ภิกษุนั้นไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพบรรดาลว่า จิตของเราจงพ้นจากอาสวะทั้งหลาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย thepkere, 4 สิงหาคม 2012.

  1. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรรีบด่วนทำของคฤหบดีชาวนา ๓ อย่างเหล่านี้ ๓
    อย่างเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คฤหบดีชาวนาในโลกนี้ต้องรีบเร่งไถนาให้ดี คราดนาให้
    เรียบร้อย ครั้นแล้วต้องรีบเร่งเพาะพืชลงไปครั้นแล้วรีบเร่งไขเอาน้ำเข้าบ้าง ระบายเอาน้ำออก
    เสียบ้าง
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรรีบด่วนทำของคฤหบดีชาวนา ๓ อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    คฤหบดีชาวนานั้น ไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพบรรดาลว่า ข้าวเปลือกของเราจงเกิดในวันนี้ พรุ่งนี้จง
    มีท้อง ปะรืนนี้จงหุ้งได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ สมัยที่ข้าวเปลือกของคฤหบดีชาวนานั้น
    มีความแปรของฤดู เกิดก็ดี มีท้องก็ดี หุงได้ก็ดี มีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล

    กิจที่ควรรีบทำของภิกษุ ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ การสมาทานอธิศีลสิกขา ๑ การ
    สมาทานอธิจิตตสิกขา ๑ การสมาทานอธิปัญญาสิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรรีบด่วนทำ
    ของภิกษุ ๓อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพบรรดาลว่า จิตของเรา
    จงพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทานในวันนี้แหละ หรือมิฉะนั้น ก็ในวันพรุ่งนี้
    หรือในวันปะรืนนี้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ สมัยที่จิตของภิกษุนั้น ผู้ศึกษาอธิศีลอยู่ก็ดี
    ผู้ศึกษาอธิจิตอยู่ก็ดี ผู้ศึกษาอธิปัญญาอยู่ก็ดีหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นมีอยู่

    เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักมีฉันทะอย่างแรงกล้า
    ในการสมาทานอธิศีลสิกขา เราจักมีฉันทะอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิจิตตสิกขา เราจักมี
    ฉันทะ อย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิปัญญาสิกขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึง ศึกษา
    อย่างนี้แล ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๐
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
    หน้าที่ ๒๒๙/๒๙๐ข้อที่ ๕๓๒
     
  2. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ นี้ ๓ เป็นไฉน คือ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตต
    สิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อธิศีลสิกขาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    นี้เรียกว่าอธิศีลสิกขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อธิจิตตสิกขาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
    ธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าอธิจิตตสิกขา
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อธิปัญญาสิกขาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    นี้เรียกว่าอธิปัญญาสิกขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ นี้แล ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๐
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
    หน้าที่ ๒๒๔/๒๙๐ข้อที่ ๕๒๙
     
  3. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    เรามีหน้าที่เพียงเจริญไตรสิกขา จิตบรรลุหรือไม่เป็นเรื่องของเขา
    หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อไม่เจอท่านนานเลย หลายปี จนก่อนท่านมรณภาพไม่นาน ท่านไปเทศน์ที่องค์การโทรศัพท์ ปีสี่เท่าไหร่ ปี ๔๑ ประมาณนี้ จำไม่ได้แล้ว พอเข้าไป ท่านมาเทศน์เสร็จก็คลานเข้าไป กราบท่าน บอกว่า หลวงพ่อผมไม่เจอหลวงพ่อนานแล้ว ท่านบอกว่า หลวงพ่อจำได้นักปฏิบัติมีไม่มากหรอก

    หลวงพ่อผมยังทำลายผู้รู้ไม่ได้เลย โอ้..คราวนี้นะ ท่านเปลี่ยนไปเลยนะ เหมือนท่านเป็นคนอีกคนหนึ่งเลย กริยาท่าทางของท่านองอาจผึ่งผายนะ ท่านบอกว่า จิตผู้รู้เหมือนฟองไข่ เมื่อลูกไก่เติบโตเต็มที่แล้ว จะเจาะทำลายเปลือกออกมาเอง พูดห้าวหาญมากเลย โห..เราฟังปุ๊บเราเข้าใจแล้ว ท่านทำลายเปลือกออกมาได้แล้ว ท่านห้าวหาญมากเลย ท่านบอกวิธีให้นะ ไม่ได้ทำอะไรนะ รอให้ลูกไก่นี้โตขึ้นมา แล้วลูกไก่จะเจาะเปลือกเอง

