ตามรอย "พระมหาชนก"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 15 กรกฎาคม 2010.

  1. อธิฎฐาน

    อธิฎฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,610
  2. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ในปี พ..๒๔๘๓ ขณะที่หลวงพ่อปักกลดพักปฏิบัติธรรมอยู่ในสวนมะพร้าวบางมด ท่านก็เอาสายสิญจน์มาล้อมรอบต้นมะพร้าวใกล้ๆกับที่พักของท่าน หลังจากนั้นใครมาหาท่านก็บอกว่าประเดี๋ยวอีกไม่นาน ก็จะมีจระเข้ขึ้นมากินเป็ดไก่จนหมด ขอให้เตรียมเรือกันไว้ให้ดีนะ ชาวบ้านที่ได้ยินท่านพูดอย่างนั้นก็ไขปริศนาธรรมกันไม่ออก จะมีจระเข้จากไหนกันล่ะขึ้นมากินเป็ดไก่ในสวนนี้ได้ ตอนนั้นบางมดส่วนใหญ่ก็จะเป็นสวนผลไม้ ซึ่งมีทั้งสวนส้ม สวนมะพร้าว และผลไม้อื่นๆอีกมากมาย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลังจากนั้นอีกไม่นาน หลวงพ่อโอภาสีก็ถอนกลดธุดงค์ออกจากสวนบางมด ท่านธุดงค์ไปยังสถานที่ใกล้ๆ สักระยะหนึ่งในช่วงเข้าพรรษา ก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ยอดพระปรางค์ในวัดพิชัยญาติ แถววงเวียนเล็ก ฝั่งธนบุรี ชาวบ้านแถวนั้นไม่มีใครไปสุงสิงกับท่าน และตัวท่านเองก็ไม่ไปสุงสิงกับใคร บิณฑบาตแล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดพระปรางค์นั้นตลอด จะลงมาเข้าห้องน้ำบ้างเป็นเวลา แต่แล้วไม่นานปริศนาธรรมที่ท่านทิ้งไว้ก็ปรากฏคำตอบขึ้นมา เกิดน้ำท่วมใหญ่ในย่านกรุงเทพฯ และจังหวัดรอบข้างกรุงเทพฯ หมดเลย ซึ่งเป็นน้ำท่วมใหญ่ที่สุด คนในกรุงเทพฯ เดือดร้อนกันมาก ชาวสวนบางมดหมดตัวกันไปเป็นแถว สวนผลไม้ต่างๆ ได้รับความเสียหายกันมาก หลายครอบครัวไม่ได้เตรียมเรือกันเอาไว้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฝ่ายทางวัดพิชัยญาติก็เริ่มเข้าใจกันว่า ทำไมหลวงพ่อโอภาสีถึงได้ไปอยู่แต่บนยอดพระปรางค์ตลอดวันตลอดคืน ในขณะที่น้ำท่วมนั้น พระในวัดและชาวบ้านต่างได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า แต่ตัวหลวงพ่อโอภาสี ท่านไม่ได้รับความเดือดร้อนอะไร เพราะท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว พระในวัดพิชัยญาติและชาวบ้านแถวนั้นต่างก็เห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อโอภาสีมีญาณวิเศษ สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ หลังจากนั้นทุกคนก็นำดอกไม้ ธูปเทียน ข้าวอาหารผลไม้ ขึ้นมาถวายท่าน ชาวบ้านบางกลุ่มบางคนต่างต่อว่าหลวงพ่อว่า รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแล้วทำไมไม่บอก ท่านพูดว่า สิ่งที่เห็นนั้นบอกไม่ได้ มันเป็นโชคชะตาของบ้านเมืองที่ถูกกำหนดไว้แล้ว อาตมาก็แสดงปริศนาธรรมให้ได้รู้ ได้ดู ได้เห็นกันแล้วนะโยม หลังจากนั้นไม่นานท่านก็เก็บกลด ออกเดินธุดงค์กลับสวนบางมด แต่ท่านได้พูดขึ้นมาว่า ต่อไปข้างหน้าสะพานพุทธจะแยกออกเป็น ๒สะพานในไม่ช้านี้ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กลับมาสวนบางมดอีกครั้ง ก็มีชาวบ้านสองผัวเมียในสวนบางมดได้ถวายที่ดินให้ท่าน คือนายเหลือ และนางพัน บุญบันเทิง ได้พูดขึ้นมาว่า กระผมมีสวนมะพร้าวอยู่แปลงหนึ่ง จะถวายให้หลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อพอจะทำอะไร จะให้ปลูกอะไร สร้างอะไรก็สั่งตัดต้นมะพร้าวในสวนนั้นได้เลยครับ หลวงพ่อโอภาสีก็พูดขึ้นมาว่า ถ้าโยมต้องการให้อาตมาอยู่ที่นี่ อาตมาก็จะอยู่ ที่หลวงพ่อพูดออกมาเช่นนั้น เพราะท่านหยั่งรู้ถึงจิตใจของสองผัวเมีย และชาวบ้านนั้นดี ว่าต้องการจะให้ท่านอยู่ที่นี่ตลอดไป และพอตกลงกันได้แล้ว สองผัวเมียและชาวบ้านก็รีบนิมนต์ท่านไปทำพิธีถวายที่ดินกันในวันนั้นเลย ที่ดินแปลงนี้ซึ่งปัจจุบันก็คือ วัดหลวงพ่อโอภาสี นั่นเอง การกลับมาของท่านในครั้งนี้ ชาวบ้านต่างเลื่อมใส่ศรัทธาหลวงพ่อโอภาสีมากกว่าเดิมกันอีก <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลังจากนั้นปากต่อปากเล่าต่อกันไป ชาวสวนบางมดและประชาชนทั่วไปต่างก็นำของต่างๆ มาถวายให้ท่านกันอีกมากมาย ท่านรับแล้วก็ให้พร และท่านก็แจกคนทั่วไปบ้างแจกเด็กบ้าง บางส่วนที่เหลือก็โยนเข้ากองไฟหมด และโดยเฉพาะเด็กๆ ท่านมักจะแจกธนบัตรใบละ ๑บาท เป็นประจำเสมอ ในย่ามของท่านแฟบแบนตลอด แต่แปลก ท่านล้วงเงินออกมาแจกเด็กไม่มีวันหมด ไม่รู้ว่าท่านเอาเงินมาจากไหน เพราะเท่าที่ทุกคนรู้ทุกคนเห็น มีอะไรหลวงพ่อโอภาสี ท่านไม่เคยเก็บเลย ท่านเผาไฟหมด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ปกติแล้ว หลวงพ่อโอภาสีจะไม่รับกิจนิมนต์ไปไหนเลย เพราะท่านต้องคอยรับแขกที่มาเฝ้าหาท่าน สนทนาธรรมกับท่านตลอดวันอย่างมากมายอยู่แล้ว เป็นแบบนี้ทุกวันเลย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งท่านได้รับกิจนิมนต์เอาไว้ครั้งเดียววันเดียว ๗ งาน บรรดาลูกศิษย์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจู่ๆ ท่านรับกิจนิมนต์แบบนี้ และจะไปได้อย่างไรกันล่ะ แต่ละที่ก็อยู่ห่างไกลกันมาก ลูกศิษย์ก็เริ่มกังวลใจ กลัวญาติโยมจะต่อว่าหลวงพ่อได้ ว่ารับงานแล้วไม่ไปงานของพวกเขา หลวงพ่อโอภาสีท่านพูดออกมาว่า พวกแกไม่ต้องมานั่งกังวลใจกันหรอก ฉันไปครบทุกงานที่รับนิมนต์ไว้แน่ เรื่องนี้ฉันจัดการเองไม่มีใครมาต่อว่าฉัน และไม่มีใครผิดหวังกันหรอก ถึงวันกำหนดที่ต้องไปทำงานแล้ว บรรดาลูกศิษย์ก็แปลกใจว่าทำไมนะ หลวงพ่อไม่ออกเดินทางสักที วันนี้ทั้งวันท่านไม่ได้ออกไปไหนเลย ท่านยังคงต้อนรับผู้คนที่มาถวายของให้ท่านและมาสนทนาธรรมกับท่านอยู่ตลอดเวลา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    (หลวงพ่อท่านบอกกับเจ้าภาพทุกงานไปว่า ไม่ต้องมารับอาตมานะ อาตมาจะไปหาเอง) แล้วเจ้าภาพก็พูดออกมาว่า แล้วหลวงพ่อจะไปบ้านงานถูกหรือ หลวงพ่อก็บอกว่า โยมก็เขียนแผนที่ทางไปบ้านโยมให้อาตมาไว้ซิ อาตมาก็ไปถึงบ้านงานเองละ โยมไม่ต้องเป็นห่วง ไปห่วงเรื่องการเตรียมงานดีกว่านะ วันนั้นทั้งวันท่านไม่ได้ไปไหนเลย(มีต่อ)<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lpopasee.jpg
      lpopasee.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48 KB
      เปิดดู:
      179
  3. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    จนเหตุการณ์รับนิมนต์วันเดียว ๗ งานผ่านไปหลายวัน แขกที่เคยนิมนต์หลวงพ่อไปงาน ต่างก็ทยอยกันมาเป็นระยะๆ นำของมาถวายหลวงพ่อกันบ้าง และก็มาขอบพระคุณหลวงพ่อกันบ้าง ที่ไปงานบุญของพวกเขา ต่างคนต่างกลุ่มสนทนาธรรมกับหลวงพ่อสักพักก็ลากลับ ลูกศิษย์ต่างแปลกใจ จึงไปดักถามเจ้าภาพแต่ละคนว่า หลวงพ่อได้ไปงานบ้านคุณหรือเปล่า ทุกคนต่างตอบว่า หลวงพ่อไปงานแล้ว ลูกศิษย์ก็พูดออกมาว่า วันนั้นทั้งวันหลวงพ่อไม่ได้ลุกไปไหนเลย ท่านอยู่ต้อนรับแขกที่สำนักพุทธญาณทั้งวันเลย ทุกคนต่างพูดกันว่าเป็นไปไม่ได้ หลวงพ่อได้ไปงานบ้านเขาจริงๆ และอยู่จนทำพิธีเสร็จทุกอย่าง แต่ท่านบอกตอนจะกลับว่าไม่ต้องไปส่ง ท่านต้องไปงานนิมนต์อื่นๆอีก ท่านกลับเองได้ ไม่เป็นไรนะ ลูกศิษย์ต่างพูดคุยกันในกลุ่มว่า หลวงพ่อท่านแยกร่าง ถอดร่างไปได้ครบทุกงานเลย (มีต่อ)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. maxttdcv

    maxttdcv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +760
    พี่ๆครับ ท่านใดพอที่จะรู้ความหมายโดยละเอียดของภาพนี้บ้างครับ เพราะมีคนบางกลุ่มได้เอาภาพนี้ไปประณามหรือดูหมิ่นเบื้องสูงอยู่ และผมต้องการเอาความหมายนี้ไปบอกให้พวกเขาเข้าใจและเลิกดูหมิ่นเบื้องสูงเสียที ผมสงสารเค้าครับที่เค้าไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ZincOxide

