พระโพธิสัตว์คือใคร?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย nouk, 2 สิงหาคม 2012.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หากเป็นสตรีเพศ , เด็กหรือคนชรา , ผู้สูงอายุที่มีศรัทธาในพระองค์ อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ก็จะเสด็จไปโปรดในพระนิรมาณกายเป็น สตรีเพศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะเมตตาธรรมได้อย่างละเมียดกว่าสภาพของบุรุษเพศ ซึ่งมักจะมีนัยไปทางเข้มแข็งและหนักแน่น ไม่อ่อนโยนเท่าที่ควร

    ตรงนี้จะไปคล้องจองกับเรื่องราวของ พระธิดาเหมี่ยวซัน ราชธิดาในกษัตริย์เหมี่ยวจวง ในนิยายอิงประวัติศาสตร์โบราณของจีน แล้วยังผูกพันกับศาสนาเต๋าในบางแง่มุมเช่น การไม่ทานเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัว การถือศีลเจหรือจาย แสดงถึงอิทธิพลของเต๋าที่เข้ามาสอดแทรกในพุทธมหายาน ซึ่งต่อมาก็เชื่อกันว่า พระธิดาเหมี่ยวซันคือพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ก็เลยเรียกพระนามตามเพศพระธิดาว่า เจ้าแม่ นับแต่นั้นมา

    หากเสด็จไปเพื่อปราบหรือปรามมิให้ผู้ใดกระทำความชั่ว หรือปรามให้หยุดการกระทำนั้นๆเสีย ก็จะมีพระนิรมาณกายเป็นปีศาจบ้าง , ยมบาลบ้าง , ยักษ์มารบ้าง , เทพอสูรบ้าง , ตามแต่สถานการณ์นั้นๆ ( ขึ้นกับว่าจะไปปราบใคร ก็จะทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในพวกนั้น)

    ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่เสด็จไปโปรด แม้แต่พระอริยบุคคลหรืออริยะเทพบางพระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ก็เสด็จไปโปรด เช่นสำแดงนิรมาณกายเป็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าบ้าง , พระไวโรจนะพุทธเจ้าบ้าง , เป็นพระสารีบุตรอรหันตเจ้าบ้าง , หรือเป็นเทพเป็นเซียนขั้นสูงบ้าง หรือแม้แต่เป็นสัตว์บางประเภทเช่นเสือ , ม้า , มังกร หาข้อจำกัดประมาณมิได้ ในหลักธรรมชั้นสูงเชื่อว่าความคิดอ่าน บางประการที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพียงชั่วแล่น นำไปสู่ปัญญารู้เห็นอื่นๆได้ เสมือนได้รู้ได้เห็นมาจนขึ้นใจ ความคิด ลักษณะนั้น นั่นก็เป็นพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ เรียกว่ามาโปรดในลักษณะของ ความคิดนึก มาในรูปของนามธรรม หมายความว่าแม้จะคิดอยู่ในใจเพียงคนเดียว รู้อยู่เฉพาะตน นั่นก็เท่ากับอยู่ในสายพระเนตรของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ด้วย จะคิดดีคิดชั่วก็แปลว่ามีจิตพระโพธิสัตว์ทรงรับรู้อยู่ด้วยทุกเสี้ยววินาที พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีความลับ
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ล้วนมี อุบายบารมี เช่นนี้ทั้งสิ้น แต่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับฌานบารมีในแต่ละภูมิ

    ในรัชสมัยของราชวงศ์ถัง มีการตั้งโรงทานอาหารเจ ซึ่งจำกัดจำนวนการรับอาหาร ต้องเข้าคิวรับอาหารหนึ่งที่ต่อหนึ่งคน เรียกว่าเป็นการให้ทานที่มีเงื่อนไข

    พระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระมัญชุศรีกุมารภูตโพธิสัตว์ ได้ เสด็จลงมาโปรดด้วยนิรมาณกายเป็นหญิงมีครรภ์ใกล้คลอด เข้าแถวรอรับอาหารเจที่โรงทานนี้ โดยนางร้องขอคนแจกอาหารว่า ขออาหารเพิ่มเป็น 2 ที่ ซึ่งเป็นส่วนของลูกในครรภ์ของนางด้วย คนแจกอาหารปฏิเสธ บอกเพียงว่าให้เด็กในครรภ์ออกมาขอเอง แล้วไล่นางออกไปจากโรงทาน

    พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ จึงกลับกลายร่างเป็นพระโพธิสัตว์ ปรากฏเป็นแสงสว่างสาดส่องไปทั่วทั้งโรงทาน ชั่วครู่ก็หายวับไปในนภากาศ ผู้คนที่อยู่ในโรงทานได้เห็นเป็นที่อัศจรรย์ทุกคนในครั้งนั้น

    นับแต่นั้นมา การตั้งโรงทานแจกอาหารแก่ผู้ยากไร้ จึงมีพระบรมราชโองการจากราชสำนักลงมาว่า จะต้องแจกจ่ายอาหารโดย ไม่เลือกบุคคลและไม่จำกัดจำนวน จนกว่าอาหารทานที่ผู้มีศรัทธาได้บริจาคมานั้น จะหมดลง

    คติในการสร้างพระรูปเคารพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ก็แตกต่างกันไป หรือที่เรียกกันว่า “ ปาง ” นั่นเอง ซึ่งมีการสร้างกันจำนวนมากมายหลายปางทีเดียว ถูกต้องตามตำราก็มี นึกเอาเองบ้างก็มาก ก็ว่ากันไปตามศรัทธา เป็นเรื่องของศรัทธา ( ที่อาจจะขาดปัญญาไปบ้าง)โดยแท้จริง ซึ่งว่าไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากการจัดสร้างองค์พ่อจตุคามรามเทพในวันนี้นี่แหละ

    พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ มีความสำคัญสูงสุดอีกประการหนึ่ง ด้วยเหตุที่ทรงได้รับปรัชญาธรรมจากพระสหัสประภาศานติสถิตยตถาคตพุทธเจ้า ซึ่งธรรมบทที่ว่านั้นคือ มหากรุณาธารณีสูตร ( ไต่ ปุย จิว) มีคุณานุภาพเป็นอเนกประการ เมื่อพระโพธิสัตว์ได้สดับธรรมนี้แล้ว ก็เจริญฌานจากขั้นปฐม บรรลุไปถึงภูมิขั้นที่ 8 ในทันที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ปรัชญาธรรมนี้ สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเข้าถึงพุทธภูมิได้ทันที และทำให้ผู้ที่เจริญภาวนาอยู่เป็นนิจ ปราศจากภัยต่างๆเป็นอนันต์ ทั้งปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะได้รับสมปรารถนาเสมอไป

    มหากรุณาธารณี นี้ มีทั้งหมด 84 อักษร ทุกอักษรนั้นมีความหมายในทางธรรมอย่างล้ำลึก นับเป็นรหัสธรรมที่มีความละเอียดอ่อนรอบคอบและศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เชื่อกันว่าแม้ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ , เทวดาหรือปีศาจยักษ์มาร หากได้เจริญภาวนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็จะได้พุทธะที่มีอยู่ในตัวตนเป็นพื้นฐาน

    ว่ากันว่าแม้เพียงได้ยินเสียงสวดมนต์ หรือเจริญบริกรรมพระมหากรุณาธารณีสูตรที่ว่านี้ หากมีจิตอันศรัทธาและตั้งปณิธานไว้ให้มั่นคง ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ก็จะได้อานิสงส์เหลือจะพรรณนา ดุจดั่งแก้วสารพัดนึก บทสวดที่ว่านี้ พุทธศาสนามหายานถือเป็นพระสูตรที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เสมือนเป็นหัวใจของพระไตรปิฏกเลยทีเดียว

    ปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มีการบันทึกเสียงลงในแผ่นซีดี มีทั้งภาษาจีนแต้จิ๋ว , กวางตุ้ง , ภาษาจีนกลาง(แมนดาริน) และอื่นๆเช่นเป็นภาษาสันสกฤตสวด(ขับร้อง)โดยพระสงฆ์มหายานของธิเบต หรือสวดสำเนียงธิเบต(ตันตระนิกาย) แน่นอน เป็นการสวดพระสูตรที่เข้มขลังผสมผสานด้วยดนตรี มีท่วงทำนองที่ไพเราะน่าฟัง ให้ความรู้สึกที่เยือกเย็นผ่อนคลาย เข้าถึงความรู้สึกลึกๆได้อย่างมหัศจรรย์ !

    ทั้งนี้ มีคติที่เชื่อกันว่าเป็นเพราะพระบารมีเมตตาแห่งองค์อวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ที่ทรงพระกรุณาประทานพระสูตรนี้ให้แก่มวลมนุษย์ และทรงช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ตามปณิธานอันแรงกล้านั่นเอง
     
  4. P184

    P184 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +809
    ขอบคุณสำหรับความรู้ความเข้าใจในพุทธศาสนานิกายมหายานครับ
    ความเข้าใจเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ว่าเป็นอย่างไรเราจำเป็นที่จะต้องศึกษาจากพระสูตรของทางมหายาน
    โดยการศึกษาแนวคิดนี้จากทางเถรวาทนั้นอาจจะหาได้ยาก เพราะเถรวารจะเน้นแนวคิดสาวกยานมากกว่า

    โพธิสัตว์เป็นผู้ที่สละตนเพื่อช่วยเหล่าสรรพสัตว์ ปณิธานของโพธิสัตว์เปรียบดั่งยานลำใหญ่ที่จะช่วยให้เหล่าสรรพสัตว์ข้ามพ้นจากกองทุกข์
     
  5. P184

    P184 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +809
    ขอกราบนมัสการพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทุกพระองค์ และเหล่าโพธิสัตว์ที่มีมากมายเหลือคณานับ เปรียบดั่งเม็ดทรายในมหานทีคงคา

    ขอให้ขับเคลื่อนกงล้อแห่งธรรมจักรสืบต่อไป ธรรมอันประเสริฐจะสถิตอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในโลกธาตุทั้งหลาย
    ปณิธานอันแน่วแน่ของเหล่าโพธิสัตว์จะอำนวยผลต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย



    ขอให้ทุกท่านมีโพธิจิต นั่นคือมีจิตแห่งโพธิสัตว์
    เมตตากรุณาต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์
    ยึดถือพระบรมศาสดาเป็นที่หนึ่ง ใช้ปัญญาเป็นเครื่องชี้ทาง ไม่ลุ่มหลงในธรรมของเดียรถีย์ที่แอบอิงคำสอนของพระพุทธศาสนา
    (ปัจจุบันมีอยู่มากในประเทศไทย ลัทธิใดคงไม่ต้องพูดถึงนะครับ ในเว็บบอร์ดยังมีเลย)
     
  6. patdorn

    patdorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +227
    ฟังหลวงตาม้ามาครับ
    โพธิสัตว์คือหน่อ หน่อ หน่อ พุทธ คือผู้ปรารถนาจะก้าวไปเป็นพุทธเจ้า
    เช่น ถ้าคนมีปัญญา หากไหว้ ลป ทวด หรือ ไหว้โพธิสัตว์กวนอิม
    ก็จะถึงทุกพระองค์ เพราะเป็นสายบุญเดียวกันครับ
    สายโพธิสัตว์หลักในไทย คือ ลปทวด และ ทางจีน ก็มี พระโพธิสัตว์กวนอิม
    ก็แล้วแต่ว่า จะชอบหรือศรัทธาพระองค์ไหนครับ
     
  7. iampoo

    iampoo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +25
    น่าอ่านครับแต่ ยาว T.T บันทึกหน้าไว้ สอบเสร็จจะกลับมาอ่านต่อให้จบครับ อนุโมทนา ^^
     
  8. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ในอวตังสกสูตร พระโพธิอวโลกิเตศวร ถามพระพุทธเจ้าอมิตาภะว่า พระโพธิสัตว์คือใคร พระพุทธเจ้าตอบว่า ก็เธอไง?

