จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ดับขันธปรินิพพาน
    [​IMG]
    ดับขันธปรินิพพาน

    “เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
    ไม่ควรคิดว่าพระศาสดาของเราปรินิพพานแล้ว
    พระศาสดาของเราไม่มี ด้วยแท้ที่จริง ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่ตถาคตแสดง
    และบัญญัติไว้ จะเป็นศาสดาแทนตถาคต”

    และได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ ตถาคตขอเตือน
    เธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย
    จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”

    “ภิกษุทั้งหลาย
    สติ เมื่อเกิดขึ้นก็รู้ว่า ธรรมเหล่านี้มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้
    ไม่มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้มีอุปการะ ธรรมเหล่านี้ไม่มีอุปการะ ลำดับนั้น
    พระโยคาวจรก็กำจัดธรรมอันไม่มีประโยชน์เสีย ถือเอาธรรมที่มีประโยชน์
    ละธรรมที่ไม่มีอุปการะเสียถือเอาแต่ธรรมที่มีอุปการะ ดังนี้”
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ได้ยินหนุ่มสาวเขาจีบกัน
    จุ๊จุ๊!!!​

    คุณพี่สติอยู่ที่ไหนกันหน๋อ! คุณน้องจิตอยู่ที่ไหนกันหน๋อ!

    น้องจิตจะรอพี่สติที่เดิมนะคะ หวังว่าเราจะเดินไปพร้อมกัน
    พี่สติอย่าทิ้งน้องจิตนานนะ
    เมื่อน้องจิตเหงา พี่กิเลสชอบชวนไปเที่ยว (น้องจิตนี่ อย่าใจง่าย)
    แต่ถ้าพี่สติมาช้านะ เดี๋ยวพี่กิเลสจะทำปู้ยี่ ปู้ยำหนู
    เดี๋ยวน้องจิตของพี่สติจะเสียหายนะ
    น้องจิตยิ่งไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของพี่กิเลสด้วย
    บวกกับน้องจิตที่คอยหลงใหลในตัวพี่กิเลสด้วย
    (สงสัยคุณพี่กิเลสนี่ รูปหล่อไม่เบาแฮ๊ะ)

    แต่ถ้าพี่สติเผลอเมื่อไหร่นะ น้องจิตต้องตกเป็นเหยื่อของพี่กิเลสทุกทีไป
    และน้องจิตนี้แหล่ะ! จะต้องทุกข์ใจกับการกระทำชั่วของพี่กิเลสไปตลอด
    เพราะพี่กิเลสชอบหลอกให้น้องจิตหลงใหล เคลิ้บเคลื้อม
    พี่กิเลสชอบหลอกฟันหนู แล้วก็ทิ้งจากไป
    (เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยนะ คุณพี่กิเลสนะ กิเลส)

    ฮ่าๆบอกแล้วเชียวคุณพี่สตินะ สติ
    พี่ภูเตือนไปแล้วว่า อย่าเผลอ อย่าเผลอ
    เผลอเมื่อไหร่โดนพี่กิเลสลักหลับน้องจิตเมื่อนั้น...จำไว้!


    ***บุคคลใดลืมพระ นั่นก็หมายความว่า สติหายไปแล้ว
    เริ่มใหม่ๆ
     
  3. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]

    มรณานุสสติ
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ


    ความเกิดมีแล้ว ความแก่ ความตายมันก็มีอยู่ ไม่มีใครพ้นตาย เกิดก็เกิดเต็มแผ่นดิน ตายก็ตายเต็มแผ่นดิน อยู่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่นี้แหละ ความตายเต็มแผ่นดินอยู่ เป็นเป็ด ไก่ หมู หมา เขาก็ตาย มนุษย์ชายหญิงก็ตาย ใครล่ะ เกิดมาแล้วไม่ตาย


    ถ้าเกิดมาขวางโลกเขา เกิดมาแล้วไม่ตาย ไม่เฒ่า ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ขวางบ้าน ขวางแผ่นดิน ขวางโลก เขาอยู่ได้อย่างไร ให้ภาวนา มรณานุสสติอยู่อย่างนี้แหละ


    เป็นเป็ดเป็นไก่มันก็ตาย เป็น วัว ควาย ช้าง ม้า หมู หมา เขาก็ตาย คนแก่ก็ตาย คนหนุ่มก็ตาย ถ้ากลัวตายมีใครพ้นตายไหม ทุกคนทุกสิ่งสรุปลงสู่ความตายทั้งหมด


    เป็ด ไก่ วัว ควาย หมู ปลา ถ้ามันไม่ตายเอง เขาก็ฆ่าเอาให้มันตาย อยู่ในสภาพไหนล่ะมันจะพ้นจากความตาย ถึงจะมีอายุผ่านพ้นไปร้อยปีพันปี มันก็ต้องตายอยู่นั่นแหละ สัจจธรรมข้อนี้ใครๆ ก็พ้นไปไม่ได้ นั่งอยู่ก็ตาย นอนอยู่ก็ตาย กินอยู่ก็ตาย ไม่กินก็ตาย เจ็บป่วยอยู่ก็ตาย ไม่เจ็บไม่ป่วยมันก็ตาย ความตายมันมีอยู่ทุกฐานะทุกสถานที่


    ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันครอบงำเราอยู่ทุกเมื่อ พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงเสีย แม้อบายโลก เขาก็ฆ่ากันกินกันอยู่ ความตายจึงไม่มีที่จะหลีกเร้นซ่อนหนี


    ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มีนอกจาก พุทฺธํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ สงฆํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
    นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราต้องหาที่พึ่งอันประเสริฐไว้เสียแต่บัดนี้ แต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้ ถ้าร่างกาย จิตใจมันไม่อำนวยแล้วจะไปคิดถึงอะไรจะไปยึดไปถือเอาอะไรเป็นที่พึ่งมันยาก


    ศีลเราก็ต้องรักษาให้มันดี ศีลก็คือการนำความผิดความชั่วออกจากกายจากวาจาของเรานี้แหละ ธรรมทั่วทั้งสิ้นแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ พระพุทธเจ้าพระองค์ชี้ลงสู่กายสู่ใจของเรา
    พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัย ก็ทรงบัญญัติเพื่อให้รักษาไตรทวาร พระอุปัชฌายอาจารย์ท่านสอนมูลกัมมัฏฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ท่านก็สอนย้ำลงในสิ่งของที่มีอยู่ในตัวของเรา


    ปัญจกกัมมัฏฐาน ๕ นี้แหละเป็นที่ตั้งของกรรม กรรมมันหมุนอยู่นี้แหละ ในไตรทวารนี้แหละ ความรัก ความโลภ ความโกรธอันใด มันหมุนอยู่ในฐานอันนี้แหละ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา
    กุศลนำสัตว์ให้ไปเกิดในทางเจริญ อกุศล นำสัตว์ไปสู่อบายภูมิ มีเปรต นรก สัตว์เดียรัจฉานก็ดี มันหมุนอยู่ในไตรโลกอันนี้ ตกอยู่ในกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหานี้ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ของจริงมันมีอยู่ประจำอยู่อย่างนี้ มันหมุนเป็นกงจักรบดสัตว์โลกทั้งหลาย อยู่ประจำอิริยาบถ เจ็บแข้ง เจ็บขา ปวดหลัง ปวดเอว เจ็บไข้ได้ป่วย เป็น อนิจจํ ทุกขํ อนตฺตา มันแสดงให้เราดูอยู่อย่างนี้
    เว้นแต่เรามองไม่เห็นมันเท่านั้น


    ส่วนมากจะตกอยู่ใต้อำนาจของสังขาร มันปรุงมันแต่งเป็นอดีตอนาคตไป ส่วนปัจจุบันสัจจธรรมที่เขาแสดงตัวให้ปรากฏอยู่ มันไม่ใคร่เอามานึกมาคิด ไม่เคยน้อมเข้าหากายหาใจของเรา มันคอยแต่จะเป็น ธรรมเมาไป.

    [​IMG]

    ลูกขอกราบนมัสการหลวงปู่แหวนที่เคารพเจ้าค่ะ



     
  4. ยอดชา

    ยอดชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +136
    ภัยภิบัติยังมาไม่ถึงเลยครับ จะเครียดทำไม ถ้ากลัวมาก ก็เร่งรักษาศิล5 ไห้ครบซิครับ มีเวลาก็ทำบุญทำทาน นั่งสมาธิ ก็น่าจะไม่เครียดแล้วนะ แต่ถ้ายังเครียดอีก ก็ดูเอาเถอะครับ คนไทยรักษาศิล5 แบบครบๆมีประมาณเท่าไหร่ ผมว่าถ้าเรารักษาศิล5 ครบนี่นะ น่าจะรอดน่า น่าจะสบายใจขึ้นนะครับ เป็นกำลังใจไห้ครับ ปล เป็นความเห็นส่วนตัว ผิดถูกต้องขออภัยครับ
     
  5. ยอดชา

    ยอดชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +136
    อีกนิดครับ ชีวิตก็ต้องไปต่อไป อะไรก็ยังมาไม่ถึง เราทำไห้ดีที่สุด ที่จะทำได้ ทำบุญสร้างบารมีไปเลื่อยๆ ถ้ายังเครียดอยู่ ก็นึกว่า เกิดมาก็ต้องตาทุกคน ยังไม่หายเครียดอีก ก็คิดว่า ตายก็ไม่ได้ตายคนเดียว น่าจะพอหายเครียดได้บ้างนะครับ
     
  6. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    [​IMG]
    หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร
     
