ที่มาของ โพรมีทีอุส กับวัฒนธรรม พระเจ้าต่างดาว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย bridge, 30 มิถุนายน 2012.

แท็ก: แก้ไข
  1. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    แต่ถ้าอยากอ่าน เรื่องเลย ประมาณว่า English แข็งแกร่ง ก็
    Books of The Earth Chronicles Series
    นะคะ ส่วนข้าน้อย ขอถอยคะ

    [​IMG]

    แต่ถ้าใครขี้เกียจอ่านแปล ก็ มีเว็บไซต์หนึ่ง เค้าอ่านแล้วมาสรุปให้ฟังคร่าวๆ (คือ มันคร่าวๆ จริงคะ แต่ไม่สะใจเท่าที่ควรคะ)
    The 12th Planet กับพระเจ้า จากดาวอันไกลโพ้น (p1)
     
  2. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    ดิฉัน ไปหละนะคะ แค่เห็นก็น้ำลายซอ ไปลองแปลสักเรื่อง สอง เรื่อง
     
  3. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    โอ้ว...ไม่ใช่แล้วคะ ปรากฏว่า มิใช่นิยาย อย่างที่ดิฉันคาดไว้ (คือเห็นมันหลายเล่มคะ และแถมยังเรียกว่า ซีรี่ อีก) คะ
    เป็นเรื่อง ตา Zecharia Sitchin ค้นคว้า และ โยงความสัมพันธ์ จริงคะ
     
  4. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    เรื่อง Riddig ติดตามทุกภาค คะ จบ แล้ว แต่ไม่เสียดายคะ เพราะที่ติดไม่ใช่เนื้อเรื่องคะ แต่เป็นพระเอก ^.^!
     
  5. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    จะลองแปลเรื่อง The Nefilim ครึ่งมนุษย์-ครึ่งพระเจ้า ในเล่ม DIVINE ENCOUNTERS
     
  6. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    ฮือๆๆ คิดอีกที รอผู้เชี่ยวชาญดีกว่า
     
  7. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    เบื่องหลังของเหตุน้ำท่วมที่ไม่ได้กล่าวในใบเบิล ซึ่งเป็นองค์ใหม่เท่าที่เคยมีมา
    เรื่องน้ำท่วมในใบเบิลเริ่มกล่าวใน บทที่ 6 ของเจเนซิส กล่าวว่า ยะหวา นั้นคือผู้เห็นความชั่วร้ายได้ชัดเจนเมื่อเกิดวิกฤตร้ายแรง ซึ่งเป็นความชั่วร้ายของ ปีศาจทั้งหก ยะหวาจึงสร้างมนุษย์ขึ้นมาบนโลกจุดเน้นนั้นไม่ใช่เรื่องใดอื่น มนุษย์เป็นเพียงจิ๊กซอว์เล็กๆ ที่เป็นองค์ประกอบของการขยายเผ่าพันธ์ ! (ของใครแน่หละ ระหว่าง god กับ Adam) ตรงนี้เค้าใช้ว่า "the sons of God" and "the daughters of the Adam." (มิน่าหละในหัวเรามีแต่เรื่องอย่างว่า ไม่ว่ากันนะ ที่สาวๆ โดยมากชอบสวยก็เพื่อดึงดูดหนุมๆคะ)
    และถ้าสิ่งอัศจรรย์หนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นหลังเหตุน้ำท่วมว่าเป็นบทลงโทษของมนุษย์ คำตอบที่ได้รับ คือ เพศ แต่ไม่ใช่เพศของมนุษย์ แต่เป็นเพศของ Divine การเผชิญหน้ากับ Divine เพื่อวัตถุประสงค์ในการมีเพศสัมพันธ์
    "โองการเรื่องน้ำท่วมในพระคัมภีร์สะท้อนบาปโบราณและนรกกับภัยพิบัติเป็นความสุขนักเทศน์ที่ได้รับ: นั่นเป็นช่วงเวลาที่กำหนดเมื่ออดีต" ในยุคที่มียักษ์ใหญ่บนแผ่นดินโลกและจนกระทั่ง หลังจากที่มีบุตรของพระเจ้ามาเกิดในลูกสาวของชาย และพวกเขาเปิดเผยเด็กให้แก่มนุษย์ .... "
    And it came to pass,
    When the Earthlings began to increase in
    number upon the face of the Earth,
    and daughters were born unto them,
    that the sons of the Elohim
    saw the daughters of the Earthlings,
    that they were compatible.
    And they took unto themselves
    wives of whichever they chose.