    ก็คือธรรมะอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเคยสอนนั่นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรผลนิพพานได้นะ จิตบรรลุเอง เรามีหน้าที่เจริญศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญไตรสิกขานั่นเอง เมื่อเจริญเต็มที่แล้วนี่นะ จิตมีพลัง มีพลานุภาพเต็มที่แล้วนี่นะ จะเจาะทำลายอาสวะออกมาเอง

    พระพุทธเจ้าท่านเทียบเหมือนคนทำนา บอกว่าชาวนานไม่สามารถทำให้ข้าวออกรวงได้ ข้าวมันออกรวงของมันเอง สิ่งที่ชาวนาทำได้คือไถนา ไถอยู่ที่ดินไม่ได้ไปไถต้นข้าว หว่านเมล็ดข้าวลงไปในนา แล้วก็เอาน้ำเข้านา ช่วงไหนน้ำน้อยก็เติมน้ำ ช่วงไหนน้ำมากก็ไขน้ำออก ถึงเวลาแล้วข้าวก็ออกรวง ข้าวออกเมล็ด ข้าวก็ออกของมันเอง ชาวนาไม่ได้ออกเมล็ดข้าวมา

    จิตนี้ก็เหมือนกันนะ เราเจริญไตรสิกขา ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญอย่างนี้แหละ ถึงวันที่เขาพอเพียงแล้ว อริยมรรคก็จะเกิดขึ้นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเรานะ ค่อยฝึกไป คอยรู้กายคอยรู้ใจนะ ถือศีล ๕ ไว้เป็นเบื้องต้น วันไหนจิตใจฟุ้งซ่านมากก็ทำความสงบเข้ามา ให้จิตใจได้พักผ่อนบ้าง พอจิตใจสงบแล้วและพักผ่อนพอสมควรแล้วก็ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ให้เจริญปัญญาด้วยการมีสติรู้กายอย่างที่กายเขาเป็น มีสติรู้จิตอย่างที่จิตเขาเป็น ไม่เข้าไปแทรกแซงเขา

    เวลารู้ ให้รู้อยู่ห่างๆ อย่าถลำลงไปรู้ อย่ากระโจนลงไปรู้ รู้อยู่ห่างๆเหมือนดูคนอื่น ดูกายนี้เหมือนดูกายคนอื่น ดูเวทนานี้เหมือนดูเวทนาคนอื่น ดูจิตนี้เหมือนดูจิตคนอื่นไป ดูเหมือนดูคนอื่นเรื่อยๆ ทั้งกายทั้งเวทนาทั้งจิตนี้เป็นแต่สภาวธรรมซึ่งถูกรู้ถูกดู สิ่งใดถูกรู้สิ่งใดถูกดูสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นของอยู่นอกๆนะไม่ใช่ตัวเราหรอก

    ให้เฝ้ารู้เฝ้าดูไป กระทั่งต่อมาเราจะเห็นว่า แม้กระทั่งผู้รู้ผู้ดูเองก็เกิดๆดับๆ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง ใช่มั้ย เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ผู้รู้เองก็เกิดดับๆเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆไม่มีอะไรคงที่สักอันเดียวเลย เนี่ยดูอย่างนี้เรื่อยๆไปนะ วันหนึ่งลูกไก่ก็จะหลุดออกมาจากเปลือกได้

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
    แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

    CD: ๒๔
    File: 510324B
    ระหว่างนาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๔๒ ถึงนาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๕๖
    เรามีหน้าที่เพียงเจริญไตรสิกขา จิตบรรลุหรือไม่เป็นเรื่องของเขา | Dhammada.net หลวงพ่อปราโมทย์ : ธรรมะ คือ ธรรมดา ฟังเสียง
     

แชร์หน้านี้

Loading...