    ZincOxide เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +1,703
    ภาพในวงกลมน่าจะเป็นมนุษย์ แต่ไม่รู้ว่าหลุดเข้าไปในเรื่อง รามเกียรติ์ ได้อย่างไร อันนี้ต้องถามศิลปินเอง แต่เห็นด้านหลังแบบนี้แถมมีหอกอยู่ข้างตัวและกำลังมีบทพิศวาสกับอิสตรี ผมเดาเล่นๆว่าน่าจะเป็น ... ไกรทอง สตรีที่เห็นน่าจะเป็น วิมาลา ภรรยาหลวงชาละวัน ต่างทุศีลข้อสามด้วยกันทั้งคู่ เล่นโอบคอกันขนาดนั้น :) อันนี้เดาเล่นๆนะครับ เป็นการข้ามเรื่องทางวรรณกรรม คงเหมือนหยิบเอาเอเลี่ยนปะทะพรีเดเตอร์ หรือเอาญาญ่ามาเล่นละครช่องเจ็ด :)

    เอาเป็นการเป็นงาน บ้างละ

    เท่าที่เคยได้อ่านมาบ้าง จิตรกรรมฝาผนังเรื่อง รามเกียรติ์ ที่วัดพระแก้ว นั้น ส่วนกลางของภาพจะเป็นเนื้อหาหลักตามท้องเรื่อง ส่วนบริเวณด้านล่างของภาพนั้น บางภาพจะปรากฏภาพเชิงล้อเลียนเสียดสีสังคม และแสดงอารมณ์ขันของศิลปินผู้วาด เช่น รูปชายหนุ่มแอบดูคนพลอดรักกัน-ลิงสูบบุหรี่-สูบบ้องกัญชา บ้างก็ลิงนุ่งกางเกงลิงเดินไปมา ... จุดประสงค์ เพื่อสร้างสีสันให้ภาพนั้น-ไม่ทำให้ภาพดูน่าเบื่อเกินไป ซึ่งส่วนตัวคิดว่า พระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน จนทำให้หลายคนตีความจนปวดหัวกันหลายคนทีเดียว

    ทีนี้ลองพิจารณาตัวละครของเรื่องรามเกียรติ์ดูบ้าง ว่ามีตัวละครใดที่เข้าข่ายน่าสงสัย ... ขอสวมวิญญาณ ศ. แลงดอน ก่อน :) (หุๆๆ อันนี้ ผมก็พูดเวอร์ไป )

    มีตัวละครตัวหนึ่งครับในเรื่อง ที่ใช้อาวุธเป็น หอก เรียกว่า หอกโมกขศักดิ์ ตัวละครนี้เป็นคู่ปรับกับ พระลักษณ์ เพราะพระลักษณ์ได้รู้จักพิษสงของหอกโมกขศักดิ์ดีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่หนุมานช่วยไว้ ตัวละครตัวนั้นคือ กุมภกรรณ แถมตามลักษณะของหัวโขนรูปยักษ์ ที่ใช้เล่นโขน กุมภกรรณก็ไม่ทรงมงกุฏ มองด้านหลังเช่นนี้ก็อาจเป็นไปได้แต่ถ้าพิจารณาตามลักษณะอุปนิสัยเนื้อเรื่องของกุมภกรรณก็แล้วก็เรียกว่าตัดออกไปได้เลย กุมภกรรณออกรบกับพระลักษณ์ตามหน้าที่ มิใช่อุปนิสัยคิดคดดังทศกัณฐ์

    ส่วนประเด็น โยงไปเพื่อหมิ่นสถาบันเบื้องสูง คิดว่า เขาอาจไม่ได้หาข้อมูลก่อน คงสักแต่ว่าเอาสมมติฐานของตนบวกอคติต่อสถาบัน มาเป็นประเด็นโจมตี ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2012
  6. maxttdcv

    maxttdcv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +760
    สรุปแล้วภาพนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย แค่ถูกจับมาใส่เป็นการข้ามเรื่องทางวรรณกรรม เฉยๆ เท่านั้นเอง - -:'(

    ขอบคุณมากครับ
     
  7. อธิฎฐาน

    อธิฎฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,610
    ดา ตอปิโด หมิ่นในหลวง บนเวทีคนเสื้อแดง

    ตอนนี้ขากรรไกรอักเสบอย่างรุนแรงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุก
    บาปกรรมที่ทำไว้กับคนดี
     
  8. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,023
    ค่าพลัง:
    +10,241
    เฝ้ารอในหลวงเสด็จ ชาว“ราชบุรี”ปลื้มปิติ ลั่น“มงคลแห่งชีวิต” เร่งปรับภูมิทัศน์พื้นที่

    เมื่อเวลา 10.00น.วันที่ 11กรกฎาคม ที่ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พล.ท.พัชรพงศ์ อินทรสุวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานราชองครักษ์ประจำ พร้อมด้วย นายชนม์ชื่น บุญญานุสาสน์ ผวจ.ราชบุรีและหัวหน้าส่วนราชการ ทหารและตำรวจ นั่งรถตรวจพื้นที่เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายในศูนย์ฯและสนามเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง ซึ่งกรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี กำลังเร่งปรับปรุงพื้นที่และพลับพลาที่ประทับซึ่งเป็นพลับพลาทรงแปดเหลี่ยม มีการวางรากฐานที่มั่นคงและแข็งแรง อยู่บริเวณข้างอ่างกักเก็บน้ำภายในศูนย์ฯ
    ขณะเดียวกัน พล.อ.ต.ศิวเกียรติ ชเยมะ ผู้บัญชาการโรงเรียนการบิน เดินทางมาตรวจสนามเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง พร้อมทั้งตรวจบริเวณพื้นที่รอบๆ และสภาพอากาศเพื่อเตรียมพร้อมรับเฮลิคอปเอตร์พระที่นั่งจะเสด็จพระราชดำเนินอย่างระเอียด ด้านกรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี ระดมกำลังทหารช่าง พร้อมเครื่องจักรซ่อมบำรุง เร่งปรับพื้นที่บริเวณข้างศูนย์ฯกว่า 100ไร่ ที่ใช้เป็นที่ลงจอดเฮลีคอปเตอร์ที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ซึ่งการดำเนินงานมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่า 70%
    สำหรับบรรยากาศบริเวณเส้นทางถนนสายเขางู-โพธารามและเส้นทางตำบลเขาชะงุ้มไปยังสหกรณ์โคนมหนองโพฯ ราชบุรีในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมไปถึงตามอาคารบ้านเรือนประชาชนและเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่อำเภอโพธาราม เร่งติดธงชาติและธงตราสัญญาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ตลอดเส้นทางเสด็จ นอกจากนี้ ยังมีการประดับภาพบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ที่บริเวณหน้าบ้าน เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีอีกด้วย
    ทั้งนี้ หมายกำหนดการเสด็จของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มฯและทอดพระเนตรกิจการสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) อ.โพธาราม ในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ โดยเวลา 15.00น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลีคอปเตอร์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี จาก รพ.ศิริราช มาถึงศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มฯ โดยมีผู้อำนวยการศูนย์ฯถวายรายงาน จากนั้นทรงประทับรถพระที่นั่งไปยังพลับพลาที่ประทับ โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เฝ้ารับเสด็จ
    จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการความก้าวหน้าของโครงการฯทรงปลูกต้นประดู่ 1ต้น ก่อนเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพื้นที่โครงการพื้นที่การฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมเฉพาะหลุมเพื่อปลูกไม้ผลยืนต้น พื้นที่ป่าปลูกโดยไม่ต้องปลูก (ป่าธรรมชาติ) พื้นที่ฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมโดยการปลูกป่า ก่อนเสด็จไปยังสหกรณ์โคนมหนองโพฯ ทอดพระเนตรความคืบหน้าการดำเนินการกิจการสหกรณ์โคนมหนองโพฯและทอดพระเนตรการสาธิตการรีดนมวัว ก่อนเสด็จกลับ รพ.ศิริราช ในเวลา 19.00น.
    ด้าน นางกุลริสา ปรีชา สมาชิกสหกรณ์โคนมหนองโพ กล่าวว่า พอรู้ข่าวในหลวงจะเสด็จฯ ก็รู้สึกปลาบปลื้มและตื่นเต้นมาก เพราะเมื่อปี2538 พระองค์ท่านมาเปิดโรงงานผลิตอาหารสัตว์ที่สหกรณ์โคนมหนองโพฯตนได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด พระองค์ท่านได้ตรัสขณะเดินเข้ามาตรวจเยี่ยมภายในโรงงานอาหารสัตว์ ว่า “ทำงานกันดีๆนะ”ทำให้ตื่นเต้นมาก รู้สึกเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อตนเองและองค์กรมาก เมื่อทราบว่าพระองค์ท่านทรงหายประชวรและจะเสด็จฯมาที่สหกรณ์โคนมหนองโพอีกครั้ง ก็ยิ่งตื่นเต้นและรู้สึกปลื้มปีติอย่างมาก ได้เตรียมเสื้อสีชมพูซึ่งเป็นเสื้อของสหกรณ์ฯและเป็นสีของพระองค์ท่านไว้สวมใส่และเฝ้ารอรับเสด็จฯ
    ขณะที่ น.ส.นภาพร เผือกสี นักวิชาการอาหารสัตว์ของสหกรณ์โคนมหนองโพฯ กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า พอรู้ว่าในหลวงจะเสด็จฯมาที่สหกรณ์ฯรู้สึกดีใจมาก เพราะเคยได้รับทุนวิจัยของมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปภัมถ์ สมเด็จพระเทพฯจนได้มาทำงานที่สหกรณ์โคนมหนองโพฯและจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ถือเป็นมงคลที่สุดของชีวิต ตนตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับทุน
    สำหรับศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงพระเจริญพระชนมพรรษาครบ 60พรรษาและพระราชพิธีรัชมงคลาภิเษก เดิมพื้นที่โครงการเป็นฟาร์มปศุสัตว์และปลูกพืชไร่ ที่ดินถูกชะล้างพังทลาย ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถปลูกพืชได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมศูนย์ฯครั้งแรกเมื่อวันที่ 26พฤศจิกายน2529และมีพระราชดำริให้ศึกษาวิธีการปรับปรุงดินที่เสื่อมโทรมให้สามารถใช้ประโยชน์ในการเพราะปลูกได้และยังมีพระราชดำริให้ใช้หญ้าแฝกมาช่วยในการป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน การใช้หญ้าแฝกอนุรักษ์ดินและน้ำ
    ในประเทศ - เฝ้ารอในหลวงเสด็จ ชาว“ราชบุรี”ปลื้มปิติ ลั่น“มงคลแห่งชีวิต” เร่งปรับภูมิทัศน์พื้นที่
     