    ข้าก็จักตอบว่า ก็เธอไง? เช่นกัน
    คนโง่มักคิดว่าพระโพธิสัตว์ นั้นอยู่ไกล? โดยไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองนั้นแหละคือพระโพธิสัตว์ ในตอนที่มใครสักคนคิดที่จะช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ เขาก็เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว ในตอนที่ในจิตของคนๆๆหนึ่งมีความรักความเมตตากรุณาเขาก็เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว ในตอนที่คนๆๆใช้ปัญญาในการปฏิเสธสิ่งที่ผิด ในการมองทะลุความเป็นมายาของโลกธรรมเขาก็เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว นะจ๊ะ นะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2012
  9. P184

    P184 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +809
    มีหลายคนเฝ้ารอคอย ตามหาว่าโพธิสัตว์อยู่แห่งหนไหน?
    ชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็ไม่เคยเจอ ไปตามสถานธรรมเพื่อรอคนทรงที่อ้างตนว่าเป็นโพธิสัตว์ถ่ายทอดธรรมอันบิดเบือน แล้วก็ดีใจคิดว่าใช่เจอแล้ว
    ไปตามศาลเจ้าจีนเพื่อหาโพธิสัตว์ แล้วมีความชอบใจคิดว่าได้ใกล้ชิดพระองค์ผ่านร่างทรง
    แต่คนเหล่านี้กลับไม่ชอบที่จะไปตามวัดทั้งวัดจีนและวัดญวน เหตุเพราะวัดไม่มีการเข้าทรงมีแต่พระสงฆ์ทำพิธีสวดมนต์เท่านั้น แล้วจะเจอโพธิสัตว์ได้ไงโพธิสัตว์จะต้องอาศัยร่างมนุษย์ในการโปรดสัตว์

    ผมอยากบอกว่าสำหรับผู้ที่นับถือนิกายมหายาน ศึกษามหายาน จะรู้ว่าโพธิสัตว์อยู่ไหน
    โพธิสัตว์มีมากมายเหลือคณานับเปรียบดั่งเม็ดทรายในมหานทีคงคา มีอยู่ทั่วทุกโลกธาตุในสหสากลจักรวาล
    พระโพธิสัตว์สามารถจำแลงแปลงกายเป็นสิ่งใดก็ได้เพื่อโปรดสัตว์ ช่วยเหลือสรรพสัตว์
    ฉะนั้นแล้วเหตุใดจึงต้องอาศัยร่างมนุษย์ด้วยเล่า

    ท่านทั้งหลายที่อ่านความเห็นผมอยู่นี้ เคยเจอและนึกสงสัยไหม
    ในบางครั้งที่เราประสบกับปัญหา หาทางแก้ไม่ได้ แล้วอยู่ๆก็มีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงหรือชาย โดยที่เราไม่รู้จักเขามาก่อน
    แล้วเขาช่วยเราทำไม?
    เมื่อช่วยเหลือเสร็จเขาก็หายไป จะขอบคุณก็ทำไม่ได้ ตามหาก็ไม่เจอ

    บางครั้งบุคคลเหล่านั้นอาจจะเป็นโพธิสัตว์จำแลงแปลงกายมาก็เป็นได้

    คนที่เดินถนนหรือที่สวนกับเราอาจจะเป็นโพธิสัตว์แปลงกายมา ใครจะรู้???

    ผมก็ขอฝากไว้นะครับ
    ขอให้เจริญในธรรมของพระพุทธองค์ผู้ประเสริฐและเป็นเลิศที่สุด
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระอวโลกิเตศวรพระ โพธิสัตว์องค์สำคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ที่มีผู้เคารพศรัทธามากที่สุด และเป็นเสมือนปุคคลาธิษฐานแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เรื่องราวของพระอวโลกิเตศวรปรากฏอยู่ ทั่วไปในคัมภีร์สันสกฤตของมหายาน อาทิ ปฺรชฺญาปารมิตาสูตฺร , สทฺธรฺมปุณฑรีกสูตฺร และการณฺฑวยูหสูตฺร

    ความหมายของพระนาม

    คำว่า อวโลกิเตศวร ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายนัยด้วยกัน แต่โดยรูปศัพท์แล้ว คำว่าอวโลกิเตศวรมาจากคำสันสกฤตสองคำคือ อวโลกิต กับ อิศวร แปลได้ว่าผู้เป็นใหญ่ที่เฝ้ามองจากเบื้องบน หรือพระผู้ทัศนาดูโลก ซึ่งหมายถึงเฝ้าดูแลสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์นั่นเอง
    ซิมเมอร์ นักวิชาการชาวเยอรมันอธิบายว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ทรงเป็นสมันตมุข คือ ปรากฏพระพักตร์อยู่ทุกทิศ อาจแลเห็นทั้งหมด ทรงเป็นผู้ที่สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คืออาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงยับยั้งไว้เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์
    นอกจากนี้นักปราชญ์พุทธศาสนาบางท่าน ยังได้เสนอความเห็นว่า คำว่า อิศวร นั้น เป็นเสมือนตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ จึงถือได้ว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์เดียวที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม ในขณะที่พระโพธิสัตว์พระองค์อื่น หามีไม่ อันแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญยิ่งของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้