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    พี่เพ็ญไปสอนจิตเกาะพระที่วัดดอยเปามาค่ะ
    ขอนำส่งผลบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลให้สามีน้องเมิลและน้องเมิลค่ะ
    พร้อมด้วยชาวจิตเกาะพระทุกท่าน
    ขอให้ทำจิตเกาะพระได้แนบแน่น
    ขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขความเจริญ
    เกิดความคล่องตัวทั้งทางโลกและทางธรรม
    และขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยหนุนส่งให้ทุกท่านที่ปรารถนาพระนิพพาน
    ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ
     
  8. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917

    โมทนาสาธุ
    ในเมตตาจิตไม่มีประมาณของคุณครูผู้ให้ธรรมะคะพี่เพ็ญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ก่อนหลับให้นึกถึงพระ
    ก่อนลืมตาตื่นก็ให้นึกถึงพระ
    เวลาไหน ๆ ก็ให้นึกถึงพระ

    [​IMG]

    <TABLE class=alt1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  10. สู่วันใหม่

    สู่วันใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +314
    หลวงปู่ดู่สอนให้มีปฏิปทาสม่ำเสมอ ท่านว่า..

    ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ

    ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ

    วันไหนเลิกกินข้าวแล้วนั่นแหละจึงค่อยเลิกทำ


    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    [​IMG]

    :'(
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,462
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ

    กราบหลวงปู่ดู่เจ้าค่ะ เคยฝันเห็นท่าน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ตามหา"พระ"ที่เวปนี้ว่าท่านคือใครหนอแล้วก็เห็นท่านในGalleryค่ะ;aa15
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,462
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ดับขันธปรินิพพาน

     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ความจริง ก็คือ ความจริง
    วันนี้ผู้เขียนอยากจะเขียนถึงเรื่องความจริงบางประการ ก็คือ
    เรื่องชีวิตจริงและคนเราเกิดมาทำไม?

    ผู้เขียนขอเข้าสู่ความจริง เข้าสู่แก่นธรรมของชีวิต
    คือ คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือมีความทุกข์มากกว่าความสุข
    (ขอให้พวกเราตอบในใจ)
    สาเหตุหลักที่คนส่วนใหญ่คิดว่า มีความทุกข์มากกว่าความสุขนั้น ก็เพราะว่า
    1.ให้ความสำคัญกายภายนอกมากกว่าจิตใจ หรือ
    2.ไม่สนใจ/ไม่ดูแล/ไม่ให้ความสำคัญ/ไม่พยายามฝึกฝน/ไม่ดูจิตตนเอง

    พวกเราอย่าลืมกันนะว่า ที่พวกเรากลับมาเกิดกันอยู่นั้น คือเป็นบุคคลหลงกันทั้งหมด
    เรียกได้ว่า ไม่มีใครดีไปกว่ากันนักหรอก

    ถึงหน้าที่การงาน ฐานะ หน้าตา รูปร่าง เพศ การศึกษา ความรู้ สติปัญญาจะดีหรือด้อยกว่ากัน
    ตรงนั้นมิใช่เป็นสิ่งที่ชี้วัด
    แต่ถ้าใครเกิดมาแล้ว บำเพ็ญเพียรบารมีจนจิตอรหันต์ เขาก็จะไม่กลับมาเกิดกันอีก
    ตัวอย่างของพระพุทธเจ้าของพวกเรา จิตพระองค์ท่านไม่หลง เพราะได้ฝึกฝนจิตมาดีแล้ว
    สำหรับคนที่ยังกลับมาเกิดอยู่ หรือตราบใดยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฎนี้ ก็ยังถือว่า ไม่ใช่ผู้หลุดพ้นจริง
    แต่จิตผู้หลุดพ้นนั้นจะหมายถึง เมื่อตายไปแล้วจะไปพระนิพพานทันที จึงจะเรียกว่า ไม่หลง

    ผู้เขียนขอย่นระยะการเข้าใจถึงเรื่อง ทำอย่างไรจึงชื่อว่า "ไม่หลง" และ "หลุดพ้น"
    ก็คือ ให้ความสำคัญเรื่องจิต หรือจิตวิญญาณมากกว่ากาย
    เพราะคนส่วนใหญ่ที่รู้สึกเป็นทุกข์มากเหลือเกิน หรือความสุขที่ทางโลกมอบมาให้แก่เรานั้นไม่พอ
    เมื่อเปรียบเืียบกันระหว่างความสุขกับความทุกข์นั้น ความทุกข์จะมีมากกว่าความสุข นั่นเอง

    ผู้เขียนขอนำเสนอเข้าสู่ทางตรง
    ก็คือ เมื่อพวกเราไม่อยากทุกข์กัน ก็ให้หยุดหาสุข วิ่งหนีทุกข์กัน
    ถึงพวกเราพยายามจะหนีทุกข์กัน ทุกข์นั้นก็คงติดตามไปได้ทุกที ไม่เห็นใครหนีพ้นสักคนเดียว
    แท้ที่จริงแล้ว ตัวทุกข์นั้น ก็คือ ร่างกาย
    ทุกข์นั้นเกิดที่ไหน(ทุกคนรู้หมด) ทุกข์นั้นเกิดกับใคร(คนนั้นรู้เอง) ทุกข์นั้นใครทำ(ตนเอง)
    ทุกข์นั้นใครแก้(ตนเอง) ทุกข์นั้นใครต้องเรียนรู้(ตนเอง)