  9. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    หลวงพ่อหยั่งรู้ถึงจิตใจคนได้ทุกเรื่อง มีสตรีสูงอายุคนหนึ่งมีความต้องการอยากจะได้เส้นผมของหลวงพ่อเอาไว้บูชาที่บ้าน จึงพูดคุยกับคนที่บ้านไปว่า ตนอยากจะได้เส้นผมของหลวงพ่อ แต่ไม่รู้ว่าจะได้มาอย่างไรและวิธีไหนดี และเมื่อสตรีคนนั้นมหาหลวงพ่อที่สำนักพุทธญาณโอภาสี พอกราบหลวงพ่อเสร็จเท่านั้นแหละ ยังไม่ได้พูดอะไรเลย หลวงพ่อโอภาสีก็เอามือลูกศีรษะของท่าน แล้วก็พูดออกมาว่า โยม ผมของอาตมาสั้นอย่างนี้แล้วจะตัดให้โยมได้อย่างไร สตรีแก่คนนั้นที่มากับลูกหลานที่มาด้วยกันต่างตกใจแปลกใจว่า หลวงพ่อรู้จิตใจของเขาได้อย่างไรกัน(มีต่อ)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงพ่อมีตาทิพย์ ท่านมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้าได้ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเสียอีก เช่น เรื่องประเทศไทยจะต้องเข้าสู่สงครามอินโดจีน เรื่องน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ และปริมณฑล สะพานพุทธแยกเป็นสองสะพาน วันนี้พรุ่งนี้ใครจะมาพบท่านบ้าง แต่งตัวอย่างไร หญิงหรือชาย เป็นต้น<o:p></o:p>
    ใครถวายของให้หลวงพ่อแล้วเกิดเสียดาย ของที่นำมาถวายทั้งหมดนั้นจะกลับไปอยู่ที่เดิม มีผู้หญิงกลางคนๆหนึ่งเดินทางมาไกลมาก ได้ยินชื่อของหลวงพ่อจากญาติและเพื่อนมาว่า ทำวัตรปฏิบัติและคำสอนของท่านมีคุณวิเศษมากๆ ก็เลยหาโอกาสมากราบหลวงพ่อสักครั้งหนึ่งในชีวิต พอเดินทางมาถึงก็ก้มกราบหลวงพ่อโอภาสี ได้พูดสนทนาธรรมกับหลวงพ่อสักพักใหญ่ก็เกิดความศรัทธามากๆ จึงถอดของมีค่าทุกอย่างในตัวถวายให้หลวงพ่อโอภาสีทั้งหมดเลย เช่น สร้อยทอง เข็มขัดทอง เงินสด หลวงพ่อรับของถวายแล้วก็โยนเข้ากองไฟหมด หญิงคนนั้นเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เสียดายของขึ้นมาในจิตใจ แต่เธอก็ไมได้พูดอะไรออกมา แต่หลวงพ่อท่านรู้ดี หลวงพ่อท่านจึงพูดออกไปว่า โยมไม่ต้องเสียดายไปหรอก มันก้อยู่ที่เดิมละ หญิงคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แล้วก็ได้ก้มกราบหลวงพ่อออกไปทันที ด้วยจิตใจที่เสียดาบของไปตลอดทาง เมื่อเธอไปถึงบ้าน ปรากฏว่าของมีค่าที่ตนถอดถวายหลวงพ่อไปนั้น ทั้งหมดกลับมาอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งที่เก่าได้อย่างไร ซึ่งสร้างความมหัศจรรย์ให้กับตัวเธอมาก เธอพูดออกมาว่า นี้คือปฏิหาริย์ของหลวงพ่อโอภาสีผู้หยั่งรู้จิตใจมนุษย์(มีต่อ)<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24082-4.jpg
      24082-4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.7 KB
      เปิดดู:
      143
  10. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    หลวงพ่อโอภาสีแจกเงินก้นถุง การแจกเงินก้นถุงใบละบาทใบละร้อยของท่าน ควักแจกเท่าไหร่ก็ไม่มีหมด ทั้งๆที่ในย่ามของท่านก็แบนแฟบ ไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในย่ามท่านเลยด้วยซ้ำไป ท่านได้แจกธนะบัตรใบละร้อยสองใบให้กับคุณลุงประเสริฐวิจารย์ ซึ่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งในสมัยนั้น คุณหลวงได้รับธนบัตรไปแล้ว ก็นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเดินทางไปรับราชการที่ต่างประเทศ เพื่อนคนนี้เคยพูดกับคุณหลวงไว้ว่า ตนต้องการจะได้ธนบัตรก้นถุงของหลวงพ่อโอภาสีสักใบ แต่ไม่มีโอกาสมาพบท่านเลย เพราะอยู่ต่างประเทศ เมื่อคุณหลวงนึกได้เช่นนั้น คิดว่าตนเองอยู่ที่ประเทศไทย และก็มาหาหลวงพ่อบ่อยมาก จึงตัดสินใจส่งจดหมายพร้อมธนบัตร ๑ใบไปให้เพื่อนที่กรุงวอชิงตันดีซี ประเทศอเมริกา แต่ก่อนจะส่งไป คุณหลวงได้จดหมายเลขของธนบัตรใบละร้อยที่ส่งไปให้เพื่อนนั้น จดทุกหมายเลขไว้เลย ต่อมาอีกไม่นาน คุณหลวงได้พบกับหลวงพ่ออีก นำของมากมายมาถวายท่าน ก้มกราบท่านยังไม่ได้พูดอะไรเลย หลวงพ่อก็หยิบธนบัตรใบละร้อย ยื่นให้กับคุณหลวงไป พร้อมกับพูดขึ้นว่า ไม่ต้องแปลกใจหรอก เขาไปเที่ยววอชิงตันมาแล้วนะ อ้าว รับของกลับคืนไปซิ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    พอได้ยินเช่นนั้น คุณหลวงก็แปลกใจมาก แต่ก็ยิ้มและรับธนบัตรเอาไว้ เพราะคิดไม่ถึงว่าหลวงพ่อจะรู้เหตุการณ์ต่างๆของตนได้ดีตลอดมา คุณหลวงก็ได้ถวายของหลวงพ่อและได้สนทนาธรรมหลายเรื่องตามปกติ เสร็จแล้วก็ลาหลวงพ่อกลับ และเมื่อคุณหลวงมาถึงบ้าน ก็ได้เอาธนบัตรใบละร้อยที่หลวงพ่อให้มาใหม่ มาดูกับกระดาษที่ตนจดหมายเลขธนบัตรที่ส่งไปให้เพื่อนที่ต่างประเทศก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าหมายเลขทั้งหมดตรงกัน เลขเหมือนใบเดียวกันเลย คุณหลวงมีโทรเลขไปหาเพื่อนอีกว่า ธนบัตรที่ตนให้ไว้ยังอยู่หรือเปล่า เพื่อนก็โทรเลขกลับมาว่าอยู่ในกระเป๋าตลอดเวลา นี้ก็คือปฎิหาริย์ของหลวงพ่อ(มีต่อ)<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24082-7.jpg
      24082-7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.2 KB
      เปิดดู:
      150
  11. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    หลวงพ่อเดินทางกลับไปบ้านเกิดอีกครั้ง ที่ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช หลวงพ่อโอภาสีท่านได้ทำธุระเสร็จแล้ว ก็แวะเยี่ยมญาติพี่น้องของท่านครบแล้ว ท่านก็จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ซึ่งการเดินทางในสมัยนั้น ยังต้องเดินทางไปโดยเรือยนต์กันอยู่ ชาวบ้านแถวนั้นได้ข่าวว่าท่านจะเดินทางกลับแล้ว ก็เลยมารอเฝ้าพบท่านเพื่อขอของดีจากท่านด้วย เมื่อหลวงพ่อเดินทางมาถึง ก็ปรากฏว่าคนมารอส่งท่านมากเหลือเกิน จนท่านลงเรือยนต์กลับกรุงเทพฯไม่ได้ ท่านก็พูดออกมาว่าคนมากแบบนี้ของในย่ามที่มีอยู่ไม่พอแจกหรอก ถ้าจะต้องแจกกันจริงๆ ก็ต้องหลายวันแน่เลย เพราะคนมามากเหลือเกิน จึงเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น เนื่องจากผู้ที่ยังไม่ได้รับแจกของดีก็ไม่ยอมหลีกทางให้ท่านขึ้นเรือยนต์ได้ บางคนก็ลงไปอยู่ในเรือยนต์กันเต็มไปหมด จนทำให้เรือจะล่ม หลวงพ่อก็ขึ้นไปยืนบนสะพาน แล้วก็บอกกับญาติโยมไปว่า ขอให้ขึ้นไปจากเรือให้หมดทุกคนก่อนนะ แล้วท่านจะแจกของดีให้ทั่วทุกคนเลย ทุกคนก็เชื่อท่านจึงทำตามท่าน พอหลวงพอโอภาสีลงเรือยนต์ได้แล้ว เรือก็ออกจากท่าได้ แล้วหลวงพ่อก็ยืนท่องคาถาสักพัก ท้องฟ้าที่ใสสว่างก็มืดมิดลง เกิดฝนตกตรงตำแหน่งที่ชาวบ้านยืนรอส่งท่านอยู่นั้นเปียกฝนกันทั่วทุกคน พอเรือพ้นห่างไกลจากชาวบ้านไป ท้องฟ้าก็กลับมาสว่างเหมือนเดิม ฝนก็หยุดตกทันที ชาวบ้านทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่ไงของดีของหลวงพ่อโอภาสี ท่านเสกฝนลงมาให้ครบทุกคนเลย ตามที่ท่านได้รับปากเอาไว้ นี่ละปฎิหาริย์ของหลวงพ่อโอภาสี ณ บ้านเกิด (มีต่อ)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24082-5.jpg
      24082-5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88 KB
      เปิดดู:
      646
