่มีผู้สงสัยกันว่า แต่ถ้าขณะที่เราทำงานกันอยู่แล้วจิตทะลึ่งไปทรงฌานลึก(ฌาน4) แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี เป็นคำถามที่ดีมากๆ ต้องขอบใจอีกครั้งที่มาช่วยกันแชร์ ทั้งผู้ปฎิบัติก็ยังงง และผู้ปฎิบัติที่ไม่ติดตำรา เพราะการยึดตำรากันนั้น ถึงคุณจะไปท่องทุกไตรปิฎก หรือจำได้ 84000 พระขันธ์ทั้งหมด ก็มิอาจจจะบรรลุธรรม หรือมีดวงตาเห็นธรรมกันได้ก็เพราะว่า เรามิได้นำจิตของตนเองเข้าไปเรียนรู้กัน นั่นเอง จึงมิใช่เราไปเรียนรู้กันแบบทางโลก

    เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ธรรมะ โดยเฉพาะเรื่องเรื่องจิตด้วยแล้ว เพราะจิตเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ขนาดจิตของเราอยู่ที่เรา พวกเราก็ไม่เข้าใจกัน
    เพราะฉะนั้น พวกเราถึงเวลาแล้ว จะต้องรู้จริงๆกันสักที มิใช่รู้แค่จากตำรา หรือได้แต่ฟังเขาเล่ากันมา แต่ตัวเรามิได้ผ่านการปฎิบัติกันจริงๆสักทีนึงเลย ท่านก็ได้แค่เห็นคนทานลูกพับว่าแท้จริงๆ มันรสชาดอย่างไร(สำหรับคนที่ไม่เคยทานนะ สมมุติเฉยๆ)
    ใครไม่ปฎิบัติก็จะไม่มีทางรู้ลึกซึ้งกันได้หรอก เหมือนคนโสด ไม่เคยแต่งงาน รู้แต่ได้ยินเขาเล่าให้ฟังต่อๆกันมาอีกทีนึง ก็ได้นั่งหลับตา ทำปากหว๋อกันแค่นั้น เพราะเราไม่เคยผ่านกัน นั่นเอง

    เดี๋ยวผมจะพูดถึงปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ กันต่อไป
    รอแป๊บนึง

