ไม่ควรมีการเททองหล่อพระอีกต่อไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย manforlove, 6 สิงหาคม 2012.

  1. Toon Eastern

    Toon Eastern เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +309
    เข้าใจว่าสมัยนั้นพระพุธทเจ้ายังไม่นิพพาน
    เลยไม่มีการสร้างพระพุทธรูป...
    คล้าย ๆ กับบุคคลสำคัญพอถึงแก่กรรมแล้วก็จะสร้างรูปปั้นบ้าง อนุสาวรีย์บ้าง
    เพื่อสรรเสริญความดี แต่ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่เห็นจะมีใครสร้าง จริงมั้ย.

    ผมไปวัดป่าที่ จ.อุดรฯ ทางวัดจะสร้างพระประธาน แต่ขาดงบ.(วัดยังไม่มีพระประธาน)
    ผมก็ไปช่วยปัจจัยส่วนหนึ่ง เพื่อให้คนกราบไหว้พระพุทธเจ้า และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ไม่ควรมีการเททองหล่อพระอีกต่อไป

    +++ เป็นคำพูดที่ส่งผลลัพธ์ ที่เป็นคุณ หรือเป็นโทษ กันแน่

    การกราบไหว้รูปเคารพไม่ใช่สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าพระพุทธเจ้าต้องการให้มี โลกที่มีแล้วก็แล้วไป
    ผิดจุด แก้ไข การกราบไหว้รูปเคารพไม่ใช่สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าพระพุทธเจ้าต้องการให้โลกหลง

    +++ การกราบไหว้พระพุทธรูปที่เคารพ เป็น พุทธานุสติ เป็นกรรมฐานบทหนึ่ง เหตุคือ พุทธานุสติ ผลคือ ออกจากความหลง หากตัดเหตุออกตั้งแต่ต้น ผลลัพธ์ย่อมไม่เกิดอย่างแน่นอน

    ไม่ควรสร้างใหม่หล่อไหม่เพราะพุทธานุสติมีมากแล้ว

    +++ พุทธานุสติ หากมีมากแล้วในตน คำพูดเช่นนี้ย่อมไม่ปรากฏ หากยังไม่เคยมีในจิตตน ก็ให้ลองหาดู เอาองค์ที่ถูกใจและจำได้ชัดเจน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของ พุทธานุสติ

    หากท่านสำผัสและเรียนรู้จิตวิญญาณที่ตกค้างในพระพุทธรูปหรือตกค้างในวัตถุต่างๆท่านจะรู้ว่าการยึดมั่นในวัตถุธาตุไม่ใช่ทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง

    +++ หากท่านสำผัสและเรียนรู้จิตวิญญาณที่ตกค้างในพระพุทธรูปหรือตกค้างในวัตถุต่าง ๆ อย่างแท้จริงท่านจะรู้ว่า
    +++ หากไม่มีพระพุทธรูป หรือวัตถุอันเป็นฝ่ายธรรมะ จิตวิญญาณที่ตกค้าง มักจะเป็นฝ่ายอธรรม และเป็นมิจฉาทิฐิทั้งสิ้น
    +++ การพิจารณาธาตุ 4 ต้องมีวัตถุธาตุไว้ให้จิตพิจารณา จึงสามารถปล่อยวางและเป็นทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง

    ไปค้นในพระไตรปิฎกและทุกคำภี์ทุกศาสนา ไม่มีศาสนาที่แท้จริงปราถนาให้มนุสย์ตกค้างในโลกเพราะยึดมั่นในวัตถุธาตุ

    +++ ความเป็นพุทธะ มีอยู่แต่เดิมแล้วในความเป็นตน
    +++ ทุกตัวตน เป็นส่วนหนึ่งของ God
    +++ เต๋าอยู่ในสรรพสิ่ง และอยู่ในตน
    +++ ทุกตัวตน เป็นส่วนหนึ่งของ ปรมาตมัน

    +++ ศาสนาที่แท้จริงให้พิจารณาวัตถุธาตุตัวแรกคือ กายแห่งตนนั่นแหละ ใช้สติสัมปัญชัญญะยึดมั่นกับวัตถุธาตุตัวแรกนี้ไว้ให้ดี จนสติกลายเป็นสมาธิด้วยตัวของมันเองแล้ว วัตถุธาตุตัวแรกนี้จะกลายเป็น สักแต่ว่าธาตุ หากไม่เริ่มยึดมั่นในวัตถุธาตุตัวแรกนี้แล้วไซร้ ย่อมเป็นสัมพเวสีแน่นอน (เจ้าที่ไร้ศาล คือ จิตที่ไร้สติ)