  12. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ความศักดิ์สิทธ์ของเจดีย์จุฬามณี ที่ครอบศาลาเก็บศพของหลวงพ่อโอภาสีเอาไว้ กฎระเบียบมีอยู่ว่า ผู้ชายสามารถเข้าไปกราบศพของหลวงพ่อได้ แต่ผู้หญิงห้ามเข้าไปเด็ดขาด จะกราบได้ก็แต่ข้างนอกเจดีย์เท่านั้น เมื่อถึงคราววันสรงน้ำหลวงพ่อโอภาสีเป็นประจำทุกปี คุณยายแนบ ทับทิมทอง ได้มาร่วมงานบุญที่สำนักพุทธญาณโอภาสีนี้ ในขณะนั้นทุกคนยังวุ่นวายกับเรื่องการเตรียมการเลี้ยงเพลพระกันอยู่ในศาสนา คุณยายก็เดินมาที่เจดีย์ เดินไปรอบๆ พบว่ามีประตูหนึ่งเกิดแง้มอยู่หนึ่งบาน นั้นคือประตูรั้วนอกรอบเจดีย์ คุณยายก็อยากเข้าไปข้างในนั้น แบบพวกผู้ชายเขาบ้าง เพื่อจะได้ไปดูองค์เจดีย์ได้ใกล้ๆมากกว่านี้ แต่ใจหนึ่งก็เกรงกลัว เพราะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วว่า เป็นเขตหวงห้ามสำหรับสตรีทุกคน ในที่สุดท่านก็หันมองซ้าย-ขวา มองหน้า-หลังก็ในเมื่อไม่มีใครเห็นก็ไม่เป็นไรหรอก ก็เลยเปิดประตู แล้วรีบเดินเข้าไปจนใกล้องค์เจดีย์ แล้วก้มลงกราบสามครั้ง ไม่ได้เข้าไปข้างในเจดีย์เลยนะ ก็รีบเดินออกมาแล้วปิดประตูไว้เหมือนเดิม เมื่อเสร็จงานบุญวันนั้นแล้วก็กลับบ้านตามปกติ ไม่พูดไม่บอกใคร เข้านอนดีกว่า<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    พอตกกลางคืน คืนนั้นทั้งคืน คุณยายฝันแปลกประหลาดมากเลยว่า มีมังกรตนหนึ่งลักษณะแบบเดียวกับที่เฝ้าองค์เจดีย์กลางน้ำนั้นจะวิ่งไล่ยายตลอด ยายแกก็วิ่งหนีจนกระทั่งตกใจตื่นรู้สึกเหนื่อและหอบ เหงื่อออกมามาก กระหายน้ำมากวิ่งหนีมังกรมาจริงๆเลย คืนต่อมาก็ฝันแบบเก่าอีก เป็นแบบนี้ ๓ คืนเลย คุณยายเลยตัดสินใจเล่าให้ลูกหลานฟัง เพื่อจะได้พาท่านมาขอขมาต่อองค์เจดีย์และศพของหลวงพ่อโอภาสีด้วยตนเอง หลังจากคุณยายจุด ธูปเทียน ดอกไม้ มาขอขมาแล้วก็กลับบ้านไป ก็นอนหลับเป็นปกติเหมือนเดิม นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์จุฬามณีในทุกวันนี้ กฎระเบียบแบบนี้ก็คงไว้ตลอดมา มังกรตรงสระน้ำข้างเจดีย์มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะต้องดูแลเจดีย์และศพของหลวงพ่อไว้ให้ดี ใครจะไปทำอะไรผิดกฏระเบียบในบริเวณนั้น ถึงไม่มีคนเห็น แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเห็นนะจำไว้<o:p></o:p>
    ชาวจีน ชาวไทย แขก มอญ ฝรั่ง ในย่านบางมดทุกคน ต่างเคารพและนับถือหลวงพ่อโอภาสีท่านมากทุกคน ฝ่ายชาวจีน ศาลโกมินทร์ โกเมศ โกมล เมื่อทราบข่าวว่าหลวงพ่อโอภาสีผู้ปฏิบัติแปลกกว่าพระสงฆ์ทั่วไป จึงพากันมากราบ เพื่อให้เห็นกันกับตาตนเองกันเลยนะ ครั้นเมื่อมาพบเห็นแล้ว ก็เชื่อว่าการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อตรงตามลัทธิของตนเองที่ว่า การเผาสิ่งของต่างๆ เป็นการสื่อสารไปให้ผู้ที่ตายแล้วได้รับผลบุญนั้นๆ ตลอดเวลา หลวงพ่อโอภาสีท่านก็เผาทุกอย่างเหมือนกัน<o:p></o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีรักษาคนป่วยให้หายได้ บางคนเจ็บป่วยไข้ด้วยโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงต่างๆ หลาบโรคไปรักษาโรงพยาบาลแล้วไม่หาย หมดเงินหมดทองไปมากแล้วไม่หาย ญาติก็พามาหาหลวงพ่อที่สำนักพุทธญาณฯ ท่านมองดูหน้าแล้วก็รู้ว่าจะมาให้ช่วยอะไร ยาติและผู้ป่วยยังไม่ทันพูดอะไรเลย หลวงพ่อท่านให้เอาน้ำมนต์ไปกิน พรุ่งนี้ก็หาย และก็ค่อยๆหายป่วยกันจริงๆ บางคนท่านก็เสกกล้วยน้ำหว้าตากแห้งของท่านเอาไปกินแทนยา บางคนท่านก็เอาหญ้าข้างอาศรมของท่านเสกแล้วให้ไปต้มกินต่างน้ำกัน บางคนท่านก็ให้เขียนชื่อ วัน เดือน ปีเกิด เป็นโรคอะไร แล้วส่งให้ท่าน ท่านท่องคาถาแล้วก็โยนไปในกองไฟ บางคนท่านก็ให้กระดาษยันต์คาถาของท่านไปเผาไฟใส่น้ำกิน การรักษาผู้ป่วยของท่านมักไม่เหมือนกันเสมอไป แล้วแต่โรคที่เป็นมากเป็นน้อย แตกต่างกันออกไป แต่ก็หายกันทุกคน หายแล้วก็ดีใจกัน ก็นำของมาถวายหลวงพ่อกันมากอีก หลวงพ่อได้ถามว่า เสียดายไหม ไม่เสียดาย ท่านก็เผาไฟหมดเลย หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่า คนยังไม่ถึงคราวตาย มันก็ยังไม่ตายหรอกเมื่อหมดเวรกรรมแล้ว ทุกคนก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้นไปได้ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์บนโลก อย่าไปยึดติดกับมัน หมั่นทำความดี อย่าสร้างเวรกรรมแล้วชีวิตจะดีเอง ทุกคนหนีความตายกันไปไม่พ้นหรอก<o:p></o:p>
    มีผัวเมียคู่หนึ่ง ไปทำบุญกับหลวงพ่อโอภาสี เมียได้ถวายทองคำไป ๑ เส้น หนัก ๒ บาท หลวงพ่อถามเหมือนเดิมว่า โยมเสียดายไหม ภรรยาตอบ ไม่เสียดายค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี หลวงพ่อโอภาสีท่านจึงพูดออกมาว่า โยมผู้ชาย ถ้าเสียดายก็ให้ไปเอาคืนที่บ้านนะ ของเอามาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่นละ สองผัวเมียเมื่อเห็นหลวงพ่อโยนสายสร้อยเข้ากองไฟแล้วก็นั่งทำตาปริบๆ จากนั้นสักครู่ก็ลาท่านกลับ ทั้งคู่เดินกลับไปเถียงกันตลอดทางจนมาถึงบ้านก็พบสายสร้อยเส้นเดิมที่ถวายหลวงพ่อไป มาอยู่ในตู้เก็บของมีค่าของเขาเหมือนเดิม สองผัวเมียคู่นั้นจึงได้พูดเล่าสรรเสริญหลวงพ่อโอภาสีไปว่า ท่านรู้จิตใจของคนที่ไปเฝ้าท่าน และท่านมีเมตตาธรรมสูง ไม่อยากจะสร้างความทุกข์ให้กับคนมาทำบุญกับท่าน แล้วต้องไปทะเลาะและเลิกรากันไป โดยที่เมียอยากทำบุญ แต่ผัวไม่อยากทำบุญ และมีความเสียดายในทรัพย์สินสร้อยเส้นนั้น ปากิหาริย์ของหลวงพ่อโอภาสีจึงเกิดมาอีกครั้ง<o:p></o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีช่วยรักษาโรคร้ายต่างๆ ให้หายได้ ถ้าคนนั้นยังไม่ถึงคราวตายจริงๆ ท่านก็จะช่วยให้หนักกลายเป็นเบาร้ายกลายเป็นดี แบบน่าอัศจรรย์มากๆ ในครั้งหนึ่งมีหญิงชรา ผอมแห้งแรงน้อยมาก พร้อมกับหลานชาย ได้นำดอกไม้ธูปเทียนมาถวายท่าน ท่านก็โยนเข้ากองไฟหมด หญิงชราพูดกับหลวงพ่อไปว่า ดิฉันเจ็บป่วยมานานมากแล้ว รักษาที่ไหนก็ไม่หาย หมดเงินทองไปมากแล้ว อยากให้หลวงพ่อช่วยหน่อย ยังตายตอนนี้ไม่ได้ ลูกหลานยังเล็กกันอยู่ ยังปกครองตัวเองยังไม่ได้เลย หลวงพ่อท่านมองหน้าแล้วท่านก็บอกว่า โยมยังมีบุญเก่าเหลืออยู่ ยังไม่ตายหรอกในตอนนี้ ท่านก็ลุกขึ้นไปหยิบกล้วยตากแห้งที่ท่านได้ปลุกเสกไว้เป็นยารักษาคน มาให้หญิงชราคนนั้นกิน แล้วท่านก็ให้ไปตักน้ำมนต์ในโอ่งหน้าอาศรมไปกินต่างน้ำ ท่านบอกเดี๋ยวก็หายเอง แล้วท่านก็ถอนหญ้าหน้าอาศรม ๑ กำมือ ท่านท่องคาถาแล้วก็ยื่นให้ไปต้มกินต่างน้ำ เช้า-เย็น หญิงชราอาการดีขึ้นตามลำดับ อีกไม่นานก็เดินมาหาหลวงพ่อเองได้ และต่อมาก็หายเป็นปกติดี ก็พูดสรรเสริญหลวงพ่อโอภาสีให้คนอื่นฟังอีกมากมาย ถึงความมีเมตตาของหลวงพ่อ และความศักดิ์สิทธิ์ในวาจาของหลวงพ่อโอถาสีและปฏิหาริย์ของหลวงพ่อโอภาสี ทุกวันหญิงชราตั้งหน้าใส่บาตร ทำบุญไม่ขาด และนำของมาถวายหลวงพ่อเป็นประจำ (มีต่อ)<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lpopasee.jpg
      lpopasee.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48 KB
      เปิดดู:
      108
  13. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    หลวงพ่อโอภาสียิ่งเผาของมากเท่าไหร่ คนก็นำของมาถวายท่านมากเท่านั้น เรื่องแปลกแต่จริง ของคนไทย จีน แขก มอญ ต่างมุ่งหน้าสู่อาศรมบางมดกันทุกวัน บรรดาชาวจีนแถวสำเพ็ง พวกแขกแถวพาหุรัด พวกมอญแถวพระประแดง และชาวต่างประเทศบางกลุ่มในสมัยนั้น ที่เข้ามาทำการค้าในเมืองไทยของเรา ต่างได้ยินถึงปาฎิหาริย์ ของหลวงพ่อและมหัศจรรย์ต่างๆ ของหลวงพ่อโอภาสี เท่าที่ทราบกันมาจากปากต่อปาก จากตัวของเขาเองบ้างถึงอภินิหารและแนวทางปฏิบัติที่แปลกของท่านก็ตรงตามประเพณีของชาวจีนที่นิยมเผาของไปให้คนตาย ต่างได้นำกระดาษเงิน กระดาษทองของใช้ต่างๆ ดอกไม้ ธูป เทียน เงินสด และของกินของใช้ต่างๆ มาถวายหลวงพ่อมากมาย หลวงพ่อรับแล้วถามว่า โยม เสียดายไหม ถ้าไม่เสียดาย อาตมาเผาหมดนะ ก่อนเผาทุกครั้ง ท่านก็จะแบ่งของแจกเด็กบ้าง คนชราบ้าง หลังจากนั้นท่านก็เผาหมดทุกอย่างไม่เหลือเก็บไว้เลย ท่านจะเผาของทั้งวันทั้งคืนเป็นปกติประจำของท่านเสมอ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ชาวบ้านแถวสวนส้มบางมด บางกลุ่มไม่พอใจที่หลวงพ่อเผาของทั้งวันทั้งคืน ควันไฟเป็นอุปสรรคกับการติดดอกออกผลของสวนส้มบางมด จึงรวมกลุ่มกันประมาณ ๑๐ คนได้ เข้าไปกราบหลวงพ่อโอภาสี และเล่าให้หลวงพ่อฟังถึงความเดือดร้อนในการเผาไฟของหลวงพ่อในครั้งนี้ หลวงพ่อพูดออกมาว่า โยมทั้งหลายไม่ต้องตกใจเรื่องส้มจะไม่ติดดอกออกผล ขอให้ใจเย็นๆ คอยดูไป ชาวสวนก็ยังไม่พอใจอีก หลวงพ่อจึงพูดอีกว่าอาตมาขอรับประกันสวนส้มในละแลกอาศรมนี้ จะดกดีกว่าปีที่ผ่านมาอีก โดยไม่ต้องไปใส่ปุ๋ยอะไรทั้งสิ้น พวกเทวดาท่านจะช่วย ชาวบ้านฟังแล้วก็พอใจ แล้วก็ลาหลวงพ่อกลับไป เวลาผ่านไปไม่นาน ปีนี้นั่นเองปรากฏว่า สวนส้มที่บริเวณควันไฟพัดไปนั้น ติดดอกออกผลมากมายกันทุกต้นเลย ชาวสวนต่างพูดว่าวาจาของท่านศักดิ์สิทธิ์จังเลย ท่านพูดคำไหนก็เป็นตามนั้น สวนผลไม้ในละแวกนั้นทุกสายพันธุ์ ดกดีกันทุกต้น มันก็เป็นเรื่องแปลกอีกเช่นกัน<o:p></o:p>