    ผมชอบคุณลูกพลังนะ ต้องขอบใจน้องท่านนี้มากๆ ที่ทำให้ผมได้ฝึกฝน นำปัญญาไปห่ำหั่นกิเลสตนและกิเลส ให้ได้รู้แจ้งกันไป เพราะจิตพวกเราต่างแนว ต่างที่มากัน แต่ไม่เป็นไร ความคิกเห็นอาจแตกต่างกันไปได้ แต่อย่านำความรู้ที่เรียนมาห่ำหันกัน มาทะเราะกัน เหมือนเราต่างก็มีเขามาชนกัน สรุปแล้วสำหรับผู้ที่กระทำแบบนั้นกันนะ ชาตินี้ไม่มีทางเข้าทางตรง คือมรรค ผล นิพพาน อย่างแน่นอน เพราะเรามัวหลงเป็นผู้รู้ซะเองแล้ว เรากลายเป็นอวิชชาก็ยังไม่รู้ตัวกัน เพราะหลงไปยึตำราเอาแต่รู้แค่ความรู้กันทางโลก เดี๋วก็ลืม เมื่อท่านตายไป ตำรามิได้พาจิต ดวงจิตของท่านไปสวรรค์ พรหม นิพพานกันนะ จงจำเข้าไว้ ใครทำแบบนั้น รู้ตัวก่อนจะผมดลมหายใจ รีบวางตำรา สางจากอัตตา มานะ ตัวตน วางอวิชชาที่ตนคิดว่าเราคือคนเก่ง คนมาดมั่น แท้ที่จริงโง่ไม่มีใครเหมือน เพราะนอกจากตัวเป็นคน แต่จิตเป็นควายให้ตำรา และคนอื่นจูงจมูกของตนเองกันอยู่ได้
    ทำไมพวกเราจึงไม่ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากัน
    มัวเอาแต่เปลือกภายนอกกันอยู่ได้ นั่นก็คือ อามิสบูชา ถึงว่าคนส่วนใหญ่ทำกัน หรือกำลังจิต กำลังใจไปกันแค่ ความศรัทธา เท่านั้นเองหรอ???
    แต่สำหรับผู้มีปัญญา จะต้องเดินตามพระพุทธเจ้าท่านกันสิ
    พระพุทธเจ้าท่านลองผิดถูกมาให้เราทั้งชีวิตของท่านแล้ว
    แล้วพวกเรามามัวเถียงกันอยู่ได้ ก็พระพุทธเจ้าท่านปฎิบัติให้ดูกันแล้ว ท่านก็พิสูจน์ให้กันแล้ว วิธีถึงการภาวนา ไปจนถึงทางสายเอก สายกลาง ตึงหย่อนท่านก็ทำมาหมดแล้ว และท้ายที่สุดที่ท่านพบสภาวธรรม หรือบรรลุธรรมขั้นสูงกันนั้น ก็คือ เจริญมรรคมีองค์8(ศีล สมาธิ ปัญญา)กันเท่านั้น
    ที่จะนำพาจิต ดวงจิตของเราเข้าไปถึงทางตรง นั่นก็คือ มรรค ผล นิพพาน
    แต่จิต ดวงจิตผู้ใด หรือผู้ปฎิบัติท่านใดจะไปตกมรรค ผล หรือไปถึงพระนิพพานกันก็ต้องอยู่ที่ลมหายใจสุดท้ายของตนเอง มิใช่ใครอื่น
    แล้วท่านจะไปมัวมุ่งดูรถน้ำกังคว่ำอยู่ และคนไม่รู้วิ่งกรูเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีอยู่นเดียวที่ปากยังคาบบุหรี่ด้วยความเคยชินติดไฟที่ปากตามไปดูด้วย ผลปรากฎก็คือ ตายโหงหมู่กันทั้งหมด
    นี่การปฎิบัติธรรม การไปของจิต ดวงจิตที่ใครจะไปถึงพระนิพพานกันที่ว่ามานั้นแล้ว ถ้าท่านมัวแต่ทำท่าจะกระโดอยู่กันนั่นแหล่ะ+ มัวลังเล สงสัยกันอยู่นั่นแหล่ะ คือไม่ลงมือปฎิบัติกันสักที แต่ถ้าท่านจะลงมือขณะที่ต้องรอวันว่าง หรือรอวันหยุดก่อนถึงจะไปทำภาวนา และในระหว่างเดินทางกลับ ท่านไม่เฉลียวใจกันบ้างหรือว่า นั่นเรากำลังเป็นผู้ตกอยู่ในความประมาทกันทั้งสิ้น
    ผู้ไม่ประมาท ท่านจะรีบลงมือกระทำกันตอนนี้เลย วินาทีนี้เลย ลมหายใจกันตอนนี้เลย เพราะถ้าตายไปก่อน โอ้โห เราเสียเวลาไปเป็นชาตกันเลย แต่ไม่รู้ว่าถ้าเราตายไปแล้ว แต่ถ้าไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที หรือไม่ได้จุติกันบบสวรรค์ แต่จิต ดวงจิตต้องกลับไปตกนรกกัน สำหรับจิตที่กำลังเสวยกรรมกันอยู่นั้น จิตไม่สบายกัน แล้วท่านจะทำภาวนากันตอนไหน ขอถามท่านทีเหอะ
    ส่วนที่เหลือก็ไปคิดต่อเอากันเองนะ