    +++ อย่าเอาผลมาเป็นมรรค และอย่าเอามรรคมาบอกว่าเป็ผล เริ่มต้นก็คือเริ่มต้น สิ้นสุดก็คือสิ้นสุด พยายามอย่าสับกัน เพราะไม่งั้นจะเขวไปหมด

    ผมศึกษามามาก

    +++ อ่านมามาก มากกว่า เคยปฏิบัติและศึกษาจิตของตนด้วยความเป็นตน แล้วหรือยัง

    และมีการเททองหล่อพระและวัตถุมงคลเป็นเครื่องชักจูงเข้าสู่ศาสนาแต่เป็นกุศโลบายที่อันตรายมาก

    +++ การเททองหล่อพระและวัตถุมงคลเป็นเครื่องชักจูงเข้าสู่ศาสนา เป็นกุศโลบายที่มีคุณอันมากอย่างยิ่ง มีสักกี่เปอเซ็นต์ที่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาโดยไม่ผ่านการรู้จักพระพุทธรูปมาก่อน และหากไม่มีพระพุทธรูปปรากฏอยู่เลยตั้งแต่เมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว ยังจะมีชาวพุทธอยู่ในโลกนี้อีกหรือ และตัวคุณ bade เอง จะมีโอกาสเข้ามาแสดงความเห็นในนี้ได้อย่างไร หากไม่เคยมีพระพุทธรูปมาก่อน

    +++ พุทธรูปเป็นเหตุ นอกนั้นเป็นผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง จนจวบเท่าทุกวันนี้

    เพราะคนที่หลงยึดติดอาจเป็นทุกข์ ควรถือว่าพระเครื่องและพระพุทธรูปคือวัตถุโบราณ สามารถแลกเปลี่ยนเช่าบูชาได้

    +++ คนที่หลงผิดอย่างยิ่ง จะถือว่าพระเครื่องและพระพุทธรูปคือวัตถุโบราณ สามารถแลกเปลี่ยนเช่าบูชาได้

    กรรมต่าง ๆ เกิดที่จิตก่อน แล้วจึงลามต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
     
  3. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +369
    ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าท่านเป็นนักปฎิบัติธรรมหรือเปล่า

    ท่านปฏิบัติแล้วลองนั่งคิดอะไร มองให้ลึกกว่านี้

    อย่ายึดติดเพียงตัวหนังสือไม่กี่ตัวอักษร

    พระเกจิอาจาร์ยในอดีต ทำไมท่านกราบไหว้บูชา

    ท่านเหล่านั้นล้วนปฏิบัติมานานปฏิบัติแต่เด็กจนท่านมรณะ ทำไมท่านถึงทำ

    ลองไตร่ตรองดูให้ดี ถ้าคิดว่าดีแล้วก็ควรถามคนอื่น ถามด้วยใจเปิดกว้าง

    ไม่ใช่ถามด้วยใจปิด ถามไปใครตอบไม่ตรงใจเถียงไม่รับฟัง

    ฝากไว้เท่านี้ครับ

    เพิ่มเติม ผมเพียงยกตัวอย่าง ถ้าคิดในประเด็นควรหรือไม่ในการเททองหล่อ ก็ได้คำตอบแบบเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2012
  4. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    นี่แหละครับ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย สวรรค์กับการเกิดอีกพลิกนิดเดียว พวกที่นับถือรูปเคารพ เกิดอีกแน่นอน อาจเป็นมนุษย์อีกจนกว่าจะจำได้ว่าก่อนมาเกิดเขาสอนอะไร สร้างวัดวาอารม สถานปฏิบัติธรรมแต่ลืมสร้างพระพุทธรูปนั้นเป็นอย่างไรถือว่าโชคดีมากๆ พวกที่ชอบเขียนชื่อต้นตระกูลลงพระพุทธรูปอย่างไร ลองไปถามพระพุทธรูปสององค์ที่ลอยอยู่กลางอวกาศดูนะครับท่านยินดีหือที่มีคนสร้างรูปเคารพท่าน หรือไม่ ท่านสอนไม่กี่คำและคำที่ท่านสอนหนัก คือผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราม ศีล สมาธิ ปัญญา ผมเป็นพวกปฏิบัตมาก่อนแล้วจึงมาศึกษาพระไตรปิฎกทีหลังดั่งคำว่า ปฏิบัติ นำปริยัติครับ
     