    สรุปแล้วทุกข์นั้นเกิดที่ ใจ
    แต่ถ้าทุกข์เกิดที่ใจของใครแล้ว คนนั้นจะต้องดับทุกข์ด้วยเอง (ทำแทนกันไม่ได้ เพราะว่า ไม่ใช่แฟน)
    ให้พวกเราไปอ่านต่อเรื่อง อริยสัจ4
    (อ่านจบเฉยๆก็ดับทุกข์ไม่ได้) นอกจากรู้ตัวทุกข์คือ? เหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)คือ? (รู้ดีกันหมดแล้ว)
    ต่อไปการดับทุกข์(นิโรธ)นั้น จะต้องนำจิตผ่านกระบวนการ หรือการเจริญสติภาวนา
    คือเราจะต้องนำจิตไปเรียนรู้ จึงมิใช่ตนเอง (มันยากที่ต้องทำจิตตนเองให้นิ่งกันนี่แหล่ะ!)
    ก่อนจะนำจิตไปพบความจริง ตราบใดที่ยังทำจิตนิ่งกันไม่ได้ พวกเราก็จะไม่มีทางได้พบกับ ความจริง(ชีวิตจริงๆ)
    ก่อนจะผ่านไปถึงหนทางนำไปสู่ความดับทุกข์ หรือวิธีแก้ปัญหา(มรรค)(มรรคมีองค์๘)(อริยมรรค)(ศีล-สมาธิ-ปัญญา)

    ขอสรุปสำหรับคนส่วนใหญ่ที่กำลังเป็นทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะว่า...
    1.พวกเราให้ความสำคัญเรื่องจิตน้อยมาก เพราะไปให้ความสำคัญกายมากกว่า
    2.พวกเราจึงไม่เข้าใจ คำว่า สัมมาทิฎฐิ(ความเห็นถูกต้อง) ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่(จิต)มีแต่มิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด)
    3.พวกเราจึงพากันเดินหลงทาง(ทั้งหมด) หลงมาเวียนว่ายตายเกิด หลงภพหลงชาติ หลงยึดติดร่างกาย
    หลงคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่าน
    4.พวกเรา(จิต)ตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลส(ก็ยังไม่รู้ตัว)
    5.พวกเราเดินทางอ้อม(สนใจแต่กายหรือสิ่งภายนอก-ดำเนินวิธีทางโลก-ปลายทาง(จุติผล)ทุคติ อบายภูมิ หรือนรกภูมิ)
    ไม่เดินทางตรง(เริ่มต้นสนใจดูจิต-ดำเนินบนสายมรรคผลนิพพาน-ปลายทาง(จุติผล)สู่สุคติ สุข บรมสุข วิมุตติสุข)
    6.พวกเราสนใจแต่เปลือกภายนอก(อามิสบูชา) ไม่สนในแก่นภายใน(ปฎิบัติบูชา) หมายถึงคนมีการศึกษาสูง มีหน้าที่/ตำแหน่งใหญ่โต มีฐานะร่ำรวย เป็นต้น แต่ถ้าเอาแค่เปลือก(อามิสบูชา) หรือบ้าทำบุญ คือไม่ยอมเอาแก่นธรรม หรือปฎิบัติธรรม(ปฎิบัติบูชา) และรวมไปถึงบวชกันแค่กาย แต่มิได้บวชจิต
    (ความจริงแล้ว ข้อนี้อยู่ที่กำลังใจ หมายความว่า ถ้ากำลังใจมาก ก็จะอยากปฎิบัติธรรมมาก)
    ถึงพวกเราจะทำบุญกันมากแค่ไหน(เอาแต่บ้าทำบุญภายนอกอย่างเดียว) ก็มิอาจทำให้หลุดพ้นจากกองทุกข์แบบถาวร หรือหนีไม่พ้น คำว่า "หลง"

    ทางออก/ทางแก้
    ตอนนี้มีอยู่ทางเดียว ก็คือ การเจริญสติภาวนา หรือการเจริญกรรมฐาน
    (กรรมฐานมี40กอง โดยเลือกปฎิบัติมาหนึ่งกอง)
    หรือที่ผู้เขียนให้พวกเรากำลังฝึกทำ "จิตเกาะพระ"