    นี่แค่ผมยังไม่ได้เริ่มเข้าเรื่องแก่นกันนะ แค่อารัมภบท
    กระทู้หน้าผมจะตอบให้สำหรับผู้ปริยัติ(ที่ไม่ชอบ หรือที่ยังไม่ลงมือปฎิบัติ) และผู้ปฎิบัติ(ที่ไม่ชอบยึดตำรา) และผู้ปริเวธ(อันนี้ไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว เพราะท่านที่ได้ปฎิเวธ จะเลิกสงสัย เพราะตนเองรู้แล้ว เห็นแล้ว ชอบแล้ว หรือจิตพุทธะแล้ว คือนอกจากจะเป็นผู้ตอบตนเองได้แล้ว ยังตอบโจทย์กับคนอื่นๆได้ทั้งหมด ไม่ใช่แค่เฉพาะคนเดียว หรือสองคนเท่านะ เพราะต่างจิตต่างใจ จิตต่างที่มาที่ไป จิตต่างปฎิบัติ แต่ท้ายที่สุดก็พบธรรมอันเดียวกัน คือ จิตที่ถึงธรรมชาติแห่งจิต เข้าถึงกระแสจิตของตนเอง หรือเรียกว่า จิตพุทธะ จบกัน)
    พูดให้ฟังหอมปาก หอมคอกันเพียงเท่านี้ก่อน​
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จะพูดเรื่องไรดีก่อนนะ
    เรื่อง ปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ
    เรื่อง ฌานปกติ(ฌาน1-3=ยังพอรู้ตัว ยังพอทำงานทางโลกได้อยู่) ฌานลึก(ฌาน4=ไปแล้ว ไม่รู้ตัว หูดับ เพราะประสาทถูกตัดขาดออกจากกันชั่วคราวเพราะจิตขณะทรงฌาน หรือกายกับจิตแยกออกจากันชั่วคราว หรือ จิต+สติ=1 )
    และฌานถอย หรือฌานเสื่อม และฌานไหนสามารถทำงานกับทางโลกได้ หรือไม่ได้
    และถ้าจิตทะลึง หรือจิตกระโดฌาน เข้าหรืออกฌานเอง แต่ถ้าจิตทะลึ่งไปเข้าฌานลึก(ฌาน4) ในขณะที่เราทำงาน แล้วเราจะทำอย่างไร เราสามารถงานทางโลกต่อไปกันได้ไหม๊? และถ้าไม่ได้ เราจแกไขอย่างไร (เป็นคำถามที่ดีมาก ก่อนผู้ปฎิบัติจะงงกันภายภาคหน้า แหม๊ผมกะจะแกล้งให้ผู้ปฎิบัติงงกันให้มากที่สุด จะได้รู้กันสักทีว่า จิตเกาะพระกันนี้ ไม่ธรรมดา
    นี่ยิ่งนักภาวนาทั้งหลาย ต่างสำนักพอมาได้คำว่า เข้าฌานง่ายดาย แถมทะลึ่งพูดว่ากระโดดฌาน ต้องคอยลดฌาน เหมือนคนทำงานไม่มีใครอยากให้เงินเดือนตนเองลดกันหรอก ใช่ไหม๊? นี่พวกชาวจิตเกาะพระมาทะลึ่งพูดว่า ทำวิธีถอยฌาน เพราะปกติฌานนั้นก็เข้ายากมากกันอยู่แล้ว ใช่ไหม?
    นี่มาบอกว่าจะต้องถอยฌานกันอีกแล้ว สงสัยวงการภาวนาจะต้องหันมาด่า ผู้มีปัญญามากหน่อยก็เลือไม่เชื่อ แต่จะมาขอลองปฎิบัติกันดู อันนี้ฉลาดจริง แต่ถ้าผู้โง่เขลาเบาปัญญาก็อาจจะด่าผม และไม่เชื่อ และไม่ยอมทำตามกันด้วย อันนนี้โง่จริงๆ คือของดีไม่เอา เพชรไม่เอา จะไปเอาพลอย ได่กับลิงมันยังไม่เอา
    เรื่องนี้มีที่มา ดูตัวอย่างจิตครูเพ็ญ เท่าที่ผมเคยดูมานะ จิตครูเพ็ญดื้อที่สุด อาจจะในโลกรึป่าวผมไม่ทราบ เพราะยังไม่ดื้อเท่าครูเพ็ญเลย และพระอาจารย์ท่านนึง(ขอลิขสิทธิ์ท่านนะ เป็นการให้เกียรติพระท่าน) ท่านก็ยังต้องทดลองดูเลย แล้วท่านเป็นใคร เก่งมาจากไหน ผมว่าเสร็จ และยอมจำนงจิตเกาะพระแน่ๆ
    ที่ผมพูดมาทั้งหมด ไม่ต้องเชื่อผมนะ ลองไปพิสูจน์กันดูเอง บุญบารมี วาสนา ปัญญาไม่เกี่ยว ทำจิตเกาะพระต้องการผู้ปฎิบัติ(ปัจจุบัน)ที่มีความขยันหมั่นเพียร (เท่านั้น)