  5. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,744
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "ศิลปะรับใช้พระศาสนา(ทุกศาสนาที่มีในโลกนี้)ศิลปะชิ้นเอกของโลกล้วนเป็นการสรรค์สร้างเพื่อพระศาสนา การระลึกนึกถึง พระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่าที่่ผมทราบถือว่าเป็น พุทธานุสติ ครับ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2012
  6. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    เวลาคนจะใกล้ตาย เช่นป่วยไข้ไม่สบาย พอได้มองพระสีทองๆแล้วจิตจับภาพพระได้อานิสงล์ใด ดังนั้นการหล่อพระจึงจำเป็น เพราะคนเราเมื่อมีเวทนา จิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝนที่ดีหรือเข้มแข็ง ก็จะไม่สามารถปรัคับประครองนำพาจิตให้ไปที่ดีๆได้ ต้องมีสื่อเป็นตัวเชื่อมโยง เมื่อคนเราเห็นพระพุทธรูปเขาจะนึกถึงพระ เมื่อเขานึกถึงพระเข้าก็ไปได้ในทางสว่าง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการสร้างวัดสร้างพระ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
     
  7. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739

    โอเค งั้น ขอถามกลับ ถ้าคุณ บอกว่าตัวคุณปฎิบัติแล้วถ้าคุณปฎิบัติ เหนือกว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านสร้างพระพุทธรูป และเคารพพระพุทธรูป ผมถึงจะเชื่อ คุณ
     
  8. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +218
    บุคคลใดพึงได้รับความทุกข์จากทางโลก บุคคลนั้นพึงมีศาสนา
    บุคคลใดได้รับความทุกข์จากทางธรรม บุคคลนั้นไม่พึงมีศาสนา

    บุคคลใดพึงได้รับความสุขจากทางโลก บุคคลนั้นพึงมีศาสนา
    บุคคลใดได้รับความสุขจากทางธรรม บุคคลนั้นไม่พึงมีศาสนา
     
  9. mikycar offroad

    mikycar offroad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +255
    การเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ย่อมมีหลายทาง
    ล้วนแต่ต้องการไปยังจุดหมายเดียวกันทั้งสิ้น
    ผมก็เห็นในคลิป วีดีโอหลวงพ่อท่านนึงบอกไม่ต้องสร้างพระพุทธรูป แต่ข้างหลังที่ท่านนั่ง
    กลับมีรูปสมมุติของพระพุทธเจ้าใส่กรอบตั้งอยู่ จะเป็นรูป หรือปั้นลอยองค์ก็ดีทุกท่านล้วนมีจุดหมายปลายทางเดียวกันทั้งสิ้น สมเด็จโตท่านก็สร้างทั้งพระพุทธรูป ปาง นั่ง ยืน นอน ทั้งที่ท่านแตกฉานทางธรรมกว่าเราทั้งหลายอีก (ความคิดส่วนตัว) ไม่น่าจะเป็นไรนะ ท่าน bade
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2012
  10. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,500


    ปฏิบัติมาก ศึกษาเยอะ ระวังจะสับสนในความรู้ความเข้าใจนะครับ
    จะปฏิบัติก่อนหรือหลังไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าคุณจะนำเทียบเคียง
    กับหลักฐานในพระไตรปิฎกที่ถูกปรับปรุงแก้ไขมาไม่รู้กี่ครั้งกี่รอบได้ยังไง

    พวกที่นับถือรูปเคารพ เกิดอีกแน่นอน เนื้อความนี้ หมายไว้ว่ายังไง
    คุณมีธรรมในใจแล้ว เห็นพระนิพพานแล้ว หรือเปล่าครับ
    หรือว่าคุณจะเอาคำว่า มิจฉาทิฐิ ไปนิพพานด้วย
    เห็นกล่าวไว้ว่าศึกษาปฏิบัติมา ต้องยกมาให้พิจารณาอีกครั้งไหมครับ