    หลักสูตรการเข้าสู่กระแส กระแสธรรม
    ก็เตรียมกันแค่ 2 อย่าง ก็คือ สติ กับ จิต
    แต่ถ้าใครสร้างสติเนื่องๆ บ่อยๆ จิตก็จะนิ่งไว
    เมื่อเรามีสติมาก ก็จะเริ่มมองเห็นจิตตน
    เมื่อจิตมีสมาธิมาก จิตก็จะเกิดปัญญา
    เมื่อจิตมีปัญญามาก จิตก็จะวิปัสสนา
    เมื่อจิตวิปัสสนามาก จิตก็จะเกิดญาณหยั่งรู้ (ญาณ๑๖/วิปัสสนาญาณ๙)
    เมื่อจิตมีญาณมาก จิตก็มีพลังมาก
    แต่ถ้าพวกเรามีพลังจิตมาก งั้นพวกเราจะกำหนดไปที่ไหน?
    (ตอบกันเอง)

    ***แต่ถ้าใครอยากเข้าสู่ชีวิตจริงๆ ต้องสนใจเรื่องจิตตนเองให้มากๆ
    สติเกิดขึ้นอยู่เนื่องๆบ่อยๆ จนจิตตนเองนิ่งที่สุด
    พวกเราถึงจะพบความจริง(ธรรม) อันนั้นกันได้
    และพวกเรา(จิต) จะได้ไม่ต้องเดินหลงทาง พยายามเดินทางตรง(มรรค)กันให้จงได้
    เพราะนี่คือ หนทางนำไปสู่มรรค ผล นิพพาน

    ความจริงชีวิตของคนเรานี้ อยู่ที่ภายในจิตตนเท่านั้น จึงมิใช่ภายนอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กรกฎาคม 2012
  14. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    สาธุ สาธุครับ
     
  15. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    กฎของธรรมดา

    1) อารมณ์ของธรรมดาจริง ๆ นี่ฉันจะบอกให้ คนที่ยอมรับนับถือการเกิดขึ้น การเสื่อมไปของร่างกาย การดับไปของร่างกายจริง ๆ โดยมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวมาก มีการกระทบจิตบ้างแต่ถือกฎของธรรมดา อารมณ์นี้มันจะรักพระนิพพาน เพราะอะไร เพราะมันเกลียดตัวเกิด เกิดนี่มันธรรมดาจริง ๆ แล้วมันเบื่อ
    เกิด ขึ้นมาแล้ว ไอ้ตัวทุกข์มันตามมา ตอนนี้จะไม่พูดถึง ตัวทุกข์อริยสัจ พระพุทธเจ้าสอนตอนท้าย หาตัวธรรมดาเข้ามา แล้วมันก็แก่ บางทียังไม่ทันจะแก่เลย ความปรารถนาไม่สมหวังมันก็เกิด มันอิ่มแล้วมันก็หิวอยู่สบาย ๆ เดี๋ยวก็ร้อนหนัก ดีไม่ดีมันก็หนาวอีกแล้ว ดีไม่ดีอาการป่วยไข้ไม่สบายมันก็เกิด ตั้งแต่ตอนนี้มาเรายอมรับนับถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเราไม่หนักใจในเมื่อมันหิวเราก็กิน ไม่มีก็มนหิวกันไป เพราะอยากเกิดมาทำไม
    ทีนี้เราเห็นว่าการเกิดมันไม่ดีอย่าง นี้ หาความเที่ยงไม่ได้ เต็มไปด้วยความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น แต่กฎของธรรมดา มันบังคับว่าต้องเป็น ก็เลยสบายใจว่ามันต้องเป็นอย่างนี้
    ถ้า อาการเป็นอย่างนี้ปรากฏเราไม่หนักใจ เมื่อความแก่เกิดขึ้น ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น ความตายมีมาถึงไม่หนักใจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    พอถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาก็เลยนึกว่า เอ ไอ้เกิดนี่มันไม่ดีนะ มันเป็นอย่างนี้ ทางที่ไม่เกิดมีอยู่ก็คือพระนิพพาน ถ้าเราปลดขันธ์5 เสียได้เมื่อไร ถือว่า คำว่า เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นสุข

    2) ถ้าหากเราไม่สนใจทุกอย่างในโลก ไม่สนใจกายของเราด้วย ไม่สนใจกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจวัตถุธาตุใด ๆ ด้วย คำว่าไม่สนใจในที่นี้จงอย่าไปคิดว่าเราไม่สนใจในร่างกาย เราไม่กินข้าว หิวก็ไม่กิน ร้อนก็ไม่อาบน้ำ หนาวก็ไม่ห่มผ้า อันนี้ไม่ถูก
    คำ ว่าไม่สนใจคือ ไม่ติดใจในมัน ให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าร่างกายมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวนเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วก็แตกสลายไปในที่สุด ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็มีอารมณ์คิดต่อไปว่าร่างกายนี้พัง เราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก ร่างกายแห่งความเป็นคนก็ดี เทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ไม่มีความสุขจริง เราไม่ต้องการ เราต้องการจริง ๆ คือ พระนิพพาน
    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ใจของท่านก่อนหลับ ก็ดี หรือว่าตื่นใหม่ ๆ ก็ตาม ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่ง นอนแบบนั้น ตื่นใหม่ ๆ ใจกำลังสบาย สร้างความรู้สึกว่าร่างกายมันเสื่อม ร่างกายเป็นของน่าเบื่อ ร่างกายต้องตายในที่สุด เราไม่ต้องการร่างกายแบบนี้อีก เราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน จิตหวังจริง ๆ ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงทำได้อย่างนี้ก่อนหลับหรือตื่นใหม่ ๆ ไม่ต้องนั่งนอนคิดใช้ปัญญา เวลานี้เกิดอารมณ์เบื่อ ชั่วขณะจิตเดียว ไม่หวังร่างกายเพียงแค่ขณะจิตเดียว จิตก็กลับฟื้นคืนสภาพคงที่ตามเดิม เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอยืนยันว่าชาตินี้ก่อนท่าจะตาย ท่านจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานแน่