    หรือว่าจะเป็นเรื่อง ถอดจิตกันดีนะ
    (เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวานเอง นานๆที จิตผมจะถอด จิตเขานึกจะไปไหนมาไหนก็ปล่อยเขา ผมมีสติดีมากเมื่อคืนนี้ เรื่องนี้ผมอยากคุยกับคุณดชน.จัง มันถอยแป๊บเดียว และทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็วมากๆ จรวดอาย กายหยาบยังนอนสะดุ้งแทบตกเตียง ดีนะที่ผมนอนกับพื้นก็เลยไม่ตก เล่าได้นะเรื่องนี้ ผมไม่ได้โม ถ้าโม้ผมก็ผิดศีลละเอียดทันที แล้วผมปฎิบัติมาถึงตรงนี้ ผมจะทำลายศีลตนเองหรอ)
    พูดถึงศีลละเอียด หมายถึงศีลที่เกี่ยวกับจิตใจของตนเองเป็นหลัก ซึ่งไม่เกี่ยวกับศีลของผู้อื่น
    เกี่ยวกับใจตนเองอย่างเดียว ได้แก่ ความละเอียดใจต่อตนเอง มิใช่ไปทำผิดกับผู้อื่น หรือไปเบียนเบียนผู้อื่นเขา อันนี้ไม่เกี่ยวกับใครๆทั้งสิ้น เพราะผู้ที่มีศีลละเอียด ที่รักษาศีลละเอียดของตนได้ เราก็ต้องอาศัยจิตของตนละเอียดตามไปด้วย แต่ถ้าจิตไม่ละเอียดกันนะ ก็เหมือนคนทั่วๆไป ที่เขายังรักษาศีลศีลหยาบกันยังไม่ได้กันเลย ก็เป็นเพราะอะไร ก็เพราะเรื่องจิตนี่แหล่ะ
    แต่ก็ไไม่ใช่เรื่องจิตเพียงอย่างเดียว แต่จะมีเรื่องสติมาเกี่ยวข้องกันด้วย
    นั่นก็หมายถึง จิตที่มีเป็นสติ และสมาิธิ และปัญญา จิตก็จะเป็นอีกอย่างนึงนะ
    เพราะจิตใจคนเราจึงละเอียดต่างกันก็ด้วยเหตุผลนี้

    เช่น จิตไม่มีสติเป็นไง คุณก็รู้ เพราะคนส่วนใหญ่เป็นกัน
    จิตละเอียดขึ้นไปอีกนิดนึงก็คือ จิตที่เป็นสติสัมปชัญญะ หรือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือจิตเป็นสมาธิ เป็นไรบ้างรู้และพอจะเข้าใจกันบ้างไหม เอ๊าก็ยังพอมีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก
    และพอมาถึงจิตผู้ที่มี/เป็น/เกิดปัญญา จนจิตเกิดวิปัสสนาญาณ หรือจิตเกิดปัญญาญาณ
    ต่อไปเราจึงพบจิตเดิมแท้(essence of mind) คือจิตเข้าไปรู้ความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ(pure by nature) หรือ จิตผู้ที่มีความรู้ ตื่น และเบิกบาน หรือ บางทีเราเรียกกันว่า " จิตพุทธะ "