    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า"

    ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
    การบูชาไม่มีผล
    การบวงสรวงไม่มีผล
    ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
    โลกนี้ไม่มี
    โลกอื่นไม่มี
    มารดาไม่มีบุญคุณ
    บิดาไม่มีบุญคุณ
    สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี
    สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทราบถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย ไม่มี"

    แล้วยังไงต่อครับ ขอยกตัวอย่างผมบ้างนะครับ
    ง่าย ๆ ครับ เช่น หากผมกราบไหว้บูชา รูป พ่อ แม่ ที่เสียไปแล้วล่ะ
    ถามว่า ผมผิดไหมอ่ะ หรือจะให้ผมมองเป็นแค่รูป ๆ นึง
    แล้วนึกภาพท่านไว้ในใจเหรอครับ แบบนี้ผมขอยอมที่จะเกิดดีกว่า



     
  11. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    เรียนเอานะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 สิงหาคม 2012
  12. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    ผมว่าตอนนี้เยอะเกินไป ไม่รู้เร่งสร้างทำไม ไม่ใช่สิ่งที่หนุนให้ศาสนาเจริญแต่เป็นสิ่งเกื้อบ้างแต่วัถุประสงค์จริงของศาสนาที่แท้คือการมุ่งออกจากวัฏะสงสาร
     
  13. ผ่อนคลาย

    ผ่อนคลาย Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    5,775
    ค่าพลัง:
    +12,934
    ต้นไม้มีทั้งผิว มีทั้งเปลือก มีทั้ง กระพี้ มีทั้ืงแก่น อย่าคิดอะไรมากเลย มันเป็นอนัตตาทั้งนั้นแหละ พิจารณาดูเถิด ไม่งั้นเราก็มีแต่แสดงอัตตากันอยู่นี่แหละ
     
  14. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เค้าเรียกว่าเป็นผู้เลือกด้วยตนเองมากกว่าล่ะท่าน..

    เพราะบางครั้งเราก็ไม่สามารถเชื่อใจใครได้เลยแม้แต่ตนเอง ยังต้องใช้สติ-ปัญญา พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงเลยค่ะ
    หากแต่ในเมื่อ..ถ้าตนเองถูกครอบงำอยู่แล้ว..ถ้าเราเชื่อตนเองเท่ากับเชื่อสิ่งผิด..ย่อมนำตนเองไปในทางเสื่อมและไม่เจอความจริง

    ดังนั้น..การมั่นใจในตนเอง คือไม่ตัดสินใคร อะไร แม้แต่ตนเอง และดูเห็นไปตามจริง ยอมรับในความจริงที่เป็นปัจจุบันนั้น
    ด้วยใจที่ไม่หลงไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งต่างๆ แต่ แค่รู้ ดู เห็น และเลือกที่จะคิด พูด ทำ ด้วยสติแม้ใครไม่รู้เราแต่เรารู้ตนเอง

    ในเมื่อเรายังเป็นเช่นนี้แล้ว..คนอื่นก็ไม่ต่างจากเรา..
    ดังนั้น..หากเราไม่มั่นใจในตนเองแล้วจะให้มั่นใจในใครได้อีก..ก็ในเมื่อคนอื่นๆ ก็ถูกครอบงำได้และไม่ได้อยู่กับสติจริงๆ
    เช่นเดียวกับเราในอดีตก่อนที่จะรู้และเข้าใจ
     
  15. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เอาเพลงมาฝากทุกคนค่ะ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6wKMau94QGo&feature=related]ไม่สมศักดิ์ศรี - YouTube[/ame]
     
  16. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    งั้นก็ถือว่า พระพุทธรูป เป็นเปลือก พุทธะ เป็นแก่น งั้นกราบอะไรก็ได้กราบให้ถึงแก่น เพราะพุทธะเป็นอจิณไตย
     
  17. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    ผมขอออกความคิดเห็นบ้าง ของคุณ bade นี่เป็นแบบจะเอานิพพานกันเลยในชาตินี้
    ถ้าสำเร็จก็ดีไป ส่วนผู้ที่สร้างพระผมว่าเป็นการสร้างบารมีเพราะเป็นศูนย์กลางให้คนทำดี
    ได้บุญเยอะ อะไรที่คนหมู่มากได้ประโยชน์ทำแล้วได้บุญเยอะ ยังไงตายแล้วก็มาเกิดใหม่
    แน่ ๆ หรืออาจจะตายช้าก็ได้ แบบอายุเป็นหมื่นปีแบบนี้
     