    กองไฟที่ท่านสุมไว้ตลอด ฝนตกหนักมากแค่ไหน กองไฟของท่านก็ไม่ยอมดับลงเลย ทุกฤดูฝน ทุกคนมักเห็นปฏิหาริย์ในกองไฟกองนั้นเสมอ หลวงพ่อโอภาสีท่านสามารถควบคุมให้ไฟลุกโชนกองใหญ่หรือกองเล็กได้ตามที่ท่านต้องการ ส่วนมากกลางวันกองไฟจะเล็ก ทั้งๆที่มีของลงไปเผาไม่มากนัก เปลวเพลิงที่เผาทั้งกลางวันกลางคืน แมลงและสัตว์ต่างๆเดินผ่านบินผ่านแต่ก็ไม่เป็นอันตรายใดๆเลย เรื่องแปลกแต่จริง ในการเผาของต่างๆ ตลอดวันตลอดคืน หลวงพ่อโอภาสีท่านจะจัดเวรยาม ให้ลูกศิษย์ของท่านผลัดเวรกันเผาของในกองไฟ ตลอดคืนวันเป็นประจำเสมอ และผลจากการเผาของต่างๆทั้งหมด บางคนก็ขอท่านไปบูชากันบ้าง ไปติดตัวบ้าง และลูกศิษย์ของท่านก็เก็บใส่ปิ๊บน้ำตาลไว้ให้ท่านทำวัตถุมงคลต่างๆ ไว้แจกคนทั่วไปบ้าง ทุกคนต่างมีประสบการณ์กันมากๆ <o:p></o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีท่านไม่อนุญาตใครแล้ว ใครก็ถ่ายรูปท่านไม่ติด ชื่อเสียงของท่านเริ่มมีผู้คนรู้จักกันมากขึ้น ทุกสาขาอาชีพตลอดจนในแวดวงนักหนังสือพิมพ์ สำนักพิมพ์ต่างๆ ต่างก็อยากได้รูปท่านไปลงตีพิมพ์โฆษณา แต่ถ้าใครแอบถ่ายรูปท่านไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง รูปถ่ายได้แต่ล้างแล้วรูปไม่ติดเป็นประจำเสมอ ไม่ว่าจะใช้กล้องดีขนาดไหนในยุค พ..๒๕๐๐ ลงไปนะ ถ่ายเท่าไหร่ก็ถ่ายไม่ติด บางคนถึงกับกล้องพัง แฟลชกล้องแตกกระจายก็มี แต่ถ้าใครขอท่านและท่านอนุญาต แม้กล้องไม่ดีแสงไฟไม่ดีพอ รูปก็ติดออกมาคมชัดเวลาล้างฟิล์ม เรื่องแปลกแต่จริง ในเวลาผ่านมาหลังจากท่านมรณภาพไปแล้วถึงปัจจุบัน เรามักเห็นภาพของท่านน้อยมาก จะพบเห็นได้ก็ต่อคนที่รักและเคารพท่านมากจริงๆ จะมีติดบ้านกันไว้บูชาเสมอ แต่ไม่มากนัก (มีต่อ)<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1290311657.jpg
      1290311657.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.5 KB
      เปิดดู:
      221
  14. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    หลวงพ่อโอภาสี ท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เกี่ยวกับอภินิหารในครั้งนี้ มีหลายอย่างและหลายประการ คำพูดของท่านก็มีวาจาสิทธิ์มาก ท่านกล่าวคำใดออกมาแล้ว ต้องเป็นคำของท่านเสมอ คนป่วยไข้ใกล้จะตายหลายท่านมาหาท่าน ท่านบอกไม่ตาย บุญเก่ายังมีเหลืออยู่ก็ไม่ตาย ส่วนใครบุญหมด ท่านบอกให้รีบกลับไปสร้างบุญสร้างความดีต่อไปอีก ก็จะไม่ตาย หลวงพ่อโอภาสีไม่เคยบอกว่าท่านจะช่วยใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคน รวย จน ท่านพูดเหมือนกันหมด ตายก็ตาย ไม่ตายก็ไม่ตาย คำพูดของหลวงพ่อ ท่านพูดมักให้เรากลับไปคิดเสมอทุกครั้งไป มีอยู่เรื่องหนึ่ง ทุกครั้งที่มีคนพูดกล่าวขานถึงท่านในทุกๆเรื่อง ในทุกๆที่ต่างๆ ก็จะอยู่ห่างไกลจากท่านมากแค่ไหน ก็จะรับรู้ได้หมด บางคนไม่ได้พูดแค่นึกในใจท่านก็รู้ได้เสมอ กรณีเช่นนี้เคยปรากฏตัวอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัดมาหลายรายแล้ว เช่น ท่านสามารถรู้ถึงความต้องการของผู้ที่ไปหาท่านหรือพูดถึงท่านในทุกเรื่อง พอพบท่านแค่ลงกราบยังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมาเลย ท่านพูดถึงความต้องการของคนๆนั้นออกมาก่อนเลย บางคนนินทาท่านมานานแล้วท่านก็พูดออกมาตามคำนินทานั้น ทุกคนต่างได้ยินได้ฟังต่างก้มลงกราบขอขมาลาโทษท่านใหญ่เลย บางคนอายท่าน ไม่กล้าสู้หน้าท่าน พูดไม่ดีกับท่านไว้มาก รีบลุกลงอาศรมด้วยความตกใจไปเลยก็มี แต่ท่านก็เมตตายกโทษให้กับทุกคนเสมอมา ท่านเคยบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติของโลกมนุษย์<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง มีคนมาถวายนาฬิกาให้หลวงพ่อไว้ดูเวลาที่หน้าอาศรมของท่าน แต่ไม่ได้พูดคำถวายนาฬิกาให้ท่านโดยตรง ก็เลยแขวนนาฬิกาไว้หน้าอาศรม เพื่อให้บุคคลทั่วไปดูเวลา และให้หลวงพ่อดูเวลาด้วยเช่นกัน ตกดึงวันหนึ่งมีหัวขโมยนักย่องเบาได้เข้าไปขโมยของในกุฏิท่าน แต่ไม่พบของมีค่าอะไรเลย ก็เห็นนาฬิกาแขวนเรือนนี้ก็หยิบติดมือไปด้วย เช้าวันต่อมา หลวงพ่อท่านตื่นมาปกติในเวลาเช้าของท่าน ก็มองดูนาฬิกาที่แขวนไว้หายไป ท่านพูดออกมาว่า ไอ้นี่มันท่าจะบ้า ปรากฏว่าอีกไม่กี่วัน อ้ายหัวขโมยคนนั้นซึ่งมีที่อยู่แถวๆอาศรมของท่านคนหนึ่ง ถึงกับมีอาการเป็นบ้าโดยไม่รู้สาเหตุเลย ญาติพี่น้องที่ไม่ทราบเรื่องขโมยนาฬิกาในครั้งนี้ จะมาทราบก็ต่อเมื่ออ้ายคนเป็นบ้านี้ได้ตายไปแล้ว เพราะคนที่เขาเอานาฬิกาไปขายนั้น ก็มาเล่าและพูดให้ญาติเขาฟัง แต่สายไปแล้ว<o:p></o:p>
    สำหรับพวกนักเลงหัวไม้ต่างๆ ในสมัยนั้น ที่ชอบเรื่องเครื่องรางของขลังไว้ป้องกันตัวในสมัยนั้น ต่างก็มาฝากตัวเป็นสิทธิ์ของท่านก็มาก ส่วนมากก็จะหาสตางค์แดงรู ๑ สตางค์มาให้ท่านปลุกเสกเอาไว้ห้อยคอ และป้องกันตัวกันบ้าง วัตถุมงคลของหลวงพ่อใช้ในทางแคล้วคลาดเป็นส่วนใหญ่ ชาวสวนบางมดก็ใช้ติดตัวป้องกันงูพิษต่างๆ เวลาเดินในสวนยามค่ำคืน หรือกลางวัน<o:p></o:p>
    สำหรับพวกนักเลงเล่นหวยต่างๆในสมัยนั้น หวย (ก ข) เป็นที่นิยมกันมากที่มักจะเอาคำพูดของหลวงพ่อโอภาสี และการแสดงออกทางกิริยาท่าทางต่างๆ ของท่านไปตีหวยต่างๆนานา กันไป ส่วนมากก็ถูกกันมาบ่อยครั้ง เช่น เลขท้าย๒ตัว และเลขท้าย๓ตัว ส่วนรางวัลใหญ่ๆ ก็เคยมีเหมือนกัน คนบางคนถูกหวยกันบ่อยๆ มากบ้างน้อยบ้าง ก็แบ่งเงินส่วนหนึ่งมาสร้างศาลาอุทิศให้หลวงพ่อเท่าที่พอเห็นกัน ณ สำนักพุทธญาณโอภาสี หรือวัดหลวงพ่อโอภาสี ในปัจจุบันนี้<o:p></o:p>
    เมื่อก่อนนี้มีครอบครัวหนึ่งอยู่ใกล้อาศรมหลวงพ่อ มาคอยรับใช้และดูแลหลวงพ่อ ขอข้าวหลวงพ่อกินกันประทังชีวิตกันไปวันๆ หลวงพ่อท่านมีเมตตาอยู่แล้ว ท่านก็เมตตาให้ทุกมื้อ คนในครอบครัวก็บอกว่าทำไม ครอบครัวลูกถึงยากจนจริงๆ แม้แต่จะกินก็ไม่มีเลย หลวงพ่อท่านก็หยิบดินมาหนึ่งกำมือ แล้วอธิฐานจิตลงไปในดิน แล้วเอาใส่ปากให้กินกันไป ท่านก็พูดขึ้นมาว่า คนไม่มีสุดๆ ก็ต้องกินดินไปแล้ว ต่อแต่นี้ไปโตขึ้นจะมีกินมีใช้ไม่อดอยากแบบนี้อีก และเด็กหญิงคนนั้นโตมาก็ร่ำรวยถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ปัจจุบันก็ช่วยงานบุญที่วัดมาด้วยดีตลอด ตอนนี้ไปมีครอบครัวอยู่ทางภาคเหนือแล้ว หลานเขาชื่อ หมู เป็นคนเล่าให้ฟัง<o:p></o:p>
    หลวงพ่อให้ชีวิต มีครอบครัวหนึ่ง ญาติผู้ใหญ่ได้ถึงแก่ความตายลงไป แล้วญาติก็เตรียมงานศพกันตามประเพณี และมีญาติของผู้ตายคนหนึ่งได้วิ่งไปขอให้หลวงพ่อโอภาสีช่วยชีวิตไว้ก่อน เพราะลูกๆของคนตายยังเล็กกันมาก ที่สวนไร่นาก็ยังไม่ได้แบ่งกันเลย เธอรีบวิ่งหน้าตั้งกันไป หอบเหนื่อยมาก พอมาถึงยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร หลวงพ่อโอภาสีท่านพูดขึ้นมาว่า รีบกลับไปเถิด เขาไม่ตายหรอก พอกลับมาบ้าน สัปเหร่อได้ทำการมัดตราสังข์ ยังมัดไม่เต็มที่คนที่ตายฟื้น โยนดอกบัว ธูปเทียนทิ้งแล้วก็ตื่นขึ้นมา ทำให้ทุกคนตกใจกันมาก หลานชื่อ หมู เป็นคนเล่าให้ฟัง(มีต่อ)<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24082-8.jpg
      24082-8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      135.6 KB
      เปิดดู:
      352