    จิตรู้ คือ จิตที่รู้สภาวธรรมใดๆ
    จิตตื่น คือ พอเห็นสภาวธรรมใดๆแล้ว เกิดสติ-รู้สึกตัวขึ้น
    จิตเบิกบาน คือ ลักษณะอย่างหนึ่งของจิตที่มีสติดี และมีความรู้สึกตัวดี

    เดี๋ยวมาเล่าต่อนะ
    แต่ไม่รู้ว่าจิตมันอยากจะเล่าเรื่องอะไรก่อน เดี๋ยวรอดูกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2012
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำตอบสีแดง
    อ่านให้จุใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2012
  12. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เดี๋ยว นี่อีกนานมั้ยอ่ะท่านพี่ รออ่านด้วยคน โฮ๊ะโฮ๊ะ เดี๋ยวมีม่วนมีมันส์ จิตทะยานไปแบบนั้น หุหุ โมทนาสาธุกับท่านพี่ค่ะ
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำตอบสีน้ำเงิน
    แค่นี้ก่อนเหนื่อยแล้ว
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เรื่องสุดท้าย
    ไม่เกี่ยวกับเรื่อง ทำจิตเกาะพระ

    แต่เป็นเรื่อง ถอดจิต แต่ไม่ถอดใจ...คิคิ
    ส่วนใครจะเรียกว่าอะไรกัน ข้าพเจ้าไม่ทราบ

    เล่าเลย...
    เหตุเกิดเมื่อคืนสดๆ ร้อนๆ
    คือ นอนไปแล้ว แต่รู้สึกจะเหมือนไม่ได้หลับอย่างนั้แหล่ะ!
    เพราะกายหลับ แต่จิตไม่หลับ เป็นอย่างนี้แทบจะทุกคืน ฝันก็ไม่ใช่ หลับไหลก็ไม่เชิง เพราะจะรู้หมด กายนอนท่าไหนก็รู้ คว่ำหงาย ตะแคงข้างไหน ก็รู้หมด
    จิตมันยังถามคนเดียวว่า มัน(กายหยาบ)จะนอนไปถึงไหนกันว๊ะ!
    สงสัยจิตมันรำคาญมั้ง
    และอีกไม่นาน หลังจากจิตนั่งมองกายหยาบกำลังหลับไหลอยู่นั้น
    ปรากฎเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนั้นก็เกิดขึ้น คือ
    กายทิพย์เริ่มออกจากกายหยาบ โดยเริ่มต้นถอดที่ปลายเท้าทั้งสองข้างออกจากกายหยาบ เห็นเท้าทั้งสองข้างลอยขึ้นอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังติดอยู่ระหว่างช่วงอก ส่วนหัวออกมาเวลาใกล้เคียงกับเท้าทั้งสองข้าง ในขณะที่เรานอนเหยียดยาวอยู่นั้น
    เหมือนเรากำลังจะทำท่าลุกขึ้นน่ะ ก็กระดกขาทั้งสองขึ้นก่อน แล้วก็ยกหัวขึ้นตามมาทีหลัง แต่ยังเหลือส่วนลำตัวเท่านั้น
    อีกสักพักนึง เห็นกายทิพย์ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วออกมาจากายหยาบทันที
    และรู้สึกขณะที่กายทิพย์ออกมาจากกายหยาบนั้น
    มันเหมือนหลุดออกจากกันจริงๆ
    ตอนแรกๆเราคิดว่า แล้วเราจะกลับคืนร่างเดิมได้หรือเปล่าเนี๊ย!
    แต่จิตมันตอบว่าอย่างไรรู้ไหม๊? มันตอบว่าตรูไม่ห่วงมันแล้ว
    แต่ถ้าเข้าไม่ได้ หรือไม่ได้เข้าก็ตามที เราก็จะได้ไปเลยโดยไม่ต้องกลับมา
    เดี๋ยวคนทางหลังมันก็จัดการของมันเอง
    สติ คือตัวรู้นี่เอง ที่กำลังเจรจากับ จิต คือ ผู้รู้ นึกว่าอะไรมันคุยกัน
    มารู้ภายหลังกันนี่เองว่า อ๋อ! ที่แท้จิตกับสตินี่เอง ที่เมื่อก่อนเราคิดว่า เรามีสองดวงจิต ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจ

    เพราะเคยแต่ถอยอาทิสมานกาย ออกมาตอนที่ขณะยังลืมตาอยู่เลย
    แต่ตอนนั้น กับตอนนี้ไม่เหมือนกัน
    ตอนที่อาทิสมานกายออกจากกายหยาบนั้น สติกับจิตมันไปด้วยกันดี
    แต่ทำไมเมื่อคืน สติกันกำลังอยู่กายหยาบ แต่จิตออกไปรอข้างนอกอยู่แล้ว
    ทำท่าจะออกมาตั้งนานแล้ว ตอนที่จิตมันวนดูอยู่รอบกายแล้ว
    สงสัยมันจะเบื่อมากแแล้ว
    เพราทุกวันก็รู้สึกนะว่า เหมือนเราได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว
    เพราะจิตเราไปเจอที่อยู่ใหม่ ที่ดีกว่าร่างกายของเราเสียอีก
    นี่ไง จุดpeakมันอยู่ทีพบที่อยู่ใหม่ที่ดีกว่ากายหยาบเป็นไหนๆ
    มาถึงตอนนี้ผมไม่รู้จะอธิบายให้กับพวกเรา ที่ยังหวง ยังห่วงกายหยาบกันอยู่นั้น ว่า...
    ที่แท้จริงแล้ว ร่างกายก็เป็นแค่ที่อยู่อาศัยของจิตชั่วคราว ตามที่ได้อ่านธรรมะจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(หลวงพ่ออคงค์เดิมอีกแล้วเรา) ที่ท่านได้กล่าวไปนั้น เป็นจริงที่เรากำลังรู้ และปรากฎอยู่เบื้องหน้าของตนนี้

    ถึงได้ร้องอ๋อว่า ที่คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดกันว่า ร่างกายนี้เป็นเรา ของเราจริงๆ

    (หลังพักขายยาแล้ว)
    เล่าต่อๆ
    พวกคุณรู้ไหมว่า ขณะที่กายทิพย์ออกจากร่างกันแล้ว ปรากฎว่า
    มันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ไวมากเลย
    ไวกว่าที่เรานั่งเครื่องบินกันซะอีกนะ
    ใจผมยังไม่หายเสียวเลย
    ผมนึกถึงคุณดชน.เลย
    แค่ชั่วอึดใจเดียวเอง ปรากฎว่าไปโผล่ข้างบนโน้นแล้ว
    .....
    เดี๋ยวพักเข้าห้องน้ำก่อน
    .....
    เดี๋ยวมาเล่าต่อภาค 2
    """""
    """""""""​




     
  15. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ตอนหนูนั่งสมาธิ จิตพยายามจะออกอยู่หลายครั้ง เดี๋ยวกระทุ้งที่ข้อศอก ปลายเท้า ดึงที่หัว มันสารพัดหาทางจะออก แต่ยังหาทางออกไม่ได้เลยค่ะ

    มีอยู่คืนนึงหนูนอนหลับ กายมันไม่รู้เรื่อง แต่สติมันจับได้ว่าจิตจะแอบหนีเที่ยว มันเห็นจิตกระทุ้งที่บ่าขวา รู้สึกเสียววูบเหมือนถูกดูดออกที่บ่า สติถามว่าออกไปแล้วจะกลับมาได้มั้ยเนี่ย อ้าวตายล่ะสิ!
    จิตมันไม่ยอมหยุด เปลี่ยนมากระทุ้งที่ข้อศอกซ้าย สติมันบอกว่าเรื่องของแก ข้าไม่สนใจแล้ว แล้วก็หลับแบบแยกย้ายกันไป ใครทำอะไรต่อไม่รู้ ลืมตาตื่นมาตอนเช้า นี่มันอะไรกันนี่ สติกับจิตคุยกันอ่ะ
    แต่ที่ได้คือหนูต้องตัดขันธ์5 ลงไปให้ถึงสติกว่านี้อีก อิอิอิ
     