    พุทธศาสนิกชนชาวจีนจะรู้จักพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในพระนามว่า กวน ซี อิม หรือ กวนอิม ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าอวโลกิเตศวรในภาษาสันสกฤต คือผู้เพ่งสดับเสียงแห่งโลก แต่โดยทั่วไปแล้วมักให้อรรถาธิบายเป็นใจความว่า หมายถึง พระผู้สดับฟังเสียงคร่ำครวญของสัตว์โลก (ที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์) คำว่ากวนซีอิมนี้พระกุมารชีวะชาวเอเชียกลางผู้ไปเผยแผ่พระศาสนาในจีน เป็นผู้แปลขึ้น ต่อมาตัดออกเหลือเพียงกวนอิมเท่านั้น เนื่องจากคำว่าซีไปพ้องกับพระนามของ จักรพรรดิถังไท่จง หรือ หลีซีหมิง นั่นเอง

    พระอวโลกิเตศวรในฐานะเป็นพระธยานิโพธิสัตว์

    พุทธศาสนามหายานได้จำแนกพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท อันได้แก่ พระมนุษิโพธิสัตว์ และ พระธยานิโพธิสัตว์

    • พระมนุษิโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ในสภาวะมนุษย์ หรือเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ที่กำลังบำเพ็ญสั่งสมบารมีอันยิ่งใหญ่ เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ ถ้าตามมติของฝ่ายเถรวาทก็คือผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ใน วัฏสงสาร เพื่อบำเพ็ญ ทศบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำมาในอดีต โดยที่ทรงเสวยพระชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์จนได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า

      การบำเพ็ญบารมีดังกล่าวนี้เป็นความยากลำบากแสนสาหัส สำเร็จได้ด้วยโพธิจิต อีกทั้งวิริยะและความกรุณาอันหาที่เปรียบมิได้ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับด้วย กัปอสงไขย สิ้นภพสิ้นชาติสุดจะประมาณได้
    • พระธยานิโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มิใช่พระโพธิสัตว์ผู้กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อแสวงหาดวง ปัญญา อันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเหมือนประเภทแรก แต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และสำเร็จเป็นพระธยานิโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ในสมาธิ โดยยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด

      พระธยานิโพธิสัตว์นี้เป็นทิพยบุคคลที่มีลักษณะดังหนึ่งเทพยดา มีคุณชาติทางจิตเข้าสู่ภูมิธรรมขั้นสูงสุด และทรงไว้ซึ่งพระโพธิญาณอย่างมั่นคง จึงมีสภาวะที่สูงกว่าพระโพธิสัตว์ทั่วไป

      พระธยานิโพธิสัตว์มักจะมีภูมิหลังที่ยาวนาน เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มาเนิ่นนานนับแต่สมัยพระอดีต พุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สุดจะคณานับเป็นกาลเวลาได้ พระธยานิโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานรู้จักดี อาทิ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระสมันตภัทร พระกษิติครรภ์ เป็นต้น
    ที่มา :
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 001_S.jpg
      001_S.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.6 KB
      เปิดดู:
      192
    • 002_S.jpg
      002_S.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.9 KB
      เปิดดู:
      69
    • 004_S.jpg
      004_S.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.2 KB
      เปิดดู:
      70
    • 007_S.jpg
      007_S.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.3 KB
      เปิดดู:
      73
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ประวัติความเป็นมาในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน

    พระไตรปิฎกของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ไม่มีปรากฏเรื่องราว หรือแม้แต่พระนามของพระอวโลกิเตศวรอยู่เลย ทว่าในส่วนของนิกายมหายานแล้ว พระอวโลกิเตศวรมีบทบาทปรากฏอยู่มากในพระสูตรสำคัญ ๆ และยังมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรมหายานว่า พระพุทธเจ้าและพระสาวกยังได้เคยตรัสสนทนาธรรมกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้อยู่บ่อยครั้งทีเดียว ในพุทธศาสนามหายานยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่าเป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนาและหมุนธรรมจักรต่อไป

    การอุบัติของพระอวโลกิเตศวรนี้ สันนิษฐานว่ามีขึ้นภายหลังการเกิดนิกายมหายานขึ้นแล้ว ในราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ ภายหลังพุทธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากวรรณคดีสันสกฤตยุคต้น ๆ ของมหายานอย่าง ชาดกมาลา ทิวยาวทาน หรือลลิตวิสตระ ก็ยังไม่ปรากฏนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แต่อย่างใด

    แต่มีปรากฏขึ้นครั้งแรกพร้อม ๆ กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ในพระสูตรปรัชญาปารมิตา ซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด และในพระสูตรรุ่นต่อ ๆ มาก็ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ปรากฏขึ้นมากมาย

    พระสูตรมหายานกล่าวว่า พระอวโลกิเตศวรประทับอยู่ ณ สุขาวดีพุทธเกษตร คอยช่วยพระอมิตาภะโปรดสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ และเนื่องจากทรงเป็นพระธยานิโพธิสัตว์ จึงมีความเป็นมาอันยาวนานสุดจะคาดคำนวณได้ นับแต่สมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้นมา ก็ทรงได้โปรดสัตว์มาเป็นลำดับ จนถึงบัดนี้ อันเป็นกาลสมัยของ พระสมณโคดมศากยมุนีพุทธเจ้า ก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนานสุดจะพรรณนา

    ใน กรุณาปุณฑริกสูตร อธิบายว่า พระอวโลกิเตศวร เป็นพระธรรมกายโพธิสัตว์ สูงกว่าพระโพธิสัตว์สามัญอื่น ๆ และเป็นเอกชาติปฏิพัทธะเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์อารยเมตตรัย กล่าวคือ เป็นผู้ที่ยังข้องอยู่กับการเกิดอีกเพียงชาติเดียว ก็จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวกันว่า พระอวโลกิเตศวรจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายหลังการดับขัน ธปรินิพพานของพระอมิตาภะ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ณ แดนสุขาวดี