  15. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    หลวงพ่อโอภาสี ท่านอยากจะปล่อยกุ้งต้มตัวแดงๆที่ตายแล้ว ลงไปในน้ำ มีแม่ค้าคนจีนคนหนึ่ง พายเรือขายของกินทั่วไปในคลองบางมดแถวหน้าอาศรมของท่าน หลวงพ่อก็เรียกแม่ค้าคนนั้นเข้ามาใกล้ๆ แล้วถามว่า กุ้งกระจาดนั้นราคาเท่าไหร่ พอตกลงราคากันได้ ท่านก็ควักธนบัตรใบละหนึ่งบาทมาให้แม่ค้า แล้วก็ปล่อยกุ้งลงไปในแม่น้ำลำคลองนั้น ปรากฏว่ากุ้งต้มตัวแดงๆ ต่างมีชีวิต กระโดดน้ำกันตามภาษาของกุ้งทั่วไปกันมากมายเลย เป็นเรื่องน่าแปลกใจของผู้คนในละแวกนั้น ที่ลงเล่นน้ำกันอยู่แถวๆคลองบางมดกันในขณะนั้น<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีท่านช่วยให้คนดีทั้งใจและกายร่ำรวยได้ ได้ยินความมีเมตตาของหลวงพ่อโอภาสี ว่าท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความยากจน ช่วยคนให้ร่ำรวยได้ ถ้าคนนั้นเป็นคนดีและขยัน ชายจีนคนนั้นจึงหาเวลามาหากราบหลวงพ่อท่านเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ก่อนออกจากบ้าน เขาได้ขึ้นไปหยิบเงินใต้หมอน เมื่อนับเงินเสร็จแล้ว จึงหยิบธนบัตรใบละร้อยจากเศษที่เกินพันไปสองร้อย โดยตั้งใจไว้ว่าจะไปทำบุญกับหลวงพ่อสักสองร้อยบาท เมื่อไปถึงอาศรมบางมด เห็นหลวงพ่อนั่งธรรมสมาธิกสิณไฟของท่านก็รู้สึกแปลกใจ ครั้นเห็นเป็นโอกาสดี ไม่ค่อยมีคนหยิบธนบัตรใบละร้อยสองใบถวายหลวงพ่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับพูดขึ้นว่า หลวงพ่อ อั๊วทำบุญอะไรก็ได้สองร้อยบาทครับ หลวงพ่อโอภาสีท่านก็ยิ้มตอบแล้วก็รับมาพร้อมถามว่า เสียดายไหมชาวจีนคนนั้นตอบว่า ทำบุญกับหลวงพ่อ อั๊วไม่เสียดายหรอก หลวงพ่อจึงเอาธนบัตรสองร้อยโยนเข้ากองไฟไป ชาวจีนคนนั้นตกใจมากร้องอีหยา ทำไมหลวงพ่อทำอย่างงั้นละครับประเทศจีนมีแต่เผากระดาษเงินกระดาษทอง ของปลอมกันเท่านั้นเอง ไม่เคยเผาเงินจริงๆกันเลย หลวงพ่อทำแบบนี้ไม่ถูกนะ อั๊วเสียดายเงิน แล้วหลวงพ่อโอภาสีท่านก็ตอบกลับไปว่า ถ้าโยมเสียดายก็ให้กลับไปเอาคืนที่เก่านะ ตอนนั้นชายจีนคนนั้นหมดศรัทธาหลวงพ่อทันที เมื่อกลับถึงบ้านอาบน้ำและเตรียมตัวจะเข้านอน ก็เอาเงินใต้หมอนมานับเหมือนเคย ปรากฏว่าเงินอยู่ครบเหมือนเดิม ๑,๒๐๐ บาท รุ่งขึ้นรีบกลับไปขอขมาหลวงพ่อแต่เช้ามืดเลย หลวงพ่อท่านรู้แล้ว ท่านก็บอก คนขยันอย่างโยมไม่รวยวันนี้ก็วันหน้าแน่นอน ต่อมาอีกไม่กี่ปี ชาวจีนคนนี้ทำการค้าขายจนร่ำรวย และได้นำเงินเป็นหมื่นมาถวายหลวงพ่อ ให้เผาไฟอีก และก็เป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนาวัดหลวงพ่อโอภาสเรื่อยมา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นายตี๋ อันธพาลรับจ้างเป็นรายแรกที่มาลองดีกับหลวงพ่อโอภาสี ตอนนั้นชาวสวนบางมดแบ่งออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งบอกว่าหลวงพ่อโอภาสี ทำให้สวนของพวกเขาอยู่ในอันตราย หากกองไฟที่หลวงพ่อโอภาสีเผาสมบัติลุกลาม ไหม้สวนจนวอดวายเป็นขนัดๆ <o:p></o:p>
    นายตี๋เล่าว่า ได้รับค่าจ้างจากเจ้าของสวนที่ไม่พอใจหลวงพ่อโอภาสี ว่าจ้างให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้หลวงพ่อโอภาสีถอนกลดออกไปจากพื้นที่เสีย <o:p></o:p>
    คืนแรกนายตี๋ได้เก็บก้อนหินขนาดเหมาะมือใส่ถุงปุ๋ยมาแอบซ่อนไว้ไม่ไกลจากกลดที่หลวงพ่อปักไว้ พอได้โอกาสเหมาะ หลวงพ่อโอภาสีอยู่เพียงลำพัง ก็ใช้ก้อนหินขว้างปากลดของหลวงพ่อ ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง <o:p></o:p>
    ก้อนที่ถูกก็ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นแก่ตาตนคือ พอก้อนหินกระทบหลังคากลด ก็เกิดกระเด้งกลับมาอย่างแรง ทีแรกก็เฉียดตัวนายตี๋ นายตี๋จึงคำรามในใจว่า แน่นักเรอะ! คราวนี้แหละจะเขวี้ยงให้ผ่านประตูกลดที่เปิดไว้ให้ถูกตัวหลวงพ่อเลยทีเดียว ให้มันรู้กันไปว่าจะแน่สักแค่ไหน <o:p></o:p>
    ‘‘พอผมขว้างก้อนหินเข้าไปตรงจุดที่ผมกะไว้ ก้อนหินก็กระเด็นย้อนกลับมาด้านบน หล่นลงมากลางกบาลของผมพอดี หัวแตกเลือดไหลโกรก จนผมต้องวิ่งไปเข้าโรงพยาบาลให้หมอเย็บถึง ๑๐ เข็ม ไม่อาจไปรบกวนหลวงพ่อได้อีก พอแผลหายผมจึงไปกราบเท้าท่าน ไปสารภาพให้ท่านอโหสิให้แก่ผม ท่านยิ้มแล้วพูดกับผมว่า... <o:p></o:p>
    ‘‘อาตมาไม่ได้คิดร้ายกับใคร ไม่พยาบาทใคร กรรมของโยมต่างหากที่มันย้อนกลับไปทำร้ายโยม’’ <o:p></o:p>
    ทางด้านนายโสม ผู้ว่าจ้างนายตี๋ให้เอาก้อนหินไปขว้างใส่กลดของหลวงพ่อโอภาสี แต่นายตี๋กลับกลายไปเป็นศิษย์อุปัฏฐากหลวงพ่อแทน จึงเกิดความเคียดแค้นมาก <o:p></o:p>
    คืนนั้นกินเหล้าย้อมใจจนได้ที่ แล้วเอาปืนพกเหน็บเอว แอบเข้ามาที่ใกล้ๆ กับกลดของหลวงพ่อโอภาสี ชักปืนขึ้นมาหันปากกระบอกขึ้นฟ้า แล้วตะโกนร้องว่า <o:p></o:p>
    ‘ไปให้พ้นโว๊ย ไปเผาของที่อื่น หากยัง อยู่ที่นี่ชาวบ้านเขาจะเดือดร้อน’ <o:p></o:p>
    จากนั้นก็รัวกระสุนเข้าใส่กลดจนหมดลูกโม่ สะใจแล้วก็เดินทางกลับบ้าน <o:p></o:p>
    นายโสมเล่าว่า <o:p></o:p>
    ‘‘เช้ามืดวันรุ่งขึ้น มีตำรวจจากกองปราบมาล้อมบ้านผม เอาหมายค้นมาด้วย มาค้นบ้านและยึดปืนที่ผมเอาไปยิงขู่หลวงพ่อโอภาสีเมื่อคืนก่อน โดยระบุว่าจะเอาไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับที่ก่อคดีฆ่านายสุชาย เจ้าของสวนย่านเดียวกับผมหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำ’’ <o:p></o:p>
    กว่าเรื่องจะเรียบร้อย นายโสมต้องถูกนำตัวไปสอบสวนแล้วสอบสวนอีก เสียเงินเสียทองจ้างทนายมาสู้ความ จนหมดเงินไปมากมาย ที่สุดก็ต้องมากราบหลวงโอภาสีเพื่อขอให้ท่านช่วย <o:p></o:p>
    โดยสารภาพผิดว่าเคยเอาปืนมายิงขู่หลวงพ่อตอนกลางคืน <o:p></o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีท่านก็อโหสิและพรมน้ำมนต์ให้ <o:p></o:p>
    ในที่สุดนายโสมก็พ้นผิดและได้กลายมาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสีเช่นกัน <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นายกวย ชายชาวจีนซึ่งเช่าที่ดินทำสวนผักในบริเวณนั้น เห็นว่าสำนักสงฆ์ของหลวงพ่อโอภาสีมีข้าวของมากมาย น้ำมันก๊าด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันบัว เครื่องใช้ไม้สอยวางไว้มากมาย นายกวยเลยถือวิสาสะมาหยิบเอาไปใช้ <o:p></o:p>
    ตอนแรกก็แค่เอาขวดมากรอกน้ำมันก๊าดเมื่อ เห็นว่าหลวงพ่อโอภาสีไม่ว่าอะไรก็เลยหิ้วไปเป็นปี๊บ <o:p></o:p>
    ต่อมาเมื่ออยากได้อะไรก็มาหยิบฉวยเอาไปตามใจชอบ <o:p></o:p>
    ผู้ดูแลสำนักสงฆ์จึงไปกราบเรียนหลวงพ่อโอภาสีเรื่องที่นายกวยมาหยิบข้าวของไปตามอำเภอใจ หลวงพ่อโอภาสีจึงพูดกับผู้ดูแลสำนักสงฆ์ว่า <o:p></o:p>
    ‘‘ไอ้คนบ้า หากอยากได้อะไรมาขอ มีหรือจะไม่ให้ ก็ของพวกนี้ เขาเอามาถวาย เผาทิ้งยังทำได้เลย แล้วคนมาขอเอาไปกินไปใช้ ใครจะปฏิเสธ ไอ้คนนี้มันทำบ้าๆ’’ <o:p></o:p>
    หลังจากหลวงพ่อโอภาสีพูดว่า ไอ้คนบ้า ได้เพียงไม่กี่วัน นายกวยก็กลายเป็นบ้า ร้องเล่นเต้นงิ้วไปตามเรื่อง งานการไม่ทำ วิ่งไปมาร้องเพลงแต่เพลงงิ้ว <o:p></o:p>
    ญาติพาไปปากคลองสานก็รักษาไม่หายกลับเป็นหนักขึ้นอีก <o:p></o:p>
    จนมีชาวจีนที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสีไปบอกว่า อาจเป็นเพราะนายกวยไปลักขโมยของจากสำนักสงฆ์เลยเป็นบ้า <o:p></o:p>
    จึงช่วยกันมัดนำตัวไปหาหลวงพ่อโอภาสี พอไปถึงท่านก็พูดว่า <o:p></o:p>
    ‘‘อ๋อ นี่หรือที่ชอบมาขโมยของในสำนักสงฆ์ ขอดีๆ ทำไมจะไม่ให้ นี่คงบ้าๆ บอๆ ใช้กรรมไปพอสมควรแล้วนี่ ทีหลังอยากได้อะไรก็มาขอดีๆ หายได้แล้ว ไม่ได้บ้าอะไรนี่นา เป็นคนดี ๆ แท้ ๆ จะบ้าได้อย่างไรกัน’’ <o:p></o:p>
    สิ้นคำหลวงพ่อ นายกวยก็ได้สติกลับเป็นนายกวยคนเดิม ทำหน้าตาเหรอ ถามว่าตนมาอยู่ที่สำนักสงฆ์ได้อย่างไร พอรู้เรื่องละเอียดก็เข้ามากราบขอโทษ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อได้ให้น้ำมันก๊าด กับน้ำมันบัวแก่นายกวยอย่างละหนึ่งปี๊บ (มีต่อ)<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24082-9.jpg
      24082-9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.6 KB
      เปิดดู:
      293
  16. นางไพจิตต์

    นางไพจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +956
    ..........................................................................
    อ้าวแล้วที่ข่าวว่าแต่ละคนที่ร่วมกิจกรรมกับฝ่ายแดงเป็นมะเร็ง ..บ้าง ป่วยขั้นระยะสุดท้ายอย่งคุณปอดปะศพ ..จริงไหม:boo:
     
  17. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    อภินิหาร ขรัวแก้มแดงวิชาแบ่งภาค ปรอทสำเร็จพิชิตความแก่ ลูกอมวิเศษร่างกายเป็นอมตะ!

    เรื่องราวที่เกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร เกิดขึ้นในราวยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย ศรีอยุธยา และรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี มีหลักฐานปรากฏชัดเจนแต่ขาดการค้นคว้าอย่างจริงจัง รู้อยู่ในหมู่คณะของตนกลุ่มน้อย รู้ทางเจโตปริยญาณ เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนึง ต่างได้เห็นพ้องต้องกันว่า พระบรมครูโลกอุดร คือ พระอุตรเถระผู้ที่ได้ถามท่านว่า บรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านคือ พระอุดรใช่ไหมท่านมิได้ปฏิเสธ หากอย่างนั้นหลวงปู่ท่านก็มีอายุ 2,000 กว่าปี แล้วท่านอยู่ได้อย่างไร เป็นพระที่มีความเร้นลับ และมีความมหัศจรรย์


