พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ที่แน่ๆวันอาทิตฺย์ที่ผ่านมาผมเสียดายจริงๆที่ไม่ได้พบเจอพี่พันวฤทธิ์
     
  2. teerachaik

    teerachaik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +435
    เรียนคุณ หนุ่ม
     
  3. teerachaik

    teerachaik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +435
    เรียน คุณหน่ม
    ผมได้โอนเงิน เพื่อสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เมื่อวานนี้ 18-07-2007จำนวน 500 บาท เวลาเที่ยงๆ

    อนุโมทนา
     
  4. teerachaik

    teerachaik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +435
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ teerachaik [​IMG]
    คุณพ่อฝากทำบุญ พระเจดีย์ผาผึ้ง 500 บาท (ผมโอนเข้า บัญชี เจดีย์ผาผึ้ง พรุ่งนี้ 18-07-2007)
    และแกฝากบอกไอ้หน่มที่ ดูด บ... เก่งๆ ขอบคุณมักม๊าก
    และผมขอบคุณ คุณเพชร ที่นั่งฟังคุยกับคนแก่(พ่อผม) เม้า
    ครับ เสียดายผมกลับเร็วไปหน่อย หลังคุณ Nongoo หน่อยนึง
    อนุโมทนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คุณteerachaik ครับ ที่พิมพ์ประโยคที่ว่า " ไอ้หน่มที่ ดูด บ... เก่งๆ " ช่วยขยายความหน่อยครับว่า คืออะไร มันงงครับ....


    คุณพ่อน่ารักมากครับ เวลาท่านได้คุยเรื่องที่ชอบ เรื่องที่สนใจ ผมหมายถึงว่าไม่ได้เอาเรื่องสนนราคา เงินทองมาเกี่ยวข้อง เป็นความสนใจจริงๆ ผมว่าช่องว่างระหว่างวัยแทบจะไม่มีเลยนะครับ ผมก็ได้แต่ขอความรู้ ได้ความรู้มากๆ ผมมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับหลวงพ่อโอภาสี มั่นใจอยู่เหมือนกันว่าจะได้รับคำตอบในวันนี้แน่นอน และก็จริงๆด้วยครับ ขอบคุณคุณพ่อ และคุณteerachaik มากๆเลยนะครับ...

    หลายๆท่านสงสัยกันว่าผมถามอะไรคุณพ่อเรื่องของหลวงพ่อโอภาสี ความจริงผมไม่ได้สอบถามเรื่องวัตถุมงคลอะไรเลย คุณพ่อได้พูดถึงเรื่อง"สตางค์แดง"เป็นสตางค์รุ่นสยามรัฐ ร.ศ. เลข 3 ตัว(ไม่ใช่หวยจริงๆ) เป็นเหรียญที่ลูกศิษย์ลูกหาขวนขวายหากันมาก ผมก็นึกถึงล็อกเกตที่ผมเพิ่งถ่ายภาพมาเพื่อการตามรอยของล็อกเกตที่ว่าในภายหลัง เลยเปิดจากกล้องให้คุณพ่อดู คือด้านหลังของล็อกเกตนี้เป็นสตางค์แดงสยามรัฐ
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    <!-- / attachments --><!-- sig -->
    ผมหมายถึง บุหรี่ครับ ขอโทษครับผม ผมเองเขียนกำกวมไปหน่อย
    คุณเพชร ครับเรื่อง "สตางค์แดง" พ่อเคยเล่าให้ฟังเหมือนกันนานแล้วเหมือนกัน ตอนพ่อหนุ่มๆ มีโอกาส ไปกราบองค์เหมือนหลวงพ่อโอภาสี ไปกับเพื่อนๆ 2-3 คน ที่ตั้งประมาณเป็นศาลาเล็กๆ ชั่วคราว เพื่อให้คนไปกราบไหว้ ขณะพ่อกำลังกราบหลวงพ่อโอภาสีอยู่นั้น เหรียญสตางค์แดง ได้ร่วงลงมาจากหลังคา บริเวณที่พ่อกราบ ซึ่งหลังคาเป็นฝ้าปิดทึบ พ่อกับเพื่อนๆ แย่งเหรียญ กันหน้าดู ท้ายสุดทุกคน(พ่อกับเพื่อนๆ) ได้เหรียญทุกคนสมใจนึก ผมว่าท่านคงจะเมตตาพ่อกับเพื่อนๆ จริงๆเรื่องมหัศจรรย์ ของหลวงพ่อโอภาสี ที่พ่อเคยประสบ ยังมีอีก ทำให้ผมเองนำมาเป็นข้อคิดปฏิบัติเหมือนกัน ส่วนหรียญ สตางค์แดง ของพ่อ ผมเองยังไม่มีโอกาสเห็นเลย อาทิตย์นี้ไปบ้านพ่อ ต้องไปชมซะหน่อยแล้ว


    อนุโมทนา
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้ข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้ร่วมทำบุญเป็นค่าใช้จ่ายและอื่นๆกับพระอาจารย์นิล เพื่อนำผ้ายันต์ลงไปแจกทหาร ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอให้ คุณบิดา มารดา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ และทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้วทุกท่าน,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างวัตถุมงคลของวังหน้า-กรุวัดพระแก้ว-วัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัยและเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ขอให้มาอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อิมินาปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้ ร่วมทำบุญเป็นค่าใช้จ่ายและอื่นๆกับพระอาจารย์นิล เพื่อนำผ้ายันต์ลงไปแจกทหาร ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ คุณบิดา มารดา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,ตัวข้าพเจ้าและทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้วทุกท่าน, ท่านผู้เสกทุกท่าน เจ้าของและผู้สร้างวัตถุมงคลของวังหน้า-กรุวัดพระแก้ว-วัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัยและเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ท่านได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศไปให้นี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ หากยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงไร ขอความคล่องตัว และขอคำว่าไม่มี จงอย่าได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- / message --><!-- edit note -->


    พุทธังอนันตัง ธัมมังจัรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ

    ***********************************************
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีเรื่องสำคัญมาบอกกล่าวกันครับ

    ที่มา http://www.peetai.com/archives/562

    พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐

    June 27th, 2007 </STRONG>
    ส่วนใหญ่แล้ว geek ทางคอมพิวเตอร์จะไม่ใส่ใจในกฎหมายครับ สงสัยคงเป็นเพราะอ่านแล้วเข้าใจยาก สำบัดสำนวนเยอะเหลือเกิน แต่พอดีว่ามันมีผลกระทบกับเราครับ เราก็เลยจำเป็นต้องรู้มันหน่อย
    สืบเนื่องจากว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ กำลังจะมีการประกาศใช้ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2550 นี้ครับ พวกเราเลยต้องมารับรู้กันซะหน่อย ว่าทำอะไรผิดบ้างถึงจะถูกกฎหมายนี้ลงโทษเอาได้ พวกเราจะได้ระวังตัวกัน ไม่เผลอไผลให้อารมณ์พาไปจนทำผิดเน้อะ!!!
    ผมจะถอดความโดยสรุปเลยก็แล้วกันนะครับ ว่าทำอะไรผิดแล้วจะโดนลงโทษบ้าง
    1. เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วเราแอบเข้าไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2007
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.extrasoul.com/old7.html



    <CENTER>ระวัง....การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"</CENTER>


    เมื่อเขียนเรื่องการใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" แล้ว ก็เลยอยากจะเขียนถึงเรื่อง "การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วย การใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" นั้น ก็เป็นสิ่งไม่อยู่แล้ว แต่การล่วงเกิน "ผู้ทรงธรรม" หรือ "ผู้มีธรรม" นั้นหนักกว่า บาปมากกว่า เพราะเป็นการล่วงเกิน เป็นการทำร้าย "ผู้ทรงธรรม" ไม่ว่าจะเป็นทั้งกายหรือใจ หรือจะด้วยเจตนาและไม่เจตนาก็ตาม เพราะ "ผู้มีธรรม" และ "ผู้ทรงธรรม" นั้น คล้ายกันในความหมาย ก็คือเป็นผู้ที่ยึดถือการกระทำความดี เป็นชีวิตจิตใจ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง และเป็น "คนดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    คำว่าเป็นคนดีนั้น หมายความว่า.... 1. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อตนเอง 2. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อคนอื่น 3. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อตนเอง 4. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อคนอื่น ต้องทำให้ได้ครบ 4 ข้อ เราจึงเรียกว่า "ความดี"

    "ผู้มีธรรม"....ต้องทำ "ความดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง "ผู้มีธรรม" นั้นมีทั้งภิกษุ สงฆ์ ผู้ทรงศีล นักบวช และฆราวาสที่มี "จิต" ดี เราไม่มีโอกาสจะทราบได้อย่างแน่ชัด 100 เปอรเซ็นต์เลยว่า...ใครบ้างเป็น "ผู้มีธรรม" นอกจากการสังเกต และการสันนิษฐานของเราเองและผู้อื่น "ผู้มีธรรม" นั้น ตัวท่านเองก็ไม่สามารถจะพูดให้ใครฟังได้ว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะบางทีตัวของ "ผู้มีธรรม" นั้นเอง ก็ยังไม่ทราบตัวท่านเองเลยว่า ท่านเป็นอย่างไร ? เพราะความเป็น "ธรรม" นั้น มันเป็นเรื่องของ "จิตใจ" ที่เกิดขึ้นมาจากความเป็น "ธรรมชาติ" ไม่สามารถหาซื้อจากที่ใดได้ อาจจะติดมาจากอดีต แล้วมา "ปรุงแต่ง" เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในภาวะปัจจุบัน

    เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่รู้ว่าใครบ้างเป็น "ผู้มีธรรม" จงอย่าได้มีความประมาท เผลอไผลไปตำหนิติเตียน หรือทำร้ายท่านทั้งทางกายและใจ ด้วยใจที่เป็นอกุศล หรือต้องการประชดประชัน ตีวัวกระทบคราด ใช้คำไม่สุภาพ หรือล่วงเกินในสิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้จริง ความปลอดภัย เมื่อเราไม่รู้ว่าจะไป "ล่วงเกิน" ใครบ้างที่เป็น "ผู้มีธรรม" ควรทำอย่างนี้ เวลาจะออกความเห็นใด หรือกล่าวถึง ที่เป็นการกล่าวตรงข้ามกับความคิดเห็นหรือการกระทำของผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือหลับหลังใครก็ตาม ควรกล่าวถึงหรือเขียนด้วยความเป็นสุภาพชน ไม่ใช้ถ้อยคำกระแทกแดกดัน ประชดประชัน กล่าวส่อเสียด ดูหมิ่น เหยียดหยามหรือแสดงในสิ่งที่ไม่สมควรแสดง เพราะ "ผู้มีธรรม" ก็เป็นคนธรรมดา ย่อมมีความผิดพลาดได้เป็นของธรรมดา เมื่อทำผิดพลาด ก็ย่อมได้รับคำติเพื่อก่อ เพื่อสร้างสรรค์ เช่นคนอื่นได้เช่นกัน

    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านเองเคยมีคนหมั่นไส้ท่านอย่างไม่รู้สาเหตุ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ? เคยหรือไม่ ? ที่ท่านเคยถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากคนอื่น บางครั้งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ? เคยหรือไม่ ? ที่ท่านมักจะมึนงงกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่รู้ทางแก้ไข บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ เคยหรือไม่ ? ที่ท่านถูกกล่าวร้ายป้ายสีจากคนอื่น ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ เคยหรือไม่ ? ที่ท่านพูดอะไรไปแล้ว ไม่มีคนเชื่อถือ หรือพูดอะไรไปแล้วคนไม่เชื่อ เหล่านี้คือ "กรรม" ที่ได้กล่าวล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"

    ตรงกันข้าม...ถ้าใครให้เกียรติ ให้ความเคารพ แม้ว่าจะติเพื่อก่อ หรือให้เหตุผลที่ตั้งบนความบริสุทธิ์ใจ "กรรม" ที่ได้รับก็คือ........ ไปไหน ทำอะไร พูดกับใคร ไหว้วานใคร ร่วมงานบุญกับใคร เจอะเจอใคร ? ก็มีแต่คนรักใคร่ เป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่รัก เป็นที่เคารพของหมู่ชนทั่วไป ลองสังเกตคนใกล้ตัว ไกลตัว หรือคนที่คุณรู้จัก ...ที่เป็นที่รักที่เคารพของคนทั่วไป ที่ไม่ใช่เพื่อนยกยอปอปั้น ชื่นชมกันเอง (ประเภทเขียนเอง..ชมเอง หรือไหว้วานให้คนอื่นมาชมแทน) ว่าเป็นเช่นนี้หรือเปล่า ? ถ้าใช่ ก็แสดงว่าคนๆ นั้นให้ความเคารพ "ผู้มีธรรม" อย่างดี อาจารย์ผมคนหนึ่งชื่อ อาจารย์ วิสุทธิ์ ปัญจะ เวลาท่านจะแสดงความคิดเห็นใด ต่อผู้ที่คิดว่าน่าจะเป็น "ผู้มีธรรม" ท่านมักจะขึ้นต้นว่า "ขออนุญาต ขอสอบถามเพื่อศึกษา เพื่อเรียนรู้ ว่า......" นั่นคือผู้ที่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่พวกเรา..ไม่ต้องขนาดนั้น ไม่ต้องนอบน้อมขนาดนั้นก็ได้ เพียงแต่ว่า พูดคุย แสดงความคิดเห็น หรือแลกเปลี่ยนความรู้ กล่าวถึง ด้วยความสุภาพอ่อนน้อมให้เกียรติคนอื่น ใช้กริยาวาจา (ข้อเขียน) ด้วยใจที่คิดว่ากำลังคุยกับเพื่อน ไม่ใช่คุยกับคนที่เกลียดขี้หน้ากัน การใช้วาจาตรงๆ ก็สามารถทำได้ เพราะการใช้วาจาพูดคุยกันตรงๆ ก็สามารถใช้คำพูดหรือข้อเขียนที่อ่อนน้อม สุภาพ ได้ คนปากกับใจตรงกัน หรือคนที่พูดตรงๆ ต่างจาก "คนปากพล่อย" มากมายนัก

    ในที่นี้ผมเพียงจะพูดถึงเรื่องการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" เพียงการพูด ทั้งการพูดต่อหน้าและลับหลัง การกล่าวถึง การตำหนิติเตียนด้วยความไม่ชอบ ยังไม่ได้พูดถึงการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยการกระทำ เพราะแค่ล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยวาจา ด้วยการกล่าวถึง ยังต้องได้รับ "กรรม" ที่หนักหนาสาหัสแล้ว ถ้าล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยการกระทำด้วยแล้ว จะยิ่งสาหัสสากรรจ์มาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ผมได้รับการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์หลายท่าน ให้เป็นอย่างนี้ และได้ถูกสอนให้เห็นถึงการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" อย่างชนิดที่ไม่ได้ถูกแค่สอนด้วยวาจา แต่ผมโดนสอนด้วยการถูกลงโทษจริงๆ จึงรู้..จึงเข้าใจว่า...การได้รับ "กรรม" จากการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" นั้น มันเจ็บปวดและทรมาน จึงไม่อยากให้ท่านที่พลั้งเผลอไปกล่าวล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ได้รับกรรมเช่นนั้น เมื่อเราไม่รู้ว่า ใครบ้างที่เป็น"ผู้มีธรรม" ก็จงอ่อนน้อมถ่อมตน ติเตียนด้วยความสุภาพ หรือแสดงความคิดเห็นด้วยใจที่ไม่มีอคติ... ทำอย่างนี้เอาไว้ก่อน...ปลอดภัยกว่ากันเยอะ ผม (อโณทัย) ไม่ใช่ "ผู้มีธรรม" เพราะยังมีอารมณ์ มีความโกรธ ไม่ได้เป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลังตลอด 24 ชั่วโมง หรือตลอดเวลา และไม่ได้ทำความดีครบองค์ประกอบ 4ประการ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ...ก็ตามใจท่าน ผมมีหน้าที่แค่ "บอก" "กรรม" ใดใครทำ คนนั้นเป็นคนรับครับ

    อโณทัย เขตต์บรรพต
    </PRE>
     
  9. เทพารักษ์

    เทพารักษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +980
    การทำบุญ

    วันนี้ตอนเช้าตื่นแต่เช้าก่อนมาทำงานได้ทำบุญตักบาตรและถวายสังฆทานกรวดน้ำ แล้วพรุ่งนี้ถ้ามีโอกาสก็ว่าจะทำอีกน่ะค่ะถ้าทันก่อนเวลาเข้าทำงานที่บอกนี่ไม่ได้ต้องการอะไรนะคะแค่อยากบอกถึงความรู้สึกว่าการทำบุญนี่ดีทำให้เรารู้สึกสงบและรู้สึกดีจิตใจแจ่มใสและต้องขอขอบพระคุณมากนะคะที่แนะนำเรื่องการทำบุญมีโอกาสก็จะทำเรื่อยๆทำตามกำลังที่จะสามารถทำได้น่ะค่ะ
    ขอบคุณมากนะคะ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.extrasoul.com/old5.html



    การใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" ระวังจะได้รับบาปหนัก !<O:p</O:p<O:p</O:p
    </PRE>

    ต้องบอกกันตรงๆ เลยนะครับว่า....หัวข้อที่ตั้งขึ้นมาคราวนี้....<O:p</O:p
    </PRE>

    " การใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" ระวังจะได้รับบาปหนัก ! "<O:p</O:p
    </PRE>

    ผมเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกัน........<O:p</O:p
    </PRE>

    เป็นเพราะได้รับความรู้จากอาจารย์ ด็อคเตอร์ สนอง วรอุไร นักบุญแห่งล้านนาและประเทศไทย ได้กรุณาบอกเล่าให้ฟัง<O:p</O:p
    </PRE>

    ผมได้รับความรู้จากอาจารย์ท่านแล้ว....เห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างมากมาย...จึงอยากจะเอามาบอกเล่าให้เพื่อนๆ สหธรรมมิก ทั้งหลายได้รับความรู้อย่างเช่นที่ผมได้รับบ้าง....<O:p</O:p
    </PRE>