  18. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    ถ้าเรายอมวางใจให้ลง เห็นว่าเรื่องนี้เป็นธรรมดาของโลกแล้ว
    ความอคติย่อมไม่มี เพราะเหตุทั้งหลายมันเกิดมีขึ้นเพราะมีเหตุมีปัจจัย
    ส่งเสริมกัน อันนี้ว่ากันตามหลัก อิทัปปัจจัยยา

    และถ้าทุกคนรู้ เห็นว่าเป็นแค่เหตุสมมติ ทุกอย่างในโลกล้วนแต่สมมติ ก็แสดง
    กันไปตามสมมตินั้นไป ใครจะยึดติด หรือเห็นแล้วว่าไม่ควรยึดติด มันแสดงออก
    ได้ด้วยปัญญา บางทีรู้กว้างแต่ไม่รู้ลึก บางทีรู้มากแต่ไม่รู้รอบ ไม่รู้จริง
    อันนี้แหละที่เรายกเอาสมมตินั้นมาขัดแย้งกัน
    ___________________
    ดูจิต.........ด้วยสติ
     
  19. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ถ้าไม่รู้จักทุกข์ ก็ละทุกข์ไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักสมมุติ ก็ละสมมุติไปไม่ได้

    [FONT=&quot]คนเราต้องอย่างนี้ก่อน ขั้นแรกก็เข้าถึงของหยาบก่อน ต่อเมื่อจิตละเอียดเข้า[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็จะละของหยาบลงได้ ทุกคนมีสภาพเหมือนกัน ของละเอียดเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก[/FONT]
    [FONT=&quot]พวกเล่นพระ เป็นพวกที่มีจิตเป็นกุศลเหมือนกัน แต่เป็นขั้นกามาวจรสวรรค์ [/FONT]
    [FONT=&quot]จะไปกะเกณฑ์ให้เข้าถึงธรรมละเอียดนั้นเห็นจะยังไม่ได้ก่อน จนกว่าจิตจะมีบารมี[/FONT]
    [FONT=&quot]เข้าถึงปรมัตถบารมีเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ เขาจึงจะเห็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม [/FONT]
    [FONT=&quot]อารมณ์ของกามาวจรจิตนั้น ยังติดดีอยู่มาก คือต้องการให้คนอื่นเห็นตนว่าดีว่าเด่น [/FONT]
    [FONT=&quot]อย่างนี้เป็นอาการของกามาวจร ยังเข้าหาทางพ้นทุกข์ไม่ได้ สำหรับของรูปาวจรนั้น [/FONT]
    [FONT=&quot]มีความประสงค์จะแสดงฤทธิ์ด้วยตนเอง อยากแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ [/FONT]
    [FONT=&quot]อย่างนี้ก็เอาตัวรอดไม่ได้ ต่อเมื่อไรจิตเข้าถึง ปรมัตถธรรม คือ มีอารมณ์ละเอียด มุ่งเหตุผล [/FONT]
    [FONT=&quot]เอาดีด้วยการรักษาอารมณ์ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ฮือฮาตามเขา ถือกฎของกรรมเป็นใหญ่ [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อมีสุขก็ไม่ลำพองใจคิดว่าในโลกไม่มีอะไรจริง สุขทุกข์ของโลก ไม่มีความหยั่งยืน [/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นอารมณ์หลอน เมื่อมีสุข ก็มองเห็นทุกข์ที่จะตามมาในระยะเดียวกัน พบวัตถุที่ให้ความสุข [/FONT]
    [FONT=&quot]รู้ว่าทุกข์มันแฝงอยู่ในสุขนั้น เมื่อทุกข์เกิด ก็เห็นเป็นของเด็กเล่น ไม่มีอะไรน่าวิตก. [/FONT]

    [FONT=&quot]จำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยง มันก็ทุกข์ แต่ทว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม[/FONT]
    [FONT=&quot]อนัตตามันเข้ามาถึง อย่ายึดอย่าถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา คิดไว้เสมอว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่เราจะอยู่กับมัน