  16. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    พี่เพ็ญเคยบอกว่ามีกองสติ กองปัญญา กองจิต กองขันธ์
    (หนูตกกองไหนไปอีกป่าว?)
    รู้แต่ไม่เคยเห็นภาพเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
    ในเรื่องนี้มีสติ จิต และกาย
    แล้วปัญญาอยู่ไหน
    อ๋อ......รู้แล้วจ้า
    ตัวปัญญามันร้องว่า "อ้าวตายล่ะสิ" นี่เอง
    หนู้รู้แล้ว สาธุ สาธุ
     
  17. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    - มีเทคนิคในการถอนฌานออกจากฌานลึกๆมาที่ฌานขั้นต้นอย่างไร

    ขอข้าพเจ้าส่วนตัวทำง่ายๆด้วยการ"หายใจเข้าลึกๆ" แค่นี้ฌานก็ถอยแล้ว...
    ถ้ายังไม่ถอยอีกก็ "หายใจเข้ายาวๆลึกๆ หลายๆเที่ยว" รับประกัน ฌาน4ก็ถอยแล้ว
    ความจริงมันก็คือ แยกสติกับจิต(แยกเอกัตคัตตาออกจากกัน..สะกดผิดถูกไม้รู้) โดยเอาสติมาสั่งร่างกายให้หายใจเข้า เมื่อสติละจากจิต ฌานมันก็ถอยเองมาอยู่ที่ฌานขั้นต้น...
    อันนี้มีครูบาอาจารย์สอนข้าพเจ้ามา... and ข้าพเจ้าก็ลองดูผลคือ work สุดๆ ไม่เชื่อก็ไปลองดู...

    แต่ข้าพเจ้าก็ค้นพบเองอีกอย่างนึงคือ เอาสติสั่งจิตให้มันถอยหรือใช้คำว่า"โน้มจิต"ให้เดินหน้าหรือถอยหลังได้ตามสติจะนึก...แต่ว่ามันยังไม่ค่อยจะคล่องมากคือพอสั่งถอย ถอยทันที แต่พอสั่งเดินหน้า มันไม่ค่อยจะยอมเดินหน้านะ... (แก้ด้วยการหมั่นทำบ่อยๆ ทำทำทำ ทำทุกที่ แล้วก็ทำทำทำ)

    ข้าพเจ้าก็สันนิษฐานของข้าพเจ้าเองว่า ท่านที่เจริญอรูปฌานไปถึงฌาน7-8โน้น เขาก็คงจะถอยเหมือนๆกัน...(ไม่รู้...เดาเอา)
    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรม
     
  18. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    จ๊าดีใจด้วยที่สุขภาพจิตยังคงดีอยู่ ถ้าจะให้ดีกว่านี้ อย่ามองเรื่องของธรรมะเป็นเรื่องโกลาหลนะจ๊ะ อ่านแล้วนำไปพิจารณา
    อ่านแล้วมาปรับใช้กับจิตตน นั้นดีแท้เทียว
     
  19. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    แม่นแล้วน้องวิทย์ จิตท่านตั้งแล้วไง อีกไม่นานมีเฮ เป็นแน่แท้
     
  20. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ว่าจะให้เสร็จวันนี้อ่ะน้องวิทย์ แต่เมื่อเช้ามานั่งเขียนธรรมะลง ไม่รู้มาจากไหนธรรมะผุดตั้งแต่ตีสามครึ่งหากไม่เขียนก็ไหลไปอีก เข้าออก เกิดดับ ไหลมาแล้วไหลไป เขียนเสร็จ โพสต์แต่เน็ตมีปัญหา พาโพสต์หาย มานั่งเขียนใหม่ หุหุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...