    จะได้ไม่พลั้งเผลอไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร...<O:p</O:p
    </PRE>

    และจะได้ไม่ต้องชดใช้ "กรรม" ที่ไม่น่าจะได้รับ..<O:p</O:p
    </PRE>

    เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ........<O:p</O:p
    </PRE>

    การที่เราไหว้วานใครสักคนหนึ่งนั้น โดยธรรมเนียมไทยๆ ของเราแล้ว....เรามักจะไม่ใช้ไหว้วานผู้ที่มีอายุมากกว่า หรือเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเรา...ใช่มั้ยครับ ?<O:p</O:p
    </PRE>

    เพราะเป็นการไม่สมควร..และผิดมรรยาทอันดีงามของคนไทย<O:p</O:p
    </PRE>

    ทีนี้...เรื่องของ "ผู้ทรงธรรม" หรือผู้ที่มีวาระจิตอันสูงส่ง...ซึ่งอาจจะหมายถึงผู้ที่มีศีล มีธรรม หรือผู้ที่ "ปฏิบัติ" (สมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน) เป็นนิจสิน<O:p</O:p
    </PRE>

    เราไม่สามารถจะรู้ได้อย่างมั่นใจ 100 % ว่า....ใครเป็น "ผู้ทรงธรรม"<O:p</O:p
    </PRE>

    เพราะ "ผู้ทรงธรรม" นั้น ไม่มีการยกยอตัวเอง หรือโฆษณาตัวเองว่าได้ธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ หรือปฏิบัติได้อย่างนั้นอย่างนี้<O:p</O:p
    </PRE>

    มองไม่รู้...ดูไม่ออก...(หมายถึงถ้าไม่พิจารณากันอย่างถ่องแท้)<O:p</O:p
    </PRE>

    บางคนซ่อนความเป็น "ผู้ทรงธรรม" ไว้ใต้เสื้อผ้าที่ธรรมดา...ใต้หน้าตาที่เป็นปรกติ....<O:p</O:p
    </PRE>

    "ผู้ทรงธรรม" วัดไม่ได้จากเสื้อผ้า หน้าตา คำพูด ฐานะ เฟอร์นิเจอร์ประดับร่างกาย แต่วัดได้จากการกระทำ.....<O:p</O:p
    </PRE>

    เช่น.....ไม่ทำบาปทำชั่วด้วยประการทั้งปวง<O:p</O:p
    </PRE>

    .....ไม่ทำร้ายหรือทำให้ใครเดือดร้อน<O:p</O:p
    </PRE>

    .....สอนสั่งให้บุคคลอื่นประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดี ที่ถูกที่ควร<O:p</O:p
    </PRE>

    .....พูดแต่ในสิ่งที่เป็นมงคล...และเป็นประโยชน์<O:p</O:p
    </PRE>

    ฯลฯ<O:p</O:p
    </PRE>

    แต่ที่ผมสังเกตได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ...แววตา....<O:p</O:p
    </PRE>

    ไม่ว่าบุคคลิกหรืออะไรก็ตามจะแสดงออกมาในทางตรงกันข้าม<O:p</O:p
    </PRE>

    เช่น ทำเป็นหน้าตาดุ ทำเป็นพูดไม่เพราะ<O:p</O:p
    </PRE>

    แต่ที่ซ่อนไม่ได้...ก็คือ "แววตา"<O:p</O:p
    </PRE>

    อย่างที่คนเรามักจะพูดกันว่า "ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ"<O:p</O:p
    </PRE>

    คนที่เป็น ""ผู้ทรงธรรม" นั้น ผมสังเกตมาหลายท่านแล้วว่า.....ส่วนใหญ่จะมีแววตาที่ "เป็นประกาย"<O:p</O:p
    </PRE>

    เหมือนแววตาของเด็กๆ......แบบใสซื่อ....อะไรประมาณนี้แหละครับ<O:p</O:p
    </PRE>

    ผมเคยได้ใกล้ชิดหลวงปู่บุดดา ถาวโร แห่งวัดกลางชูศรี สิงห์บุรี....ในช่วงเวลาสั้นๆ<O:p</O:p
    </PRE>

    สังเกตเห็น "แววตา" ของหลวงปู่ท่าน..ใสจริงๆ<O:p</O:p
    </PRE>

    ใสแบบบริสุทธิ์เลยนะครับ....<O:p</O:p
    </PRE>

    ทั้งๆ ที่หลวงปู่ท่านอายุ (ตอนนั้น) 97 ปีแล้ว<O:p</O:p
    </PRE>

    คนธรรมดาน่ะครับ....50 ก็ตาฝ้าตาฝางแล้ว<O:p</O:p
    </PRE>

    แล้วอีกอย่างนึง.....ไม่มีใครซ่อนอารมณ์และความรู้สึกจาก "แววตา" ได้อย่างแน่นอน<O:p</O:p
    </PRE>

    คนที่โกรธแต่หน้ายิ้ม...มีหลายคน<O:p</O:p
    </PRE>

    แต่แววตาโกรธนั้นฉายเห็นเด่นชัด<O:p</O:p
    </PRE>

    เพราะฉะนั้นการสังเกต "ผู้ทรงธรรม" นอกจาก "การกระทำ" อย่างที่บอกแล้ว...ผมก็จะสังเกตจาก "ดวงตา" และ "แววตา" ด้วย<O:p</O:p
    </PRE>

    (ยังไม่เห็นมีใครสามารถซ่อนอารมณ์และความรู้สึกจาก "ดวงตา" และ "แววตา" ได้เลยครับ...เท่าที่ผมรู้จักใครต่อใครมานะครับ)<O:p</O:p
    </PRE>

    เมื่อ ""ผู้ทรงธรรม" เป็นผู้ที่สมควรแก่การยกย่อง<O:p</O:p
    </PRE>

    เราจึงไม่ควรไป "ใช้" หรือ "ไหว้วาน"<O:p</O:p
    </PRE>

    เพราะถือว่า "ผู้ทรงธรรม" เป็นผู้ใหญ่ (หมายถึงไม่ใช่เป็นผู้ใหญ่ด้านอายุ....แต่เป็นผู้ใหญ่ในทาง<O:p</O:p
    </PRE>

    ความรู้ การปฏิบัติ มากกว่า)<O:p</O:p
    </PRE>

    เราเป็น "ผู้ที่ด้อยกว่า" จึงไม่ควรไปใช้ผู้ใหญ่...ในความหมายของ "ผู้ทรงธรรม"<O:p</O:p
    </PRE>

    นี่เราพูดกันถึงวัฒนธรรมของไทยๆ เรานี่น่ะครับ......คงเข้าใจ<O:p</O:p
    </PRE>

    แต่ถ้าเราศึกษา "ธรรม" กันพอสมควร จะเห็นได้ว่า เราเคารพกันที่ "การปฏิบัติ" มากกว่าอายุ<O:p</O:p
    </PRE>

    พระที่บวชวันแรกต้องไหว้พระที่บวชมาก่อนหน้านั้น...แม้จะมากกว่าแค่วันเดียว<O:p</O:p
    </PRE>

    ทั้งๆ ที่พระที่บวชวันแรกอายุเป็นพ่อเป็นปู่ และพระที่บวชมาก่อน..อายุเป็นลูกเป็นหลานก็ตาม<O:p</O:p
    </PRE>

    (อันนี้นอกประเด็นกับเรื่องของ "จิต" ที่สูงหรือต่ำกว่านะครับ...ละเอียดเกินไป...ยังไม่ขอพูดถึงนะครับ)<O:p</O:p
    </PRE>

    เพราะฉะนั้นการที่ไปใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" จึงเป็นการไม่สมควร<O:p</O:p
    </PRE>

    เพราะ "ผู้ทรงธรรม" สูงกว่าเรา (ในด้าน "จิต" และ "การปฏิบัติ")<O:p</O:p
    </PRE>

    การใช้ไหว้วานนนั้น...ไม่บอกก็คงนึกไม่ถึงแน่นอนครับ<O:p</O:p
    </PRE>

    เช่น.......<O:p</O:p
    </PRE>

    "ขอฝากเงิน...ไปร่วมทำบุญด้วยนะครับ"<O:p</O:p
    </PRE>

    "ช่วยโทรบอกหลวงพ่อรูปนั้นด้วยนะคะว่า อาทิตย์หน้าจะไปที่วัด"<O:p</O:p
    </PRE>

    "คราวหน้าถ้าลงมา ช่วยเอาของมาให้ด้วยนะครับ"<O:p</O:p
    </PRE>

    ฯลฯ<O:p</O:p
    </PRE>

    เห็นมั้ยครับว่า..บางครั้งบางคราว เป็นเรื่องที่ดี..เป็นเรื่องงานบุญงานกุศล ไม่น่าจะ "ผิด" อะไร<O:p</O:p
    </PRE>

    แต่ความจริง "ไม่สมควร" ครับ<O:p</O:p
    </PRE>

    เพราะถือว่าเป็นการใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม"<O:p</O:p
    </PRE>