    นอกจากนี้ในพระสูตรมหายานอื่น ๆ ก็ยังมีปรากฏว่า อธิบายแตกต่างออกไปอีก กล่าวคือ บางพระสูตรกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้น แท้จริงแล้วคืออวตารภาคหนึ่งของพระอดีตพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบรรลุพุทธภูมิเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะแล้ว ในอดีตกาลอันยาวไกล ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าของเรา
    แต่ด้วยพระมหากรุณาที่เล็งเห็นสรรพสัตว์ยังตกอยู่ในโมหะอวิชชา ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่ในวังวนแห่งสังสารวัฏยากจะหลุดพ้นไปได้ จึงทรงแบ่งภาคมาเป็นพระอวโลกิเตศวร เพื่อโปรดปวงสัตว์ให้เห็นธรรมพ้นทุกข์ด้วยพระเมตตากรุณา

    ในบางแห่งก็กล่าวว่า พระอวโลกิเตศวรเป็นพุทธโอรสของพระอมิตาภะที่ทรงบันดาลด้วยพุทธาภินิหาริย์ ให้อุบัติขึ้นมา เพื่อเป็นที่พึ่งแก่โลก แต่ทางฝ่ายทิเบตเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรอุบัติขึ้นมาพร้อม ๆ กับพระนางตารา ด้วยอานุภาพของพระอมิตาภพุทธ จากแสงสว่าง (บางแห่งว่าเป็นน้ำพระเนตรจากความกรุณาสงสารสรรพสัตว์) ที่เปล่งออกมาจากพระเนตรเบื้องขวาของพระอมิตาภะ ได้บังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรประทับบนดอกบัวที่ปรากฏขึ้นพร้อม ๆ กับมนตร์ โอม มณี ปัทเม หูม ส่วน แสงจากพระเนตรเบื้องซ้ายก่อให้เกิดพระนางตาราโพธิสัตว์ อย่างไรก็ตาม ในพระสูตรอื่นบางแห่งก็มีกล่าวว่าแท้จริงแล้วพระอวโลกิเตศวร ก็คือภาคหนึ่งขององค์พระอมิตาภะนั่นเอง
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ลักษณะทางประติมานวิทยา

    ภาพเขียนหรือรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวร เริ่มแรกนิยมสร้างเป็นรูปบุรุษหนุ่ม ทรงเครื่องอลังการวิภูษิตาภรณ์อย่างเจ้าชายอินเดียโบราณ และมีอยู่หลายปางด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญคือศิราภรณ์บนพระเศียรพระอวโลกิเตศวรจะต้องมีรูปของพระอมิตาภะ ในปางสมาธิ หากเป็นปางที่มีหลายเศียร เศียรบนสุดจะเป็นเศียรพระอมิตาภะ นับเป็นข้อสังเกตในด้านปฏิมากรรมของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้

    ส่วนดอกบัวอันเป็นสัญญลักษณ์ของพระอวโลกิเตศวร คือ บัวสีชมพู ขณะที่สีขาวคือบัวของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์เท่านั้น และด้วยดอกบัวสีชมพูในตระกูลปัทมะนี้เอง ทำให้พระองค์ได้รับการขนานพระนามว่า ปัทมปาณีโพธิสัตว์

    เมื่อพระพุทธศาสนามหายานได้เข้าสู่ ประเทศจีนในช่วงแรกคือ สมัยก่อนราชวงศ์ถัง ในยุคนั้นรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรยังสร้างเป็นรูปบุรุษตามแบบพุทธศิลป์ของ อินเดีย หากในกาลต่อมาช่างชาวจีนได้คิดสร้างเป็นรูปสตรีเพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยน และแสดงถึงความเมตตากรุณาให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ดังเช่นความรักของมารดาที่มีต่อบุตร สะท้อนถึงความรู้สึกและความเชื่อของประชาชนพื้นถิ่นที่ห่างไกลแม่แบบซึ่งมา จากอินเดีย จนอาจจะเรียกได้ว่า กวนอิม ในรูปลักษณ์ของสตรีเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในจีน และแพร่หลายมากกว่าปางอื่น ๆ

    กระทั่งแผ่ขยายเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย ทั้งนี้เพราะรูปลักษณ์ของฝ่ายหญิงแทนค่าในเรื่องความเมตตากรุณาได้ดี ในขณะที่รูปลักษณ์อย่างบุรุษเพศ จะสะท้อนเรื่องคุณธรรมมากกว่าความเมตตา เมื่อพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าไปยังเกาหลี ญี่ปุ่นและเวียดนาม พุทธศาสนิกชนในประเทศนั้นก็พลอยสร้างรูปพระอวโลกิเตศวรเป็นสตรีตามแบบอย่าง ประเทศจีนไปด้วย

    เรื่องราวในสทฺธรฺมปุณฺฑรีกสูตร

    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นที่นับถือโดยทั่วไปทั้งในทิเบต จีน และญี่ปุ่น โดยเฉพาะนิกายเทียนไท้ทั้งในจีนและญี่ปุ่น รวมถึงนิกายนิชิเรนในญี่ปุ่นอีกด้วย

    ในญี่ปุ่นเจ้าชายโชโตกุได้ทรงแต่งอรรถกถาอธิบายความพระสูตรนี้ แม้ว่าเนื้อหาหลักของคัมภีร์นี้จะเป็นการอรรถาธิบายถึงหลักการของมหายานคือ สัจจะเอกยาน และสอนมีศรัทธาในพระสัทธรรมอันเป็นหนึ่งเดียว แต่ในตอนหนึ่งได้มีการกล่าวสรรเสริญอานุภาพแห่งพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไว้ ในบทหนึ่งชื่อว่า “ สมันตมุขปริวรรต ” ว่าด้วยการสำแดงร่าง เพื่อโปรดสัตว์ของพระอวโลกิเตศวร