    3) ร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมด ก็ดี ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่านกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด และร่างกายของแต่ละร่างกาย ก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นของเราเสียจริง ๆ

    4) ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรเกินธรรมดา ท่านสอนให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา วางทุกข์เสียให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรามีอยู่ในโลกเท่านี้เอง

    5) ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้ามันไม่เที่ยง เราจะเข้าไปยุ่งกับความไม่เที่ยงให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์ อารมณ์ของคนที่เป็นทุกข์มันก็เพราะไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

    6) จำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยงมันก็ทุกข์ แต่ทว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม อนัตตามันก็เข้ามาถึง อย่ายึดอย่าถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเราคิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะอยู่กับมัน

    7) ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี นอกจากมันจะสกปรกแล้ว มันก็ไม่มีสภาวะเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะร่างกายเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายในที่สุด ที่เรียกกันว่า เมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ สิ่งที่รักอยู่ก็ต้องพลัดพรากจากกันไป

    8) ให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่ พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด ดูตัวอย่างคนที่เกิดแล้วตาย ของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มี คิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตาย ทำลายอย่างนั้น พิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่า นี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณอะไรที่ไหน ที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาลไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้

    9) ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาเสียแล้ว ความอาลัยในชีวิตมันก็ไม่มี เราศึกษาพระธรรมวินัยกัน ปฏิบัติสมถวิปัสสนาธุระกันก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือการตัดอาลัยในชีวิตเท่านั้น อารมณ์ที่จะตัดอาลัยในชีวิตได้ ก็มีอารมณ์รักธรรมดา คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา อย่าไปสนใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มากนัก ไอ้เรื่องที่จะทำให้ถูกใจเราทุกอย่างมันไม่มีถ้าใจเราเลว แต่ว่าถ้าใจเราดีเสียอย่างเดียว ทุกอย่างในโลกมันไม่มีอะไรผิดใจเรา เพราะว่าเราทราบว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

    10) พิจารณาจนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็น เอกัคคตารมณ์ คือ จิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตน หรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่มีความทุกข์ความเร่าร้อน ไม่ว่าอารมณ์ใด ๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่า ครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้ เป็นต้น คำว่า ครอบงำ หมายถึงความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตาย ไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธ ในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง ยอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิด เคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะ มีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ

    11) การที่เราจะได้ดีหรือไม่ได้ดี มันอยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้น การเจริญพระกรรมฐานที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้ดี ก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่มีอะไรยากลำบากอะไรที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหาอะไรมาสอนเรา นอกจากนำกฎธรรมดาที่เรามีอยู่ ให้เรามาใช้ปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิต เราก็ใช้กันอยู่เป็นปกติ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิ ไม่เป็นทางหมดทุกข์ องค์สมเด็จพระบรมครูต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิด้านกุศลจิต คิดหากุศลเข้าใส่ใจไว้เป็นประจำ ให้จิตมันจำไว้เฉพาะด้านกุศลอย่างเดียวจนเป็นเอกัคคตารมณ์ เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอนวิปัสสนาญาณ มีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ ที่มันจะพึงมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา มีความผูกพันในร่างกาย ซึ่งมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็วางร่างกายเสีย เพื่อพระนิพพาน



    **ลูกขอกราบนอบน้อมบูชาธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ**
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2012
  16. phai-put

    phai-put เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +306
    ตายก่อนตาย

    ตายเมื่อตาย ย่อมกลาย ไปเป็นผี
    ตายไม่ดี ได้เป็นที่ ผีตายโหง
    ตายทำไม เพียงให้ เขาใส่โลง
    ตายโอ่โถง นั้นคือ ตายเสียก่อนตาย

    ตายก่อนตาย มิใช่กลาย ไปเป็นผี
    แต่กลายเป็น สิ่งที่ ไม่สูญหาย
    ที่แท้คือ ความตาย ที่ไม่ตาย
    มีความหมาย ไม่มีใคร ได้เกิดแล