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    [/FONT]
     
  20. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ถ้าไม่รู้จักทุกข์ ก็ละทุกข์ไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักสมมุติ ก็ละสมมุติไปไม่ได้

    [FONT=&quot]เรื่องเดิม[/FONT][FONT=&quot] มีบุคคลท่านหนึ่งเอาภาพนี้มาให้ผมดู เธออ้างว่ามีคนถ่ายภาพนี้ที่ตึกรับแขก (ตึกริมน้ำ) มีคนอื่นได้ดูอีกหลายคน ทุกคนต่างก็วิจารณ์ไปตามอุปาทาน ตามทิฐิหรือตามความคิดเห็นของตนทั้งทางดีและทางไม่ดี หรือต่างสร้างวจีกรรมให้เกิดและได้ผลเป็นทั้งบุญและบาป ตามกรรมที่ตนแสดงออกมาทางวาจาเพราะทุกคนยังมีอารมณ์ โมหะ โทสะ ราคะอยู่ครบ จึงมีจริตนิสัยและกรรมไม่เสมอกัน สมเด็จองค์ปัจจุบัน จึงทรงมีพระเมตตามาตรัสสอนไว้ มีความสำคัญดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot] ๑. ไม่จำเป็นต้องสงสัยว่าเป็นภาพอัศจรรย์จริงหรือไม่จริงเพราะภาพเหล่านี้เป็นสมมุติของโลก ภาพวาด ภาพถ่ายของตถาคตก็แทนองค์จริงของตถาคต ภาพขันธ์ ๕ ของท่านสัมภเกษีก็เป็นสมมุติของโลก[/FONT]
    [FONT=&quot] ๒. เสมือนหนึ่งเขาปั้นพระพุทธรูปปางต่างๆ แทนองค์จริงของตถาคตก็เป็นสมมุติ แต่ในบุคคลใดที่กราบไหว้สักการะจักเป็นพระพุทธรูปก็ดี เป็นภาพก็ตาม เขาเหล่านั้นตั้งใจกราบด้วยความเข้าถึงธรรมวิมุติ ก็เสมือนหนึ่งกราบตรงมาที่แทบเบื้องพระบาทของตถาคต และแทบเท้าของท่านสัมภเกษีแล้วนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] ๓. พวกเจ้าจึงพึงหมดสงสัยด้วยประการฉะนี้ ไม่จำเป็นจักต้องพิสูจน์ รังแต่จักเป็นโทษ ด้วยล่วงล้ำคุณพระรัตนตรัย เสียเปล่า ๆ ใครจักว่าเช่นไรก็ตามใจเขาเถิด[/FONT]
    [FONT=&quot] ๔. พวกเจ้าเข้าใจแล้วก็จงหมั่นสำรวมกาย วาจา ใจ อย่าให้เกิดกรรมที่จาบจ้วงคุณพระศรีรัตนตรัยเข้าไว้จักดีกว่า[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕. เมื่อเข้าใจแล้ว จงนำคำสอนไปปฏิบัติ เปลี่ยนธรรมสมมุติของโลกให้เป็นธรรมวิมุติ โดยตั้งใจกราบพระประธาน พระพุทธรูป ภาพพระด้วยจิต เสมือนเราได้กราบอยู่แทบพระบาทของพระองค์ทุกครั้ง กราบหลวงพ่อก็เหมือนกราบที่แทบเท้าท่าน กราบได้แบบนี้แหละจึงจักเข้าถึงธรรมวิมุติ[/FONT]
    [FONT=&quot] ๖. แม้จะจับอานาปา เอาตาจ้องภาพหรือรูป เอาจิตน้อมเข้าไปกราบท่านแทบพระบาทก็ย่อมทำได้ และพวกได้มโนมยิทธิ ก็เอาของจริง คือ เอาอาทิสสมานกายไปกราบท่าน คือ เอาจิตถึงจิต กราบแบบนี้ยิ่งมั่นใจ แต่ความจริงแล้ว ทุกคนที่เอาจิตน้อมไปกราบพระแทบพระบาทด้วยความเคารพ โดยไม่สงสัย แม้จะไม่เห็นภาพก็มีผลเท่ากัน[/FONT]
    [FONT=&quot] ๗. อย่าลืมกำหนดจิต กราบผ่านสิ่งสมมุติถึงธรรมวิมุติ เพราะธรรมหรือกรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่ใจ ขอจงอย่าสงสัยในธรรมที่ตนเองปฏิบัติเท่านั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]
    หลังจากนั้น สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาสอนต่อ มีความสำคัญดังนี้[/FONT]