    เนื้อความในบทนี้เริ่มต้นด้วยการสนทนาระหว่างพระอักษยมติกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า ว่าด้วยเรื่องราวในอดีตกาลของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ข้อความหลายตอนที่มีความสำคัญ อาทิ
    "ก็แลในขณะนั้น พระอักษยมติโพธิสัตว์ ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่าแล้วประนมมือเฉพาะพระพักตร์ พระพุทธองค์ กราบทูลถามปัญหาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การที่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ได้รับสมญานามว่า อวโลกิเตศวร ด้วยเหตุอันใด พระพุทธเจ้าข้า ”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 005_S.jpg
      005_S.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.8 KB
      เปิดดู:
      72
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ในพระสูตรตอนเดียวกัน พระพุทธองค์ได้สรุปอานุภาพของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ไว้ว่า “... ก็จริยาของพระอวโลกิเตศวรนั้น สามารถตอบสนองในที่ทุกแห่ง มีคำปฏิญญาลึกยิ่งกว่าทะเล ได้ผ่านกาลนับเป็นกัลป์นับไม่ถ้วน เฝ้าพระพุทธเจ้ามานับพันแสนพระองค์ ตั้งมหาปณิธานอันบริสุทธิ์ เราจะกล่าวแก่เธอโดยย่อ ได้ยินชื่อแลเห็นกายของท่าน ตั้งใจระลึกถึงโดยไม่ว่างเว้น สามารถดับทุกข์ทั้งหลายได้

    หากผู้มีจิตคิดมุ่งร้าย หวังผลักให้ตกลงไปในกองเพลิงใหญ่ ด้วยอำนาจสวดพระนามอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ กองเพลิงย่อมกลับกลายเป็นบ่อน้ำ หรือหากพลัดพเนจรไปในทะเลใหญ่ มีภัยจากนาค ปลา ผี เป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งการระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ คลื่นก็ไม่อาจซัดสาดให้จมน้ำได้ หรืออยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ มีคนผลักให้ตกลง ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (ผู้นั้น)จะลอยอยู่ในอากาศเหมือนดวงอาทิตย์ หรือถูกคนร้ายไล่ตกจากเขาวชิระ ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ก็ไม่ต้องบาดเจ็บแม้แต่น้อย แม้เพียงขนเส้นเดียว
    หรือถูกโจรผู้มีเวรล้อมอยู่ ต่างถือศาสตราวุธจะเข้ามาทำร้าย ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (โจรเหล่านั้น)ต่างเกิดเมตตาจิตทันที หรือต้องรับทุกข์เพราะอาญาราชย์ จวนถูกประหารชีวิตจะจบสิ้น ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ มีดก็จะหักชำรุดไปเป็นท่อน ๆ หรือถูกขัง ต้องขื่อคา เท้าและมือถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (เครื่องพันธนาการ) ได้หลุดไปทันที

    คำสาปแช่งและยาพิษที่จะเป็นผลร้ายต่อร่างกาย ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (พิษร้าย) กลับไปสู่ตัวผู้สาปแช่ง หรือไปพบพานรากษสบาป นาคมีพิษและเหล่าผีเป็นต้น ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ก็ไม่กล้าทำร้ายได้เลย หากสัตว์ร้ายรายล้อมตัวอยู่ มีเขี้ยวเล็บคมเป็นที่น่ากลัวเกรง ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ต่างก็รีบหนีไปไกลแสนไกล งูพิษและแมลงมีพิษร้าย มีไอพิษเหมือนควันไฟ ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ต่างหนีกลับไปหมด

    เมฆทะมึน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ลูกเห็บตก ลมฝนพายุใหญ่ ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ สัตว์โลกต้องทุกข์ทรมาน ทุกข์เบียดเบียนชั่วอสงไขย ด้วยอำนาจสวดพระนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ สามารถบำบัดทุกข์ในโลกธาตุนี้ได้ มีอำนาจอิทธิฤทธิ์พร้อมสรรพ โปรดด้วยสติ อุบายอันกว้างขวาง โลกธาตุต่าง ๆ ทุกสิบทิศ ไม่มีเกษตรใดที่ไม่ปรากฏกาย ในทุคติวิสัยต่าง ๆ นรก เปรต สัตว์ อสุรกาย ความทุกข์เกิดจาก แก่ เจ็บ ตาย จะค่อย ๆ ดับไป... ”
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระสหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวร
    พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรพันหัสต์พันเนตร


    รูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรมีอยู่หลาย ปาง ทั้งภาคบุรุษ ภาคสตรี ไปจนถึงปางอันแสดงลักษณาการที่ดุร้าย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปราบมารคือ สรรพกิเลส แต่ปางที่สำคัญปางหนึ่งคือปางที่ทรงสำแดงพระวรกายเป็นพันหัสถ์พันเนตร

    ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรสันสกฤตคือ สหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวรโพธิสัตวไวปุลยสัม

    ปุรณ อกิญจน มหากรุณาจิตรธารณีสูตร มหากรุณามนตร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า มหากรุณาธารณีสูตร นำเข้าไปแปลในจีนโดย พระภควธรรม ชาวอินเดีย ในสมัยราชวงศ์ถัง ได้กล่าวถึงบทสวดธารณีแห่งพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ คือ “ มหากรุณาหฤทัยธารณี ” เนื้อหากล่าวถึงเมื่อครั้งที่พระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โปตาลกะบรรพต ในกาลนั้นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้ขอพุทธานุญาต แสดงธารณีมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ไว้เพื่อเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์