    ผมให้ข้อคิดว่า....ไม่ว่าอะไรที่ไหว้วานท่านให้ไปทำต่อ ให้ไปทำตามที่เราบอก....ถือว่าเป็นการใช้ไหว้วานทั้งนั้น<O:p</O:p
    </PRE>

    "กรรม" ที่จะต้องรับกับการที่ใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" นั้น......เป็นอย่างนี้ครับ<O:p</O:p
    </PRE>

    เคยเห็นกันมั้ยครับ....<O:p</O:p
    </PRE>

    คนที่เกิดมามีชาติมีตระกูล...มีฐานะดี..เป็นคนดี..เป็นคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่....ต้องเดินตาม พระ ฆราวาส หรือ "ผู้ทรงธรรม"<O:p</O:p
    </PRE>

    ทั้งๆ ที่โดยฐานะแล้ว คนที่บอกมาทั้งหมดนั้น..ไม่จำเป็นต้องมาเดินตามต้อยๆ<O:p</O:p
    </PRE>

    นี่แหละครับ "กรรม" ที่ต้องรับ<O:p</O:p
    </PRE>

    (อันนี้ต้องแยกแยะว่า...บางครั้งอาจจะไม่เกี่ยวกับการเคารพศรัทธานับถือ "ผู้ทรงธรรม" เป็นการส่วนตัวนะครับ)<O:p</O:p
    </PRE>

    ผมกำลังจะบอกว่า "กรรม" ที่ต้องรับจากการที่ใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" นั้น ก็คือ.....<O:p</O:p
    </PRE>

    ต้องเป็นข้าทาส บริวาร หรือหนักหน่อยก็เป็นข้ารับใช้..ไม่ว่าจะเป็นชั่วครั้งชั่วคราว...หรือเป็นถาวร (ขึ้นอยู่กับวาระกรรมที่ได้กระทำ)<O:p</O:p
    </PRE>

    ความจริงถ้าคิดในแง่ดี ก็อาจจะบอกว่า ดีซะอีกที่ได้เป็นคนคอยรับใช้..."ผู้ทรงธรรม"<O:p</O:p
    </PRE>

    ถ้าคิดอย่างนี้..ก็ไม่เป็นไรครับ....จะได้สบายใจ<O:p</O:p
    </PRE>

    แต่จุดมุ่งหมายของการบอกเล่าในครั้งนี้...ก็คือ...<O:p</O:p
    </PRE>

    ไม่อยากให้ใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" เพราะเป็นการไม่สมควร<O:p</O:p
    </PRE>

    แต่......ถ้ามันจำเป็นล่ะ...<O:p</O:p
    </PRE>

    แน่ละครับ....เราต้องมีข้ออ้าง....ตามประสา...ตามประสา....ตามประสาอะไรดีล่ะ....<O:p</O:p
    </PRE>

    เอาเป็นว่าตามประสาคนที่จะมีข้ออ้างก็แล้วกัน<O:p</O:p
    </PRE>

    วิธีแก้ไขที่ดีที่ท่านอาจารย์สนอง ท่านได้แนะไว้ก็คือ<O:p</O:p
    </PRE>

    "ขอขมา"<O:p</O:p
    </PRE>

    คือขอขมา "ผู้ทรงธรรม" เสีย<O:p</O:p
    </PRE>

    ง่ายๆ อย่างนี้นะครับ<O:p</O:p
    </PRE>

    เวลาที่จะไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" เมื่อได้บอกธุระที่เราไหว้วานท่านแล้ว...กราบขอขมาท่านว่า <O:p</O:p
    </PRE>

    "ขอขมาท่านด้วยนะครับ (คะ) ที่ได้ล่วงเกินใช้ไหว้วานท่าน"<O:p</O:p
    </PRE>

    แค่นี่เองครับ....<O:p</O:p
    </PRE>

    แล้ว "ผู้ทรงธรรม" ท่านก็จะบอกว่า "ไม่เป็นไร ไม่มีเวรกรรมต่อกัน" หรืออาจจะแนวๆ นี้ <O:p</O:p
    </PRE>

    (บางท่านอาจจะนึกในใจก็ได้)<O:p</O:p
    </PRE>

    แค่นี้เองจริงๆ ครับ...จะได้ไม่ต้องไปเป็น "ข้ารับใช้" ในอนาคต<O:p</O:p
    </PRE>

    หลังจากผมได้ฟัง "ธรรม" ข้อนี้จากอาจารย์สนอง ผมก็เลยได้ยินหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านเปรยๆ ว่า เวลาท่าน "ปฏิบัติ" เสร็จแล้ว...ต้องทำการ "อโหสิ" ญาติโยมที่เผลอไหว้วานท่านเสียทุกครั้ง<O:p</O:p
    </PRE>

    เขียนๆ ไปแล้ว...ไม่แน่ใจว่า....จะเป็นประโยชน์แค่ไหน <O:p</O:p
    </PRE>

    แต่เมื่อเห็นว่าอะไรไม่ถูกไม่ควรก็เอามาบอกเล่ากันน่ะครับ<O:p</O:p
    </PRE>

    ถ้าข้อเขียนวันนี้มีประโยชน์ แม้จะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ขอยกอานิสงส์ความดีแด่ อาจารย์สนอง วรอุไร "ผู้ทรงธรรม" แห่งล้านนา และประเทศไทย<O:p</O:p
    </PRE>

    ส่วนที่เขียนแล้ววกวน...หรือผิดพลาดตรงไหน...ข้าพเจ้าที่อยากเป็น "ผู้ทรงธรรม" (กำลังพยายามอยู่ครับแต่คงอีกนานเหมือนกัน)...ขอรับไว้เพียงแต่ผู้เดียวครับ...<O:p</O:p
    </PRE>

    จริงๆ ครับ<O:p</O:p
    </PRE>

    อโณทัย เขตต์บรรพต<O:p</O:p
    </PRE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.extrasoul.com/old2.html

    อยากโชคดี อยากมีโชคลาภ ควรทำอย่างไร?

    ถาม - อยากโชคดี อยากมีโชคลาภ จะไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนดี ?

    ตอบ - นี่คุณกำลังจะถามผมล่ะซิว่า จะไปขอหวยที่ไหนดี ?
    ถ้าผมรู้นะคุณ ผมไปขอเองดีกว่า จะได้รวย ไม่ต้องมานั่งตอบปัญหาอย่างนี้หรอก
    บอกคุณได้เลยนะครับว่า ไม่มีที่ไหนหรอกครับ ที่คุณจะไปขอให้รวย ขอให้มีความสุข ขอให้มีความสำเร็จได้
    เพราะทุกอย่างที่คุณ "ขอ" น่ะ คุณต้องทำเองครับ
    นี่คือกฎแห่งกรรม ตามหลักศาสนาพุทธ เพราะ "กรรม" คือการกระทำ ทำกรรมใดก็ได้กรรมนั้น ไม่ทำ
    ก็ไม่ได้ เด็ดขาด!
    คุณอาจจะเถียงว่า ไปหาพระ หาหลวงพ่อ หาเจ้าพ่อเจ้าแม่ ไปไหว้พระที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพระพุทธรูปและพระ
    สงฆ์ ท่านเหล่านี้สามารถบันดาลให้คุณมี คุณได้ คุณเป็นตามปรารถนา
    หลวงพ่อ หลวงปู่ เจ้าพ่อเจ้าพ่อเจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงก็เลยได้หน้าไป ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง
    ได้มี ได้เป็น ได้ดังใจปรารถนาน่ะ คุณทำเองทั้งนั้น
    แต่คุณไม่รู้ตัวเองต่างหาก
    สมมติว่าคุณไปขอให้พระ หรืออะไรก็ได้ที่ศักดิ์สิทธิ์ขอให้ถูกหวย คนที่ไปขอน่ะมีกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน
    คน ขอรางวัลที่ 1 ทั้งนั้น นาน ๆ หรอกครับ จะมีบอกว่า ขอให้ถูกรางวัลที่ 4 ที่ 5
    แล้วรางวัลที่ 1 น่ะ มีกี่รางวัล รางวัลเดียวครับ คนไปขอกันเป็นแสน คุณก็ต้องไปเข้าคิวรออีกแสนงวด ถึง
    จะได้ ลองคำนวณดูนะครับว่า แสนงวดน่ะมันกี่ชาติ ????
    ก็จะมีคนเถียงล่ะว่า ไปไหว้พระ หรือไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา กลับมาถูกหวยเลย แต่ถ้าคุณศึกษาเรื่อง
    กรรมให้ดี คุณจะรู้ว่ามันเป็น "กรรม" ของคุณเองที่คุณจะต้องได้ อย่างเช่น ถึงเวลาแล้ว ไม่ต้องซื้อหวยซื้อ
    ล็อตเตอรี่ ไม่ต้องทำอะไร ก็ได้มาเอง
    เรื่องนี้เป็นข่าวมาตั้งไม่รู้กี่ร้อยครั้ง อย่างเช่น สามล้อถีบรถรับจ้างอยู่ดี ๆ ร้อยวันพันเดือนไม่เคยซื้อ
    ล็อตเตอรี่เลย พอซื้อคู่เดียว รวยเป็นล้าน คนบางคนได้เงินมาอย่างไม่รู้ตัว ได้โชคมาอย่างชนิดไม่คาดฝัน
    นั่นเป็นเพราะเมื่ออดีต (เวลาที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะนานแค่ 1 นาที หรือนานเป็นชาติ ๆ) คุณทำมาแล้วตรงนั้น
    คุณถึงได้ตรงนี้
    เพราะศาสนาสอนว่า ไม่มีเหตุก็ไม่มีปัจจัย คือไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ
    และไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นเพราะ "บังเอิญ"
    ไม่มีอะไร "ได้" มาโดยไม่มีการ "ให้" ก่อน
    คุณได้เงิน ได้โชค เพราะคุณเคยให้เงิน ให้โชคมาก่อน (กับใคร กับอะไร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คุณต้อง
    เคยให้มาก่อน)
    นี่ก็เป็นเหมือนตรรกวิทยาที่บอกคุณว่า เมื่อคุณ "ได้" ตรงนี้ ปัจจุบันนี้ เพราะคุณเคย "ให้" มาก่อนในอดีต
    ถ้าอนาคตคุณอยากได้อย่างนี้ (อย่างปัจจุบันที่คุณได้) คุณก็ต้องให้ตั้งแต่วันนี้ (ซึ่งจะกลายเป็นอดีตในวันข้างหน้า)
    เพราะฉะนั้น ในวันนี้คุณต้องเริ่มต้นให้ก่อน แล้วอนาคตคุณก็จะได้เอง
    ตรงนี้อ่านดี ๆ อย่างง ค่อย ๆ อ่าน ถ้างง นั่งพักก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่อ่านอย่างช้า ๆ
    ผมล่ะชอบใจที่ หลวงพ่อคูณ ท่านตอบคำถามคนที่ถามท่านว่า มากราบหลวงพ่อ มาให้หลวงพ่อ
    เคาะกระบาลแล้วถูกหวย ท่านตอบว่า กูไม่ได้ทำให้มันถูกหวย มันจะถูกของมันอยู่แล้ว โชคของมัน ดวง
    ของมัน พอดีมันมาหากู ถึงมันไม่มาหากู มันก็ถูกก็ได้ของมันอยู่ดี
    ผมฟังแล้ว แอบกราบหลวงพ่อในใจนับครั้งไม่ถ้วน
    จำไว้นะครับ ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้ร้องขอ ไม่ได้สอนให้บนบานศาลกล่าว ไม่ได้สอนให้เป็นผู้รับ
    อย่างเดียว
    แต่ศาสนาพุทธสอนให้เราปฏิบัติ สอนให้กระทำ สอนให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
    ลองคิดด้วยเหตุผลนะครับ ถ้าใครก็ตามที่ "ขอ" ได้ ก็จะมีคนขออีกเป็น....
     