    คำพูดนี้ ผันผวน ชวนฉงน
    เหมือนเล่นลิ้น วกวน คนตอแหล
    แต่เป็นความ จริงอัน ไม่ผันแปร
    ใครคิดแก้ อรรถได้ ไม่ตายเอยฯ

    *** ท่านพุทธทาสภิกขุ***
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    ระวัง! เทียนดับ

    ความหมาย คำว่า โคตรภูญาณ
    โคตรภูญาณ หมายถึง มีอารมณ์อยู่ในระหว่างท่ามกลางโลกียะกับโลกุตตระ
    (หัวต่อที่จะข้ามพ้นจากสภาวะปุถุชน เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล)
    คือเห็นความทุกข์จนไม่กลัวต่อความว่าง ดั่งบุคคลที่กล้าโดดจากหน้าผาสู่ความว่าง เพราะรังเกียจในผานั้น อย่างสุดสุดใจ

    อารมณ์ฌานโลกุตตระ
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=194

    ถาม-ตอบเรื่อง โคตรภูญาณ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ผู้ถาม: หลวงพ่อเจ้าขา ลูกพบหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านพูดถึงเรื่อง โคตรภูญาณ ลูกไม่เข้าใจเลยเจ้าค่ะ ปฏิบัติอย่างไร ถึงจะเข้าถึงโคตรภูญาณเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ: โคตรภูญาณ เขาแปลว่า ระหว่าง ระหว่างโลกีย์กับโลกุตระตอนหนึ่ง ระหว่างพระโสดาบันกับพระสกิทาคาตอนหนึ่ง ระหว่างพระสกิทาคากับพระอนาคามีตอนหนึ่ง ระหว่างพระอนาคามีกับพระอรหันต์ มีหลายโคตร มี ๔ โคตร ๕ โคตร
    "เราต้องรู้ก่อนว่า เราโคตรภูญาน แบบไหน ระหว่าง โลกียะ กับ โลกุตระ หรือ ระหว่าง โสดาบัน กับ สกิทาคามี หรือ ระหว่าง สกิทาคามี กับ อนาคามี หรือ ระหว่าง อนาคามี กับ อรหันต์ เราต้องรู้ด้วยว่า เราอยุ่ระหว่างไหน"

    ถาม-ตอบ เรื่อง“อรหัตมรรค” กับ “อรหัตผล” ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ผู้ถาม: อ้อ...บังเอิญหลวงพ่อพูดคืนนี้เกี่ยวกับ อรหัตมรรค เรียนถามนิดคือว่า “อรหัตมรรค” กับ “อรหัตผล” นี่อารมณ์ต่างกันมากหรือไม่ครับ?
    หลวงพ่อ: ต่างกันมาก...ต่างเยอะเชียว อรหัตมรรคมีอะไรบ้าง?
    ๑.ต้อง ตัด รูปราคะ ยังมีอารมณ์หลงในรูปอยู่ ต้องตัดตัวนี้ก่อน รูปฌานนะ ไม่ใช่รูปคน ประการที่ ๒ เมื่อตัดตัวนั้นแล้ว ต้องตัด อรูปราคะ
    ต้องตัดอารมณ์ที่รักอรูปฌาน คือหลงในอรูปฌาน ยังใช้ฌานแต่ไม่หลงในฌาน ใช้ฌานเป็นประโยชน์นะ ๓.ตัด มานะ การถือตัวถือตน
    ๔.ตัด อุทธัจจะ คืออารมณ์ฟุ้งซ่าน ๕.ตัด อวิชชา อรหัตมรรค ก็ยังมี ๕ อย่าง คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
    พออรหัตผลเลยไม่มีอะไร อรหัตผลเหลืออย่างเดียว สังขารุเปกขาญาณ วางเฉยหมด

    ***อย่าลืมสร้างแสงสว่างให้กับดวงจิต
    ***บุคคลที่ทำจิตนิ่งได้ ใกล้จะถึงกระแสธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตอย่าลืมบำเพ็ญ
    อย่าลืมครูเพ็ญนะลูกหลาน!


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xxoR1FfPbWM&feature=related]เพลงดอกบัวงามเมื่อบำเพ็ญ By Mayagoon - YouTube[/ame]​

    ลูกหลานเอ๊ย!
    ทำอะไรก็ได้ เช่น ทำการงาน เรียนหนังสือ ทำกิจกรรมอื่นๆ หรือทำบุญ ทำบาป
    ให้ลูกหมั่นกำนดรู้ หรือมีสติระลึกรู้ตัวให้มากๆ

    แต่อย่าลืม ระลึกถึงพระพุทธเจ้าของลูกให้มากๆกันนะลูก
    หรือ อย่าลืมคำภาวนา
    นั่นแหล่ะ! ที่มา ที่เกิดของคำว่า สติ