    ซึ่งธารณีนี้ย้อนไปในครั้งกาลสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า พระสหัสประภาศานติสถิตยตถาคต พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสธารณีนี้แก่พระอวโลกิเตศวร และตรัสว่า “ สาธุ บุรุษ เมื่อเธอได้หฤทัยธารณีนี้ จงสร้างประโยชน์สุขสำราญแก่สัตว์ทั้งหลาย ในกษายกัลป์แห่งอนาคตกาลโดยทั่วถึง ”

    ตามเนื้อความของพระสูตรได้กล่าวว่า ในขณะนั้น เมื่อพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้สดับมนตร์นี้แล้ว ก็ได้บรรลุถึงภูมิที่ ๘ แห่งพระโพธิสัตว์เจ้า จึงได้ตั้งปณิธานว่า “ ในอนาคตกาล หากข้าพเจ้าสามารถยังประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ได้ ขอให้ข้าพเจ้ามีพันเนตรพันหัตถ์ในบัดดล ” เมื่อท่านตั้งปณิธานดังนี้แล้ว พลันก็บังเกิดมีพันหัสถ์พันเนตรขึ้นทันที และเพลานั้นพื้นมหาพสุธาดลทั่วทศทิศ ก็ไหวสะเทือนเลื่อนลั่น พระพุทธเจ้าทั้งปวงในทศทิศก็เปล่งแสงโอภาสเรืองรองมาต้องวรกายแห่งพระ โพธิสัตว์ และฉายรัศมีไปยังโลกธาตุต่าง ๆ อย่างปราศจากขอบเขต

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า เนื่องจากปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ หากเหล่ามนุษย์และทวยเทพ ตั้งจิตสวดมหากรุณาธารณี มนตร์นี้คืนละ ๗ จบ ก็จะดับมหันตโทษจำนวนร้อยพันหมื่นล้านกัลป์ได้ หากเหล่ามนุษย์ทวยเทพสวดคาถามหากรุณาธารณีนี้ เมื่อใกล้ชีวิตดับ พระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ ทิศจะยื่นพระกรมารับให้ไปอุบัติในพุทธเกษตรทุกแห่ง

    จากเรื่องราวในพระสูตรนี้ทำให้เกิดการ สร้างรูปพระโพธิสัตว์พันหัสถ์พันเนตร อันแสดงถึงการทอดทัศนาเล็งเห็นทั่วโลกธาตุ และพันหัสต์แสดงถึงอำนาจในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์

    บทสวดในพระสูตรนี้เป็นภาษาสันสกฤตผสมภาษาท้องถิ่นโบราณในอินเดีย ที่หลงเหลือมาในปัจจุบันมีหลายฉบับที่ไม่ตรงกัน ทั้งในฉบับทิเบต ฉบับจีน ซึ่งมีทั้งของพระภควธรรม พระอโมฆวัชระ ฯลฯ ต่อมาได้มีการค้นคว้าและปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์โดย Dr.Lokesh Chandra และตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ ค.ศ.1988 เป็นบทสวดสำคัญประจำองค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานสวด กันอยู่โดยทั่วไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 006_S.jpg
      006_S.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.1 KB
      เปิดดู:
      70
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ปุณฑริกสูตรคืออะไร???

    พระสัทธรรมปุณฑริกสูตรคืออะไร???

    สัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นคำสอนสูงสุดของพระศากยมุนีพุทธะ...ในช่วงระยะเวลา8ปีสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระศากยมุนีพุทธะพระองค์ก็ได้เทศนาพระสูรตสัทธรรมปุณฑริกสูตรตลอดชีวิตของพระองค์นั้นเพื่ออุทิศให้กับการสั่งสอนมนุษย์ให้รู้วิธีทางที่จะระงับการทุกข์ยากในชีวิตนี้และคำสอนช่วงสุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระองค์อันนี้แหละที่เป็นคำสอนที่ถูกต้องที่สุด

    พระสูตรนี้สอน 2 หลักใหญ่ที่สำคัญคือ

    1.สอนว่าชีวิตของเรานั้นเป็นนิรันดร์

    2.สอนว่าสภาวะพุทธะมิได้อยู่ภายนอกร่างกายของมนุษย์เลย แต่เป็นสภาวะที่สูงสุดของชีวิตที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน สาระสำคัญของคำสอนในสัทธรรมปุณฑริกสูตรคือ มนุษย์ทุกคนสามารถจะนำเอาสภาวะพุทธะซึ่งมีอยู่ในชีวิตของเขาเองนั้นออกมาได้ แต่น่าเสียดายที่ว่า คำสอนนี้ทรงสอนให้แก่พระสงฆ์เท่านั้นเนื่องด้วยว่าประชาชนในสมัยนั้นไม่สามารถเข้าใจคำสอนนี้ได้เลยพระศากยมุนีพุทธะมีความห่วงใยความทุกข์สุขของประชาชนในสังคมมาก และพระองค์ทรงทราบดีว่า ขณะนั้นยังไม่ใช่เวลาที่จะเผยแผ่ปรัชญาธรรมสากลให้แก่ปวงชนในสมัยนั้นพระองค์ได้พยาการณ์ว่า ภายหลังที่พระองค์ได้เสด็จปรินิพานไป2000ปี อันเป็นยุคสมัยธรรมปลายจะมีพุทธะอีกองค์หนึ่งมาเผยแผ่สั่งสอนปรัชญาธรรมสากล ซึ่งสามารถที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนบรรลุการรู้แจ้งเห็นจริงได้...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dffsdF.jpg
      dffsdF.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.1 KB
      เปิดดู:
      68
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระสูตรมหายาน(1): สัทธรรมปุณฑริกสูตร