  12. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    อ้างถึงคุณสิทธิพงศ์
    ....คนที่เป็น ""ผู้ทรงธรรม" นั้น ผมสังเกตมาหลายท่านแล้วว่า.....ส่วนใหญ่จะมีแววตาที่ "เป็นประกาย
    เรื่องนี้ผมก็เคยได้ยินมา และวันที่ไปบ้านอาจารญ์ปู่ประถม วันนั้นผมได้เห็นแววตาท่านหลายวับทีเดียวละครับ ใครที่ไม่เคยสังเกตก็ลองดูสิครับ
     
  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สงสัยคุณตั้งจิต จะเป็นแมวมองนะครับพวกเรา ฝึกทำตาแวววับให้ได้กันทุกท่านะครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รายละเอียดพระพิมพ์และวัตถุมงคล ที่มอบให้กับผู้ร่วมทำบุญในกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดพร้าว 102 บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 189-0-13128-8 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีชญา ,นายอุเทน งามศิริ ,นายสิรเชษฏ์ ลีละสุนทเลิศ ( http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=68899 ) จะอยู่ในหน้าแรกของกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ

    ส่วนยอดคงเหลือ ผมจะแจ้งให้ทราบในกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งและกระทู้พระวังหน้าฯเป็นระยะครับ
     
  15. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    เมี๊ยวๆ อ้าวสงสัยจะเป็นแมวจริงๆ
    วันนั้นเสียดายเหมือนกันครับเวลาเร่งรัดผู้คนมากมายเลยได้คุยกับคุณเพชรและพี่ๆเพื่อนๆน้อยไปหน่อย ไม่งั้นคงอาจได้เห็นอีกหลายวับ อิอิ เอ๊ย เมี๊ยวๆ
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขออารธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พรหม เทพ เทพยดา อาจารย์ทั้งหลายๆสืบๆกันมา โดยมีหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร หลวงปู่พระฤาษีคุรุบาบาจีหลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด

    ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากการร่วมกันทำบุญกับพระอาจารย์นิล เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทุกๆเรื่องในการเดินทางไปแจกผ้ายันต์ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พรหม เทพ เทพดา อาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมาโดยมีหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร หลวงปู่พระฤาษีคุรุบาบาจี หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด พระยายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เทพเทวาทั่วสากลพิภพ ขอพระยายมราช และท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

    ขออุทิศส่วนกุศลนี้แด่บูรพกษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา จวบจนถึงบูรพกษัตราธิราชในราชวงศ์จักรีอันมีสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 จนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆพระองค์ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนารทพระอุปราชวังหน้าองค์ที่ 1 ในราชวงศ์จักรี จนถึงกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ พระอุปราชวังหน้าองค์ที่ 5 ในราชวงศ์จักรี

    ขออุทิศส่วนกุศลนี้แด่เทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาพระวังหน้า พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ทุกๆองค์ ทุกๆพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ครอบครอง พระอริยสงฆ์ที่ได้เสกพระพิมพ์ทุกๆองค์ เจ้าของสถานที่ พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ววังหน้า และวัดพระแก้ววังหลวงที่ใช้เป็นสถานที่ในการปลุกเสกองค์พระ ช่างสิบหมู่ทุกๆท่านที่มีส่วนร่วมในการสร้างพระวังหน้า และสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า

    ขออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินมาแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี จะด้วยเจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี ใช่ญาติ หรือไม่ใช่ญาติก็ดี ขอจงได้อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพาน

    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า และคณะได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ หากยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงไร ขอความคล่องตัว และขอคำว่าไม่มี จงอย่าได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2007
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.extrasoul.com/old3.html