    [FONT=&quot]เรื่อง ธรรมสมมุติ กับ ธรรมวิมุติ

    [/FONT]
    [FONT=&quot] ๑. ธรรมสมมุติกับธรรมวิมุติ หากจักพูดกับผู้ใด ขอจงทำความเข้าใจในสภาพอารมณ์ของบุคคลผู้นั้นก่อน หากเขายังไม่เข้าใจธรรมสมมุติ ก็จักพูดเรื่องธรรมวิมุติไม่ได้ เพราะสภาพจิตของเขายังติดอยู่ในธรรมสมมุติมาก เขาเห็นเป็นของเที่ยง แต่พวกเจ้าบอกว่าไม่เที่ยง จุดนี้ระมัดระวังเอาไว้ให้ดี ๆ สภาวะธรรมย่อมครอบงำบุคคลที่หลงติดอยู่ในสภาวะนั้นๆ[/FONT]
    [FONT=&quot] ๒. พวกเจ้าเองก็ใช่จักหลุดพ้น กาลนี้ก็เพียงแต่เข้าใจในธรรมสมมุตินั้น ๆ แต่ยังไม่หลุดพ้นอย่างจริงจัง ดังตัวอย่างที่พวกเจ้ายังติดอยู่ในขันธโลกของตนเอง และของท่านฤๅษี เพราะตราบใดที่เรายังติดขันธ์ ๕ ของเราอยู่เพียงใด ก็ย่อมยังติดขันธ์ ๕ ของผู้อื่นอยู่เพียงนั้น และผู้ที่ไม่ติดขันธ์ ๕ ทั้งของตนเองและผู้อื่นจริง ๆ ก็คือพระอรหันต์ จึงเท่ากับพวกเจ้ายังติดอยู่ในธรรมสมมุตินั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] ๓. อารมณ์ คือ ครูทดสอบจิตถึงเรื่องนี้ได้อย่างดีที่สุด หากขณะใดจิตของพวกเจ้าเข้าถึงธรรมวิมุติ อารมณ์ในขณะนั้นจักต้องว่างจากกิเลส คือ ปราศจากอารมณ์หลง อารมณ์ราคะและปฏิฆะ จึงจักเรียกว่าหลุดพ้นจากธรรมสมมุติได้[/FONT]
    [FONT=&quot] ๔. เพราะฉะนั้น หมั่นตรวจสอบอารมณ์ไว้ให้ดีๆ และจะพูด จะทำอะไรให้คิดถึงผลเสีย ที่จักเป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนอารมณ์ของตนเองและบุคคลอื่นด้วย ธรรมส่วนใดหากจิตมีบารมีเข้าไม่ถึง พูดไปให้เขาคิดหรือคิดเองก็ดี จักหลงเข้าใจผิดในธรรมนั้นๆ อารมณ์มิจฉาทิฏฐิก็จักครอบงำได้ง่าย ๆ อย่าทำตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน ด้วยการพูดการคิดในธรรมที่ยังเข้าไม่ถึงนั้น ๆ[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕. ดูตัวอย่างที่องค์สมเด็จปัจจุบัน ทรงตรัสถามบรรดาพระอริยสาวกถึงบารมีธรรม ในสมัยเสด็จลงจากสวรรค์ดาวดึงสเทวโลกให้ดีๆ นั่นคือการตรัสยืนยันเกี่ยวกับขั้นตอนทางธรรมอันที่ประจักษ์ได้แน่ชัดว่า ผู้มีบารมีธรรมต่างกันจักรู้แจ้งในธรรมที่สูงกว่ามิได้เลย[/FONT]
    [FONT=&quot] ๖. เมื่อเข้าใจตามนี้ ก็จงอย่านำโทษปรามาสพระรัตนตรัยให้เกิดแก่ตนเอง และอย่าให้เกิดแก่บุคคลผู้อื่นด้วย[/FONT]


    "ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น"
     

แชร์หน้านี้

Loading...