    The Nefilim were upon the Earth
    in those days, and thereafter too,
    when the sons of the Elohim
    cohabited with the daughters of the Adam
    and they bore children to them.
    "Nefilim ในไบเบิล, บุตรของพระเจ้าที่อยู่บนแผ่นดินโลก, เยซู Anunnaki (" ผู้ที่จากสวรรค์สู่โลกมา "); พระคัมภีร์ (13:33 Numbers) อธิบายว่าด้วยการชี้ให้เห็นว่า Nefilim เป็น "บุตรของ Anak" (ฮีบรู ใช้แสดงด้วยคำว่า Anunnaki) ในเวลาน้ำท่วมก่อนหน้านี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ชายหนุ่ม Anunnaki เริ่มมีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวมนุษย์และเป็นผู้ให้กำเนิดเด็กพวกเขา - ลูกหลานส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์และ. ส่วนหนึ่ง "พระเจ้า": ชีวะ

    ..... ยาวมากเลยนะคะ ... นี่แค่ เริ่มๆ ก็หนักใจแล้ว
     
  8. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    เอ่อ อ่านเองแปลเองได้มัยคะ เพราะดูๆ แล้วเคาจะไม่ใช่คนอังกฤษ หรือ สหรัฐ สำเนียงที่ใช้ เหมือนแปลอีกภาษาหนึ่งมาเป็น Eng แล้วพอเรามาแปลเป็นไทยอีกทีจะงงมากคะ ถ้าดิฉันแปลผิดหละก็ บาป แน่ๆ งานนี้

    แปลไปแปลมา มิน่าหละ สาวๆ ถึง ฝันหาแต่เทพบุตร ^o^
    ตายละคิดทะลึ่ง อีกแล้วคะ ขอเวลา ทำโทษตัวเองด้วยการ ฟัดกับหมอนข้าง หนึ่งที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2012
  9. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    แต่มีคนแปลเรื่อง The 12th Planet - 1976 ให้แล้วนะคะ
    ที่มาจาก Inicio คะ โพสท์โดย Admin เองเค้าก็อ้างอิงไปอีกทีคะ

    เนื้อหา ดังนี้

    ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk
    [​IMG]
    โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาวเคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?
    ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบสุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวงจันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า
    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรงดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรงดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน
    เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?
    [​IMG]
    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก
    เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริโซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)
    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย
    [​IMG]
     
  10. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมากก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา
    น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดินเหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไปตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่างหาก
    หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบสุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น
    ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆกัน
    Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"
    แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย
     
  11. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    [​IMG]

    จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง
    จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถของชาวสุเมเรียนโบราณ

    ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?

    ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่
    คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ

    อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาวเคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวกเราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย

    การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊กซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา

    [​IMG]
     
  12. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!!

    ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน

    แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก

    [​IMG]

    ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย
    ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองนี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)
     
  13. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    Planet X และพระผู้สร้าง

    เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับ
    [​IMG]

    Anunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์

    ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย
    ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนาอยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเราถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบพิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง


    [​IMG]
    วงโคจรของ Planet X ที่แหกคอกจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ


    The Planet X

    ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามมากจากภาคแรก คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับว่า เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมาว่า เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru
    Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ โปรดอ่าน The search of Planet X ภาคแรกประกอบ ถ้าท่านยังไม่ได้อ่าน หรือลืมไปแล้ว) ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?
    หลักฐาน Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนาครับ ก็เพราะว่าความเชื่อศัทรธานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

    เรื่องของ Sitchin จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดๆใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากๆกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเอามาเล่าตรงนี้ทั้งหมด ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมานะครับ
    Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ( ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk ) จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน จะเรียกยังไงก็ตามแต่เถอะนะครับ Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมาในอวกาศได้ พวกเขา(เพื่อความคล่องปาก ขอเรียกว่า Anunnaki ตามต้นตำรับก็แล้วกันนะครับ)เคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    เรามาอ่านแบบงงๆ เพราะไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้เลย:cool:
     
  15. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    อ้อ อันนี้ก็เคยเป็น แต่แรงผลักดัน มันเกิดจากความสงสัยในขอบเขตความสามารถของคนในยุคอดีตมีแสดงผ่านสถาปัตยกรรมหลายแห่งคะ

    อีกอย่างเรื่องนี้ดิฉันสนใจค้นคว้ามาแต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งคะ เลยถ่ายทอดได้ไม่เต็มที่ คะ
     
  16. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    ใช่คะ ถ้าพี่เค้าไปใกล้ การดับทุขก์แล้ว ก็ยินดีด้วยคะ จากใจจริง
    ทางนี้ดิฉันเป็นนิสัยโดยอาชีพ ชอบค้นคว้าตั้งคำถามคะ อาจมก้งี้แหละคะ จมปลั๊กอยู่กับกองตำหรั่บตำหรา ^ ^! (มิน่าถึงใช้คำว่าปลั๊กที่แปลว่าบ่อโคลนนะ มันต้องแช่ ต้องคลุกเคล้า ต้องเกลือกกลิ้งอย่างนี้นี่เอง ถึงได้สิ่งที่ต้องการมาหน่ำใจ )
     
  17. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    ใคร ใคร่ อ่าน อ่านเถอะนะคะ
    ถือสะว่าเป้นกำลังใจ คนค้นคว้ามา และเรียบเรียงพิมพ์ออกมาสู่สายตาท่านผู้อ่านคะ

    (แล้วเรื่องนี้เธอพิมพ์เองทั้งหมดมิทราบ ....ประชดตัวเองคะ)
    (อย่างน้อยๆ ก็อ้างอิงเครดิตเค้าบ้างอะไรบ้าง...ตอบเอง)
     

แชร์หน้านี้

Loading...