    เคยทำแท้งมาก่อน จะแก้ไขอย่างไร

    ถาม - เคยทำแท้งมาก่อน จะแก้ไขอย่างไร เพราะรู้สึกไม่สบายใจมาก และชีวิตมีแต่เรื่องยุ่งๆ
    ตอบ - ก็ไม่ยุ่งได้ยังไงล่ะครับ ก็คุณเป็นผู้ร้ายฆ่าคนไปแล้วนี่ ย้ำกันให้ชัดๆนะครับว่า คุณเป็นผู้ร้ายฆ่าคน!!!
    จะมายกแม่น้ำทั้ง 5 หรือทั่วโลกมาอ้างน่ะ ฟังไม่ขึ้นหรอกครับ จะอ้างว่า ตอนนั้นเรียนอยู่ ถ้าท้องก็ไม่ได้เรียน
    หรือถ้าพ่อแม่รู้ว่าท้อง โดนตีตายเลย หรือจะอ้างว่าฐานะยังไม่ดี ยังไม่พร้อมที่จะมีลูก ก็อ้างกันสารพัดครับ แต่
    พูดกันเลยว่า ไม่พร้อมที่จะท้องหรือมีเด็ก แล้วทำไมพร้อมที่จะ "ร่วมรัก" กันล่ะ
    เอากันแล้ว สนุกกันฝ่ายเดียว แล้วไปฆ่าคนอื่นน่ะ เห็นแก่ตัวหรือเปล่า ?
    สำหรับผลที่คุณจะได้รับจากการที่คุณ "ทำแท้ง" นั้นมีผลกับตัวคุณมาก ๆ ครับ ที่เห็นชัด ๆ ก็คือ มีความ
    ไม่สบายใจติดตัวไปตลอดชีวิต (ก็แน่ล่ะคุณเป็นผู้ร้ายฆ่าคนนี่) ทำงานทำการอะไรก็ไม่ประสบผลสำเร็จ โชคไม่ดี โชค
    ลาภไม่มี เพื่อนฝูง คนรอบข้างเหม็นหน้า ไม่ค่อยรักไม่ค่อยเมตตา มีอุบัติเหตุบ่อย ๆ ปวดหัว ไม่สบายโดยไม่ทราบ
    สาเหตุบ่อยครั้ง จิตผวา เห็นเงาตะคุ่มๆ บ่อยๆ ได้ยินเสียงหวีดหวิว หรือเสียงคนเรียกโดยไม่เห็นตัวบ่อย ฝันร้าย และ
    อะไรๆที่ไม่ดีๆน่ะ เกิดขึ้นกับคุณเป็นประจำ
    เอาเถอะเมื่อมันเกิดมาแล้ว เรามาคุยกันเรื่องการแก้ไขกันดีกว่า
    ก่อนอื่น เรามาคุยกันก่อนว่า ทำไมการทำแท้งจึงเป็นเรื่องบาปมหันต์
    ต้องเข้าใจก่อนว่าการที่จะเกิดเป็น "คน" นั้น มันยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน?
    บางวิญญาณนั้น ตั้งหน้าตั้งใจรอเพื่อที่จะเกิดมา เพราะการเป็นมนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มหาศาล
    ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่มากกว่าการได้เกิดเป็นมนุษย์
    เพราะ "มนุษย์" เท่านั้น ที่สามารถจะสร้างบารมีสูงสุดที่สุดในโลก
    สามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้
    ดูอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ยังต้องประสูติ (เกิด) มาเป็นมนุษย์ มาบำเพ็ญเพียร
    ก่อน ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
    เห็นมั้ยครับ เป็นวิญญาณไม่ว่าจะเป็นเทพ เป็นพรหมสูงขนาดไหน ก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ (ในช่วงพุทธกาล
    นี้) ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น
    เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นการเกิดที่ยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อเกิดมาแล้ว สามารถสร้างบารมี สร้างกุศล
    ได้มหาศาล สร้างได้ไม่มีเวลา ไม่มีกำหนด สร้างได้ไม่มีขีดว่าจะต้องมากน้อยแค่ไหน ?
    วิญญาณทำไม่ได้ครับ ?
    วิญญาณจะใส่บาตรได้ก็ต้องรอจังหวะเหมาะ ๆ รอพระสุปฏิปันโนดีผ่านมา แต่คนเรานึกจะใส่บาตรวันไหน
    ก็ได้ พระมีออกเกลื่อนเมือง
    วิญญาณทำสังฆทานก็ไม่ได้
    วิญญาณบริจาคเลือดเพื่อสร้างกุศลก็ไม่ได้ (ก็ไม่มีเลือดนี่ครับ)
    วิญญาณปฏิบัติสมาธิได้ระดับหนึ่งเท่านั้น สูงสุดก็ไม่ได้ เพราะการเจริญวิปัสสนา กรรมฐาน ต้องมีการ
    พิจารณาการเกิดดับของร่างกาย มีเกิดแก่เจ็บตาย ต้องมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ เพราะมีสังขาร แต่วิญญาณไม่มี เลย
    ไม่รู้จะไปปลงอสุภะ ปลงสังขารยังไง
    บางวิญญาณน่ะต้องมาใช้ "กรรม" ในชาตินี้ (ที่เกิด) เพราะฉะนั้น เมื่อ (จะ) มาเกิดวิญญาณเค้าอาจ
    เตรียมตัวมาใช้กรรมแล้ว จะได้ทยอยใช้ให้หมดไปทีละนิด หรือมากๆได้
    นี่แค่เบื้องต้นนะครับ เห็นมั้ยครับว่าการเกิดมนุษย์นั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?
    แล้วจู่ๆ คุณก็มา "ฆ่า" เค้าด้วยตัวคุณเอง (หรือด้วยมือหมอทำแท้ง)
    คุณตัดอนาคตในการทำบุญของเค้าหมด คุณตัดการชดใช้ "กรรม" ของเค้า คุณไม่ให้โอกาสเค้าสร้าง
    ฐานะเพื่ออนาคตของเค้าด้วย
    คุณอาจจะไม่ให้โอกาสเค้าสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ
    และที่สำคัญ เกิดลูกคุณเป็นผู้ชายล่ะ เค้าอาจจะบวชเรียนเป็นพระภิกษุ สร้างสรรค์สังคมให้ดี ๆ อาจจะ
    สำเร็จเป็นอรหันต์
    ทีนี้คุณอาจจะเถียงว่า ถ้าคนที่ (จะ) เกิดมา จะเป็นคนไม่ดีล่ะ
    อันนี้ตอบได้เลยว่า ถ้าคุณเลี้ยงเค้าให้ดี เค้าก็ดีได้ครับ (เป็นการเถียงแบบเข้าข้างตัวเองมากกว่าครับ)
    เห็นมั้ยครับ ? เหตุผลแค่นี้เพียงพอกับการที่วิญญาณเค้าจะโกรธ จะแค้น จะโมโห จะอาฆาตคุณหรือเปล่า ?
    ที่ตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เค้าควรจะได้
    เป็นคุณเอง ถ้าโดน "ฆ่า" ก่อนที่จะได้เกิด คุณจะรูสึกอย่างไร ?
    บางคนอาจจะเถียงว่า เพียงเดือนสองเดือนยังไม่เป็นตัวหรอก?
    ในทางศาสนาพุทธ ถือว่าการมีชีวิตนั้น นับตั้งแต่วันแรกที่ไข่ของฝ่ายหญิง ได้รับการผสมเชื้อจากอสุจิของ
    ผู้ชาย ตรงนี้แหละครับที่ถือว่า ได้กำเนิดเป็นชีวิตแล้ว (ปฏิสนธิ)
    ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยครับว่า ทำไมวิญญาณเค้าถึงโกรธคุณมาก
    ถึงคุณจะทำบุญทำกุศลมากมายขนาดไหน ทำสังฆทานกี่ร้อยกระป๋อง หรือทำบุญยิ่งใหญ่ขนาดไหน เค้า
    ไม่สนใจหรอกครับ คุณเป็นคน "ฆ่า" เค้าแล้ว แล้วมานั่งทำบุญให้น่ะ มันคนละเรื่องกัน
    ตบ (ฆ่า) หัวแล้วลูบหลัง แบบนี้ มันถูกมันควรมั้ย ?
    เป็นคุณล่ะ คุณถูกใคร "ฆ่า" แล้วเค้ามาเคาะฝาโลงโป๊ก ๆ บอกว่า เฮ้ย! มารับของที่ฉันทำบุญไปให้นะ
    คุณจะชื่นชม หรืออภัยให้มั้ย?
    (ตรงนี้ สอนให้เอาใจเขามาใส่ใจเรานะครับ)
    เอาเถอะ ด่าคุณไปแล้ว ก็ต้องหาทางแก้ให้ (ผมก็เป็นซะอย่างนี้)
    ข้อแรกเลย คุณต้องตั้งใจให้มั่น ตั้งสัจจะเอาไว้เลยว่าต่อแต่นี้ไป จะตั้งใจทำบุญทำกุศลให้มาก ๆ เพื่อ
    อุทิศให้เค้า และการทำบุญทำกุศลที่ได้ผลมาก ๆ นั้น ลองอ่านหัวข้อเรื่องเก่าข้างบนได้ครับ มีบอกไว้แล้ว
    นอกจากการปฏิบัติ (ที่ถือว่าได้บุญมากที่สุด) แล้ว คุณต้องทำบุญทำกุศลทุกรูปแบบ จะใส่บาตร ก็ต้องใส่
    สม่ำเสมอ ทุกอาทิตย์ ทุกวันได้ยิ่งดี ทำสังฆทานให้มาก ๆ ถี่ ๆ
    ให้เค้าเห็นถึงความตั้งใจจริงว่าคุณตั้งใจจริง ไม่ใช่ "ฆ่า" แล้วก็ทำเล่น ๆ สักแต่ว่าทำไปเท่านั้น
    ทำให้ถี่ ๆ ครับ ทำมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆ
    อีกอย่างนึง ถ้าคุณทำบุญกับกุศลที่เกี่ยวกับเด็กได้ก็ยิ่งดี เช่น ทำบุญกับมูลนิธิที่เกี่ยวกับเด็ก ช่วยเหลือเด็ก
    ยากจน สนับสนุนการศึกษาให้เด็กฯลฯ
    และอีกข้อนึง ขณะนี้คุณเป็นจำเลย ลูกคุณที่คุณ "ฆ่า" เป็นโจทก์ คนเรานี่เวลาโกรธกัน พูดกันยากครับ
    "เคลียร์" กันลำบากครับ
    เค้าก็โกรธคุณอยู่ คุณทำอย่างไรเค้าก็ไม่ฟัง ไม่สนใจหรอกครับ
    คุณต้องหา "ใครสักคน" ที่วิญญาณเค้าเกรงอกเกรงใจ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
    ส่วนใหญ่วิญญาณเค้าจะเกรงใจผู้ปฏิบัติครับ ก็หมายความไปถึงพระ (ที่เป็นพระ) ที่มีจิตดี มีการปฏิบัติดี
    มีปฏิปทาที่สะอาด บริสุทธิ์
    หรืออาจจะหาฆราวาสผู้ที่มีจิตดี มีการปฏิบัติดี ก็ได้ครับ
    แต่ไม่ว่าจะเป็นพระดี ฆราวาสดีนั้น หาไม่ง่ายหรอกครับร้อยคน มีสักคนก็หาแทบไม่ได้แล้ว
    ต้องหากันเองล่ะครับ
    แต่เตือนไว้อย่างนึงว่า การหาพระดี คนดีนั้น อย่าหาเพราะมีคนบอกว่าดี อย่าหาเพราะมีการโฆษณาจาก
    ทุกสื่อ
    แต่ขอให้ดูการวางตัว การปฏิบัติตัว การทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน
    และดูการถือศีล การปฏิบัติด้วย มีศีลมากก็บริสุทธิ์มาก
    ปฏิบัติ (สมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน) มาก ก็จิตดีมาก
    เมื่อเจอแล้ว กราบท่าน ขอร้องให้ท่านช่วย เป็นสื่อกลางให้ ไม่มีปัญหาครับ วิญญาณเค้าเกรงใจบุคคล
    ประเภทนี้มากครับ
    อยู่ที่ว่าท่านจะเมตตาหรือไม่เท่านั้น
    เพราะบางท่านอาจจะคิดว่า เป็นเรื่องส่วนตัว ยิ่งเป็นพระท่านอาจจะบอกว่า เป็นเรื่องโลกีย์วิสัย เป็นเรื่อง
    ของทางโลกที่ท่านไม่ควรยุ่งเกี่ยว
    แต่เชื่อเถอะครับ ไปกราบท่านบ่อย ๆ (อาศัยลูกตื๊อ) ท่านช่วยแน่นอน เพราะจิตท่านดีอยู่แล้ว ท่านเหล่านี้มี
    "เมตตา" เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
    สำคัญอยู่ที่ว่า อย่าให้มันเกิดขึ้นอีกล่ะ