    โลกนี้มันสั้นเหลือเกิน เวลามันเหลือน้อยเหลือเกิน แต่โลกทิพย์เบื้องหน้าโน้น ช่างยาวสุดประมาณ
    อย่าอยู่กับโลกนี้นาน ให้มั่นภาวนากันเยอะๆ
    ลูกลองถามใจกันดูนะว่า ตอนนี้จิตของเรานั้นอยู่กับโลก หรือว่าโลกทิพย์
    โลกทิพย์ หมายถึง โลกจิตวิญญาณ
    โลกวิญญาณ หมายถึง โลกแห่งสัจจธรรม คือ โลกแห่งความจริงของลูกๆ โลกที่ไม่มี คำว่า หลอกลวง โลกที่ไม่มีใครทำร้ายกัน ไม่เบียดเบียนกัน
    มีแต่รักกัน มีแต่ความเมตตากัน มีแต่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โลกแห่งความจริงใจ โลกแห่งบรมสุข หรือโลกวิมุตติ

    ที่ลูกกำลังอยู่นี้กัน เขาเรียกว่า โลกสมมุติ
    สมมุติแปลว่า ไม่จริง คือ โลกมายา โลกจอมปลอม มีแต่ยึด มีแต่จะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
    มันตรงกันข้ามกับโลกทิพย์เลยนะลูก....
    เหมือนสุ๘กับทุกข์เลย

    สุดท้ายนี้ ลืมพี่ภูได้นะลูก...
    แต่อย่าพระ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าของพวกเราทุกคน
    แต่ถ้าใครลืมพระ นั่นก็หมายถึงว่า เผลอ
    เผลอแปลว่า สติหายไปแล้วลูกรัก พระก็หายไปจากจิตลูกรักด้วย
    อีกไม่นาน ถ้าลูกหายจากโลกนี้ แล้วใครจะช่วยลูกหล่ะ!

    ครั้งยังมีชีวิตอยู่ ลูกมีแต่ความหลงสิ่งสมมุติกัน เวลาตายไปแล้ว มันจะไปไหนไกลกันได้ มันจะไปนิพพานได้อย่างไร
    ตอนมีชีวิตให้หลงพระ หลง/ทรงอารมณ์พระนิพพานกันนะลูก
    ลูกถึงจะได้ไปอยู่พระนิพพานกับพระพุทธเจ้าที่ลูกๆรักเคารพกัน

    ระลึกถึงพระกันให้เยอะๆนะลูก
    และอย่าลืมส่งการบ้านคุณแม่เพ็ญด้วยนะลูก (เกี่ยวกันไหม๊เนี๊ย)
    จากพ่อภู

    (จิตอยากพูด)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กรกฎาคม 2012
  19. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    นี่แหล่ะ!.. ความจริงของชีวิต

    โมทนาสาธุ สาธุกับท่านเพ่ภูด้วยก๊าบบบ.. ซัก20ล้านครั้งเลย..
    ตั้งกะอ่านมา ถูกใจอันนี้ที่สูดดดด...

    แหม่.. ซาหรุบแก่นสัจจธรรมแห่งชีวิต..
    และหนทางออกจากบ่วงวัฏฏะให้อีกด้วย..
    ทั้งหมดทั้งสิ้นนี่คือ พระพุทธศาสนา ของเราเลยทีเดียวเชียวแหล่ะ.. สาธุสาธุ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผลของการปฎิบัติ
    "จิตเกาะพระ"

    เมื่อเราระลึกถึงพระบ่อยๆ อันเป็นเหตุทำให้ สติเกิด
    สติเกิดขึ้นเนืองๆ บ่อยๆ อันเป็นเหตุทำให้ จิตนิ่ง
    จิตนิ่งเนืองๆ บ่อยๆ อันเป็นเหตุทำให้ จิตละเอียด
    จิตละเอียดเนืองๆ บ่อยๆ อันเป็นเหตุทำให้ ศีลละเอียด

    จิตและศีลที่กำลังละเอียดอยู่นี้
    จะคอยช่วยรักษา กำกับ ดูแล หรือคอยสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ
    *ครั้งแรกเรารักษาศีลก่อน เมื่อจิตละเอียดดีแล้ว ศีลนั้นจะมารักษาเราในภายหลัง*

    สำหรับผู้ที่มีสติมาก จิตก็จะนิ่งมาก จิตก็จะเป็นสมาธิ หรือทรงฌานลึกตามลำดับ
    จึงเป็นเหตุทำให้เรารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายใน อากัปกิริยาสำรวมมากขึ้น รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขึ้น
    อันเกิดจากจิตละเอียด ศีลจึงละเอียดตาม

    สติกับศีล
    เสมือนเป็นตัวเดียวกัน และเกี่ยวเนื่องกัน
    เช่น ใครมีสติมาก ศีลของบุคคลนั้น ย่อมมีครบบริบูรณ์
    แต่ถ้าใครมีสติน้อย หรือไม่มีสติ ศีลนั้น ย่อมจะขาดง่ายดาย​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...