    (๑) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นพระสูตรสำคัญของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นพระสูตรที่แสดงถึงความเป็นมหายานอันยิ่งใหญ่ก็ว่าได้ พระสูตรนี้นั้นแทบทุกนิกายในมหายานจะต้องสาธยายสวดอยู่เสมอ นิกายเซนก็สวดอยู่ทุกเช้าค่ำ พระสูตรนี้นั้นมีอิทธิพลมาก จนมีผู้ศรัทธามากมายจนก่อให้กำเนิดนิกายเทียนไท้(เทนได)ซึ่งก่อตั้งโดยคณาจารย์เทียนไท้ ยังแพร่หลายในประเทศจีน และนิกายนิชิเร็น ซึ่งก่อตั้งโดยพระนิชิเร็น ต่อมามีผู้ทำไปสาธยายสวดมนต์มากมาย เกิดเป็นนิกายนิชิเร็นโชชู , นิชิเร็นชู เกิดสมาคมไซคา งักไก ที่แพร่หลายในปัจจุบัน ริชโชโคเซไก รวมๆแล้วผู้นับถือนิกายสัทธรรมปุณฑรีกสูตร(เทียนไท้, นิชิเร็น) คงมากถึง30ล้านหรืออาจมากกว่าเป็นเท่าตัวก็ว่าได้

    สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนั้นได้มีการแปลไทยแล้วหลายครั้งอยู่ที่สมบูรณ์ มี๓ฉบับได้แก่ ฉบับของชะเอม แก้วคล้าย ท่านแปลจากสันกฤตพากย์สู่ไทยพากย์ ,ฉบับของภิกษุณีธัมนันทา(ขณะเป็น รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์) แปลจากอังกฤษพากย์สู่ไทยพากย์ และฉบับของสมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย

    (๒) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร(สัด-ทำ-มะ-ปุน-ทะ-รี-กะ-สูด)หรือพระสูตรดอกบัวขาว จีนเรียกเมี่ยวฝ่าเหลียนฮวาจิง ญี่ปุ่นเรียก เมียวโฮเร็งเงเคียว พระสูตรนี้เป็นพระสูตรสำคัญมากของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเป็นที่ศรัทธาและเคารพอย่างมากของพุทธศาสนิกชนมหายาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเอเชียตะวันออก เวลาในการแต่งพระสูตรนี้มีมติไม่แน่นอน บ้างก็ว่าหลังพุทธปรินิพพานไปร้อยปีหรือหลายร้อยปีมากกว่า บ้างก็ออกมาตรงๆว่าประมาณราวปีพ.ศ.300 เป็นอย่างเร็ว แต่ที่พบฉบับสันกฤตดั้งเดิมที่เนปาลมีอายุหลังพ.ศ.๑๕๐๐ ที่ธิเบตก็ประมาณที่พบที่เนปาล แต่ถ้าว่ากันแล้วต้องมีอายุมากกว่านี้แน่นอน ได้พบเห็นว่าในสมัยท่านนาคารชุนะ(พ.ศ.๗๐๐-๘๐๐)ในหนังสือของท่านก็มีการอ้างอิงข้อความในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรอยู่หลายตอน ตามที่สันนิษฐานแล้วก็อาจจะคาดเดาได้ว่าสัทธรรมปุณฑรีกสูตรน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าพ.ศ.๖๐๐

    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับดั้งเดิมนั้นไม่แน่ชัด มีการแปลเป็นจีนพากย์ถึง6สำนวน แต่สามฉบับแรกได้เสื่อมถอยตามกาลได้สูญหายไปแล้ว เหลืออีกสามฉบับ ซึ่งในสามฉบับนี้ ฉบับของพระธรรมรักษะเถระ เป็นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดแปลเมื่อปีพ.ศ.๘๒๙ แต่ฉบับที่สำนวนไพเราะสละสลวยที่สุดก็ต้องฉบับของ พระกุมารชีวะ (พ.ศ.๘๘๗-๙๕๖) ท่านแปลเมื่อพ.ศ.๙๓๔ และอีกฉบับหนึ่งที่ท่านชญาณคุปตะกับท่านธรรมคุปตะแปลอีกหนึ่งสำนวน ข้อความอาจแตกต่างกันไปบ้างแต่ใจความนั้นครบถ้วน

    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับเดิมมี๒แบบเขียน คือแบบร้อยแก้ว ร้อยกรอง ในเนื้อหาจะกล่าวถึงยกพุทธยานเป็นยานอันสูงสุด ยานทั้ง๓ (สาวกยาน, ปัจเจกยาน, โพธิสัตตว์ยาน) เป็นเพียงกุศโลบายเท่านั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. P184

    P184 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +809
    สัทธรรมปุณฑริกสูตร ที่รู้มาอ่านว่า สัด-ทะ-ทำ-ปุน-ทะ-ริ-กะ-สูด มิใช่เหรอครับ
    ผิดถูกอย่างไรผมขออภัยด้วยนะครับ

    สัทธรรมปุณฑริกสูตร พระสูตรที่สำคัญยิ่งของมหายาน
    ขอขอบคุณและร่วมอนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับที่ร่วมเผยแพร่พระสูตรนี้

    อานิสงค์ใดๆที่เกิดขึ้นในกาลครั้งนี้ขออุทิศให้แก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
     
  18. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    อันนี้แหละ ที่เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน :cool:
     
  19. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    อันนี้แหละ ที่เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน :cool:
     
  20. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เห็นด้วยครับ :cool:

    (ไม่รู้ทำไม อ่านสายอื่นจิตถึงต่อต้าน...รู้สึกมึนๆงงๆขึ้นมาทันที :'(....ไม่ใช่ต่อต้านแบบคัดค้าน แต่คิดว่าเราก็มีการพิจารณาในแบบเฉพาะของตนเองมากกว่า)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...