    อโณทัย เขตต์บรรพต
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.extrasoul.com/old1.html

    ทำบุญทำกุศลอะไรจึงจะได้ผลได้อานิสงส์มาก ๆ

    ถาม - เคยไปหาพระ พระท่านบอกว่าให้สร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมีมากๆ ผมเองก็ทำตามครับ หมั่นไป
    ทำบุญบ่อยๆ หมั่นบริจาคเงินสร้างวัดหรือหยอดเงินตามตู้บริจาคหลายครั้ง ตอนหลังเริ่มสับสนครับ เพราะผมมาคิด
    เอาเองว่า ทำกุศลอะไรนะ ที่ได้บุญเยอะๆ ได้กุศลเยอะๆ ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ แต่อย่าให้ผมบริจาคเงินเพื่อสร้าง
    กุศลนะครับ แบบนั้นผมไม่ชอบครับ

    ตอบ - ผมเลือกจดหมายของคุณมาตอบก่อน เพราะจะได้ต่อเนื่องกับคำตอบคราวที่แล้วว่า ทำบุญ
    ทำกุศลอะไรถึงจะได้ผลได้อานิสงส์มาก ๆ
    ชอบใจที่คุณลงท้ายว่า ไม่ต้องแนะนำให้ทำบุญด้วยเงิน
    ครับ ผมไม่แนะนำอย่างนั้นแน่
    บุญ บารมี กุศล ต้องสร้างจากตัวเราครับ ให้คนอื่นสร้างให้ได้ผลแค่ 1-2 % เอง บางทีก็ไม่ได้เลย เพราะ
    ในศาสนาพุทธนั้น ใครทำใครได้ครับ ไม่ทำก็ไม่ได้ อย่าไปเชื่อคนอื่นนะครับ
    ที่บอกว่าจะช่วยทำบุญให้ แล้วจะได้บุญ
    ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีคนเถียงว่า ถ้าตัวเองไปทำบุญไม่ได้ แล้วฝากปัจจัยหรือสิ่งของให้คนอื่นไปทำแทนล่ะ
    ไม่ได้บุญเหรอ ?
    นั่นคนละเรื่องกับที่ผมบอกนะครับ เพราะที่ผมบอกว่าใครทำใครได้ ทีนี้คนที่ไปไม่ได้ แต่เค้าร่วมทำนั้น
    เราถือว่าเค้าได้ทำแล้วนะครับ ด้วยใจไงล่ะครับ ด้วยใจที่พร้อมที่จะทำ เพราะการทำบุญทำกุศลนั้น ต้องมาจาก
    ใจเป็นอันดับแรกครับ ใจอยากทำก็ได้แล้ว ไม่ใช่ใจไม่อยากทำแต่มีอะไรบางอย่างอยากให้ทำ บังคับให้ทำ อย่าง
    นั้นไม่ได้บุญเท่าที่ควรครับ เพราะใจไม่ได้ต้องการที่จะทำ
    มีคนถามผมว่าถ้าเค้าสร้างวัดได้บุญได้กุศลมั้ย ตอบครับ ว่าได้แน่ แต่ยังน้อยกว่า
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.extrasoul.com/old4.html