    เรื่องราวของ หลวงปู่เทพโลกอุดร ผู้อยู่เหนือโลกนั้น ที่มีทั้งเชื่อ และไม่เชื่อว่าท่านจะมีตัวตนอยู่ แต่มีหลายท่านที่ให้ข้อมูลว่าท่านเป็นอาจารย์ของพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านฌานต่างๆ และท่านยังมีตัวตนแบ่งภาคได้ เป็นพระภิกษุเร้นรับ เริ่มตั้งแต่ชื่อ ที่อาศัย ไปไหนมาไหนไร้ร่องรอย ปริศนาจนถึงปัจจุบัน ท่านมักจะสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ไม่ควรสนใจไปให้เสียเวลา ปัจจุบันสำคัญที่สุด ให้เร่งศึกษาและปฏิบัติ


    หลวงปู่เทพโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ ท่านมิใช่คนไทยเป็นชาวเนปาลแต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกัน ผู้ที่อวดรู้นั้น เห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหนดีไม่ดีพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นไปได้ หลวงปู่ท่านได้อภิญญาโลกีย์และเป็นพระผู้สำเร็จ ชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง ตามคำกล่าวเล่าลือว่า หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เป็นสานุศิษย์สายโลกอุดรไม่มรณภาพจริง แสดงว่าสายของพระโลกอุดรมีอยู่หลายสายด้วยกันและยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดง สายในดงไปศึกษาความรู้จากองค์จากองค์ท่านสายนอกดงนำมาสอนสืบต่อกันไปอาจเป็นทั้งฆาราวาสและบรรพชิต เช่น อาจารย์พัวแก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์สุคันธรัต เป็นต้น พยายามศึกษาให้แตกฉาน


    หลวงปู่ท่านเป็นภาค ขรัวแก้มแดง หรือ พระภูริยะหลวงปู่หน้าปาน และมีอีกฉายาว่าหลวงปู่ เรื่องราวแก้มแดง ท่านอภิโชโตภิกษุท่านบอกว่า ขรัวหน้าปาน องค์นี้ได้สำเร็จปรอทล่องหนย่นทางเก่ง ถ้าท่านเอาลูกปรอท อมทางซีกซ้ายแก้มซ้ายก็จะแดง ถ้าเปลี่ยนเป็นอมทางแก้มขวา ทางด้านแก้มขวาก็จะแดง จึงได้เกิดการถกเถียงกันไม่รู้จักจบ ท่านนั้นเป็นสหธรรมมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ามาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกันโดยอาศัยร่างท่าน มหาชวน หลวงพ่อโอภาสีท่านเป็นภิกษุผู้ทรงศีล เมื่อมีผู้ซักถาม ท่านก็ตอบตามตรงว่า พระมหาชวนได้ตายไปแล้วอาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ


    ซึ่งก็ได้สันนิษฐานว่า ขรัวแก้มแดง น่าจะเป็นหลวงพ่อโอภาสี ท่านนั้นมีจรติทางเล่นแร่แปรธาตุ โดยเฉพาะการหุงปรอทสำเร็จ ปรอทสำเร็จนี้ท่านว่าหากสำเร็จขั้นสูงสุดทำให้เป็นอมตะไม่ตาย หรือมีอายุยืนได้ถึงหนึ่งกัลป์ มีอานุภาพอาจทำให้เหาะเหินลอยไปที่ไหนๆได้ ไปฟ้าป่าหิมพานต์ได้ ขรัวแก้มแดงสำเร็จปรอทกายสิทธิ์ เป็นเรื่องที่พ้องกัน เพราะหลังจากที่รับนิสัยมาจากหลวงปู่กบ คือ ท่านเพ่งกสิณไฟ ตอนแรกท่านทำการบูชาที่วัดบวรฯ จากนั้น ท่านก็เริ่มทำหารหุงปรอท โดยหุงที่วัดบวร ท่านจะหุงปรอทสำเร็จถึงขั้นไหนนั้นไม่อาจทราบได้ ทราบแต่เพียงว่าหลังจากนั้นท่านได้ลองฤทธิ์ โดยการไต่ขึ้นไปบนเจดีย์แล้วตะโกนดังๆ ว่าโอภาสีจะเหาะแล้ว จากนั้นท่านได้กระโดดลงมาเป็นที่ฮือฮามากปรากฏว่าท่านได้ลอยลงมาอย่างสบายๆ ไม่ล้มขาแข้งไม่หัก ทำเอาผู้คนตกอกตกใจไปหมดนึกว่าจะได้รับบาดเจ็บจากการที่ได้กระโดลงมาจากเจดีย์ หากให้สันนิษฐานแล้วก็เชื่อว่าท่านน่าจะสำเร็จปรอทและสำเร็จชั้นสูงแล้ว เพราะบุคคลธรรมดาอย่างเราๆ หากกระโดดลงมาจากยอดเจดีย์ต้องมีแข้งขาหักกันบ้างแล้ว ไม่มีทางเดินปร๋ออย่างหลวงพ่อโอภาสี




    ที่น่าสังเกตที่สุดอีกประการหนึ่ง คือ ภายหลังที่หลวงพ่อโอภาสีเริ่มบูชาไฟเล่นปรอท ปรากฏว่าแก้มของท่านด้ายซ้ายเริ่มเป็นปานดำขึ้นมาจนทุกคนสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ปานดำที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะอำนาจปรอทที่ท่านอมไว้ มันก็เป็นเหตุที่เป็นไปได้ และดูเรื่องที่เกิดขึ้นก็พ้องกับตำนานของขรัวแก้มแดงเหมือนกัน


    รอยต่อเรื่องขรัวแก้มแดง หลวงพ่อโอภาสี และปรอทสำเร็จ ยังคล้องจองพอดีกับเรื่องของหลวงพ่อยี วัดดงตาก้อน เพราะในประวัติของท่านเล่าว่าเมื่อคราวเป็นเด็กนั้น หลวงพ่อยี หรือเด็กชายยีได้ตามธุดงค์ไปกับพระภิกษุ ลึกลับรูปหนึ่ง พระรูปนี้เป็นที่ศรัทธาของบิดามารดา ท่านจึงยอมมอบท่านให้ติดตามพระรูปนี้ ท่านได้เล่าว่าพอพ้นหมู่บ้านที่ท่านอยู่ พระภิกษุรูปดังกล่าวหยิบเอาวัตถุบางอย่างมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ นำเข้าปากอมไว้ ฉับพลันร่างกายของพระผู้เฒ่าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นพระหนุ่มทันที เรื่องเม็ดกลมๆ ที่พระผู้เฒ่าอมเข้าไปในปากจะเป็นอื่นไปไม่ได้ วัตถุสิ่งนั้นย่อมต้องเป็นปรอทสำเร็จอย่างแน่นนอน จากนั้นพระธุดงค์รูปดังกล่าวก็พาเด็กชายยีในวันนั้นเข้าป่าลึกเพื่อฝึกวิชา และต่อมากลายเป็นหลวงพ่อยีผู้ทรงอภิญญาในเวลาต่อมา

    ความลี้ลับมหัศจรรย์ในพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ยังปรากฏอยู่ทุกยุคทุกสมัย ท้าทายความเชื่อตามหลักวิทยาศาสตร์ของยุคปัจจุบัน หากแต่ปาฏิหาริย์ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่มักปรากฏเหตุการณ์เฉพาะตัวของบุคคล ที่ทางพระเรียกว่า ปัจจัตตังเท่านั้น ในเรื่องราวหลากหลายร้อยหลายพันเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นภายใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา เรื่องของ หลวงปู่เทพโลกอุดรนับเป็นเรื่องที่อยู่ในกระแสความสนใจของชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงของนักปฏิบัติกรรมฐาน

    เรื่องราวและเนื้อหาของ หลวงปู่โลกอุดร เป็นที่สนใจของพุทธศาสนิกชนชาวไทย หลายๆคนไม่เคยเห็นท่าน แต่ก็พยายามตั้งความหวังที่จะได้มีโอกาสได้กราบไหว้ท่านเพียงสักครั้งในชีวิต แรงบัลดาลใจจากเรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรก่อให้เกิดการเพียรปฏิบัติกรรมฐานขึ้นกันเป็นจำนวนมาก เรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรจึงเป็นเรื่องที่น่าสืบค้นและติดตาม อย่างน้อยเรานั้นก็มีความเชื่อว่า การแสวงบุญหาหลวงปู่โลกอุดรนั้นแม้เราจะไม่พบตัวตนจริงๆ ของท่าน แต่หากมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมเราย่อมพบ โลกอุดรภายในจิตใจของเราเอง ซึ่งเป็นโลกอุดรแท้ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • get_auc1_img.jpg
      get_auc1_img.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.1 KB
      เปิดดู:
      101
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.5 KB
      เปิดดู:
      71
    • images1.jpg
      images1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.5 KB
      เปิดดู:
      74
  18. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649

    ภาพนี้น่าจะเป็นทหาร (ถือหอก) ที่มีข่าวฉาวออกมาในค่ายทหาร

    ปัญหาคือ...ภาพในหนังสือเรื่องนี้...รู้ล่วงหน้าได้อย่างไร ?



    มทภ.3 สั่ง 26 ค่ายทั่วเหนือสอบคลิปฉาว 6 ทหารรุมโทรมหญิง


    .
     
  19. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,117
    ขอโมทนาบุญกับน้องด้วยครับ ที่มีจิตใจดีงาม

    แต่ตามประการณ์ที่ผมเจอมา ยิ่งเราพยายามเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนกลับมาแรงยิ่งกว่า

    ตอนหลังเลยต้อง วางเฉยคงต้องปล่อยไปตามกฎแห่งกรรม

    สิ่งที่คนพวกนั้นพูดออกมานั้น...ถ้าใครไม่เคยได้ยินหรือได้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มคนพวกนั้น ก็แทบจะไม่เชื่อเลยว่า จะเป็นคำพูดที่หลุดมาจากปากของคนไทย ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
     
  20. น้องมุกมีน

    น้องมุกมีน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +28
    ย้อนรอย พม่าย้ายเมืองหลวง ก่อน นากิส
    หากพายุเข้า เอาเครื่องบินไปทำม่านฝนบัง
    วัน ว. เวลา น. ความเร็วลม จุดที่เข้า ชัดเจน 2 พค. ไม่รู้ปีไหน แต่มาแล้ว
    9 พค. วันอุโบสถ ก็ชัด อย่านอนใจ วันที่จะมา
    9 พค. 2556
     

แชร์หน้านี้

Loading...