    <CENTER>[​IMG] สะดาะเคราะห์ สะเดาะกรรม มีจริงหรือ ? [​IMG]</CENTER>
    เป็นคำถามฮิตกันมากครับในยุคนี้
    ข้อเขียนวันนี้อาจจะไปขัดใจบางท่านเข้าก็เป็นได้ เพราะผมกำลังจะบอกว่า
    ไม่มีหรอกครับที่จะมาสะเดาะเคราะห์ สะเดาะกรรม ได้
    ไม่มีจริง ๆ ครับ
    "กรรม" คือการกระทำ เมื่อเป็นการกระทำ ก็ต้องมีผล และมีการชดใช้
    ไม่ชดใช้ก็ไม่หมดหรอกครับ ไม่มีการให้คนอื่นมารับแทน หรือทำแทน
    ใครทำกรรมอย่างไรไว้ คน ๆ นั้นก็ต้องรับเอง
    ทำเอง ก็ต้องรับเองครับ
    ที่ผมบอกว่าไม่มีใครสะเดาะเคราะห์ สะเดาะกรรมได้ ก็เพราะว่า แม้แต่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระองค์ก็ยังทรงต้องชดใช้กรรม
    บางท่านอาจจะแย้งว่า ไหนว่าพระอรหันต์ ท่านอยู่เหนือกรรมอย่างไรล่ะ ?
    ไม่เถียงครับ ว่าพระอรหันต์ท่านอยู่เหนือกรรม
    แต่จะอยู่เหนืออย่างไร และเพราะอะไรท่านถึงอยู่เหนือกรรมทั้งหลายทั้งปวง ผมไม่ทราบครับ เพราะผม
    ไม่ใช่พระอรหันต์ และสูงเกินกว่ามันสมองและสติปัญญาของผมที่จะรู้ได้
    พระอรหันต์ท่านไม่มีกรรมแน่ ๆ แต่อย่าลืมนะครับว่า พระอรหันต์ไม่ใช่เกิดมาปุ๊บก็เป็นพระอรหันต์เลย
    ต้องผ่านชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกิเลสมาบ้างไม่มากก็น้อย
    ไม่ชาตินี้ก็ชาติที่แล้ว ยังไง ๆ ก็ต้องเคยทำ "กรรม" มาก่อน
    เพราะฉะนั้นเมื่อพระอรหันต์มาเกิด ก็ยังคงต้องรับกรรมก่อน ก่อนที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์
    เพราะเป็นกรรมที่ทำก่อนจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
    แต่นับตั้งแต่วินาทีที่ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ วินาทีนั้นท่านจะหมดกรรม ไม่มีกรรม อีกต่อไป
    พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเป็นเช่นนั้น
    ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเป็นพระอรหันต์ และทรงเป็นหัวหน้าพระอรหันต์ทั้งปวง ท่านก็ยังคงต้องรับกรรม
    ก่อนหน้าที่พระองค์จะทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
    ยังทรงต้องมีการเจ็บไข้ได้ป่วย ให้พระเดชพระคุณ ท่านบรมครุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์ ถวายการรักษา
    (ท่านพ่อหมอผู้นี้เก่งระดับโลกนะครับ เมื่อ 2540 กว่าปีนี่ ท่านสามารถผ่าตัดสมองคนได้ด้วยครับ เรื่องนี้ถ้าท่านสนใจ ผม
    จะหามาให้อ่านกัน ด้วยสำนึกในความเป็นพระอาจารย์ที่ดีสุดยอด)
    ยังคงโดนลอบทำร้ายจากพระเทวทัต จนถึงพระโลหิต (เลือดตกยางออก) ทรงโดนทำร้ายจากพระเทวทัต
    โดยการกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา
    ต้องโดนคนนินทาว่าร้าย (คนที่ไม่เชื่อในพุทธศาสนา)
    ต้องทรงเหนื่อยกับการเดินทางไปโปรดสัตว์
    นี่ก็เป็นกรรมที่พระองค์ต้องชดใช้ครับ
    ใช่ว่าจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะสบายอย่างที่ใคร ๆ คิด
    เหมือน "ในหลวง" ของคนไทย
    ทรงประสูติมาในฐานะที่สูงส่งอย่างนั้น สูงกว่าชนทั้งปวง แต่ทุกวันนี้ยังทรงเสด็จพระราชดำเนิน ไปไหน
    ต่อไหน เพื่อไป"เยี่ยมเยียน ดูแล" และพระราชทานความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อคน ต่อชุมชน ต่อองค์การ เพื่อ
    ให้เกิดความสุขทั่วไป
    ผมไม่เคยเห็นคนที่มีฐานะเช่นพระองค์ท่านคนไหนในโลกที่เป็นอย่างนี้ !!!
    ที่ (ทรง) เหนื่อยตลอดชีวิต เพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อพระองค์เองเลย
    ขอโทษครับ ออกนอกไปนิด ก็เพราะชื่นชม และเทิดพระองค์อยู่เหนือเกล้าน่ะครับ
    เห็นมั้ยครับว่าพระพุทธเจ้าท่านเองก็ยังต้องทรงรับกรรม
    สุดยอดขนาดพระพุทธเจ้ายังคงต้องรับกรรม พระองค์ไม่ได้สะเดาะเคราะห์กรรมให้พระองค์เองเลย
    ก็ขนาดพระองค์ยังไม่สามารถสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมของพระองค์เองได้เลย
    นับประสาอะไรกับพระรูปต่าง ๆ เกจิอาจารย์เก่ง ๆ หลายคน หรือใครก็ตาม จะมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์
    สะเดาะกรรมได้
    เหลวไหลทั้งนั้นครับ
    แต่ก็ยังมีพิธีหรือการกระทำอย่างนี้บ่อย ๆ หลายที่กับหลายคนหลายรูป
    แยกแยะได้ว่า
    1. ทำไปเพราะไม่รู้ความเป็นจริงว่าไม่มีทางสะเดาะกรรมได้ เพราะคิดว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นพ่อรุ่นปู่
    จากครูบาอาจารย์ ว่าพิธีแบบนี้แหละที่สามารถช่วยได้ หรือตัวเองมีความรู้ผิด ๆ คิดว่าน่าจะสะเดาะกรรมได้
    2. ทำไปเพราะรู้ แต่เนื่องจากเห็นแก่ญาติโยมว่ากำลังมีทุกข์ หวังจะให้ "กำลังใจ" มากกว่าความเป็นจริง
    หรือ ธรรมะเป็นเพียงกำลังใจ หรือกุศโลบาย (อุบายอันเป็นกุศล) พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพระ พิธีที่ทำก็มีตั้งแต่สวดมนต์
    ทำบังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย ผูกด้ายสายสิญจน์ ทำเทียน ต่ออายุ ใส่บาตรพระ ฯลฯ พวกนี้ยังไม่เท่าไหร่ เพราะทำไป
    ด้วยเจตนาที่ดี แต่ต้องหมายความว่าไม่เรียกร้องเงินทอง หรือปัจจัย
    3. ทำไปเพราะหวังอยากได้เงินทอง หรืออามิสสินจ้าง พวกนี้กะ "ฟัน" ลูกค้าอย่างเดียว มีทั้งพระและฆราวาส
    มีตั้งแต่ทำบุญ ทำสังฆทาน (ส่วนใหญ่จะเป็นจำนวนเงินไม่น้อย อาจจะบอกว่าต้องทำสังฆทานเท่าอายุ แล้วคนที่มี
    อายุน้อย ๆ น่ะ เค้าจะไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์กันทำไม ต้องโน่น 30 ขึ้นไป สังฆทานถูก ๆ กระป๋องละ 200 บาท
    คูณ 30 ก็ 6,000 แล้ว) สร้างพระ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างศาลาการเปรียญ บริจาคโลงศพ (บริจาคกันจัง)
    และหนทางเสียเงินอีกมามากมาย
    โดยเฉพาะตามตำหนักทรงนั้น ชอบเรียกร้องให้ทำเงินกันเหลือเกิน บางทีอาจจะพูดแบบเหมือนไม่ต้องใช้เงิน
    แต่ฟังดี ๆ หรือฟังด้วยความเป็นจริงจะรู้ว่าตำหนักทรง หรือแม้แต่วัดบางวัดก็ตามเถอะครับ แฝงด้วยการ "ดูดทรัพย์" ของ
    ชาวบ้านที่มาให้ทำพิธีทั้งนั้น
    พวกนี้เลวครับ เป็นกาฝากศาสนา เป็นกาฝากสังคมจริง ๆ
    พระที่ทำอย่างนี้ อย่าเรียกว่าพระครับ ต้องเรียกว่า "คนห่มเหลือง"
    พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ ผู้ดีเลิศ ต้องรู้จักให้ครับ ไม่ใช่รู้จักโกย
    อย่าเรียกร้อง โดยหวังอามิสสินจ้าง ถ้าญาติโยมจะบริจาค จะอนุโมทนา ขอให้เป็นไปด้วยศรัทธา และ
    ความต้องการจริง ๆ
    ส่วนคนที่ผ่านพิธีอย่างนี้ไปแล้ว เกิดโชคดี เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่าคิดนะครับว่าเป็น
    เพราะสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมมาแล้ว
    ไม่จริงหรอกครับ ที่ดีได้ก็เพราะตัวคุณเอง
    เพราะคุณเองทำดี กรรมดี เลยตามาตอบสนอง
    แต่การทำดีไม่จำเป็นต้องได้ดีก่อนเสมอ
    ผลของการได้รับของการกระทำนั้น ไม่ว่าจะดีจะชั่ว มีลำดับขั้นครับ อะไรที่ "มากกว่า" ก็จะส่งผลก่อน
    อย่างเช่น เคยใส่บาตรพระวันแรก วันที่สองช่วยคนที่กำลังจะตายให้ดีขึ้น วันที่สามตีหัวพระเพื่อชิงเงิน
    ถามว่าคุณจะได้รับผลการกระทำไหนก่อน?
    ครับ ก็ต้องได้รับกรรมจากการตีหัวพระก่อน และก็ได้รับกรรมดีจากการช่วยคนที่กำลังจะตาย และการ
    ใส่บาตรพระเป็นลำดับสุดท้าย
    ไม่ได้เรียงตามลำดับวันที่ทำนะครับ
    เพราะผลของมันไม่เท่ากัน ไม่ได้จัดเรียงตามวันเวลานะครับ
    เพราะฉะนั้นบางคนจึงสงสัยว่า ทำไม (ชาตินี้) ทำดีเหลือเกิน ทำบุญทำกุศลมากมายมหาศาล แต่ทำไม
    ไม่เคยได้รับผลกรรมดีเลย มีแต่ต้องทนรับกรรมที่ไม่ดีตั้งมากมาย
    ตรงนี้อธิบายได้อย่างที่บอกครับ คือเรียงตามลำดับการกระทำ
    คุณอาจจะทำไม่ดีมาก่อน (เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ล่ะครับ อาจจะนาน ๆ จนเป็นชาติที่แล้วก็ได้) เพราะฉะนั้นคุณก็
    ต้องรับกรรมที่ไม่ดีมาก่อน
    แต่พอหมดกรรมที่คุณทำไม่ดี คุณก็จะได้รับกรรมดี ผลดีทันที
    ตรงที่ได้รับผลกรรมดีนี่แหละครับ คือจังหวะที่คุณได้
    แต่ได้เพราะตัวคุณเอง เพราะผลกรรมดีที่คุณเคยทำ
    ไม่ใช่เพราะการกระทำของพวกพระ พวกเกจิอาจารย์ที่ช่วยคุณ
    คุณสังเกตเห็นมั้ย? พวกพระ พวกเกจิอาจารย์ที่ชอบทำพิธีสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมน่ะ บางทียังเอาตัวเอง
    แทบไม่รอด
    จะเป็นจะตาย มีทุกข์ส่วนตัวก็หลายครั้ง
    เก่งขนาดนั้น ทำไมไม่สะเดาะเคราะห์ให้ตัวเองล่ะครับ
    และพวกนี้เก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือครับ?
    ขนาดพระพุทธเจ้ายังสะเดาะกรรมไม่ได้เลย แล้วพวกนี้เก่งมาจากไหน
    ไม่งั้น เราก็ไปทำความชั่วร้าย ความเลวทราม ทำอะไรไม่ดี ๆ มาก ๆ เข้าไป พอถึงเวลาก็เอาเงินหมื่น 2
    หมื่นไปให้พวกนี้สะเดาะกรรม จะได้ไม่มีกรรม ไม่มีเคราะห์ ไม่ต้องรับกรรม
    เป็นอย่างนั้นหรือครับ???
    ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยนะครับ
    ย้ำอีกครั้งว่า การสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมนั้น ไม่มี ที่ทำกันนั้น เป็นจิตวิทยา เป็นการสร้างกำลังใจ
    เท่านั้น
    นึกไว้แค่นี้ก็พอนะครับ ว่าพระพุทธเจ้ายังคงต้องรับกรรม ยังสะเดาะกรรมไม่ได้ และพวกนี้เก่งกว่าพระพุทธเจ้า
    หรืออย่างไร?
    ถึงสามารถสะเดาะกรรมได้
    "กรรม" เมื่อทำ ก็ต้องชดใช้
    การชดใช้ (หรือการรับกรรมที่ทำไว้) คือการทำให้กรรมหมดไป ได้ถูกต้องที่สุด
    แต่เชื่อไหมครับ? มีการหนีกรรมได้
    หนีกรรมได้จริง ๆ ครับ
    ถ้าสนใจ ต้องรออ่านตอนหน้าครับ
    ผมก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ต้องมีขยักไว้สักหน่อย
    รักกันจริงก็ต้องติดตามกันนะครับ
    คราวหน้าผมจะมาบอกวิธีการ "หนีกรรม" ให้
    อย่าลืมรออ่านนะครับ
    อโณทัย เขตต์บรรพต


    บทความนี้คัดลอกจากหนังสือ "สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้" คลิกดูรายละเอียดหนังสือที่นี่
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...